รุ้งแห่งความรัก

โดย สาวตา เมื่อ 14 มีนาคม 2010 เวลา 8:37 ในหมวดหมู่ ประสบการณ์ชีวิต, สวนป่า, สังคม, เล่าสู่กันฟัง #
อ่าน: 1292

แล้ววันวานที่ผ่านไปของสวนป่าก็สร้างสีสันแห่งความรู้สึกที่สดใสให้กับตัวฉันอีกวัน

สีที่ระบายซ้ำลงบนความรู้สึกได้เพิ่มความไวแห่งผัสสะจนสัมผัสได้ถึงความรักที่ผู้คนมีให้ต่อกัน

รับรู้ว่ารอบตัวของทุกนาทีที่ใช้ชีวิตมีคนที่รักกันอยู่ไม่น้อย

รับรู้ว่าคนรอบตัวต่างมีแต่ความรักที่มอบให้ต่อกันแม้จะมีกำแพงบางๆขวางกั้น

รับรู้ว่าความรักที่ก่อเกิดต้องใช้เวลาที่ยาวนานเหมือนๆกัน

ในเมื่อการหล่อเลี้ยงความรักต้องการเวลาที่ยาวนานแล้วทำไมเล่า วันนี้ผู้คนจึงไม่จัดการระบายสีของความรักให้กับชีวิตของตัวเองเสียใหม่ให้สดใส วันใหม่ของชีวิตที่ดีกว่าเมื่อวานจะได้มาถึงมือง่ายๆ

มะละกอที่เทวดาเพาะให้และดินตรงที่ปลูกใหม่ สอนมวยเรื่องการหล่อเลี้ยงและความแข็งแรงแห่งตนให้ด้วยนะนี่

ชีวิตที่ผ่านหลากหลายสีมาก่อนสอนให้ได้รู้และเรียนรู้

การเรียนรู้ว่าความเสียดทานหนักๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิตก็เป็นแค่สีที่ระบายเข้มไปหน่อยเท่านั้นเอง

ให้ความรู้ที่ทำให้เข้าใจอะไรๆมากขึ้นๆตามเวลาที่ใช้ไปกับการระบายสีใ้ห้ชีวิต

ความหนักแน่น ความอดทน ความอ่อนโยนต่อชีวิตคือคุณค่าที่การระบายสีให้กับชีวิตได้มอบให้

ได้คืนมาซึ่งชีวิตที่เข้าใจซึ้งว่าอะไรคือสุดทางของชีวิตที่ต้องการเดินไปให้ถึง

ใช้ชีวิตที่แตกต่างบนพื้นที่ที่แตกต่างก็ไม่เห็นจะทำให้เป็นอะไรไปเลยนี่นา จะกลัวไปไย

สิ่งที่มีปรากฏอยู่ในธรรมชาติที่สวนป่าได้มอบให้ ได้แฝงปัญญาปฏิบัติในแง่มุมที่หลากหลายไว้ให้ได้ทบทวนตัวเองด้วย

ขอบคุณการได้มานอนและมาเยือนสวนป่านับแต่วันวานค่ะ

ขอบคุณกับความ “คิดได้” ที่ลงมือทำเลยกับการมาสวนป่าของตัวเองจริงๆ

นาคให้น้ำที่สวนป่าให้ภาพงดงามยามเช้าชุ่มฉ่ำใจยามเห็นเน้อ

ตื่นนอนในวันรุ่งขึ้น อาบน้ำแต่งตัวแล้วก็พาตัวออกไปเดินตามดูธรรมชาติให้เต็มอิ่มก่อนถึงเวลากลับ ปรากฏว่าพ่อครูตื่นให้น้ำต้นไม้แล้ว

แม้เมื่อคืนอากาศจะไม่ร้อน เช้านี้ก็ยังรู้สึกถึงไอร้อนในอากาศว่ายังมีเหลืออยู่ไม่น้อยทั้งๆที่มีน้ำพุ่งเป็นฝอยกำลังทำงานให้ความชุ่มชื้นอยู่

ยืนดูไปที่มุมหนึ่งของหน้าบ้านที่พ่อครูนอน เห็นน้ำฟูฝอยแล้วรู้สึกถึงละอองน้ำเวลาฝนตก เหมือนกันอย่างไรอย่างนั้นเลยแหละ

หันตัวมองตามฝอยน้ำที่พ่นออก สายตาก็เหลือบไปเห็นสีอะไรแวบๆสดใสสว่าง มองตามไปเต็มตาก็ได้เห็นว่าในทิศที่น้ำสะท้อนกับแสงแดดเกิดสีคล้ายรุ้ง ทีนี้เลยปรับมุมมองไปตามทิศของแสงเต็มพิกัด เจอแล้วรุ้งตัวน้อยเล่นน้ำอยู่สวยเชียว

รุ้งตัวน้อยแอบมากินน้ำให้เห็น น่ารักจริงๆ

และนี่ก็คือตัวการที่ชวนรุ้งมา

สักครู่พ่อครูก็ชวนไปชมสวน เล่าให้ฟังเรื่องหลักคิดการปลูกพืชระบบชิดที่สะกิดใหู้พัฒนาพืชยืนต้นเป็นผักริมรั้วกินได้ไว้รับแขกเยือน  ได้สัมผัสมุมคิดของพ่อครูหลากหลายมุมทีเดียวเชียวเกี่ยวกับการรวบรวมพันธุ์พืชไว้ให้ลูกหลานเหลนโหลนฯลฯ

ต้นมะกรูดที่ล้มสอนมวย “รากที่หยั่งไว้ดี แม้ต้นล้มก็สามารถอยู่รอดได้ ไม่ควรกลัวมันตายเข้าไปโอบอุ้มแบบทำลายจนรากมันโดนถอนทิ้งซะ”

รู้สึกขอบคุณโลกที่ส่งพ่อครูบามาเกิด  ขอบคุณจริงๆนะคะกับความคิดยิ่งใหญ่ที่เต็มไปด้วยความปรารถนาดี เมตตาปราณีที่มีต่อโลก

ขอบคุณแทนเด็กๆรุ่นหลานเหลนโหลนที่ฟ้ามีตา ส่งคนมาช่วยสร้างพื้นที่แห่งนี้ขึ้นมาให้ได้พึ่งพาต่อไปในเวลาข้างหน้า

รากแก้วที่หยั่งดินไม่แข็งแรงพอ ลมก็สามารถพัดพาให้ล้มได้ แต่ต้นที่ล้มก็ยังอยู่ได้ เมื่อยังมีรากค้ำจุนอยู่

เดินชมสวนกันครบรอบแล้วก็พากันกลับมาบ้าน  กินอาหารเช้ากันง่ายๆด้วยน้ำพริกถ้วยเก่าที่แสนอร่อย แม่หวีก็แค่ลวกผักมาให้จานใหญ่  พ่อครูเด็ดมะเขือเทศมากินกับข้าว ง่ายๆกันแค่นี้ก็อิ่มท้องอร่อยไปอีกมื้อ เป็นชีวิตที่ง่ายๆดีจริงๆ

มะสัง ไม้ทนแล้ง ที่ไม่ต้องดูแลก็แข็งแกร่งพอที่จะเติบโตได้ด้วยตัวเอง ลูกที่สุกแล้วมีกลิ่นหอมอ่อนๆเฉพาะตัว

ระหว่างกินข้าวเมื่อฉันหลุดปากไปว่าชอบกินมะเขือเทศสด อร่อยดี ดูเหมือนพ่อครูดีใจนะ แล้วต่อมามะเขือเทศตะกร้าใหญ่ก็พร้อมสำหรับเป็นของฝากให้นำกลับบ้าน

ขอแค่มีรากแม้ต้องยืนหยัดต่อสู้ก็ยังรอดได้สบายๆ

ตอนแรกที่เห็นน้ำหนักของฝากก็ว่าจะไม่รับติดมือมาด้วยแล้ว แต่แล้วก็นึกขึ้นมาได้ ติดมือไว้หาเรื่องไปเจอคนเมืองกรุงที่ส่งเสียงเจื้อยแจ้วมาเมื่อคืนก็ไม่เลวนี่นา พอมีเวลาที่จะไปเจอตัวกันได้ ของที่นำกลับไปก็ไม่ได้สร้างภาระให้ลำบากอะไร บริการ delivery เกิดขึ้นมาด้วยเหตุนี้แหละ

ระหว่างรอเดินทาง ก็ใช้เวลาอำลาสวนป่าไปพลาง เดินไปก็ได้เห็นเตาดาโกต้าที่ใครไม่รู้ทำทิ้งไว้ ร่องรอยของการใช้เตาทิ้งไว้ให้เห็นผ่านก้นหม้อดินเผาที่ก้นดำ ด๊ำ ดำ

ร่องรอยของเตาดาโกต้าที่บอกให้รู้ว่าทำไมก้นหม้อดินเผาจึงดำ ด๊ำ ดำ

ถึงเวลาแห่งการลาจาก พ่อครูก็แจกกอดเต็มอ้อมแขนให้  แม่หวีขับรถมาส่งที่ท่ารถ ไปถึงท่ารถก็เป็นเวลาพอดีกับรถใกล้ออกพอดี๊พอดี

อืม เวลาที่ผันผ่านเมื่อได้อยู่กับธรรมชาติและคนดีๆผ่านไปเร็วยิ่งนัก อย่างนี้เมื่อมีโอกาสอย่าปล่อยเวลาไปซะนะ

บอกลาแม่หวีพร้อมกอด ไม่อยากกลับแต่ก็ต้องกลับแล้วคือคำที่บอกออกจากปากเหมือนที่บอกพ่อครูก่อนจากกัน

ลานไผ่ก็เป็นครูสอนและชี้มุมคิดถ้ารู้จักดู รู้จักสังเกต รู้จักเอ๊ะซะบ้าง

รถเคลื่อนตัวออกจากท่ารถสิบเอ็ดโมงเป๊งมาถึงเมืองกรุงเวลาสี่โมงเย็นนิดๆ ถึงท่ารถก็โทรถามทางกับเจ้าแม่แห่งโรงเรียนเด็กวัยสะรุ่น  เจ้าแม่บอกมาง่ายๆว่า รามอินทรา กิโลเมตรที่ ๔  ขึ้นแท๊กซี่ก่อนแล้วจะโทรมาบอกทางกับโชเฟอร์ให้เอง

ในใจนึกเอ๊ะว่าแล้วพี่จะรู้ได้ยังไงว่าใช่หละน้อง เอาก็เอาจะบอกทางผ่านโชเฟอร์ก็ได้(วะ)  โชคดีที่ได้โชเฟอร์ที่ใจดีมากมายช่วยบริหารเส้นทางและแนะนำเพิ่มความรู้เรื่องเส้นทางให้

ได้ความจริงที่ปรากฏว่าโชเฟอร์ก็ไม่รู้ว่าตรงไหนคือจุดหมายกิโลเมตรที่ ๔  เขาบอกว่าไอ้เจ้ากิโลเมตรที่ ๔ นั่นนะ คนที่ใช้เส้นทางอยู่ทุกวันเขาใช้เรียกกัน ไม่ใช่แท๊กซี่หรอก  เขาบอกเขาพอรู้ว่าอยู่ตรงไหน จะเลี้ยวตรงซอยไหน แต่ไม่มั่นใจ เอาไว้ใกล้ๆถึงแล้วค่อยโทรถามทางให้อีกครั้งก็แล้วกัน

ความงามและความสุขอยู่รอบตัวเรานี่เอง ขอแค่รู้จักมองก็จะพบเจอกับมัน

วิ่งรถผ่านไปไม่นาน เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ถึงไหนแล้วพี่หมอเจ๊ ก็ตอบไปว่า ถึงม….แล้ว อ้าว มาเร็วดีจริง เกือบถึงแล้วๆ เสียงว่ามาอย่างนั้น โชเฟอร์ก็ขับตรงต่อไป จนมองเห็นป้ายม.วีแบค เลี้ยวขวับเข้าไป ขับไปเรื่อยๆจนเห็นป้ายเขตโรงเรียน ก็ชวนกันหาซอยเลี้ยวขวา เจอแล้วก็ขวับเข้าไปในซอยแล้วก็พากันงงๆเมื่อมองไปเห็นแต่อาคารคล้ายๆบ้านเรือนอาศัยเต็มไปหมด

แล้วโชเฟอร์ก็ตาไวเห็นสาวร่างเล็กที่ออกมากร่างโบกรถอยู่หน้าปากซอยโรงเรียน นั่นไงๆเขาออกมาดักอยู่หน้าโรงเรียนจริงๆนะแหละ โชเฟอร์บอก

เมื่อรถเลี้ยวขวับเข้าไปจอดนิ่ง วัยรุ่นตัวน้อยๆที่เดินอยู่แถวนั้น ก็ได้มีโอกาสฝึกบริการแขกของคุณแม่  ขอบคุณนะลูกที่ช่วยกันขนของให้ป้าหมอได้พักไหล่และมือชั่วคราว

พาตัวเดินเข้าไปในห้องพักครูด้วยกัน ดูเหมือนครูในห้องพากันกระเจิงออกมาเลยเชียว ถึงเวลาโรงเรียนกำลังเลิกนะเอง  ส่งของแล้วก็ช่วยกันแพ็คส่วนที่เหลือไว้เดินทางต่อ  เปิดวงอารยะนินทาแบบสั้นๆพอให้ชื่นใจแบบรักษาวัฒนธรรมชาวเฮเอาไว้มั่นงั้นแหละ

ราบเรียบเกินไปก็ดูเหมือนไร้รสชาติแห่งสี ไร้สีสันหรือเปล่า

โดดเด่นหรือเปรี้ยวซะบ้างแบบเจ้าแม่ก็ไม่เลวหรอกนะ น่าดู น่าชมดีออก

ก่อนจากกันก็มีการเล่นตี่จับกับปากระดาษกับเจ้าแม่ที่ทำให้โชเฟอร์แท๊กซี่งง ง้ง งง จนกล้าเอ่ยปากถามระหว่างนั่งรถออกไป  ก็เป็นอะไรที่ได้แลกเปลี่ยนมุมมองสะท้อนให้แท๊กซี่ได้อึ้ง สัมผัสว่าวิธีคิดอะไรบางอย่างเกิดขึ้นกับตัวเขาไปด้วย นับว่าเป็นเรื่องดีๆที่ได้ทำโดยไม่ได้ตั้งใจ

ถึงที่พักที่นัดหมายกับนางฟ้าน้อยๆไว้ ก็พาตัวเข้าไปพักแล้วออกมาเติมความตึงให้ท้อง อิ่มแล้วก็พาตัวไปเข้าร้านเน็ต เปิดอ่านเรื่องราวบนลานและตอบรับอีเมล์

ระหว่างกินข้าว เจ้าแม่ก็ส่งเสียงมาด้วยความห่วงใย เอ่ยปากขอบคุณและขอโทษในสิ่งที่รู้สึกว่าได้เสียมารยาททำลงไปก่อนจากกันมา

คำบอกเล่าที่บอกกลับมาทำให้ขำๆอีกแล้ว คนอะไรทั้งไฮเปอร์ทั้งอารมณ์ดี ทำได้ยังไงทั้งวัน เก่งจริงๆ

แม้แต่มดยังอบอุ่นกับรังที่ใส่ถุงไว้ให้มันอยู่ได้เลย คนที่ไม่เชื่อว่าสวนป่าให้ความอบอุ่นเหมือนบ้านก็ไปลองได้เลย

คืนนี้ได้นอนห้องแอร์แต่รู้สึกไม่สบายเหมือนนอนที่สวนป่าเลยแหละค่ะ

๙ มีนาคม ๒๕๕๓

บันทึกอื่น :

๑. ใช้ความกลัวเป็นครู

๒. ของฝากชาวเฮฮาศาสตร์

๓. ก่อนที่ฝนจะหล่อเลี้ยงให้ใจได้ความชุ่มชื่น

« « Prev : ไม่ปิ๊งก็ได้..ปิ๊งก็ดี

Next : ขอแค่รู้สึก…ให้ดีที่สุด….กับสิ่งที่ดีที่สุดในใจ….ก็พอ » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

2 ความคิดเห็น


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่
You must be logged in to post a comment.

Main: 0.10342502593994 sec
Sidebar: 0.4763867855072 sec