ตั้งใจไม่ได้เยือน..ไม่ได้ตั้งใจจึงได้เยือน
หลายครั้งที่มีการตัดสินใจในชีวิตเราก็อธิบายไม่ได้เหมือนกันว่า ทำไมถึงเลือกทางนี้….แต่สิ่งหนึ่งที่น่าจะสำคัญมากกว่าการหาสาเหตุคือการยอมรับว่า “เรามีสิทธิ์ตัดสินใจได้”
เพียงแต่ขอให้รู้ตัวเองว่าเราตัดสินใจเรื่องอะไร เพื่ออะไรและใช้บทเรียนที่ได้นั้นเป็นประสบการณ์ไว้สอนตัวเอง นั่นแหละคุณค่าที่มีแล้วหละ
ไม่มีประโยชน์กับการกลัวการตัดสินใจหรือมัวหวั่นไหวกับภาพประกอบการตัดสินใจที่ตัวเองสร้างขึ้นจนมีผลให้ภาพความรู้สึกที่ระบายไปด้วยสีเทามอบกลับคืนมาให้กับตัวเอง
ธรรมชาติแห่งชีวิตมีความสดใสในสีของตัวมันเอง ดอกไม้ที่ชอกช้ำก็ยังมีสีสันที่สดใสอยู่กับตัว แล้วเราจะำไประบายสีเทาๆปิดทับความสดใสของธรรมชาติด้วยเหตุดังฤา
ในวันที่เดินทางเข้าเมืองกรุงเพื่อปฏิบัติภารกิจระหว่าง ๑๐-๑๒ มีนาคม ในเสี้ยววินาทีก่อนย่างก้าวออกจากบ้านเมื่อรู้ว่าพ่อครูอยู่สวนป่า ฉันก็ตัดสินใจในฉับพลันว่าไปสวนป่าอีกครั้งเหอะน่า
ตัดสินใจแล้วก็ลังเลใจอยู่เหมือนกันว่าจะสามารถหรือเปล่าในเมื่อเวลาที่ถึงเมืองกรุงเป็นยามวิกาลมากแล้ว
เมื่อข้อมูลในบันทึกความจำส่วนตัวที่สามารถใช้นำพาให้ตัดสินใจ ข้อจำกัดของความรู้ที่มีอยู่บอกแค่ว่ามีความเป็นไปได้ แล้วคำตัดสินใจว่า “ลองดูก่อน ไปไม่ได้ก็ไม่เป็นไร” โผล่เข้ามาแจมด้วย การตัดสินใจก็ได้มอบประสบการณ์ที่มีคุณค่าไว้สอนตัวเองอีกคราหนึ่งของชีวิต
หลายประสบการณ์ที่ได้สัมผัสนับจากบริการระดับโฮโซบนเครื่องบินเรื่อยลงมาถึงบริการวินมอร์เตอร์ไซด์แบบชาวบ้าน ชวนให้เห็นการระบายสีของชีวิตวันนี้ของตัวเองว่าเมื่อชีวิตได้ผ่านสีต่างๆมามากมาย มันให้คุณกับตัวเองในหลายๆเรื่อง
สีทุกเรื่องที่เคยระบายไว้ทำให้ชีวิตมีความหมาย ไม่ไร้คุณค่า อดได้ ไม่ท้อง่าย แล้วยังสอนให้เลือกข้างด้วยนะ
ดีใจที่สีที่เคยระบายให้ชีวิตที่ผ่านมาสร้างทางเลือกให้เดินไว้ ๒ สาย ดีใจที่สีหลายๆสีได้ช่วยให้ตัดสินใจกับการเลือกข้าง “ความรู้สึกดีต่อชีวิต” แทนทางเลือกความรู้สึกที่อยู่ตรงข้ามทิศกัน
แล้วการเลือก “ความรู้สึกดีต่อชีวิต” ในครั้งนี้ก็นำพาให้สามารถไปนอนเล่นและนอนจริงที่สวนป่าได้
ห้องน้ำไฮโซบนเครื่องบินมีแยกห้องน้ำหญิง-ชายด้วยแฮะ มารู้ก็อีตอนเข้าผิดไปแล้ว
ระหว่างทางก็ได้เรื่องขำๆกับตัวเองเรื่องห้องน้ำอีกแหละ จะบนดินหรือบนเครื่องบินก็ไม่เว้นให้ เท้ามันชอบย่างก้าวพาให้เข้าไปใช้ห้องน้ำผู้ชายอยู่เรื่อยเลยเชียว
การเดินทางไปสู่เมืองแห่งปราสาทเขาพนมรุ้งในครั้งนี้เริ่มตั้งแต่เย็นห้าโมงครึ่งของวันที่ ๗ มีนาคม เดิมคิดว่าจะไปไม่ทันรถโดยสาร เดินทางจริงกลับมีเวลาเหลือเฟือให้ทำอะไรได้หลายเรื่อง(ถ้ามี) ได้ใช้เวลาอ่านหนังสือโต๋เต๋รอเวลา่จนค่อนดึก คราวนี้จะใช้บริการนวดรอเวลาซะหน่อย ขานวดก็เต็มไปหมดเลยชวด
เริ่มเดินทางต่อ ๕ ทุ่มถึงเมืองแห่งเขาพนมรุ้งย่ำรุ่งตี ๔ ครึ่ง รอรถโดยสารแบบชาวบ้านอยู่ราวๆครึ่งชั่วโมง นั่งสบายๆบนรถโดยสารประจำทางเหมือนชาวบ้านทั่วไปผ่านความมืดบนท้องถนนอีกราวๆ ๔๕ นาที ถึงตลาดสตึกสว่างพอดีๆ แล้วเกาะหลังหนุ่มวินมอร์เตอร์ไซด์เข้าไปสวนป่าด้วยความคิดว่า “ลองดูหน่อย”
บรรยากาศตอนย่ำรุ่งที่ชาวบ้านธรรมดาๆเท่านั้นมีโอกาสได้สัมผัส
ระหว่างทางก็ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนข้อคิดของการเลือกใช้ชีวิตกับหนุ่มคนขับ คุยกันไปเพลินเหมือนกัน อาถรรพ์สวนป่ายังไม่คลายจริงๆ หนุ่มมอร์เตอร์ไซด์ประจำถิ่นคุยเพลินจนพาหลง พาเลยเข้าไปหมู่บ้านลึกเข้าไป ระหว่างพากันย้อนมาจึงต้องถามทางจากชาวบ้านที่พบพาน
ชายหนุ่มผู้นำพาบอกว่า ไม่ได้เข้าสวนป่ามานานแล้ว เริ่มรู้ตัวว่าหลงทางเมื่อผ่านทางเข้าไปไกลกว่าที่รู้สึก คลับคล้ายคลับคลาเหมือนกันว่าผ่านทางเข้ามาแล้ว ขอย้อนรอยไปลองดูทางแยกที่ผ่านมาแล้วกันหน่อย ย้อนรอยมาแล้วก็ตัดสินใจว่าน่าจะเป็นเส้นทางนี้แหละ เดาทางด้วยกันมาจนเจอชาวบ้านคนหนึ่ง สอบถามยืนยันเพื่อความมั่นใจ มีชาวบ้านนำทางมาด้วยจนถึงเส้นทางเข้า แล้วในที่สุดก็ถึงมหาชีวาลัยอีสานถิ่นแดนสงบเช้าพอดีๆ
บรรยากาศสงบในหน้าร้อนที่สวนป่ายามเช้า
วางสิ่งของไว้ที่บ้านใหญ่ มองไปรอบๆไม่เห็นเงาใครสักคน ความเงียบบอกว่าพ่อครูน่าจะยังไม่ตื่น แล้วหางตาก็แวบไปเห็นเงาสีขาวๆไหวๆอยู่ในสวนข้างบ้านใหญ่ พาตัวเดินเข้าไปคารวะศาลพระภูมิกล่าวคำขอบคุณที่ช่วยปกปักรักษาพื้นที่แห่งนี้ไว้ แล้วพาตัวไปหาเจ้าของเงาที่เห็น…..คนงานผู้หญิงนะเอง
คุยกันอยู่เป็นครู่เรื่องของต้นไม้ใบหญ้าทั้งหลายที่พากันสลดเพราะความร้อน รับรู้ความพยายามของการทำให้พืชในสวนนี้ดำรงอยู่ รับรู้ว่าให้น้ำให้ท่ายังไงก็ยังพาความยากมาให้จนใจอยู่ไม่เบากับการออกแบบระบบน้ำให้มันได้พอเหมาะลงตัวกับความแล้งในคราวนี้
เหล่านี้ที่เห็นในภาพล้วนเป็นนักวิจัยชั้นยอด เคยเห็นมุมนี้กันบ้างไหม
คุยกันไปชวนกันดูต้นไม้กันไปจนเดินออกมาที่ถนน มองไปข้างหน้าก็เห็นร่างไหวๆของใครคนหนึ่งกำลังทำอะไรบางอย่างอยู่แถวกอแป๊ะตำปึง อ้อ พ่อครูกำลังเมตตาให้น้ำต้นไม้อยู่นี่เอง เท้าพาตัวเดินย่องเข้าไปหา สะกิดเอวทักทายแบบไม่ให้เสียงก่อนคารวะ ยิ้มกว้างที่เปิดขึ้นต้อนรับบอกถึงความดีใจกับการได้พบกันอีกครั้งในวันนี้
ความร้อนทำให้ผักสลด แล้วเมตตาจากคนก็ทำให้ความสลดหายไป
แล้วพ่อครูก็พาตรงดิ่งไปใกล้บ้านชี้ชวนทำความรู้จักกับยอดพืชมหาสมบัติยามแล้งและยามฝนที่อยู่ใกล้บ้าน ขึ้นบ้านก็ได้กอดแม่หวีเต็มอ้อมสมกับที่คิดถึง แม่หวีถามเรื่องของการวางแผนเดินทางมาสวนป่าในครั้งนี้ ฉันตอบแม่หวีไปว่าคราวนี้มาแบบไม่ได้ตั้งใจ ตัดสิินใจแล้วเดินทางมาเลย เดินหน้ามาค้นหาความเป็นไปได้ของการเดินทางมาให้ถึงแล้วก็ลงมือแค่นั้นเอง
ผ่อนกายให้ได้คลายล้าได้สักครู่ ก็พาตัวเดินตามพ่อครูไปยังสวนผักข้างบ้าน ชวนกันเก็บผักจนมือกำไม่หมด พ่อครูจึงแวบไปหยิบตะกร้ามาให้ถือเดินไปด้วยกัน ชมสวนหิ้วตะกร้าเ็ด็ดยอดผักตามรายทางที่พากันเดิน รับฟังสิ่งที่พ่อครูถ่ายทอดความเป็นธรรมชาติของพืชที่กำลังสนใจไปด้วย เดินไปเก็บไปแล้วเจ้าความรู้นี้ก็ผุดโผล่ขึ้นมาให้รับรู้ “อือ..ปัญญาปฏิบัตินี้มีหลากหลายรูปแบบเชียวนะ แม้แต่การเก็บผักก็เป็นปัญญาที่อยู่ในตัวคนนะ”
ทุกๆอย่างรอบตัวเรา มีปัญญาปฏิบัติแฝงเร้นไว้ให้เรียนทั้งสิ้น อยู่ที่ตัวเราเองรู้จักหยิบบทเรียนขึ้นมาเรียนแค่ไหน
ได้ผักเต็มตะกร้าแล้วนำกลับมาส่งให้แม่ครัวฝีมือเยี่ยมปรุงอาหารเช้ากินด้วยกัน ผักเต็มตะกร้าใหญ่ที่ได้มามียอดผู้เฒ่าชมสาว (ใช่ชื่อนี้หรอกน่า..ไม่แน่ใจ..อิอิ) ยอดอ่อมแซบ ยอดกวานฮง็อก ยอดโสม จะลงมือทำกับข้าวด้วย เจ้าบ้านก็ไม่ยอม
เมนูผักผัดไฟร้อนและไข่เจียวใส่มะเขือเทศเป็นกับกินกับข้าวต้มมื้อเช้า….ร่อยจังหู้
โจทย์ิที่อยู่รอบตัวเหล่านี้ เคยชวนให้เด็กลองเรียนลองวิิจัยให้เกิดปัญญาปฏิบัติแค่ไหนกัน
กินข้าวแล้วแม่หวีก็ชวนให้ฉันพักผ่อนแต่ฉันไม่ง่วง สายตามองไปรอบๆว่าจะทำอะไรกับเวลาหลังกินข้าว เห็นถังใส่ฝักมะขามวางทิ้งอยู่ จึงเอ่ยปากขอมีดปลายแหลมจากแม่หวีมานั่งควักเมล็ด ได้มะขามเปียกมามากโขเชียว พ่อครูนั้นเดินขึ้นบ้านลงสวนใกล้บ้านสลับกันไป ลงไปที่สวนก็คุยๆๆและลงมือลองระบบน้ำที่ออกแบบใหม่ไปกับคนงาน
ได้ห่านเป็นพี่เลี้ยงชวนเรียนแบบไม่รู้ตัวก็ได้นะ
ระหว่างนั่งแคะมะขามตาเหลือบไปเห็นถาดที่มีผงสีเขียวตากแดดอยู่ แรกเห็นเข้าใจไปว่าเป็นเศษผักที่ลอกตากแดดไว้รอทิ้งไปโน่น จนกระทั่งเดินตามรอยดูการใช้ชีวิตของเจ้าห่านจึงถึงบางอ้อ ว่าที่แท้เจ้าเศษผงสีเขียวที่เห็นคือเม็ดพันธุ์ของเจ้าผักโขมนี่เอง เป็นผักโขมจีนที่กำลังแก่จัดในระหว่างฤดูร้อนนี้นั่นเอง
๙ มีนาคม ๒๕๕๓
บันทึกอื่น :
๒. ไม่รู้ก็ไม่เป็นไร จะรู้ไปทำไม
« « Prev : ทำไม่เหมือนเดิมให้ผลเหมือนเดิม…แปลว่ายังทำเหมือนเดิมกับเรื่องสำคัญ???
Next : ไม่ปิ๊งก็ได้..ปิ๊งก็ดี » »
8 ความคิดเห็น
เก่งมากน้องหมอตาที่ลุยเดี่ยวแบบ ใจพาไป พี่ยังไม่เคยทำแบบนี้เลย เก่งจริงๆ แต่ชีวิตแบบนี้ได้สัมผัสอะไรมากมายนะครับ
กรอบกระจุย กำแพงระเบิดไปเลย อิิอิ
เยี่ยมเลยค่ะ พี่สาวตา…
เดือน พค. จะได้เจอกันที่สวนป่าไหมคะ
ให้มันรู้เสียบ้างใครเป็นไผ
#1 พี่บู๊ดค่ะ คราวนี้ได้เรียนค่ะว่า การตัดสินใจภายใต้เวลาที่มีมากมายกลับให้คุณค่าที่ด้อยไปกว่าการตัดสินใจทำเลยอย่างมีเป้าหมายที่ชัดของตัวค่ะพี่
#2 พี่ตึ๋งค่ะ ที่จริงแล้วกรอบทั้งหลายเป็นเพียงข้ออ้างที่มีรากมาจากความหวั่นไหวต่อความไม่รู้และความกลัวเมื่อรู้ที่แฝงอยู่ในตัวเรานั่นแหละพี่
#3 ความไม่อยากพาตัวนอนเขลงอยู่ในกล่องสี่เหลี่ยมแท้ๆที่นำพาให้ตัดสินใจทำเลยน้องสร้อยเอ๋ย
#4 เข้าไปอยู่สวนป่าแล้วเหมือนตัดขาดจากโลกภายนอก พิสูจน์ใจว่าสงบจริงหรือเปล่าได้ดีจริงๆค่ะ
ขอบคุณในความเมตตาของพ่อครูและแม่หวีอีกครั้งค่ะ