อารมณ์หลอน
ในช่วงกว่าสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ ให้เวลาไปกับหนังแอ๊คชั่นที่มาในรูปของการทำงานแบบสายลับหลายเรื่อง เรื่องหลักๆที่ดูก็เป็น เจมส์บอน 007 เมื่อคืนก็ไปดูหนังกับลูกสาว เป็นหนังแอ๊คชั่นทำนองเดียวกันอีกนั่นแหละ เรื่อง Mission Impossible 4
ระหว่างดูก็สัมผัสว่าหนังทำนองนี้ขายฝัน แต่ละซีนที่ผ่านตาในหนังสะท้อนความสำคัญของการมีรหัสและการถอดรหัส ชวนให้ย้อนรำลึกไปถึงช่วงเวลาที่เผชิญกับความงอม ที่อารมณ์ในแต่ละวันแปรปรวนหลายหลากรสไปโน่นเลย แปลกจริง
เห็นภาพในช่วงที่โงหัวจากการถูกบอมบ์ให้ “งอม” เห็นเวลาที่ผ่านว่าสอนอะไรให้หลายอย่าง หลายเรื่องหลายราวที่ผันผ่านก็เหมือนดังลำดับเหตุการณ์ในหนังแต่ละเรื่องที่ผ่านตา
อืม…ภาวะ “งอม” นี่เป็นวังวนหมุนไปมา มีฐานกาย ฐานใจ ฐานอารมณ์ ฐานความคิด เกี่ยวพันกันอยู่อย่างแน่นหนากับคำว่า “อยู่รอด อยู่ร่วม และอยู่อย่างมีความหมาย”
“การอยู่” สร้างแรงจูงใจให้เกิดสัมพันธ์ มีฝ่ายเริ่มต้น มีฝ่ายถือกุญแจ เป็นกุญแจที่ไขประตูเพื่อก้าวไปพบกับการอยู่ทั้งสามของทั้ง 2 ฝ่าย
สภาวะรู้ตัว สติ ต่างระดับกันไป มีผลต่อทุกขณะที่ดำรงอยู่และ “ความคิด” ความคิดทำให้เกิด “การเห็น” และ “คำตัดสิน”
ฐานกาย ฐานใจ ฐานอารมณ์ ฐานความคิดมีเอี่ยวกันตลอดเวลา การเห็นเป็นความสัมพัทธ์ที่แปรเปลี่ยนได้ตลอดเวลา เป็นเรื่องสัมพัทธ์ที่เกิดขึ้นภายในตัวคนที่มีคู่สัมพันธ์เด้งไปเด้งมาหลายช่วงหลายระนาบของฐานทั้งสี่
“การเห็น” มีอิทธิพลต่อการหยิบกุญแจเปิดประตูเพื่อ “การอยู่” การอยู่ของผู้ถือกุญแจไขประตูสำคัญพอๆกับการเห็นของผู้ขอกุญแจไขประตู
ในช่วงที่งอมก็ได้ฝึกการรับรู้ที่ทำให้เกิดการเห็น เมื่อไรฐานกายอ่อนพลัง ฐานความคิดไหลไปกับแรงจูงจากภายนอก ฐานใจไหลไปตามความเชื่อ หากทิศทางการไหลของพลังฐานใจ ฐานความคิดไปด้วยกัน เสริมกัน เมื่อนั้นฐานอารมณ์จะถูกมอบให้เป็นตัวเข็มทิศนำทางได้ง่ายดาย
ที่โงหัวขึ้นมาได้ก็มีปิ๊งแว๊บเข้ามาช่วยไว้ ช่วยให้เห็น “การอยู่อย่างมีความหมายของคนแต่ละคนไม่ใช่เรื่องเดียวกัน”
เมื่อไรประตูที่เปิดสู่ “การอยู่อย่างมีความหมาย” ของผู้ถือกุญแจและผู้ขอกุญแจต่างกัน เมื่อนั้นถ้าไม่ปรับเข็มทิศ การเปิดประตูผิดบานจะเกิดขึ้น แล้วยังมีแถมเปิดประตูอื่นผิดบานไปด้วย
หลังประตูที่ถูกเปิด อารมณ์ที่พร้อมจะทำหน้าที่เป็นเข็มทิศอยู่ทุกเมื่อจะรออยู่ จะทำหน้าที่เป็นบอมบ์หรือสงบเสงี่ยมเป็นแค่เครื่องมือนำทางรอให้หยิบใช้ อยู่ที่รหัสที่ไปผูกไว้กับกุญแจประตูแต่ละบานของผู้เปิด
ความเข้าใจรหัสของฝ่ายถือกุญแจและขอกุญแจที่ให้รหัสกับความหมายของการอยู่ทั้งสาม เป็นหัวใจสำคัญของการถอดชะนวนบอมบ์
บ่อยไปที่ก่อนเปิดประตู แต่ละฝ่ายลืมเช็ครหัสที่ตนกำหนดให้กับการอยู่ ลืมเช็ครหัสที่เคยให้ไว้ในกุญแจ
เมื่อไรลืมเช็ค ความไม่ชัดแจ้งว่าประตูที่กำลังจะไปเปิดเป็นประตูใด ใช้รหัสใด ไม่ทันเห็นว่ากุญแจที่หยิบมาใช้ตรงรหัสใดย่อมเกิดขึ้น
ความเป็นธรรมดา ธรรมชาติของอารมณ์เป็นของไหลที่เบา รหัสจึงเสมือนมอบหน้าที่เข็มทิศที่เป็นระเบิดเวลาอยู่ในตัวไว้ให้ด้วย
ความเข้าใจไม่ชัดแจ้ง ทำให้หยิบกุญแจผิดดอก ความไม่รอบคอบพอ ไม่เช็ค ไม่พร้อม ไม่รู้ ไม่เอ๊ะ มั่นเกินพอดีในจังหวะก่อนเปิดประตูของผู้หยิบกุญแจไข จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่ทำให้ไขกุญแจทีไร เข็มทิศเดินจนเกิดบอมบ์ทุกครา
วันนี้เห็นความงดงามและคุณค่าของเวลาที่ผลไม้งอมหลุดปลิดจากขั้วร่วงลงหาดิน เห็นความอ่อนโยนของดินที่รอรับผลไม้ผลนั้นอยู่ เห็นการร่วงหล่นลงดินอย่างช้าๆ
เห็นการกระทบหน้าดินที่มีผลสะท้อนตามหลักของแรง ขอบคุณแรงไหลที่ช่วยชะลอให้การหล่นเป็นความเบา ขอบคุณดินที่ให้ความเย็นชื่น ช่วยผ่อนปรนไอร้อนไม่ให้ผลไม้งอมที่ร่วงสู่ช้ำมากขึ้น
ขอบคุณเวลาที่หน่วงช้า เนิ่นนานอย่างพอดี ที่ทำให้วันนี้สามารถเดินมาถึงจุดโงหัวตั้งเต็มที่ได้ โงหัวได้ก็มีแรงเดินหน้าลงมือกับอะไรๆที่อยู่ในมือให้รับผิดชอบได้ต่อไปอีกระยะ
ขอบคุณฐานคิดที่ปล่อยวาง ทำให้ได้เวลาให้ตัวเองได้ผ่อนพัก ขอบคุณหนังที่ช่วยเพิ่มแรงและพลังให้ ชาร์จไฟเพิ่มให้ฐานกายมีแรงและพลังขึ้น ขอบคุณฐานใจที่มีความแน่นหนักคอยหน่วงฐานคิดให้ช้าลง จนสามารถล้างฝุ่นเปื้อนฐานอารมณ์ออกไปได้อีกครั้ง
วันนี้รู้สึกดีใจ และปิติใจ มีแรงขึ้นมากพอที่จะลุกมาเขียนบันทึกไว้อ่าน ขอบคุณตัวแสดงในหนังที่ช่วยสะกิดให้เห็นชิปดีๆที่ทำหล่นหายจนสามารถเก็บคืนกลับมาใช้งานได้ใหม่
24 ธันวาคม 2554
บันทึกอื่น
2. เหยื่ออารมณ์
4. งอม
« « Prev : งอม
4 ความคิดเห็น
ผมไม่ได้ดูหนังอย่างจริงๆ มาสัก ๒๕ ปีได้แล้ว เพราะดูทีไรมีแต่ความเครียด เนื่องจากเห็นแต่ความไม่พิถีพิถันของผู้กำกับ (แม้หนังราคาแพงหูฉี่) เช่น นางเอกหมุนโทรศัพท์หาตำรวจตอนถูกผู้ร้ายไล่ล่า แหม เธอจำเบอร์ได้แม่นจริงๆ แถม หมุนแต่เลขต่ำๆ (ในโทรศัพท์แบบหมุน) หรือ กดเลขตัวใกล้ๆกัน (ในโทรศัพท์แบบกด)
แต่ผมหันมาดูลิเก หมอลำ ลำตัด เพลงโคราช มากขึ้น ก็เครียดอีกแหละ โดยเฉพาะพวกตัวละครผู้ชาย ทำไมต้องใส่นาฬิกา (เรือนทอง) ด้วย ..เป็นเหมือนกันทุกคน
เฝ้าดูตนเองน่าจะดีที่สุด (ก็เครียดอีกแหละ…อิอิ)
ตกลงว่าพี่ดูอารมณ์ตัวเองย้อนหลังขณะดูหนังหรือคะพี่ สุดยอดจริงๆ ที่เทียบเคียงได้
ว่าแต่ว่า……พี่ดูหนังหนุกแบบที่หนังเขาตั้งใจให้เป็นไหมคะ อิอิ
#1 โดยส่วนตัวใช้เวลาว่างเติมความสนุกส่วนตัวกับต้นไม้ ใบหญ้า หนังสือ และเดินตลาดซะมากกว่าดูหนัง ไม่ดูหนัง ดูละครมานานเหมือนกัน จนลูกสาวกลับมาอยู่บ้าน ส่วนใหญ่ที่ไปดูก็เป็นลูกสาวชวน แต่ก่อนเป็นคนชอบดูลิเกเหมือนกัน คนในครอบครัวไม่มีใครชอบ เวลาไปเที่ยวงานเมื่อเจอลิเกก็เลยต้องเลือก จะดูหรือจะไปต่อกับคนในครอบครัว เลือกดูลิเก เวลาที่ครอบครัวจะอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าก็จะหายไป ก็เลยไม่ได้ดูลิเกมานานมากแล้ว ก็ใช้วิธีชดเชยด้วยการดูละครจักรๆวงศ์ๆแทน
ไม่เคยฝึกดูแบบจับหลุด ดูทีไรมุมเปลี่ยนแปลงของหนัง ของความสามารถคน มุมแปลกตา-แปลกใจทำให้สนุกทุกทีไป ก่อนจะไปดูจะเช็คตัวเองก่อนว่าพร้อมดูแค่ไหน พร้อมดูก็จะไป
#2 เรียกว่าถามตัวเองว่าได้อะไรจากหนังนอกจากความสนุก เห็นอะไรที่ซ่อนลึกอยู่ในอารมณ์ของตัวแสดงที่เป็นด้านบวก เห็นมโนธรรมหรือแรงจูงใจอะไรในตัวคนมากกว่า หนังให้คำตอบบางอย่างเกี่ยวกับคำ 2 คำ ว่าในชีวิตจริงเส้นแบ่งเป็นอย่างไรแก่พี่ 2 คำนั้น คือ “Sympathy” และ “Empathy”
ดู 007 มาหลายตอน เห็นพฤติกรรมซ้ำๆที่ 007 กระทำกับคนที่มีความสัมพันธ์กับเขาก็ยังไม่เข้าใจเท่าไร Mission Impossible 4 เป็นเรื่องตบท้าย ที่ทำให้เข้าใจ แล้วยังให้มุมสะท้อนใหม่ว่า ภายใต้พฤติกรรมที่ใช้ความรุนแรงเป็นทางออก มีแรงจูงใจบางอย่างซ่อนอยู่ในตัวผู้กระทำ เรื่องหลังนี้เป็นหนังแอ๊คชั่นที่ผนวกอารมณ์ขันไว้หลายซีน
ไม่ได้ดูหนังไปดูอารมณ์ตัวเองไปหรอกค่ะ ทำได้อย่างน้องสร้อยว่าแล้วดูหนังสนุกด้วยก็ยอดคนแล้ว
เคยได้รับคำสอนว่า หนังแต่ละเรื่องมีบทเรียนซ่อนอยู่ ขึ้นกับการตั้งโจทย์ ไปดูหนังมาแล้ว ก็ใช้ประโยชน์จากหนัง มาตอบอารมณ์บางอย่างที่ยังจับต้องได้ว่า ยังค้างคาในตัวเองแล้วทำให้ไม่สดชื่น ลองหาคำตอบแล้วสรุปออกมาเมื่อกลับมาบ้านแล้ว ปรากฏว่าปลดอารมณ์ที่ค้างคาได้ผล ตะกอนอารมณ์ไม่เหลือให้จับต้องได้อีก เรื่องราวของบันทึกก็เป็นอะไรที่ได้มาระหว่างการหาคำตอบ เผื่อจะเป็นประโยชน์กับใครก็เลยบันทึกไว้แบ่งปันค่ะ