งานเลี้ยง…กับกรดยูริก

อ่าน: 3724

เย็นนี้ที่กระบี่มีงานใหญ่ เป็นงานแต่งงานระดับอภิมหางานของจังหวัดทีเดียวเชียว แขกใหญ่ที่มางานเป็นถึงระดับนายกรัฐมนตรี 2 คนทีเดียวเชียวนา คนหนึ่งในขณะนี้ดำรงตำแหน่งอยู่ ณ ปัจจุบัน อีกคนก็เป็นผู้ที่ทำประวัติเอาไว้กับการเป็นนายกรัฐมนตรีถึง 2 สมัย

งานใหญ่ระดับนี้ ข้าวปลาอาหารจึงอยู่ในระดับเลิศอลังการ คำว่าอลังการนั้นหมายถึง อาหารไม่พ้นมีเมนูเนื้อสัตว์ที่หายากเป็นใหญ่ ของหวานที่จัดมาเสิร์ฟแน่นอนว่าต้องเลิศ หากินได้ยาก  เมนูอาหารวันนี้เข้าเค้าที่พูดมา้ทั้งหมดเลย

เมนูที่จัดให้มีทั้งหมด 10 รายการสำหรับคน 10 คนที่นั่งร่วมโต๊ะเดียวกัน รายการมีดังนี้ : เม็ดมะม่วงอบเนย ออร์เดิฟจีน 5 อย่าง (มีขนมจีบหมู  ปลาสวรรค์ทอด แฮ่กึ้น ไส้กรอกฝรั่ง  ปีกไก่ทอดราดซอส ) หูฉลามน้ำแดงตุ๋นยาจีน เป็ดปักกิ่งหันฮ่องกง สลัดกุ้งกรอบแคนตาลูบกระเช้าเผือก เป๋าฮื้อน้ำแดงเจี๋ยนผักกาดขาวจีน ปลาฮาลองเบนึ่งมะนาว ข้าวอบเผือกห่อใบบัว ต้มยำกุ้งใหญ่น้ำข้น ข้าวเหนียวเผือกราดแปะก้วย

เห็นเมนูก็เริ่มคิด ชีวิตไฮโซนี่มีความเสี่ยงชะมัดเลย แต่ก่อนหลบเลี่ยงได้ไม่อยากไปเสี่ยงก็วานคนอื่นให้ไปแทนตัวได้ เดี๋ยวนี้ไม่อยากเกี่ยวก็ต้องเข้าไปเกี่ยวด้วยเป็นความจำเป็นตามหน้าที่การงาน ไปแล้วก็เตือนตัวเองต้องปรับตัวดึงความรู้ออกมาใช้ให้ทันการไปด้วยกันกับการกิน ประคองสติไว้ อย่าลืมตัว อย่าลืมตัว

มองเห็นเมนูกันแล้ว ฝึกสมองลองปัญญากันหน่อยว่าไปร่วมในงานแล้วเจออาหารเมนูแกรนด์ขนาดนี้ ทำยังไงจึงจะทำให้ตัวไม่ก้าวเข้าไปอยู่ในกลุ่มใกล้ป่วยหรือกลุ่มป่วยโรคเก๊าท์หรือนิ่วจากกรดยูริกเมื่องานเลิกราลงไป

วันนี้ลองทำอย่างมีสติเมื่ออยู่ในงาน วิธีกินไม่มีอะไรตายตัว เทคนิควิธีกินเป็นศิลปะที่ไม่มีใครสามารถลอกเลียนใครได้นะคะ  นำมาแลกเปลี่ยนกันมีแต่ได้กับได้ ในการไปปรับใช้กับตัวเอง  เรื่องราวของการกินที่ทำลงไปนั้น มีอย่างนี้ค่ะ

หลักหนึ่งที่ใช้คือ ใช้ความรู้  กินพืชมากกว่าสัตว์ เข้ามาประยุกต์  โชคดีที่งานนี้ วางเมนูไว้ให้รู้ก่อนจะมีการเสิร์ฟอาหาร จึงสามารถใช้ประเมินว่าที่ตั้งใจกินตามหลักที่หนึ่งนั้นสามารถทำได้มากน้อยแค่ไหน

อือฮือ ทำได้ยากเพราะเมนูทั้งหมดมีพืชน้อยกว่าน้อยมีเพียง 3 เมนูที่เป็นพืชล้วนๆ  แต่ก็ได้ข้อตัดสินเมนูไหนกินมากได้ เมนูไหนให้กินน้อยๆ

หลักหนึ่งใช้ได้ยากก็นึกไปถึงหลักสองจะนำความรู้อะไรมาใช้  มองไปบนโต๊ะเห็นน้ำอัดลมและน้ำเปล่าธรรมดาวางไว้ให้ดื่มพร้อมน้ำแข็งวางให้หยิบตักได้สบายๆ ไม่มีเหล้า เบียร์วางไว้ให้อึดอัดใจ

เจ้าของงานออกมาประกาศก้องตั้งใจเต็มที่ลดดื่มเหล้า-เบียร์ในงานมงคลครั้งนี้ งดไปด้วยเหตุว่าเป็นต้นเรื่องที่คิดจัดงบให้สสส.ทำงานเรื่องงดเหล้า้จนสสส.เจริญเติบโต

ในเมื่อมีเมนูพืชให้เลือกไม่มาก จำเป็นแล้วที่จะต้องใช้หลักอื่นมาร่วมด้วยช่วยกัน

หลักสองที่นำมาใช้ จึงดึงความรู้เรื่องน้ำตาลน้อยๆมาใช้เพิ่มเติม  เครื่องดื่มในมื้อนี้จึงเลือกน้ำเปล่าที่ไม่เย็นดื่มลงท้องแทนน้ำอัดลม

ตามด้วยคิดไว้ต่อหลักสามที่จะใช้ เป็นเรื่องอะไร ระหว่างที่นั่งคิด เมนู 2 ชนิดก็มาวางตรงหน้า เมนูออร์เดิฟและเมนูเป็ดหัน

รายการในออร์เดิฟ มองปราดเร็วๆน่าจะกินปลา  หยิบจับมาลองดู อื้อฮือ ลิ้นสัมผัสผงชูรสเข้าเต็มเปาเลยเชียว

หลักสาม “กินเกลือน้อยๆ” พลันปรากฏออกมาเตือนว่า้เมนูปลานี้ควรกินแค่ชิมๆ พร้อมมีคำเตือนตนว่าในมื้อนี้ดื่มน้ำให้เยอะไว้ๆ เป็นหลักที่สี่

รายการออร์เดิฟอื่น เมินหนีไปเลยกับเรื่องของไก่ เนื้อไก่มีพิวรีนสูง กินไปก็เพิ่มกรดยูริกเข้าไป แล้วเจ้า 4 รายการนั้นล้วนเป็นอาหารเค็มซะด้วยซิ ไม่กินมันดีกว่า ตัดสินใจได้เลย

หันมองเมนูเป็ด อือฮือ หนังกรอบ เนื้อไม่มีมันน่ากินๆ  คำเตือนมาปรากฎ “เป็ดก็เหมือนไก่เป็นแหล่งที่ให้พิวรีนสูง”

หลักที่ห้า่ที่ปรากฎ “กินอาหารที่มีพิวรีนแต่น้อย” เมนูเป็ดที่กินไปจึงเป็นแค่ลองชิมรสเป็ดเพียงชิ้นสองชิ้นเท่านั้น

เมนูที่เสิร์ฟต่อ หูฉลามน้ำแดง เอ๊ะ อย่างนี้ ใช้หลักอะไรดีในการเลือกกินกันเล่า มองดูในชามใส่ มีครีบฉลาม มีไก่ปะปนพร้อมน้ำเหนียวๆที่ทำจากแป้ง

นึกได้ทำอย่างนี้ เมนูนี้มาจากสัตว์ กินให้น้อยเอาไว้ตามหลักหนึ่งดีกว่า ว่าแล้วก็ตักมากินแค่ถ้วยเดียวพอแล้วๆ

กินแล้วรู้สึกเค็ม อีกแล้วละนี่ใส่ผงชูรสอีกแล้วซิ  โชคดีที่ตั้งไว้จะดื่มน้ำให้มากไว้ตั้งแต่ต้น  ดื่มต่่อไว้แล้วกัน

เมนูนี้เลยได้คำทำนาย “มีหวังวันนี้ได้เกลือเกินจากอาหารในงาน”

เมนูต่อมาเป็นสลัดกุ้งแคนตาลูบกระเช้าเผือก  เป๋าฮื้อน้ำแดงเจี๋ยนผักกาดขาว เมนูนี้สบายหน่อย ใช้หลักหนึ่งเช่นกันในการเลือกกิน คราวนี้กินแต่พืช (ซึ่งมีแคนตาลูบ  เผือก ผักกาดขาว และเห็ดหอม) ละกุ้งเอาไว้ไม่กินๆ

เหตุผลที่ไม่กินกุ้งด้วยมีส่วนไปเอี่ยวกับการมีพิวรีนสูงเช่นไก่ เป็ดค่ะ

เมื่อถึงเมนูปลานึ่งมะนาวถูกเสิร์ฟวางลงบนโต๊ะให้นั้น  ส่วนประกอบในเมนูไม่มีผักอยู่ด้วยเลย จะมีก็เพียงแต่่พริกและกระเทียมที่ปนอยู่ในน้ำราดปลาเท่านั้นเอง

คราวนี้้กลับไปใช้หลักข้อสาม ย้ำเตือนตัวเองอีกครั้งดื่ื่มน้ำเพิ่มไว้ ดื่มไว้ๆ

เนื้อปลากินมากหน่อยตามส่วนที่ควรกินแบ่งปันกัน แต่ให้ระวังหน่อยกับการตักน้ำราดกินเข้าไปด้วยกับเนื้อของปลา

กินปลายังไม่หมด ต้มยำกุ้งก็เสิร์ฟมาเป็นเมนูที่ 8 คราวนี้มีชั่งใจ กินกุ้งดีไหม  สุดท้ายตัดสินใจ กินก็กิน  บรรจุใส่ท้องไปด้วยจำนวนสองตัวขนาดกลางๆ

เมนูถูกต่อด้วยข้าวอบเผือกห่อใบบัวดูน่ากิน  เมื่อเห็นเมนูนี้ก็กลับไปใช้หลักข้อหนึ่งอีกครั้งในการเลือกกิน แต่มีใช้หลักเพิ่มเป็นหลักข้อหกซึ่งคือเรื่องนี้  “กินน้ำมันน้อย” เป็นหลักด้วย  มื้อนี้จึงกินข้าวเข้าไปในจำนวนเพียงแค่ทัพพีเดียวเท่านั้นเอง

เหตุผลที่กินแค่นี้ก็ด้วยตาเหลือบแลเห็นเมนูสุดท้ายน่ากินค่ะ  เมนูสุดท้ายเป็น ข้าวเหนียวเผือกราดแป๊ะก๊วยที่มีน้ำตาลราดมาเยอะเลยค่ะ

หลักที่ใช้เลือกเมนูสุดท้ายเข้าปากก็คือ ตักมากินแค่แป๊ะก๊วยและเผือกค่ะ ละตัวข้าวเหนียวไม่แตะต้องมัน

นั่งอยู่จนงานเลิกใช้เวลาไปนานโขร่วม 4 ชั่วโมงเต็มๆเชียวแหละค่ะ

ดีใจที่ภายใน 4 ชั่วโมงนี้ ฉันดื่มน้ำเข้าไปได้รวมลิตรครึ่งทีเดียว

วันนี้เชื่อมั่นว่า่กินอาหารดื่มน้ำเข้าไปแล้ว ได้ช่วยดูแลไตให้ทำงานเบาๆ แล้วก็ไม่เสี่ยงต่อการมีกรดยูริกในเลือดสูงแน่นอน

แต่เรื่องของเกลือนั้น คงได้มาเกินกว่าที่ธงต้องการ ก็ดื่มน้ำไปขนาดนี้ กลับถึงบ้านแล้วยังรู้สึกกระหายน้ำในคออยู่เลยค่ะ

คืนนี้เวลาดึกแล้ว ขอลาไปนอนก่อนนะคะ เมื่อไรมีเวลาจะมาเล่าต่อเรื่องราวของกรดยูริกสูงบอกแนวโน้มของโรคอะไรได้อีก

« « Prev : อากาศหายใจ…เกี่ยวอะไรมั๊ยกับกรดยูริก

Next : แหล่งอาหารที่เป็นต้นแหล่งให้กรดยูริคเกิดขึ้นในร่างกาย (พิวรีน) » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

2 ความคิดเห็น

  • #1 sutthinun ให้ความคิดเห็นเมื่อ 17 ธันวาคม 2009 เวลา 3:17 (เช้า)

    กำลังตกอยู่ในอาการเดียวกัน เรื่องอาหารเริดทั้งหลาย
    ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เคยเล่าว่า
    ไปกินโต๊ะละล้าน กลับมาหมอจับตรวจ
    ความผิดปกติพุ่งปรี๊ด
    ท่านเลยบอกว่า  อาหารประหารชีวิตคน ยิ่งเริดยิ่งนำไปสู่นรก
    กินน้ำพริกปลาทูดีที่สุดนะหมอ
    งานเลี้ยงไหนจะเขียนว่า “โต๊ะไทย โต๊ะลาว” แทน “โต๊ะจีน” มีบ้างไหม?

  • #2 สาวตา ให้ความคิดเห็นเมื่อ 17 ธันวาคม 2009 เวลา 7:37 (เช้า)

    การใช้ชีวิตนอกครัวเรือนมีความเสี่ยงในเรื่องของอาหารมากมายอย่างที่เห็น
    ด้วยอาหารเป็นเรื่องเกี่ยวกับการสร้างอาชีพของผู้คนที่รัฐส่งเสริมเอาไว้
    ในเชิงระบบจึงมีหลายมุมที่ยังต้องการความรู้เพื่อให้สามารถเดินหน้าต่อไปได้ เพื่อให้ครัวไทยยังเป็นครัวโลกต่อไป
    เป็นการเดินที่ไม่ทำลายวัฒนธรรมด้านอาหารที่งดงาม เพราะผู้คนกลัวการเป็นโรคค่ะ


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่
You must be logged in to post a comment.

Main: 0.13741302490234 sec
Sidebar: 0.065270900726318 sec