คุย คุย คุย ถาม ถาม ถาม
ในกิจกรรมการประชุมร่วมกับเหล่าพะ-ยา-บาลที่เชียงใหม่ มีคำถามว่าฉันเปลี่ยนแปลงตัวเองได้อย่างไร (ดูเหมือนคำถามอยากรู้ How to) จำได้ว่าฉันไม่ได้ตอบแต่เล่าชีวิตบางส่วนที่ผ่านล่วงมาแล้วให้ฟัง รวมไปถึงเรื่องพบชาวเฮและการมาร่วมเป็นกระบวนกรครั้งนี้ แล้วให้เขาเก็บเกี่ยวความรู้เอาเอง
กลับบ้านนั่งเขียนบันทึก ขอบันทึกไว้ซะหน่อยก็ดี ว่าตัวเองเปลี่ยนแปลงมาได้อย่างไร เผื่อไว้ให้ใครที่มาอ่านได้ใช้เป็นบทเรียน หากไม่เชื่อว่าคนเปลี่ยนแปลงได้ ขอเพียงถามใจดูว่า คุณรู้สึกมีความสุขหรือไม่ แล้วค้นหาทำความรู้จักใจตัวเอง แค่นี้เองตัวเองก็เริ่มเปลี่ยนแปลง
จะขอเล่าบันทึกของใครคนหนึ่งซึ่งเขานั้นเล่าไว้ว่า มีกัลยาณมิตรถามเขาไปว่า เมื่อไรเล่าที่เขารู้สึกมีความสุข ซึ่งเขาไม่ได้ตอบคำถามนี้ ด้วยรู้ว่ากัลยาณมิตรตั้งคำถามเพื่อให้เขา “คุย” กับตัวเอง ให้เขาได้ยินตัวเองว่าคำตอบเขาว่าอย่างไร อะไรในตัวเองที่ค้นพบ เรียนรู้เพื่อรู้จักตัวเอง และสังเกตว่าเรียนรู้ได้อย่างไร
ตัวฉันนั้นคล้ายที่เขาเล่า ในเรื่องของการชอบคุย ชอบถามตัวเองเรื่อยๆ ที่ชอบการคุย การถาม เพราะการถาม การคุย ทำให้สังเกตตัวเองขึ้นมาแล้วได้มาซึ่งอะไรบางอย่าง บางครั้งคำถามก็ถามว่า กำลังทำอะไรอยู่หรือ รู้สึกอย่างไรในขณะนั้น เมื่อมีอาการอย่างนั้น อารมณ์ข้างในนั้นเป็นอย่างไร คำตอบที่พบคือว่า มันเป็นสัญญาณของชีวิตภายในที่กำลังเป็นอยู่ซึ่งตัวตนภายในเขาส่งข่าวมาให้รู้
ทุกวันที่ชีวิตดำเนินตามวิถีของคนเราหนาคำถามมีอิทธิพลทั้งสิ้น คำถามซึ่งมักคุ้นชินส่วนใหญ่จะเป็นคำถามที่รับจากคนอื่นมาอีกต่อ รับมาแล้วสะสมไปเรื่อยๆจนฝังตัวเป็นนิสัยประจำ ทำอะไรก็ใช้คำถามตัดสินความสิ่งที่ทำเอาไว้ คำตอบที่ทำขึ้นไว้หล่อเลี้ยงและตอบสนองความรู้สึกตนเองก่อนตอบคำถามที่ผู้อื่นคาดหวังไว้ ถ้าตอบแล้วผู้อื่นเกิดความพึงพอใจนักหนา ตัวตนก็ภูมิใจจนอยากทำต่อ ให้คนอื่นรู้สึกต่อตนดียิ่งๆขึ้นไป ยิ่งตอบได้ดีขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งมีความสุข ความกล้า ซึ่งมีมากขึ้นตามกาล
ตอนที่มันมีความสุขนั้น ความกล้ามันก็จะมีอยู่มาก มันเพิ่มความรู้สึกมาทั้งต่อตนและต่อผู้อื่นพร้อมๆกัน ต่อมาคำตอบที่ค้นหาเริ่มเปลี่ยนจากตอบผู้อื่นมาเป็นการตอบตัวเองแทนไป ความสุข ความกล้าที่มี ความภูมิใจต่อความสำเร็จแห่งผลงานก่อกำเนิดเป็นความมั่นใจในตน ตอนนี้ที่ใจมันเกิดมีความอหังการ ขึ้นมา แล้วทำให้ตัวเองเปลี่ยนไปทีละน้อยๆ
คำถามที่ยกมาถาม ถามแค่ “กำลังทำอะไรอยู่เล่า ทำแล้วรู้สึกอย่างไร” โดยใช้การตอบสั้นๆแค่ ดี-ไม่ดี พอใจ-ไม่พอใจ สบายใจ-ไม่สบายใจ เท่านั้น พร้อมรับรู้ความรู้สึกไปด้วย
จนมีวันดีวันหนึ่งก็เกิดจุดที่เปลี่ยนขึ้นมา มันรู้และรับรู้ว่า ไอ้ที่รู้สึกไม่ดี ไม่สบายใจ ไม่พอใจนั้นเป็นเพราะไปเอาผู้อื่นมาเกี่ยวด้วย ความรู้สึกไปจับที่คนอื่น จึงเกิดการกระทบของอารมณ์ของคนอื่น การเปลี่ยนแปลงทีละน้อยที่เกิดขึ้นเป็นความสัมพันธ์สองทาง ความรู้สึกของตัวเองที่เกิดไปกระทบกับความรู้สึก ความคาดหวังของคนอื่นเด้งไปมาเหมือนลูกปิงปองที่ถูกตีเด้งไปเด้งมาค่ะ กว่าที่มันจะหยุดต้องรอแรงเด้งจนหมดเหมือนลูกปิงปองจึงหยุด เวลาหยุดมันก็จบลงตรงมีความรู้สึกดีบ้าง ไม่ดีบ้างร่ำไป มันเป็นมาเป็นไปอยู่เยี่ยงนี้
ตอนนั้นเองที่ตัวรู้มันบอก นี่เองที่เป็นต้นเหตุให้รู้สึกมีการกระทบไปมา เด้งไปเด้งมาให้เป็นเรื่อง พอเริ่มจับต้นเหตุได้จึงได้สังเกตและเก็บเกี่ยวทำความรู้จักกับความรู้สึกใหม่ที่เกิดขึ้นมา จนรู้ว่ามันเป็นอย่างที่เล่าค่ะ
ความรู้ใหม่ที่เกิดขึ้นจากการจับตาดูความรู้สึกนั้น บอกว่าคุณสัญญาทั้งน่ารักและน่าชังที่สงบตนแอบอิงอยู่ในก้นบึ้งใจได้กระเถิบตัวสูงลอยขึ้นมาเล่นกับใจ จนกลายเป็นเพื่อนรักของใจไปแล้ว แล้วส่วนใหญ่ที่ใจมันเลือก มันเลือกคุณสัญญาที่เฮี้ยว ซน และร้ายกาจให้มาเป็นเพื่อนรักหล่อเลี้ยงตัวเองไว้ แล้วแปลงความสัมพันธ์เป็นคำตัดสิน คำตัดสินเป็นผลสรุปร่วมกันระหว่างกายใจและสมองของคน คำตัดสินที่เกิดขึ้นจากการกระทบของความรู้สึกเด้งไปเด้งมานี้ทำให้คำตัดสินที่เคยตัดสินตัวเองด้านเดียวไปมีการตัดสินผู้อื่นขึ้นด้วยละค่ะ
จุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ฉันเปลี่ยนตนนั้นเกิดจากการตั้งคำถามว่า ฉันรู้สึกสงบใจมากน้อยแค่ไหนกับเรื่องที่เด้งไปเด้งมาแล้วจบลงที่ตัดสินผู้อื่น แล้วฉันก็ได้คำตอบว่า ไม่เลย ฉันไม่สงบใจ หลังหยุดเด้งมีคลื่นในใจตลอด มันขัดมันเคืองใจให้ไม่สุข
ตอนนั้นแหละที่ได้คำตอบให้กับตัวเองว่า เป็นบ้าไปแล้วหรือไรที่ปล่อยใจให้ ยึดอารมณ์เอามาไว้ เพื่อปล่อยให้เด้งไปเด้งมากระทบกันจนตัวตนเร่าร้อนอย่างนี้ ทำไมไม่ปล่อยวางมันไป จะจับมั่นมันไว้ทำไม ไม่สนกับมันได้ไหม วางมันไปก็หายบ้าได้แล้วนะนี่
พอใจมันตอบว่า อ้อ! รู้แล้วจะทำอย่างไร รู้แล้วว่ากำลังเบียดเบียนตน ก็ตกลงจะปล่อยสิ่งซึ่งจับมั่นวางไป สิ่งที่วางก็เป็นสิ่งที่รู้สึก พอเริ่มรู้สึกก็วางลงไปไม่นำไปกระทบคนอื่นต่อ รู้สึกให้ทันตัวเองแล้วหยุดแบบวางลงไว้ ลงมือทำก็เห็นทันตา อะไรที่เด้งไปมาน้อยลงๆไปเลย
นับแต่นั้นตัวตนก็เปลี่ยน ยั้งโกรธยั้งใจยั้งอารมณ์ลงได้มากขึ้น มีอยู่บ้างที่ร่างกายตรากตรำอดนอนซักหน่อยเพราะหน้าที่ในการงานอาชีพ มันมีหลุดบ้างเหมือนกันแต่หลุดก็รู้ทันว่าหลุด พอรู้ว่าหลุดก็แก้ตัวใหม่ ทำๆอย่างนี้เรื่อยมา ชีวิตมันก็ไหลไปเรื่อย สงบดีจริงๆจนสุขใจ มันดีที่ได้เปลี่ยนตัวเองจากคนใจร้อนเหมือนทะเลบ้า กลายเป็นน้ำที่นิ่งและเย็นขึ้น ไม่หลุดหงุดหงิดใครๆ เข้าใจคนอื่นเพิ่มมากขึ้น จากใจที่ไม่เบียดเบียนตนเองค่ะ
Next : เดินทางขึ้นเหนืออีกรอบ » »
1 ความคิดเห็น
หมอเจ๊เปลี่ยนไปมากๆ เดี๋ยวเข้าบ้านหมาจะเห่าเพราะมันจำไม่ได้นะ
ลืมไปๆๆๆๆๆ เรื่องของหมามัน หมอไม่เกี่ยว ฮ่าๆๆๆๆๆๆ