รุ้งแห่งความรัก
อ่าน: 1287แล้ววันวานที่ผ่านไปของสวนป่าก็สร้างสีสันแห่งความรู้สึกที่สดใสให้กับตัวฉันอีกวัน
สีที่ระบายซ้ำลงบนความรู้สึกได้เพิ่มความไวแห่งผัสสะจนสัมผัสได้ถึงความรักที่ผู้คนมีให้ต่อกัน
รับรู้ว่ารอบตัวของทุกนาทีที่ใช้ชีวิตมีคนที่รักกันอยู่ไม่น้อย
รับรู้ว่าคนรอบตัวต่างมีแต่ความรักที่มอบให้ต่อกันแม้จะมีกำแพงบางๆขวางกั้น
รับรู้ว่าความรักที่ก่อเกิดต้องใช้เวลาที่ยาวนานเหมือนๆกัน
ในเมื่อการหล่อเลี้ยงความรักต้องการเวลาที่ยาวนานแล้วทำไมเล่า วันนี้ผู้คนจึงไม่จัดการระบายสีของความรักให้กับชีวิตของตัวเองเสียใหม่ให้สดใส วันใหม่ของชีวิตที่ดีกว่าเมื่อวานจะได้มาถึงมือง่ายๆ
มะละกอที่เทวดาเพาะให้และดินตรงที่ปลูกใหม่ สอนมวยเรื่องการหล่อเลี้ยงและความแข็งแรงแห่งตนให้ด้วยนะนี่
ชีวิตที่ผ่านหลากหลายสีมาก่อนสอนให้ได้รู้และเรียนรู้
การเรียนรู้ว่าความเสียดทานหนักๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิตก็เป็นแค่สีที่ระบายเข้มไปหน่อยเท่านั้นเอง
ให้ความรู้ที่ทำให้เข้าใจอะไรๆมากขึ้นๆตามเวลาที่ใช้ไปกับการระบายสีใ้ห้ชีวิต
ความหนักแน่น ความอดทน ความอ่อนโยนต่อชีวิตคือคุณค่าที่การระบายสีให้กับชีวิตได้มอบให้
ได้คืนมาซึ่งชีวิตที่เข้าใจซึ้งว่าอะไรคือสุดทางของชีวิตที่ต้องการเดินไปให้ถึง
ใช้ชีวิตที่แตกต่างบนพื้นที่ที่แตกต่างก็ไม่เห็นจะทำให้เป็นอะไรไปเลยนี่นา จะกลัวไปไย
สิ่งที่มีปรากฏอยู่ในธรรมชาติที่สวนป่าได้มอบให้ ได้แฝงปัญญาปฏิบัติในแง่มุมที่หลากหลายไว้ให้ได้ทบทวนตัวเองด้วย
ขอบคุณการได้มานอนและมาเยือนสวนป่านับแต่วันวานค่ะ
ขอบคุณกับความ “คิดได้” ที่ลงมือทำเลยกับการมาสวนป่าของตัวเองจริงๆ
นาคให้น้ำที่สวนป่าให้ภาพงดงามยามเช้าชุ่มฉ่ำใจยามเห็นเน้อ
ตื่นนอนในวันรุ่งขึ้น อาบน้ำแต่งตัวแล้วก็พาตัวออกไปเดินตามดูธรรมชาติให้เต็มอิ่มก่อนถึงเวลากลับ ปรากฏว่าพ่อครูตื่นให้น้ำต้นไม้แล้ว
แม้เมื่อคืนอากาศจะไม่ร้อน เช้านี้ก็ยังรู้สึกถึงไอร้อนในอากาศว่ายังมีเหลืออยู่ไม่น้อยทั้งๆที่มีน้ำพุ่งเป็นฝอยกำลังทำงานให้ความชุ่มชื้นอยู่
ยืนดูไปที่มุมหนึ่งของหน้าบ้านที่พ่อครูนอน เห็นน้ำฟูฝอยแล้วรู้สึกถึงละอองน้ำเวลาฝนตก เหมือนกันอย่างไรอย่างนั้นเลยแหละ
หันตัวมองตามฝอยน้ำที่พ่นออก สายตาก็เหลือบไปเห็นสีอะไรแวบๆสดใสสว่าง มองตามไปเต็มตาก็ได้เห็นว่าในทิศที่น้ำสะท้อนกับแสงแดดเกิดสีคล้ายรุ้ง ทีนี้เลยปรับมุมมองไปตามทิศของแสงเต็มพิกัด เจอแล้วรุ้งตัวน้อยเล่นน้ำอยู่สวยเชียว
รุ้งตัวน้อยแอบมากินน้ำให้เห็น น่ารักจริงๆ
และนี่ก็คือตัวการที่ชวนรุ้งมา
สักครู่พ่อครูก็ชวนไปชมสวน เล่าให้ฟังเรื่องหลักคิดการปลูกพืชระบบชิดที่สะกิดใหู้พัฒนาพืชยืนต้นเป็นผักริมรั้วกินได้ไว้รับแขกเยือน ได้สัมผัสมุมคิดของพ่อครูหลากหลายมุมทีเดียวเชียวเกี่ยวกับการรวบรวมพันธุ์พืชไว้ให้ลูกหลานเหลนโหลนฯลฯ
ต้นมะกรูดที่ล้มสอนมวย “รากที่หยั่งไว้ดี แม้ต้นล้มก็สามารถอยู่รอดได้ ไม่ควรกลัวมันตายเข้าไปโอบอุ้มแบบทำลายจนรากมันโดนถอนทิ้งซะ”
รู้สึกขอบคุณโลกที่ส่งพ่อครูบามาเกิด ขอบคุณจริงๆนะคะกับความคิดยิ่งใหญ่ที่เต็มไปด้วยความปรารถนาดี เมตตาปราณีที่มีต่อโลก
ขอบคุณแทนเด็กๆรุ่นหลานเหลนโหลนที่ฟ้ามีตา ส่งคนมาช่วยสร้างพื้นที่แห่งนี้ขึ้นมาให้ได้พึ่งพาต่อไปในเวลาข้างหน้า
รากแก้วที่หยั่งดินไม่แข็งแรงพอ ลมก็สามารถพัดพาให้ล้มได้ แต่ต้นที่ล้มก็ยังอยู่ได้ เมื่อยังมีรากค้ำจุนอยู่
เดินชมสวนกันครบรอบแล้วก็พากันกลับมาบ้าน กินอาหารเช้ากันง่ายๆด้วยน้ำพริกถ้วยเก่าที่แสนอร่อย แม่หวีก็แค่ลวกผักมาให้จานใหญ่ พ่อครูเด็ดมะเขือเทศมากินกับข้าว ง่ายๆกันแค่นี้ก็อิ่มท้องอร่อยไปอีกมื้อ เป็นชีวิตที่ง่ายๆดีจริงๆ
มะสัง ไม้ทนแล้ง ที่ไม่ต้องดูแลก็แข็งแกร่งพอที่จะเติบโตได้ด้วยตัวเอง ลูกที่สุกแล้วมีกลิ่นหอมอ่อนๆเฉพาะตัว
ระหว่างกินข้าวเมื่อฉันหลุดปากไปว่าชอบกินมะเขือเทศสด อร่อยดี ดูเหมือนพ่อครูดีใจนะ แล้วต่อมามะเขือเทศตะกร้าใหญ่ก็พร้อมสำหรับเป็นของฝากให้นำกลับบ้าน
ขอแค่มีรากแม้ต้องยืนหยัดต่อสู้ก็ยังรอดได้สบายๆ
ตอนแรกที่เห็นน้ำหนักของฝากก็ว่าจะไม่รับติดมือมาด้วยแล้ว แต่แล้วก็นึกขึ้นมาได้ ติดมือไว้หาเรื่องไปเจอคนเมืองกรุงที่ส่งเสียงเจื้อยแจ้วมาเมื่อคืนก็ไม่เลวนี่นา พอมีเวลาที่จะไปเจอตัวกันได้ ของที่นำกลับไปก็ไม่ได้สร้างภาระให้ลำบากอะไร บริการ delivery เกิดขึ้นมาด้วยเหตุนี้แหละ
ระหว่างรอเดินทาง ก็ใช้เวลาอำลาสวนป่าไปพลาง เดินไปก็ได้เห็นเตาดาโกต้าที่ใครไม่รู้ทำทิ้งไว้ ร่องรอยของการใช้เตาทิ้งไว้ให้เห็นผ่านก้นหม้อดินเผาที่ก้นดำ ด๊ำ ดำ
ร่องรอยของเตาดาโกต้าที่บอกให้รู้ว่าทำไมก้นหม้อดินเผาจึงดำ ด๊ำ ดำ
ถึงเวลาแห่งการลาจาก พ่อครูก็แจกกอดเต็มอ้อมแขนให้ แม่หวีขับรถมาส่งที่ท่ารถ ไปถึงท่ารถก็เป็นเวลาพอดีกับรถใกล้ออกพอดี๊พอดี
อืม เวลาที่ผันผ่านเมื่อได้อยู่กับธรรมชาติและคนดีๆผ่านไปเร็วยิ่งนัก อย่างนี้เมื่อมีโอกาสอย่าปล่อยเวลาไปซะนะ
บอกลาแม่หวีพร้อมกอด ไม่อยากกลับแต่ก็ต้องกลับแล้วคือคำที่บอกออกจากปากเหมือนที่บอกพ่อครูก่อนจากกัน
ลานไผ่ก็เป็นครูสอนและชี้มุมคิดถ้ารู้จักดู รู้จักสังเกต รู้จักเอ๊ะซะบ้าง
รถเคลื่อนตัวออกจากท่ารถสิบเอ็ดโมงเป๊งมาถึงเมืองกรุงเวลาสี่โมงเย็นนิดๆ ถึงท่ารถก็โทรถามทางกับเจ้าแม่แห่งโรงเรียนเด็กวัยสะรุ่น เจ้าแม่บอกมาง่ายๆว่า รามอินทรา กิโลเมตรที่ ๔ ขึ้นแท๊กซี่ก่อนแล้วจะโทรมาบอกทางกับโชเฟอร์ให้เอง
ในใจนึกเอ๊ะว่าแล้วพี่จะรู้ได้ยังไงว่าใช่หละน้อง เอาก็เอาจะบอกทางผ่านโชเฟอร์ก็ได้(วะ) โชคดีที่ได้โชเฟอร์ที่ใจดีมากมายช่วยบริหารเส้นทางและแนะนำเพิ่มความรู้เรื่องเส้นทางให้
ได้ความจริงที่ปรากฏว่าโชเฟอร์ก็ไม่รู้ว่าตรงไหนคือจุดหมายกิโลเมตรที่ ๔ เขาบอกว่าไอ้เจ้ากิโลเมตรที่ ๔ นั่นนะ คนที่ใช้เส้นทางอยู่ทุกวันเขาใช้เรียกกัน ไม่ใช่แท๊กซี่หรอก เขาบอกเขาพอรู้ว่าอยู่ตรงไหน จะเลี้ยวตรงซอยไหน แต่ไม่มั่นใจ เอาไว้ใกล้ๆถึงแล้วค่อยโทรถามทางให้อีกครั้งก็แล้วกัน
ความงามและความสุขอยู่รอบตัวเรานี่เอง ขอแค่รู้จักมองก็จะพบเจอกับมัน
วิ่งรถผ่านไปไม่นาน เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ถึงไหนแล้วพี่หมอเจ๊ ก็ตอบไปว่า ถึงม….แล้ว อ้าว มาเร็วดีจริง เกือบถึงแล้วๆ เสียงว่ามาอย่างนั้น โชเฟอร์ก็ขับตรงต่อไป จนมองเห็นป้ายม.วีแบค เลี้ยวขวับเข้าไป ขับไปเรื่อยๆจนเห็นป้ายเขตโรงเรียน ก็ชวนกันหาซอยเลี้ยวขวา เจอแล้วก็ขวับเข้าไปในซอยแล้วก็พากันงงๆเมื่อมองไปเห็นแต่อาคารคล้ายๆบ้านเรือนอาศัยเต็มไปหมด
แล้วโชเฟอร์ก็ตาไวเห็นสาวร่างเล็กที่ออกมากร่างโบกรถอยู่หน้าปากซอยโรงเรียน นั่นไงๆเขาออกมาดักอยู่หน้าโรงเรียนจริงๆนะแหละ โชเฟอร์บอก
เมื่อรถเลี้ยวขวับเข้าไปจอดนิ่ง วัยรุ่นตัวน้อยๆที่เดินอยู่แถวนั้น ก็ได้มีโอกาสฝึกบริการแขกของคุณแม่ ขอบคุณนะลูกที่ช่วยกันขนของให้ป้าหมอได้พักไหล่และมือชั่วคราว
พาตัวเดินเข้าไปในห้องพักครูด้วยกัน ดูเหมือนครูในห้องพากันกระเจิงออกมาเลยเชียว ถึงเวลาโรงเรียนกำลังเลิกนะเอง ส่งของแล้วก็ช่วยกันแพ็คส่วนที่เหลือไว้เดินทางต่อ เปิดวงอารยะนินทาแบบสั้นๆพอให้ชื่นใจแบบรักษาวัฒนธรรมชาวเฮเอาไว้มั่นงั้นแหละ
ราบเรียบเกินไปก็ดูเหมือนไร้รสชาติแห่งสี ไร้สีสันหรือเปล่า
โดดเด่นหรือเปรี้ยวซะบ้างแบบเจ้าแม่ก็ไม่เลวหรอกนะ น่าดู น่าชมดีออก
ก่อนจากกันก็มีการเล่นตี่จับกับปากระดาษกับเจ้าแม่ที่ทำให้โชเฟอร์แท๊กซี่งง ง้ง งง จนกล้าเอ่ยปากถามระหว่างนั่งรถออกไป ก็เป็นอะไรที่ได้แลกเปลี่ยนมุมมองสะท้อนให้แท๊กซี่ได้อึ้ง สัมผัสว่าวิธีคิดอะไรบางอย่างเกิดขึ้นกับตัวเขาไปด้วย นับว่าเป็นเรื่องดีๆที่ได้ทำโดยไม่ได้ตั้งใจ
ถึงที่พักที่นัดหมายกับนางฟ้าน้อยๆไว้ ก็พาตัวเข้าไปพักแล้วออกมาเติมความตึงให้ท้อง อิ่มแล้วก็พาตัวไปเข้าร้านเน็ต เปิดอ่านเรื่องราวบนลานและตอบรับอีเมล์
ระหว่างกินข้าว เจ้าแม่ก็ส่งเสียงมาด้วยความห่วงใย เอ่ยปากขอบคุณและขอโทษในสิ่งที่รู้สึกว่าได้เสียมารยาททำลงไปก่อนจากกันมา
คำบอกเล่าที่บอกกลับมาทำให้ขำๆอีกแล้ว คนอะไรทั้งไฮเปอร์ทั้งอารมณ์ดี ทำได้ยังไงทั้งวัน เก่งจริงๆ
แม้แต่มดยังอบอุ่นกับรังที่ใส่ถุงไว้ให้มันอยู่ได้เลย คนที่ไม่เชื่อว่าสวนป่าให้ความอบอุ่นเหมือนบ้านก็ไปลองได้เลย
คืนนี้ได้นอนห้องแอร์แต่รู้สึกไม่สบายเหมือนนอนที่สวนป่าเลยแหละค่ะ
๙ มีนาคม ๒๕๕๓
บันทึกอื่น :
๓. ก่อนที่ฝนจะหล่อเลี้ยงให้ใจได้ความชุ่มชื่น
« « Prev : ไม่ปิ๊งก็ได้..ปิ๊งก็ดี
Next : ขอแค่รู้สึก…ให้ดีที่สุด….กับสิ่งที่ดีที่สุดในใจ….ก็พอ » »
2 ความคิดเห็น
อ่านแล้ว ทำให้ใคร่จะไปเที่ยวสวนป่าสักครั้ง…
เจริญพร
นิมนต์หลวงพี่ ไปต้นพฤษภาคมนี้ดีมั๊ยค่ะ