อารมณ์หลอน

อ่าน: 1506

ในช่วงกว่าสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ ให้เวลาไปกับหนังแอ๊คชั่นที่มาในรูปของการทำงานแบบสายลับหลายเรื่อง เรื่องหลักๆที่ดูก็เป็น เจมส์บอน 007  เมื่อคืนก็ไปดูหนังกับลูกสาว เป็นหนังแอ๊คชั่นทำนองเดียวกันอีกนั่นแหละ เรื่อง Mission Impossible 4

ระหว่างดูก็สัมผัสว่าหนังทำนองนี้ขายฝัน แต่ละซีนที่ผ่านตาในหนังสะท้อนความสำคัญของการมีรหัสและการถอดรหัส  ชวนให้ย้อนรำลึกไปถึงช่วงเวลาที่เผชิญกับความงอม ที่อารมณ์ในแต่ละวันแปรปรวนหลายหลากรสไปโน่นเลย แปลกจริง

เห็นภาพในช่วงที่โงหัวจากการถูกบอมบ์ให้ “งอม” เห็นเวลาที่ผ่านว่าสอนอะไรให้หลายอย่าง หลายเรื่องหลายราวที่ผันผ่านก็เหมือนดังลำดับเหตุการณ์ในหนังแต่ละเรื่องที่ผ่านตา

อืม…ภาวะ “งอม” นี่เป็นวังวนหมุนไปมา  มีฐานกาย ฐานใจ ฐานอารมณ์  ฐานความคิด เกี่ยวพันกันอยู่อย่างแน่นหนากับคำว่า “อยู่รอด อยู่ร่วม และอยู่อย่างมีความหมาย”

“การอยู่” สร้างแรงจูงใจให้เกิดสัมพันธ์  มีฝ่ายเริ่มต้น มีฝ่ายถือกุญแจ เป็นกุญแจที่ไขประตูเพื่อก้าวไปพบกับการอยู่ทั้งสามของทั้ง 2 ฝ่าย

สภาวะรู้ตัว สติ ต่างระดับกันไป มีผลต่อทุกขณะที่ดำรงอยู่และ “ความคิด”  ความคิดทำให้เกิด “การเห็น” และ “คำตัดสิน”

ฐานกาย ฐานใจ ฐานอารมณ์ ฐานความคิดมีเอี่ยวกันตลอดเวลา การเห็นเป็นความสัมพัทธ์ที่แปรเปลี่ยนได้ตลอดเวลา เป็นเรื่องสัมพัทธ์ที่เกิดขึ้นภายในตัวคนที่มีคู่สัมพันธ์เด้งไปเด้งมาหลายช่วงหลายระนาบของฐานทั้งสี่

“การเห็น” มีอิทธิพลต่อการหยิบกุญแจเปิดประตูเพื่อ “การอยู่”  การอยู่ของผู้ถือกุญแจไขประตูสำคัญพอๆกับการเห็นของผู้ขอกุญแจไขประตู

ในช่วงที่งอมก็ได้ฝึกการรับรู้ที่ทำให้เกิดการเห็น เมื่อไรฐานกายอ่อนพลัง ฐานความคิดไหลไปกับแรงจูงจากภายนอก ฐานใจไหลไปตามความเชื่อ หากทิศทางการไหลของพลังฐานใจ ฐานความคิดไปด้วยกัน เสริมกัน เมื่อนั้นฐานอารมณ์จะถูกมอบให้เป็นตัวเข็มทิศนำทางได้ง่ายดาย

ที่โงหัวขึ้นมาได้ก็มีปิ๊งแว๊บเข้ามาช่วยไว้  ช่วยให้เห็น “การอยู่อย่างมีความหมายของคนแต่ละคนไม่ใช่เรื่องเดียวกัน”

เมื่อไรประตูที่เปิดสู่ “การอยู่อย่างมีความหมาย” ของผู้ถือกุญแจและผู้ขอกุญแจต่างกัน เมื่อนั้นถ้าไม่ปรับเข็มทิศ การเปิดประตูผิดบานจะเกิดขึ้น แล้วยังมีแถมเปิดประตูอื่นผิดบานไปด้วย

หลังประตูที่ถูกเปิด อารมณ์ที่พร้อมจะทำหน้าที่เป็นเข็มทิศอยู่ทุกเมื่อจะรออยู่  จะทำหน้าที่เป็นบอมบ์หรือสงบเสงี่ยมเป็นแค่เครื่องมือนำทางรอให้หยิบใช้ อยู่ที่รหัสที่ไปผูกไว้กับกุญแจประตูแต่ละบานของผู้เปิด

ความเข้าใจรหัสของฝ่ายถือกุญแจและขอกุญแจที่ให้รหัสกับความหมายของการอยู่ทั้งสาม เป็นหัวใจสำคัญของการถอดชะนวนบอมบ์

บ่อยไปที่ก่อนเปิดประตู แต่ละฝ่ายลืมเช็ครหัสที่ตนกำหนดให้กับการอยู่ ลืมเช็ครหัสที่เคยให้ไว้ในกุญแจ

เมื่อไรลืมเช็ค ความไม่ชัดแจ้งว่าประตูที่กำลังจะไปเปิดเป็นประตูใด ใช้รหัสใด ไม่ทันเห็นว่ากุญแจที่หยิบมาใช้ตรงรหัสใดย่อมเกิดขึ้น

ความเป็นธรรมดา ธรรมชาติของอารมณ์เป็นของไหลที่เบา รหัสจึงเสมือนมอบหน้าที่เข็มทิศที่เป็นระเบิดเวลาอยู่ในตัวไว้ให้ด้วย

ความเข้าใจไม่ชัดแจ้ง ทำให้หยิบกุญแจผิดดอก ความไม่รอบคอบพอ ไม่เช็ค ไม่พร้อม ไม่รู้ ไม่เอ๊ะ มั่นเกินพอดีในจังหวะก่อนเปิดประตูของผู้หยิบกุญแจไข จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่ทำให้ไขกุญแจทีไร เข็มทิศเดินจนเกิดบอมบ์ทุกครา

วันนี้เห็นความงดงามและคุณค่าของเวลาที่ผลไม้งอมหลุดปลิดจากขั้วร่วงลงหาดิน เห็นความอ่อนโยนของดินที่รอรับผลไม้ผลนั้นอยู่ เห็นการร่วงหล่นลงดินอย่างช้าๆ

เห็นการกระทบหน้าดินที่มีผลสะท้อนตามหลักของแรง ขอบคุณแรงไหลที่ช่วยชะลอให้การหล่นเป็นความเบา ขอบคุณดินที่ให้ความเย็นชื่น ช่วยผ่อนปรนไอร้อนไม่ให้ผลไม้งอมที่ร่วงสู่ช้ำมากขึ้น

ขอบคุณเวลาที่หน่วงช้า เนิ่นนานอย่างพอดี ที่ทำให้วันนี้สามารถเดินมาถึงจุดโงหัวตั้งเต็มที่ได้  โงหัวได้ก็มีแรงเดินหน้าลงมือกับอะไรๆที่อยู่ในมือให้รับผิดชอบได้ต่อไปอีกระยะ

ขอบคุณฐานคิดที่ปล่อยวาง ทำให้ได้เวลาให้ตัวเองได้ผ่อนพัก ขอบคุณหนังที่ช่วยเพิ่มแรงและพลังให้ ชาร์จไฟเพิ่มให้ฐานกายมีแรงและพลังขึ้น ขอบคุณฐานใจที่มีความแน่นหนักคอยหน่วงฐานคิดให้ช้าลง จนสามารถล้างฝุ่นเปื้อนฐานอารมณ์ออกไปได้อีกครั้ง

วันนี้รู้สึกดีใจ และปิติใจ มีแรงขึ้นมากพอที่จะลุกมาเขียนบันทึกไว้อ่าน ขอบคุณตัวแสดงในหนังที่ช่วยสะกิดให้เห็นชิปดีๆที่ทำหล่นหายจนสามารถเก็บคืนกลับมาใช้งานได้ใหม่

24 ธันวาคม 2554

บันทึกอื่น

1. “ชิป” นี้ใครฝัง

2. เหยื่ออารมณ์

3. ธรรมชาติของอารมณ์

4. งอม

5. คุย คุย คุย ถาม ถาม ถาม

« « Prev : งอม

Next : สั่งทำไมกันเล่า » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

4 ความคิดเห็น

  • #1 withwit ให้ความคิดเห็นเมื่อ 24 ธันวาคม 2011 เวลา 16:29

    ผมไม่ได้ดูหนังอย่างจริงๆ มาสัก ๒๕ ปีได้แล้ว เพราะดูทีไรมีแต่ความเครียด เนื่องจากเห็นแต่ความไม่พิถีพิถันของผู้กำกับ (แม้หนังราคาแพงหูฉี่) เช่น นางเอกหมุนโทรศัพท์หาตำรวจตอนถูกผู้ร้ายไล่ล่า แหม เธอจำเบอร์ได้แม่นจริงๆ แถม หมุนแต่เลขต่ำๆ (ในโทรศัพท์แบบหมุน) หรือ กดเลขตัวใกล้ๆกัน (ในโทรศัพท์แบบกด)

    แต่ผมหันมาดูลิเก หมอลำ ลำตัด เพลงโคราช มากขึ้น ก็เครียดอีกแหละ โดยเฉพาะพวกตัวละครผู้ชาย ทำไมต้องใส่นาฬิกา (เรือนทอง) ด้วย ..เป็นเหมือนกันทุกคน

    เฝ้าดูตนเองน่าจะดีที่สุด (ก็เครียดอีกแหละ…อิอิ)

  • #2 อุ๊ยสร้อย ให้ความคิดเห็นเมื่อ 24 ธันวาคม 2011 เวลา 21:00

    ตกลงว่าพี่ดูอารมณ์ตัวเองย้อนหลังขณะดูหนังหรือคะพี่ สุดยอดจริงๆ ที่เทียบเคียงได้

    ว่าแต่ว่า……พี่ดูหนังหนุกแบบที่หนังเขาตั้งใจให้เป็นไหมคะ อิอิ

  • #3 สาวตา ให้ความคิดเห็นเมื่อ 25 ธันวาคม 2011 เวลา 9:28

    #1 โดยส่วนตัวใช้เวลาว่างเติมความสนุกส่วนตัวกับต้นไม้ ใบหญ้า หนังสือ และเดินตลาดซะมากกว่าดูหนัง ไม่ดูหนัง ดูละครมานานเหมือนกัน จนลูกสาวกลับมาอยู่บ้าน ส่วนใหญ่ที่ไปดูก็เป็นลูกสาวชวน แต่ก่อนเป็นคนชอบดูลิเกเหมือนกัน คนในครอบครัวไม่มีใครชอบ เวลาไปเที่ยวงานเมื่อเจอลิเกก็เลยต้องเลือก จะดูหรือจะไปต่อกับคนในครอบครัว เลือกดูลิเก เวลาที่ครอบครัวจะอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าก็จะหายไป ก็เลยไม่ได้ดูลิเกมานานมากแล้ว ก็ใช้วิธีชดเชยด้วยการดูละครจักรๆวงศ์ๆแทน

    ไม่เคยฝึกดูแบบจับหลุด ดูทีไรมุมเปลี่ยนแปลงของหนัง ของความสามารถคน มุมแปลกตา-แปลกใจทำให้สนุกทุกทีไป ก่อนจะไปดูจะเช็คตัวเองก่อนว่าพร้อมดูแค่ไหน พร้อมดูก็จะไป

  • #4 สาวตา ให้ความคิดเห็นเมื่อ 25 ธันวาคม 2011 เวลา 9:29

    #2 เรียกว่าถามตัวเองว่าได้อะไรจากหนังนอกจากความสนุก เห็นอะไรที่ซ่อนลึกอยู่ในอารมณ์ของตัวแสดงที่เป็นด้านบวก เห็นมโนธรรมหรือแรงจูงใจอะไรในตัวคนมากกว่า หนังให้คำตอบบางอย่างเกี่ยวกับคำ 2 คำ ว่าในชีวิตจริงเส้นแบ่งเป็นอย่างไรแก่พี่ 2 คำนั้น คือ “Sympathy” และ “Empathy”

    ดู 007 มาหลายตอน เห็นพฤติกรรมซ้ำๆที่ 007 กระทำกับคนที่มีความสัมพันธ์กับเขาก็ยังไม่เข้าใจเท่าไร Mission Impossible 4 เป็นเรื่องตบท้าย ที่ทำให้เข้าใจ แล้วยังให้มุมสะท้อนใหม่ว่า ภายใต้พฤติกรรมที่ใช้ความรุนแรงเป็นทางออก มีแรงจูงใจบางอย่างซ่อนอยู่ในตัวผู้กระทำ เรื่องหลังนี้เป็นหนังแอ๊คชั่นที่ผนวกอารมณ์ขันไว้หลายซีน

    ไม่ได้ดูหนังไปดูอารมณ์ตัวเองไปหรอกค่ะ ทำได้อย่างน้องสร้อยว่าแล้วดูหนังสนุกด้วยก็ยอดคนแล้ว

    เคยได้รับคำสอนว่า หนังแต่ละเรื่องมีบทเรียนซ่อนอยู่ ขึ้นกับการตั้งโจทย์ ไปดูหนังมาแล้ว ก็ใช้ประโยชน์จากหนัง มาตอบอารมณ์บางอย่างที่ยังจับต้องได้ว่า ยังค้างคาในตัวเองแล้วทำให้ไม่สดชื่น ลองหาคำตอบแล้วสรุปออกมาเมื่อกลับมาบ้านแล้ว ปรากฏว่าปลดอารมณ์ที่ค้างคาได้ผล ตะกอนอารมณ์ไม่เหลือให้จับต้องได้อีก เรื่องราวของบันทึกก็เป็นอะไรที่ได้มาระหว่างการหาคำตอบ เผื่อจะเป็นประโยชน์กับใครก็เลยบันทึกไว้แบ่งปันค่ะ


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่
You must be logged in to post a comment.

Main: 0.046759843826294 sec
Sidebar: 0.12824296951294 sec