๗ วันผ่านไปแล้วเร็วจริงๆ
เลิกงานกลับถึงบ้านด้วยความคิดอะไรบางอย่างที่ติดอยู่ในสมอง อะไรที่ติดกลับมาบ้านนั้นเป็นเรื่องทบทวนพฤติกรรมของคนที่ทำให้เอ๊ะเป็นครั้งที่เท่าไรก็ไม่รู้ คำพูดที่แล่นมากระทบหูที่จริงก็ไม่มีอะไรมากมาย
ก่อนกลับบ้านแวะไปหาแม่ค้าที่ร้านของเขา ด้วยมีนัดหมายว่าจะไปดูผลงานที่ลองลงมือไว้ แล้วมีเรื่องจำเป็นใช้อุปกรณ์อะไรบางอย่างสำหรับจัดการขยะ คุยกันเรื่อยๆถึงการลงมือลองทำน้ำหมักชีวภาพโดยหลังร้านมีถุงพลาสติกใส่ข้าวสารใช้แล้ววางทิ้งอยู่เกลื่อนตา ยังไม่ทันเห็นฉันหยิบจับมันขึ้นมาใช้สอย เสียงก็ลอยมากระทบหูว่าจะไปซื้อถังพลาสติกมาใช้สำหรับการจัดการ แวบหนึ่งใจกระตุกขึ้น อืม คนกระบี่นี่ช่างรวยซะจริง
ที่แวบกับเรื่องนี้ขึ้นมาก็ด้วยว่าก่อนจะลงมาหาแม่ค้า บอร์ดร.พ.ประชุมตามงานที่ไปช่วยกันตรวจตรา แล้วมีการเล่าให้ฟังถึงการทดลองเล็กๆของเด็กๆในหอผู้ป่วยที่นำเอาตะกร้าพลาสติกขนาดเล็กๆมาขันน็อตติดที่ปลายเตียงคนไข้เป็นถาดรองตั้งขวดสบู่ล้างมือให้คนไข้ และมีคนเสนอความเห็นว่าให้ใช้เงินไปซื้อขวดพลาสติกขนาดใหญ่ๆที่คล้ายๆกับในศูนย์การค้ามาใช้เหอะ ที่ใช้อยู่นั้นไม่สมศักดิ์ศรี ถ้าใช้วัสดุแบบแรกราคาคงไม่กี่พันบาท ถ้าใช้อย่างหลังสำรวจราคาแล้วถึง ๖ หลักทีเดียวเชียว อีกเรื่องที่เล่ากันก็คือมีเรื่องราวที่ไม่ต้องการความผิดพลาดใดกับเรื่องของการทิ้งผ้าซับเลือดไว้ในท้องคนไข้หลังการผ่า และไม่เคยมีเหตุการณ์ทำนองนี้เกิดขึ้นในร.พ.นี้มานานนับ ๒๐ ปี ก็มีคนออกความเห็นให้ไปซื้อหาผ้าซับเลือดชนิดที่เรืองแสงได้มาใช้ด้วยเหตุผลว่าจะได้ถ่ายภาพรังสีเห็นได้หากลืมทิ้งไว้ในท้องคนไข้จริงๆ ซึ่งถ้าลงทุนไปจริงๆต้องใช้เงินถึง ๗ หลักต่อปีทีเดียวเชียว
ในตอนที่ฟังเรื่องราวในบอร์ด ใจแวบไปถึงปลัดอำเภออาวุโสคนหนึ่งที่เคยบอกเล่าออกมาว่า การแก้ปัญหาต่างๆในกระบี่นั้น ทางฝ่ายปกครองเขาเรียกกันว่าแก้ปัญหาเมืองคนรวย ในตอนได้ฟังใจฉันยังเถียงว่าใช่หรือ จนมาวันนี้เมื่อได้ยินเรื่องราว ๓ เรื่องที่เล่าถึง ใจมันอ้อแล้วละว่า คนกระบี่นั้นรวยจริงๆ
คนรวยในความหมายของฉันหมายถึงคนที่ใช้เงินซื้อทุกอย่างด้วยความคิดง่ายๆดีไม่ต้องลงมือทำ ไม่มองถึงประโยชน์และความคุ้มค่าของการใช้สอยและการเรียนรู้ ใช้เงินแก้ปัญหาทุกอย่างว่างั้นเหอะ
รอบบริเวณของร้านอาหารที่เทียวไปดูเทียวไปชวนลองร่วมแก้ปัญหาเดินหน้าไปหลายเรื่องราว อย่างที่เล่าแล้วว่าลงมือแก้เรื่องต้นน้ำและปลายน้ำไปพร้อมๆกัน วันนี้จึงขอเล่าเรื่องของต้นน้ำที่แก้ไปพร้อมๆกันให้ฟังค่ะ
อ่างล้างเครื่องมือครัวที่ใช้แล้วรวมทั้งจานข้าวทั้งหลายคืออีกแหล่งหนึ่งที่ทำให้เกิดคราบไขมันในคูที่นำมาให้ดู ตรงนี้แหละที่ฉันฉวยประโยชน์บริหารความต้องการของแม่ค้าเมื่อได้ยินความปรารถนาแว่วมาว่า “ทำอย่างไรให้น้ำล้างจาน แววใส”
หลังจากได้ยินก็แวบถึงการใช้น้ำหมักชีวภาพในการจัดการไขมันที่ติดภาชนะอยู่ จึงให้ลูกน้องไปนำน้ำหมักชีวภาพมาให้ ได้มาก็จัดแจงลงมือทำให้ดูทำอย่างไร ลูกจ้างของร้านอาหารลองทำตามเพียงแค่วันเดียวก็สะท้อนบอกถึงความพอใจ ประโยคที่ฟังแล้วรู้ว่าพวกเขาตกลงใจยอมรับการใช้ให้แล้วคือคำถาม “หมอใช้ล้างหม้อ กะทะได้หรือเปล่า” ได้ยินก็รีบตอบซิค่ะว่า “ได้ทั้งนั้น เช็ดพื้นก็ได้ เช็ดอ่างก็ได้ ไม่ว่ากัน” แซวเขากลับไปว่า “ไฟลุกแล้วซิ งั้นจะมาสอนให้ทำเป็นนะ ใจเย็นๆ ลองดูสักไม่กี่วันซะก่อน”
นำภาพมาให้ดูค่ะว่า ที่เขาพอใจว่าน้ำแววใสนั้นคืออย่างไร
ภาพที่เห็นนี้เรียงตามลำดับกระบวนการล้างจานของร้านนี้ เก็บจานมาล้าง ล้างคราบมันก่อนใช้สบู่ เก็บสบู่ที่ใช้ไปแล้วไว้ใช้ต่อ ได้ผลหลังการปรับใหม่ตรงที่น้ำล้างจานน้ำแรกไม่มีมัน น้ำล้างจานก่อนทิ้งลงคูก็ไม่มีมัน
เทคโนโลยีล้างจานนี้ขยายผลไปได้้ ๓ ใน ๕ ร้านที่เป็นต้นเรื่องของคราบไขมันในน้ำทิ้งลงคูโดยสมัครใจมา ๓ วันแล้วค่ะ มีอีีก ๒ ร้าน ที่ต้องรอใจ ร้านหนึ่งนั้นขอดูเพื่อนก่อน อีกร้านหนึ่งยังไม่ได้ชวนให้ลงมือค่ะ
น้ำที่ไหลลงคูซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดเรื่องของภาพล่างขวาสุดส่วนหนึ่ง
ภาพบนภาพแรกหัวเตาหลังร้าน ภาพถัดมาถ่ายมาให้ดูจำนวนน้ำล้างหัวเตาที่ปล่อยลงคูว่าเยอะแค่ไหน ภาพสุดท้ายคือผลผลิตหรือผลที่เกิดตรงปลายน้ำ
ประยุกต์น้ำหมักชีวภาพหยดลงไปอย่างที่เห็นในภาพข้างล่างค่ะ ถังที่เห็นนั้นให้คนงานที่ทำหน้าที่ตักไขมันทิ้งประดิษฐ์ให้ ตรงจุดที่เห็นกาละมังวางอยู่คือจุดที่น้ำไหลลงคู ถัดมาเป็นสภาพคูและน้ำทิ้งที่ผ่านลงคู
วางถังหยดน้ำหมักไว้ตรงจุดต้นน้ำ ปล่อยให้น้ำชีวภาพไหลลงไปตามคูวันละ ๒ รอบ เช้า-บ่าย ภาพแถวบนภาพแรกสภาพคูก่อนหยดน้ำหมักชีวภาพ ภาพถัดมาวางถังใส่น้ำหมักชีวภาพให้หยดลงไปเรื่อยๆช้าๆ ชวนสังเกตสีน้ำในคูและไขมันที่ปลายคูก่อนหยดน้ำหมักชีวภาพค่ะ
ภาพล่างภาพแรก คือน้ำทิ้งที่เห็นดำๆข้างบนเปลี่ยนเป็นใส ๒ ภาพหลังคือสภาพปลายคูหลังหยดน้ำหมักแล้ว ๒ วัน
ผลงานนี้เป็นส่วนของร้านเดียวเท่านั้น ส่วนอีก ๒ ร้านอยู่คนละซีกอาคารกับร้านนี้ มีคูอีกซีกของอาคาร
ส่วนที่รกซึ่งเริ่มสะสาง งานเดินหน้าไปเรื่อยๆแล้วค่ะ ได้ภาพใหม่เข้ามาแทนที่ นำภาพมาให้ดูกันค่ะ ภาพทั้งหมด ๗ ภาพข้างล่างคือภาพก่อนจัดการความรก
จุดตรงที่เห็นเสาสูงๆในภาพบนภาพแรกคือจุดที่สะสางแบบคู่ขนานไปด้วย เป็นบริเวณอยู่รอบขอบคู จุดที่รื้ออยู่คนละด้านกับขอบคูซีกด้านบ้านพัก ผลการรื้อและสะสางแล้ว เป็นพื้นที่ที่เห็นอย่างภาพล่างนี่ไง เห็นความงามปรากฏขึ้นทีละน้อยแล้ว…อิอิ…ดีใจ
แล้วเอะใจกับความขยันของคนงาน จึงแวะไปเพื่อพูดคุยด้วย พร้อมขอบคุณที่ทำงานให้ นำภาพถ่ายไขมันละลายแดดไปให้ดูด้วย เพื่อให้เขาหยุดการขุดลอกนำไขมันออกทิ้งข้างคู แล้วเปลี่ยนพฤติกรรมเป็นเก็บลงใส่ถุงมิดชิดก่อนทิ้ง โยนตัวกวนเปรียบเทียบให้เห็นภาระงานที่ต่างกันด้วย เชื่อว่าครั้งต่อๆไปเขาจะไม่ลอกทิ้งไว้เกลื่อนอีกแล้ว
สำหรับขยะที่เห็นอยู่นั้น แนะ็บอกให้นำไปส่งธนาคารขยะที่เพิ่งเริ่มระบบจัดการซะใหม่ เพื่อจะได้รับคืนรายได้ แม้ว่าจะมีราคาไม่มากมาย คำตอบที่เห็นบนใบหน้า คือ รอยยิ้มปนหัวเราะ ส่วนภรรยานั้นยกมือไหว้ ก่อนที่จะพาตัวผละมา
ดูเหมือนวันนี้ เจ้านายผ่านมาตรงนี้ เมื่อได้เอ่ยปากขอให้หาทรายมาถมที่ตรงนี้ให้ดูสวยงามกว่านี้ จึงได้ยินเสียงอนุญาตว่า “เอาซิ” พร้อมบอกกลับมายังฉันว่า “เขาไปใส่ท่อให้แล้วนะ”
บทเรียนที่ได้พบเมื่อวานที่คนงานมาขุดลอกไขมันกองทิ้งไว้ตากแดดแล้วเยิ้ม ทำให้กลับไปดูใต้บ้านว่าควรทำอย่างไรต่อไป ไปดูแล้วตัดสินใจว่ารอดูไปก่อนทำอะไรให้ง่ายกว่าแล้วค่อยลงมือ
ตรงนี้นอกจากสกปรกแล้ว ยังรกไปหมดด้วยต้นไม้เลื้อยเช่นกัน ในใจตอนนี้คิดว่าจะใช้ที่ตรงนี้ให้เป็นประโยชน์กับการจัดการขยะสดรีไซเคิลค่ะ่ แต่คงต้องสำรวจดูก่อนว่าบ้านผุมากน้อยแค่ไหน
ดูพรรณไม้ที่เห็นแล้วเอะใจบางอย่างกับเรื่องความเค็มของดินด้วย ขอความรู้อีกเรื่องได้ไหม เกี่ยวกับพืชที่ทนดินเค็มอ่ะค่ะ
บันทึกอื่น :
2. ใช้ความรู้จากธรรมชาติและหลักคิดการพัฒนาคุณภาพแก้ปัญหาไปพร้อมๆกัน
4. ตามไปดูดินแล้วร้องโอ๊ยเลย…ใครก็ได้ช่วยหน่อยค่ะ
5. ไม่รู้อะไรก็ลองๆๆด้วยความรู้เท่าที่มี…หยุดรอตรงที่ความรู้คลุมเครือ..ก่อนเดินต่อ
« « Prev : ตามไปดูดินแล้วร้องโอ๊ยเลย…ใครก็ได้ช่วยหน่อยค่ะ
Next : เมื่อครูเริ่มตีระฆัง » »
2 ความคิดเห็น
ใช้เงินแก้ปัญหาก็อย่างหนึ่ง
ใช้ใจแก้ปัญหาก็อย้่างหนึ่ง
ใช้สติปัญญาแก้ปัญหาก็อย่างหนึ่ง
ถ้ารวมกันก็ได้พลัง3ประสาน
พ่อครูค่ะ ได้ประสบการณ์ลงมือทำอะไรให้คนเห็นว่าเมื่อใช้ใจทำงานอย่างเดียว ไม่ใช้ปัญญาเรื่อง “กล้าลอง และถือว่าผิดเป็นครู” แล้วละก็ ทำงานอะไรๆก็ต้องเรียกหาแต่เงิน แถมการทำงานยังเจอกับโรคเครียดกับการไม่ได้อย่างใจด้วยค่ะ สู้ใช้ใจ+ลองดู+ทุกเรื่องดีหมด(ผิดเป็นครู) ไม่ได้เลย
ยิ่งลองยิ่งรู้ และที่รู้มากกว่าคือรู้จักกับความมั่นใจในความสามารถของตัวนี่แหละที่สำคัญ
การรู้จักความสามารถของตัวทำให้คนกล้าแปลงความรู้ที่มีอยู่แล้วมาเป็นปัญญาแม้จะรู้ตัวว่าความรู้ที่มีนั้นไม่พอใช้ค่ะ