ไม่ปิ๊งก็ได้..ปิ๊งก็ดี

โดย สาวตา เมื่อ 13 มีนาคม 2010 เวลา 22:47 ในหมวดหมู่ ประสบการณ์ชีวิต, สวนป่า, สังคม, เล่าสู่กันฟัง #
อ่าน: 1111

เมื่ออากาศร้อนยามสายพาให้ง่วงฉันก็พาตัวไปนอนเล่นที่บ้านใหญ่ เผลอหลับไปเมื่อไรไม่รู้ ตื่นขึ้นมาด้วยเสียงปลุกเรียกจากแม่หวีชวนไปกินข้าว ดูนาฬิกาด้วยความคุ้นชิน อ้าว บ่ายสองโมงครึ่งแล้ว ไม่น่าทำให้พ่อครูรอเลย

มื้อนี้ได้ลิ้มรสราดหน้ายอดผักที่ไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน ยอดผักที่นำมาใช้เป็นยอดฟักทองอ่อนๆเคี้ยวแล้วกรุบกรอบอร่อยกว่ายอดฟักแม้วที่เคยลิ้มรสที่บ้าน  ผักสดที่เด็ดจากต้นในสวนป่ามื้อนี้สอนปัญญาปฏิบัติให้ระหว่างกินเลยเชียวนา ลิ้นที่รับรสเรียนรู้และแยกแยะความสดไม่สดของผักในอาหารไปเรียบร้อยครูบาเลยแหละจิบอกไห่

ใครอยากเรียนก็อย่ารอช้ารีบส่งใบสมัครไว้ซะนะคะ

ผักสลดใบเหี่ยวไม่ได้เป็นผักที่ขาดความสดใหม่ไปซะทั้งหมด เป็นคนที่ยังยืนหยัดตนได้แล้วพาตัวสลดเหี่ยวเฉาทำตัวเองนะ อายผักกันบ้างเน้อ

อิ่มท้องแล้วก็เดินไปตามร่องสวน สำรวจพันธุ์ไม้ที่เทวดาปลูก รอหลุมที่คนงานขุดให้เพื่อเตรียมปลูกมะละกอที่เทวดาปลูกให้พ่อครู ได้หลุมแล้วพ่อครูก็ชวนช่วยกันปลูกมะละกอ ปลูกเสร็จแล้วต่างคนต่างให้เวลาส่วนตัวกับตัวเองละลายความร้อนที่บรรยากาศรอบตัวรุมเอาตามสไตล์ของตัว

พ่อครูละลายความร้อนด้วยการเดินให้น้ำต้นไม้อีกรอบ  เมื่อเช้าได้เรียนรู้จากฝักเหรียงที่หล่นมาเป็นครั้งแรกให้ในวันนี้ระหว่างแกะเมล็ดไว้สืบต่อทายาท  เมื่อบ่ายพ่อครูก็เล่าให้ฟังว่าโดนเจ้าไก่งวงสอนมวยเข้าให้แล้ว

สัตว์ที่มนุษย์จัดให้อยู่ในกลุ่มต่ำกว่าตัวเองเหล่านี้ มีปัญญาปฏิบัติที่เลิศกว่ามนุษย์ในหลายเรื่องราว เคยคิดที่จะเรียนรู้จากมันบ้างไหม

ฉันพาตัวไปละลายความร้อนให้ตัวเองด้วยการเดินเก็บภาพต้นไม้ไปเรื่อยๆ แวะเวียนไปรอบๆสวน อยู่ร่วมกับสิ่งที่มองเห็นมากมายรอบๆตัว ทั้งต้นมะละกอที่เพิ่งย้ายที่ปลูก  ผึ้งหลวง จั๊กจั่น ดิน ใบไม้ ไก่ต๊อก นกยูง นกป่าทั้งหลาย  แล้วความรู้หลายอย่างเกี่ยวกับความทรงจำของตัวเองก็ผุดโผล่ขึ้นมาช่วยชี้มุมมองของความไม่รู้ให้ผุดโผล่ขึ้นมาแวบๆด้วย

ตกเย็นย่ำเมื่อแดดร่มลมยังไม่ตก เสียงหนึ่งก็เซ็งแซ่ยั่วให้ตามหา อ้อ เสียงเจ้าผึ้งหลวงนี่เอง เสียงเหมือนตัวเดียวดังใกล้หู หึ่งๆดังดีจริงๆ เดินตามเสียงไปแล้วหาตัวอยู่นานจึงได้เห็น เจ้าเสียงหึ่งๆที่ดังใกล้หูนั้น มิใช่ฝีมือของตัวเดียวหรอกนะ แต่เป็นหลายตัวร่วมกันอย่างพร้อมเพรียงให้ได้ยินเป็นเสียงเดียว  น่าทึ่งเจ้าแมลงพวกนี้จริงๆที่ไม่มีสมองแต่ก็สร้างความสามัคคีในพวกมันกันได้

พวกมันพากันส่งเสียงเรียกพวกมามั๊ง ก็สิ่งที่ตาเห็นไม่มีรังอยู่ เห็นมันบินกันว่อนอยู่ตรงตำแหน่งใกล้ๆหลังคา จะตอมเพื่อสร้างรังหรือก็ไม่ใช่ นึกแปลกใจทำไมมันพากันตอมไม้กันอยู่ได้หนอ  เคยเห็นแต่มันตอมอะไรที่หอมน้ำตาล แต่นี่มาตอมไม้หรือว่าไม้ตรงนี้มีกลิ่นอะไรบางอย่างที่ดึงดูดมันมากันนะ  ไม่มีคำตอบที่กระจ่าง ไม่ได้ตามดูจนรู้เห็นคำตอบหรอก รู้แต่ว่าพวกมันมีวินัย ไม่แตกแถวคอยมาก่อกวนคนอื่น ถึงแม้พวกมันจะเข้าพวกกันก็ตาม

ตอนที่หามันเจอ แวบหนึ่งก็มีเสียงผุดขึ้นมาสอนว่า ได้ยินอะไรที่ตาไม่เห็น อย่าเพิ่งตัดสินใจว่าถูกลวง ได้เห็นอะไรที่ได้ยินกับหูมาด้วย แต่เห็นแค่แวบเดียวอย่าเพิ่งตัดสินอะไรเชียวนา ก็ยืนมองตามเสียงอยู่ตั้งนาน ตั้งใจจะถ่ายภาพที่ตาเห็นจริงๆอยู่ตั้งนาน กว่าจะได้ภาพตัวผึ้งซึ่งมีเกือบร้อยตัวที่ตาเห็นจริงๆติดมาในภาพได้ ชัตเตอร์กล้องก็กดรัวไปหลายหนหลายคราวแล้วก็ติดภาพมาได้แค่ตัวเดียวเองอ่ะ

ผึ้งเป็นครูเรื่องการแปรผลผ่านเครื่องมือที่มนุษย์ผลิตขึ้นใช้แทนผัสสะว่าให้ผลลวงกันได้นะ จะใช้มันให้เป็นนายมันอย่าให้มันเป็นนายเลย

ระหว่างตามผึ้งก็มีอีกเสียงที่ดังก้อง จั๊กจั่นนะเองที่เป็นเจ้าของเสียง เสียงดังก้องแบบบอกให้รู้ว่าเจ้าของเสียงอยู่ในระดับต่ำๆพอให้เงยเห็นง่ายในระดับสายตา เดินตามเสียงไปอีกนั่นแหละ หาอยู่นานตรงแถวๆต้นมะม่วงหิมพานต์ใกล้หน้าบ้านจึงเห็นเจ้าของเสียง แหม เจ้าตัวเล็กนี่ช่างหลบเก่งจริงนะ มองหารอบๆหลายๆมุมของต้นไม้หลายต้นที่ตรงนั้นยังไม่เห็นจนกระทั่งเจอมุมมองที่มองเห็นช่อง เป็นช่องว่างระหว่างตัวมันกับต้นไม้ น่านนนนนนแหละจึงสามารถเจอตัวของมันและเห็นชัดเจน

เล็งกล้องเพื่อจะเก็บภาพเอาไว้ดูสักหน่อย  พาตัวเดินย่างก้าวเข้าไปใกล้ บะแหล่วเสียงเหยียบใบไม้ดังกรอบแกรบนิดเดียวเอง ผัสสะของมันช่างไวดีแท้ สามารถรับรู้ว่ามีสิ่งแปลกปลอมเข้ามาอยู่ใกล้ เสียงดังก้องนั้นจึงเงียบลงแล้วเจ้าของเสียงก็บินหนีไปต่อหน้า เร็วแบบไม่ทันกระพริบตาด้วยซ้ำไป

ระหว่างลุยผ่านกองใบไม้ที่หล่นเกลื่อนกล่น สัมผัสที่ผิวหนังรู้สึกถึงไอร้อนที่โชยขึ้นมาจากกองใบไม้ให้เอ๊ะ  ตอนนั้นเหมือนมันแวบคำถามเกี่ยวกับการคายความร้อนของใบไม้ร่วงอะไรทำนองนั้น  แล้วก็ได้รับรู้ความรู้ของตัวว่าพื้นฐานของความรู้ที่เคยเรียนเมื่อ ๓๐-๔๐ ปีก่อนของตัวเป็นฐานความรู้ที่อ่อนแออยู่มากมุม

ใบไม้ที่หล่นเกลื่อนกล่นในหน้าแล้งนี้ปล่อยก๊าซอะไรออกมาให้บ้างหนอ ไอร้อนจึงผ่าวๆเนื้อตัวเอาซะจริง

บอกกับตัวเองอย่างยอมรับว่าสมัยก่อนวิชาความร้อน แสง เสียงเป็นวิชาเลือก ครูจึงปล่อยให้เรียนด้วยตัวเองแล้วแต่สมัครใจ เมื่อเตรียมตัวเพื่อสอบเอ็นทรานซ์แล้วสอบได้นับว่าเป็นคนดวงดีไม่น้อยทั้งๆที่ความรู้ที่มีอยู่ไม่แน่นเลย เรียนด้วยตัวเองมีฝีมือเก็บเกี่ยวความรู้เป็นความทรงจำไดู้่ในระดับเตรียมอนุบาลแค่นั้นเอง  แค่จะดึงความทรงจำออกมาใช้ีแบบอัตโนมัติทันทีอย่างนี้ความรู้จึงไม่พอใช้ไปซะได้ เมื่อต้องการใช้มันแล้วใช้ไม่ได้ทั้งๆที่ได้เรียนมาให้ข้อสอนใจว่า “ความรู้พื้นฐานเป็นรากสำคัญจริงๆของความรู้”

ที่บันทึกเรื่องเอ๊ะกับความไม่รู้อยู่นี้ มิได้รู้สึกว่าความไม่รู้สำคัญต่อชีวิตจนเครียดหรอกนะขอบอก ฉันว่าความสำคัญของความไม่รู้กลับอยู่ตรงที่มันได้ส่งพลังบางอย่างให้เกิดความอยากเรียนรู้ต่างหากเล่า

ความไม่รู้ได้นำไปสู่การสังเกต เปรียบเทียบวิเคราะห์เมื่อเห็นแต่ความเหมือนอยู่ตรงหน้า ความสดของความรู้ทำให้รู้จัก”โลก” กว้างขึ้นกว่าเดิมหลายแง่มุม แล้วในที่สุดทักษะบางอย่างก็เกิดขึ้นและกลายเป็นสัญชาตญาณเมื่อคุ้นเคย

คติที่ได้จากมันก็คือ มันได้ให้พลังในเชิงบวกที่สดใหม่ให้กับตัวเองมากกว่าการรู้แล้วซะอีก แถมยังให้ชีวาคืนมากับชีวิตด้วยนะ  ชีวาที่ได้สัมผัสเป็นความตื่นตัวที่ตื่นรู้อย่างสดชื่นกับตัวเองไม่เบา  พลังแห่งชีวานี้ชวนต่อให้เรียนรู้กับการ “อยู่อย่างมีความหมาย” ที่ตัวเองให้นิยามไว้อย่างรื่นรมย์ใจด้วยซิ

ขอบคุณบรรยากาศของสวนป่าในยามเย็นที่ปลุกการตื่นรู้นี้ให้กับตัว

ขอบคุณความไม่ตั้งใจของตัวที่ทำให้เกิดโอกาส ขอบคุณเวลาที่่สั้นพอจนไม่เหลือไว้ให้กับความลังเลกับการตัดสินใจมาเยือนสวนป่าในครั้งนี้

ค่ำคืนที่เข้ามาเยือนมีเสียงร้องของจั๊กจั่นขับขานเป็นทำนองสลับกับเสียงบินพึบพับของมันยามต้องการเล่นไฟขับกล่อมตลอดเวลา  ไม่น่าเชื่อก็ควรเชื่ออย่างยิ่งว่าพลังของแมลงตัวเล็กๆนี้มีมากมาย สามารถส่งเสียงผ่านท้องที่สั่นพับๆออกมาเป็นเสียงดังก้องป่าได้อย่างชวนอัศจรรย์ใจ แถมด้วยท่าบินขำๆ  หกหน้า หัวทิ่ม หงายท้องพับๆยั่วแมวก็มี  เกาะนิ่งแล้วค่อยๆคลานหนีจิ้งจกตัวใหญ่ที่คอยจ้องงาบกินก็ได้ เงียบเสียงพักเมื่อเหนื่อยล้าก่อนลงมือส่งเสียงต่อก็ทำเป็น  น่าสงสัยเนอะว่ามันทำสิ่งเหล่านี้เป็นได้อย่างไร ใครสอนหรือ

แมลงสอนตัวมันเองให้ฝึกใช้สัญชาตญาณเพื่ออยู่รอดและอยู่ร่วมให้ได้ แล้วมนุษย์สมัยนี้เป็นอะไรกันไปหมดจึงไม่ยอมสอนตัวเองให้ฝึกใช้สัญชาตญาณเพื่ออยู่รอดด้วยตัวเอง อยู่ร่วมและอยู่อย่างมีความหมายที่มีค่าควรแก่การมีชีวิตให้ได้เอาซะเลย

เมื่อมันร่วงลงมาบนพื้นให้จับตัวได้  ไม่น่าสงสัยเลยว่าทำไมหาตัวมันไม่เห็นเมื่อยามมันเกาะอยู่บนต้นไม้ ปีกมันใสและบางจนกระทั่งมองได้ทะลุปรุโปร่งเห็นลายเส้น ตาโปนๆของมันดูแล้วแปลกตาดีนักเชียว พ่อครูเล่าเรื่องความสามารถเฉพาะของมันว่า แปลกตรงที่มดไม่ยอมไต่ ไรไม่ยอมตอมมันเลยนะนี่ ก็แม้แต่ต้นพริกมดยังไปกวนเยอะเลย มีดีอะไรอยู่ในตัวมัน มดจึงไม่รังควาน ใครรู้บ้างเนอะ บอกกันหน่อยดิ

พริกเย็นกว่าจักจั่นหรือเปล่า มดจึงชอบ

นั่งฟังดนตรีที่บรรเลงโดยวงจี๊กจั่นกันสักครู่ แม่ครัวคนงามก็ชวนกินข้าวเย็นด้วยกัน แน่นอนว่าได้กินผักสดอีกแล้ว คราวนี้มีน้ำพริกของโปรดเทียบเมนูมาให้  พร้อมกับปลากรอบอบแห้งอร่อยเชียว

กินผักหวานลิ้นสดจากสวนอร่อยจริงๆ มะเขือเทศลูกใหญ่สดกลายเป็นของหวานที่อร่อยเลิศรส ระหว่างกินก็แอบมีอารยะนินทาเล็กๆเกียวกับชาวเฮ ใครที่มีสะดุ้งในคืนวันที่ ๘ รู้เอาไว้เถิดว่าถูกอารยะนินทาด้วยความรักและปรารถนาดีเข้าเต็มเปาแล้ว…5555

ร้านอาหารที่ไหนก็ทำเลียนแบบไม่ได้ มะเขือเทศกรอบสดลูกใหญ่ delivery จากต้น อยากกินก็ได้กินในทันที

กินอิ่มกันแล้วก็นั่งทอดหุ่ย ชวนกันมองและเรียนรู้ชีวิตกลางคืนของจั๊กจั่นไปด้วยกัน  แล้วก็มีเสียงหนึ่งกังวานแทรกมา พร้อมเสียงพ่อครูชวนว่า ชวนให้ฟังเสียงจั๊กจั่นดูซิบรรเลงกันใหญ่เชียว ฟังเสียงจั๊กจั่นได้สักครู่ก็มีเสียงแทรกขึ้นว่าอยากได้ไปบรรเลงกล่อมนอน แต่ในเมื่อยังไม่ได้ก็มีเฉไฉส่งเสียงอย่างอื่นแทนไปก็ทำได้นะ  เสียงที่แทรกจั๊กจั่นเข้ามาเป็นเสียงอะไรอย่างไรเดากันเองไม่เฉลยหรอกนะคะ ปล่อยไว้ให้อยากรู้

ตกดึกเข้าหน่อยรู้สึกว่าร้อน จะเลียนแบบน้าเรื่องการอาบน้ำก็คิดว่าคงจะนอนไม่หลับแน่ จึงปลีกตัวจากพ่อครูมาอาบน้ำสระผมที่บ้านใหญ่ เดินไปไม่ทันถึงห้องนอน ฝ่าเท้าก็แสบแปล๊บขึ้นทันที ฉงนในใจเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองเล่านี่ พลิกฝ่าเท้าขึ้นมาดู อ้าว เดินเหยียบเอาผึ้งเมื่อไรไม่รู้ตัว ผึ้งฝากรักไว้ด้วยเหล็กไนที่เจ็บแสบยิ่งนักไว้ให้ดูต่างหน้า

เสียงเพลงแห่งธรรมชาติผ่อนคลายทั้งคนและสัตว์ได้อย่างที่เห็น มาเถิดมาช่วยกันบำรุงรักษาไว้ให้ยืนนานด้วยกัน ธรรมชาติจะได้มีโอกาสคงอยู่เพื่อช่วยเยียวยาผู้คนต่อไปอย่างเนิ่นนาน

โชคดีที่ไม่แพ้พิษของมันจึงมีอาการแค่เจ็บแสบ โชคดีที่มียาหม่องผักบุ้งทะเลติดกระเป๋ามาด้วยทำให้มียาไว้ถูทาลดความแสบร้อน นึกถึงน้ำส้มสายชูขึ้นมาฉับพลัน นี่ถ้ามีน้ำส้มสายชูอยู่ใกล้ๆน่าเอามาลองลดความปวดดูมั่ง น่าจะหายปวดได้เหมือนตอนลองที่บ้านกับแผลที่โดนเข็มตำเนื้อเอาระหว่างลองผลิตเครื่องมือหักเข็มง่ายๆไว้ใช้งาน

แม่หวีคนสวยใจงามนั่งดูทีวีอยู่ เดินผ่านเข้าห้องไปหลังจากดึงเหล็กไนที่ค้างอยู่ทิ้งไปแล้ว แม่หวีเดินตามมาเื้อื้อเฟื้อความสะดวกเพิ่มให้อีกทั้งๆที่ได้เอื้อความสะดวกเรื่องที่นอน หมอน ผ้าห่มเอาไว้ให้เรียบร้อยแล้ว

รู้สึกขอบคุณจากใจจริงๆกับน้ำใจที่ได้มอบให้หมอตัวเล็กๆอย่างฉัน นี่แหละคือน้ำใจงามๆที่หาไม่ได้ในเมืองใหญ่ที่ผู้คนบอกกับตัวเองว่ามีความศิวิไลซ์อยู่มากมาย

สำหรับฉันความเรียบง่ายที่เต็มไปด้วยน้ำใจอย่างนี้ต่างหากคือความศิวิไลซ์ที่ฉันยอมรับคุณค่าของมัน

มะละกอที่เทวดาปลูกให้เมื่อย้ายต้นให้ไปหยั่งรากในที่ใหม่ เวลาที่ผันผ่านไปไม่กี่ชั่วโมงก็สอนใจชี้ให้เห็นมุมของการหล่อเลี้ยงได้ไม่เบาเลยเชียว

ตั้งใจว่าอาบน้ำสบายกายแล้วจะไปนั่งคุยต่อกับพ่อครู ที่ไหนได้ความง่วงเข้ามาเยือนจนแปลกใจ เพิ่งนึกขึ้นมาได้ตอนเขียนบันทึกนี่เองว่าที่ง่วงง่ายมาจากความล้าจากการกินน้ำน้อยเมื่อเทียบกับการเสียน้ำและเกลือทั้งวันผ่านเหงื่อที่ออกมาผสมกับการโดนผึ้งต่อยเข้าให้อีกนะเองที่ทำให้ง่วงเร็วกว่าที่เคย

ง่วงแล้วก็นอนซิจะฝืนไปทำไมมี  ตาหลับใจก็หลับไปด้วยจนรุ่งสว่าง มีเสียงของจั๊กจั่นกล่อมแว่วดังมาเป็นเสียงเบาๆ ไม่อึงคะนึงเหมือนที่ได้ยินอยู่นอกบ้าน เสียงที่ได้ยินคล้ายกับเสียงลมที่พัดให้ใบไม้แห้งส่ายไปมายังไงยังงั้นแหละนะ

๘ มีนาคม ๒๕๕๓

บันทึกอื่น :

๑. เพื่อนคือของขวัญ

๒. คุย คุย คุย ถาม ถาม ถาม

๓. เริ่มงงกับความหมาย “ไผเป็นไผ”

« « Prev : ตั้งใจไม่ได้เยือน..ไม่ได้ตั้งใจจึงได้เยือน

Next : รุ้งแห่งความรัก » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

ความคิดเห็นสำหรับ "ไม่ปิ๊งก็ได้..ปิ๊งก็ดี"

ไม่มีความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่
You must be logged in to post a comment.

Main: 0.09384298324585 sec
Sidebar: 0.51958799362183 sec