อยู่กับก๋ง..

ไม่มีความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ มีนาคม 10, 2012 เวลา 16:37 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 2061

(ภาพจากเหมืองหงสา แขวงบริคำไซ ลาว)

 

เด็กในเมืองใช้เวลาทำอะไรบ้าง สมัยนี้ก็อยู่หน้าจอ Tablet จิ้มโน่นจิ้มนี่ไปเรื่อย นัยว่าเด็กชุดนี้รอบรู้ทะลุโลกไปเลย

แต่เด็กชนบทในรูปนี้ เวลาว่างของเขาก็ชวนกันออกไปป่าข้างบ้าน ไปเก็บเอาดอกก๋ง ดอกแขม หรือแล้วแต่ภาษาถิ่นจะเรียกกัน เอามาผึ่งลมแดดให้แห้งเคาะๆเอาดอกออกไปเหลือแต่ก้านดอก แล้วก็เอาไปขายต่อให้คนเอาไปทำไม้กวาด บางครอบครัวก็มีผู้ใหญ่ทำไม้กวาดเองที่บ้าน

 

เด็กที่ออกไปชายป่าไปเก็บสิ่งของนี้ ก็เหมือนการเรียนรู้โดยไม่ได้เรียน เขาไปกับรุ่นพี่ และพี่ๆก็จะบอกเรื่องโน้นเรื่องนี้ ทำโน่น ไม่ทำนี่ เล่าเรื่องที่พี่เคยผ่านมาแล้ว ทั้งสนุกและเป็นชีวิตจริง และทั้งหมดนั้นซึมเข้าไปในสำนึกของเด็กรุ่นใหม่เหล่านี้

การเรียนโดยไม่ได้เรียนนี้เป็นธรรมชาติของการบอกกล่าวกัน แล้วเรามากำหนดเองว่านี่คือการเรียนรู้ มันก็เลยมีกลิ่นอายของความเป็นระบบ ความเป็นวิชาการ ความเป็นสมัยใหม่ แต่อะไรก็ช่าง กระบวนการนี้เกิดมีการถ่ายทอดประสบการณ์ชีวิต ความรู้ต่างๆที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมนี้ ซึ่งเป็นองค์ประกอบรอบตัวของวิถีชีวิตเขา เอาไปใช้ได้ทันที ไม่ต้องปรุงแต่งอีก


ทำไมต้องสวนป่า

7 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ มีนาคม 6, 2012 เวลา 15:32 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 1618

 

ทำไมพระที่แสวงการหลุดพ้นจึงต้องออกไปปลีกวิเวกในป่า…

ทำไมความอุดมสมบูรณ์ที่สุด อยู่ในป่า….

ทำไมความหลากหลายทางชีวภาพที่มากที่สุดอยู่ในป่า…

พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ในป่า..

 

ทำไมการแสวงการหลุดพ้นจึงไม่เข้ามาศึกษาสรรพวิชาความรู้ในกลางเมือง..

ทำไมความอุดมสมบูรณ์ที่สุด ไม่ได้อยู่กลางเมืองหลวงหรือ….

ทำไมความหลากหลายทางชีวภาพที่มากที่สุดไม่ได้อยู่ในเมืองใหญ่…

พระพุทธองค์ไม่ทรงมาตรัสรู้ในเมือง..

 

ผมไม่ได้กำลังบอกว่าสวนป่าของพ่อครูบาเป็นป่าทิพย์ ใครไปสวนป่าแล้วจะวิเศษวิโสกลับออกมา

มันไม่ได้เป็นเช่นนั้น และไม่มีทางที่จะเป็นเช่นนั้น

 

แต่ผมต้องยอมรับว่าที่สวนป่าเรียนไม่รู้จบจริงๆทั้งที่สองมือของพ่อครูปั้นมันขึ้นมา และธรรมชาติแห่งป่าได้ผลิตความรู้ขึ้นมาเอง เพียงแต่ว่า ผู้มาเยือนจะเห็นหรือไม่ สัมผัสมันได้หรือไม่ รับรู้ได้หรือไม่ แน่นอนก้าวแรกนั้นต้องอาศัยพ่อครูเอื้อนเอ่ย หรือเคาะกะโหลกออกมา แต่ภายหลังท่านอาจจะเห็นความรู้นั้นเอง

แค่พ่อครูพาเดิน บ่งบอกความรู้ก็มากมายจนเก็บไม่ไหว แต่นั่นเพียงเสี้ยวส่วนของพื้นที่ทั้งหมด ไม่ได้เขี่ยใบไม้มองลึกลงไปที่ผิวดิน ใต้ดิน

เราไม่ได้เดินออกนอกขอบที่พ่อครูพาเดิน

เราไม่ได้หยุดนิ่งฟังเสียงป่า

เราไม่ได้หยุดนิ่งไม่ได้ฟังเสียงภายใน

ผมคิดว่าไม่ใช่เฉพาะสวนป่าของพ่อครูบาเท่านั้นที่มีอะไรให้ศึกษามากมาย ป่าที่ไหนๆก็เหมือนกัน เพียงแต่ปัจจุบันเราเห็นป่าแต่ไม่เข้าใจป่า

ที่สวนป่าเราเห็นป่าและมีพ่อครูเคาะกะโหลกน่ะซีครับ

มีอะไรที่สวนป่า…..

บอกไม่ได้ ไปสัมผัสเองซิครับ


Mini meeting สวนป่า

5 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ มีนาคม 4, 2012 เวลา 22:41 ในหมวดหมู่ เฮฮาศาสตร์ #
อ่าน: 2020

ผม Sense เอาเองว่าเรามีความรู้สึกลึกๆร่วมกันอยู่ น้ำใจยังท่วมท้น เอื้ออาทรยังไหลหลั่งไม่สิ้นสุด ปรารถนาดีแก่กัน คิดคำนึงถึงเพื่อนที่ไม่อยู่ที่นี่ ถามไถ่หากัน ต่างเอ่ยปากมาว่า สักวันหนึ่งข้างหน้าเราคงพร้อมหน้าตามากกว่านี้

แม้ว่าจำนวนไม่สำคัญ แต่หากมีเงื่อนไขดีดี เหมาะสม ก็น่าที่จะไปกี๊บก๊าบกันบ้าง

สิ่งหนึ่งที่ผมพอใจคือ ได้ Update เพื่อนฝูงในกลุ่ม Update เรื่องราวที่อยู่ในความสนใจของสังคมใครมีข้อมูลอะไรก็เอามาบอกกล่าวเล่าไขกัน ใครมีมุกเด็ดๆอะไรก็เอามาฝากกัน คราวนี้น้องสร้อยปล่อยมุกเด็ดๆหลายเรื่อง จอมป่วนไม่ต้อบอก ขาดไม่ได้

ผมเป็นทึ่งกับน้องอารามน้องรักของผม เธอเงียบมากๆเอาแต่สนใจสิ่งโน้นสิ่งนี้ จ้องมองเตาดาโกต้าจนเตาเกือบแตก ถ่ายรูปมุมโน้นมุมนี้ เอาฟืนใส่ อบไก่ หุงข้าว ต้มผัก เก็บถ้วยเก็บชามไปล้างกับน้องครูอึ่ง น้องอึ่งอ๊อบ น้องอิ้งค์ น่ารักซะ

น้องอารามเงียบจนผมรู้สึกผิดปกติ ปล่อยให้จอมป่วนกับผมฝอยอะไรไปร้อยแปด พันเก้า เธอก็นั่งฟังยิ้มอยู่ข้างๆผม จนผมต้องไปเขย่าตัวบอกให้อารามคุยสักสิบนาที….อิอิ เท่านั้นเอง เธอก็คุยยาวไปเลย…..มีหลายเรื่องน่าสนใจ คนอาราย ชอบปลูกต้นไม้กลางคืน เก็บมะพร้าวกลางคืน….แต่สุขภาพกาย ใจ เยี่ยมจริงๆ น้องรักผมคนนี้

น้องหมอเจ๊นั้นเธอเป็นคุณหมอที่น่ารักมากๆ ผมว่าเธอตรงข้ามกับจอมป่วนนะ เพราะจอมป่วนน้ำไหลไฟดับ น้องหมอเจ๊นั่งนิ่งสงบ ฟัง ฟัง ฟัง ทั้งๆที่ผมว่าเธอมีอะไรอยากจะพูดเต็มไปหมด แต่น้องหมอที่น่ารักนั้นเธอปฏิบัติการฟังอย่างยิ่งยวด สมาธิเยี่ยมจริงๆ คราวที่พูดก็พูด

แม้ว่าจอมป่วนจะช่างพูด หรือพูดมากกว่าคนอื่น แต่ประเด็นน่าสนใจมากๆ ผมได้ Update เรื่องต่างๆเสมอ โดยเฉพาะสาระต่อทัศนะงานพัฒนาคน สังคม องค์กร บ้านเมือง จอมป่วนตอกย้ำสาระสำคัญๆที่ให้เราได้ตระหนัก

น้องจันทร์หรืออุ้ยของพวกเรานั้น ใบหน้าเธอนั้น ผมอยากจะเรียกว่า เป็นใบหน้าที่เติมบรรยากาศที่มีคามสุข ก็ใบหน้าเธอยิ้มตลอด เหมือนคนมีความสุขข้างในและอยากเผื่อแผ่ให้เพื่อนพ้องมีความสุขไปด้วย

ระหว่าที่ผมขับรถไปโคราชส่งน้องอิ้งค์และน้องหมอเจ๊นั้น เราก็คุยกันไปตลอดทาง ทราบว่า ผลงานของน้องจันทร์นั้นไปตอบคำถามของคณะที่เธอสังกัดอยู่จนเธอได้รับการยอมรับขององค์กรมาก มันต้องอย่างนี้ซีน้องเรา…..

คุณครูไม่ใหญ่น้องอึ่งนั้นเธอมาเรียนรู้ตลอดเวลา และพร้อมเสมอที่จะบริการอะไรก็ได้ให้เพื่อนฝูงพี่ๆน้องๆ เธอทำทุกอย่างจริงๆ สมกับเป็นผู้บริหารการศึกษายุคใหม่ เราชื่นชมผลงานของมงคลวิทยาเสมอมา และพร้อมที่จะสนับสนุนอะไรก็ได้ที่ทำได้

ส่วนน้องอึ่งอ๊อบที่น่ารักมากๆของผมนั้น ทราบว่าเธอสร้างวีรกรรมตั้งแต่เดินทางมาจากเชียงใหม่ พิษณุโลก …Samsung Tab ของเธอนั้นมีบทบาทมากในการสื่อสารของกลุ่มของเรา และเป็นเป้าให้เรานินทาเธอทั้งวัน

หากไม่กล่าวถึงน้องอิ้งค์ คงไม่จบบันทึกแน่ คนอะไร..ช่างเจ๊าะแจ๊ะจริงๆ แต่ความที่เป็นน้องน้อยเธอก็น่ารัก ตั้งประเด็นให้พี่พี่ถกกันยกใหญ่ และเธอก็จดเอ๊าจดเอา เป็นน้องที่ Active มากๆ อนาคตรุ่งแน่นอนที่มาสนใจศาสตร์แบบเฮฮา อิอิ คือไม่บ้าก็บรรลุไปเลย ห้า ห้า ห้า แซวเล่นนะน้องเรา

ระหว่างทางที่ผมขับรถไปส่งเธอที่โคราช เธอก็เจ๊าะแจ๊ะให้ไม่เหงาไปตลอดทาง บางช่วงน้องหมอเจ๊ก็หักมุมมาคุยเรื่องที่เกี่ยวกับเราสองคน พอเปิดประเด็นที่เกี่ยวกับน้องเล็ก หันไปถามเธอ อ้าว เธอหลับไปซะแล้ว……..โธ่ เธอปล่อยพลังงานมากไปหรือเปล่า จนเพลียหลับไป…

แม่หวีก็เป็นที่สุดของแม่บ้าน บริการตัวเป็นเกลียว พ่อครูบา แม้ว่าบางช่วงขณะจะเผลอนั่งหลับไปบ้าง ตื่นขึ้นมาก็เล่าเรื่องราวต่อได้คล่องแคล่วราวกับม่อยหลับไปเปิดกรุความรู้มา พ่อครูหุ่นเช้งวับไปเลยจะบอกให้ ก็พ่อครูทานผักเป็นวิสัยเสียแล้ว ดีมากๆ สุขภาพดี มากๆ ยืนยันด้วยเครื่องชั่งไฮเทคของน้องจันทร์ที่เอาติดตัวจับทุกคนถอดผ้า เอ้ยถอดรองเท้าถุงเท้ายืนตัวตรงบนตาชั่งให้น้องครูอึ่งจดตัวเลขค่าต่างๆมากมายบอกบ่งชี้สุขภาพของตัวตนคนนั้นๆ

ฮือ ฮือ….ผมกลุ้มไม่หยุดเลย ก็เครื่องชั่งนี่มันบอกว่าผมมีสุขภาพปานคนอายุ 71

ไม่ย๊อม ไม่ยอม จะทุบเครื่องชั่งก็เห็นใจน้องจันทร์ เห็นทีจะต้องเร่งสร้างกล้ามเนื้อ ลดไขมันกันพักใหญ่ๆแล้วหละเรา….

ม่ายงั้น อิอิ ไม่ออกน่ะซี….


เสื้อในตู้….

ไม่มีความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ กุมภาพันธ 28, 2012 เวลา 19:04 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 1324

 

มีเสื้อที่ผลิตออกมาแนวนี้เยอะ เห็นบ่อยๆ

และจำนวนไม่น้อยเป็นภาษาอังกฤษ

และผู้ใส่ไม่เข้าใจว่ามันหมายความว่าอะไร

บ้างมีความหมายที่ขำกลิ้ง บ้างประชด

บ้างเที่ยวบอกใครๆว่าไปที่นั่น ที่นี่ มาแล้ว

…………………………

แต่บางตัว ไม่กล้าแปลให้ผู้ใส่เข้าใจ

มันหวาดเสียวน่ะซี….

เฮ่อ….ในตู้เสื้อผ้าของท่านมีกี่ตัวล่ะ

อิอิ อิอิ


มิติของข้าว วิถีชุมชน

1 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ กุมภาพันธ 27, 2012 เวลา 21:04 ในหมวดหมู่ ชนบท, สังคม บ้านเมือง ประชาธิปไตย, เรื่องของชีวิต #
อ่าน: 2117

สมัยทีผมบวชเรียนที่สำนักวิปัสสนาไทรงาม รอยต่ออ่างทอง-สุพรรณบุรีนั้น แม้ว่าผมจะมีความสนใจหลักธรรม แต่ก็ไม่สามารถเข้าถึงเนื้อในของธรรมทั้งหลายได้ พระอาจารย์ธรรมธโร เจ้าสำนักท่านจึงกล่าวเสมอว่า ถ้าจะบวชก็ขอให้ครบพรรษา เพราะจะได้ใช้เวลาปฏิบัติให้มาก ท่านสอนว่า ไม่ต้องเอาหนังสือธรรมมาอ่าน ไม่ฟังวิทยุ ไม่อ่านหนังสือพิมพ์ ไม่ดูทีวี ให้สามเดือนมุ่งอยู่แต่การคู้ เหยียดแขน เพื่อจับความรู้สึกที่เกิดขึ้นและทำจิตให้นิ่ง…….

ท่านให้หลักมหาสติปัฏฐาน 4 เพ่งพิจารณา กายในกาย จิตในจิต…….ฯ ผมก็ไม่กระดิก เมื่อผมลาสิกขาออกไป กลับไปทำงานพัฒนาชนบท และย้ายสถานที่มาอยู่อีสาน ที่จังหวัดสุรินทร์ และเข้ารับการฝึกอบรมกระบวนการทำงานชนบทอีกครั้งกับ อ่านอาจารย์ เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง อ.มรว. อคิน รพีพัฒน์ และ….. เริ่มลงลึกถึงมิติของชุมชนมากขึ้น เนื่องจากท่าน อ.อคิน ท่านเป็นนักสังคมวิทยา เขียนตำราเรื่องคนนอกคนใน และเรื่องราวของชนบทไว้มาก จนมีคนแซวท่านไว้ว่า “เจ้าที่ทำตัวเป็นไพร่” ผมได้เรียนรู้จากอาจารย์ทั้งสองท่านมากมาย และเมื่อย้อนกลับไปนึกถึงสมัยที่บวชเรียน ก็ร้องอ๋อ…. มิติแห่งธรรมนั้นลึกซึ้งมาก ตาเนื้อมองไม่เห็น แต่ต้องใช้ตาปัญญามอง ถึงจะเห็น ถึงจะสัมผัสมิติด้านในได้..


กองข้าวที่เห็นนี้ ก็ไม่เห็นมีอะไร ก็แค่กองข้าว….. นี่คือตาเนื้อที่เราเห็น แต่ความหมายนั้นมากกว่าการเห็นแค่การเก็บข้าวเปลือกไว้

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ข้าวคืออาหารหลักของชาวบ้าน มีข้าวไม่มีข้าวคือเรื่องใหญ่ กับข้าวเรื่องเล็ก หรืออาหารที่จะกินกับข้าวนั้นหาง่าย ชาวบ้านอยู่กัน 5 คน เขารู้ว่าจะต้องเก็บข้าวเปลือกไว้กินกี่ถุง กี่กระสอบ

ปกติเขาจะเก็บข้าวไว้ให้มากพอที่จะกินถึงสองปี…. นี่คือวิถีชุมชน เพราะเป็นหลักประกันว่าหากปีไหนนาล่ม หรือเสียหายก็ยังมีข้าวกิน หากไปไหนๆ ไม่มีความเสียหาย ก็เอาข้าวเก่าไปขายเอาข้าวใหม่เก็บเข้าแทนที่ตามจำนวนที่กินได้สองปี นี่คือระบบคิดรักษาความปลอดภัยไว้ก่อน

ปัจจุบันความต้องการใช้เงินมีมากขึ้น โดยเฉพาะเงินที่จำเป็นต้องใช้จ่ายเพื่อการศึกษาลูก หากเปิดเทอม ลูกต้องการค่าเทอม หากไม่มีเงินเก็บ ก็พิจารณาตัดสินใจว่าจะเอาข้าวส่วนเกิน หรือไม่เกินก็ตามแต่จ้ำเป็นต้องหาเงินให้ลูก ก็ต้องแบ่งข้าวเปลือกไปขาย ขนาดของถุงนั้นพอดี เหมาะสำหรับการเคลื่อนย้าย เหมาะสำหรับการกะปริมาณข้าวที่ต้องขายกับจำนวนเงินที่ต้องการได้มา แน่นอนหลายครอบครัวตัดสินในขายวัวทั้งตัว และเก็บข้าวไว้กิน

ข้าวเหล่านี้ แบ่งเอาไปเป็นเมล็ดพันธุ์ได้ สำหรับฤดูกาลเพาะปลูกต่อไป แต่หลายแห่งจะแยกออกไปต่างหาก ไม่ปะปนกับจำนวนนี้

ข้าวเหล่านี้สามารถแบ่งเอาไปทำบุญ ในงานประเพณีต่างๆขอกลุ่มชนเผ่า ของท้องถิ่น ทั้งเอาไปบริจาคที่วัดใกล้บ้าน หรือมีผู้ภิกขาจารมาขอข้าวก็แบ่งเอาไป หรือบ้านอื่นๆขาดข้าวก็เอาสิ่วของมาแลกข้าว ก็แบ่งเอาไป ปีหนึ่งๆมีการบริจาคข้าวเปลือกเพื่องานบุญในวาระต่างๆไม่น้อยทีเดียว เพราต่างหมู่บ้านก็มาบอกบุญ ข้ามตำบล ข้ามอำเภอก็พบบ่อยๆ

แบ่งข้าวให้ญาติพี่น้องที่ขาดแคลนข้าว แบ่งให้ลูกหลานเอาไปกินในต่างถิ่น แม้ลูกหลานมาทำวานกรุงเทพฯ กลับบ้านไปเยี่ยมพ่อแม่ เมื่อคราวกลับไปงาน พ่อแม่ก็เอาข้าวให้ไปกิน

ข้าวจึงมีคุณค่า มีมูลค่ามากกว่าแค่เอาไว้กินเป็นอาหารหลักเท่านั้น ประเพณีพื้นบ้านจึงเกี่ยวข้องกับข้าวก็มี อย่างเช่น ประเพณี 3 ค่ำ เดือน 3 ที่อาว์เปลี่ยนและผมเคยเขียนไว้บ้างแล้ว เรียกพิธีทำขวัญข้าวที่ยุ้งฉาง หรือเรียกพิธีเปิดประตูเล้าข้าว ของพี่น้องไทโส้ดงหลวง และที่อื่นๆ

แต่มีอีกเหตุผลหนึ่งที่ผมเพิ่งทราบมาว่า การที่เอาถุงข้าวมาเก็บกองไว้ในบ้านแบบโจ่งแจ้งนั้นแทนที่จะเก็บไว้ในยุ้งฉางมิดชิด กล่าวกันว่าเป็นการแสดงออกถึงการมีฐานะ มีความมั่นคง มีหลักมีฐานของครอบครัวนั้นๆ แขกไปใครมาก็เห็น …??!!!

กองข้าว ที่มีความหมายมากกว่ากองข้าว

นี่คือมิติต่างๆของข้าว

นี่คือวิถีชุมชน..


สีอะไรก็ได้…

2 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ กุมภาพันธ 27, 2012 เวลา 6:30 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 2325

มะพร้าวสีอะไรก็ได้

ข้างในเป็นน้ำหอมทั้งหมด

(ภาพจากโรงเรียนไม้ไผ่ ลำปลายมาศ)


ชีวิตที่เกะกะ…

ไม่มีความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ กุมภาพันธ 26, 2012 เวลา 15:16 ในหมวดหมู่ สังคม บ้านเมือง ประชาธิปไตย #
อ่าน: 1892

หากท่านเป็นคนเดินดิน คือเดินไปไหนมาไหนบ้าง ก็อาจจะเห็นภาพเช่นนี้ได้ ภาพนี้ผมได้มาจากหน้าอาคารประชุมของอำเภอเมืองขอนแก่น ภายในห้องที่กว้างใหญ่จุคนได้นับพัน มักใช้จัดประชุมใหญ่ต่างๆของทางราชการ แทนที่จะไปเช่าโรงแรมก็มาใช้ที่นี่กัน รวมทั้งประชุมเรื่องแผนงานของอำเภอต่างๆ

ภายในห้องนั้นคุยงบประมาณกัน ปีละหลายพันล้านบาท ต่างระบุความสำคัญในการนำงบประมาณไปพัฒนาสังคม ประเทศชาติ ด้วยเหตุผลที่ฟังดูแล้ว บ้านเมืองเราจะไปโลด โดดเด่น ศิวิไลซ์ ไฉไล ทันสมัย หมดความยากจน ฯลฯ สารพัดเหตุผลดีดีทั้งนั้น

แต่ข้างนอกเพียงแค่ไม่กี่ก้าว ที่นักบริหารใหญ่ ผู้มีเกียรติ ทั้งหลาย คุยกันถึงงบประมาณพัฒนาสังคมก้อนใหญ่นั้น เรามีภาพเช่นนี้ได้ท้าทายให้คิดกันลึกๆ

ลุงแก่แล้ว ไม่มีลูกหลานมาดูแล จริงๆมี แต่มันหายหัวไปนานแล้ว แต่ชีวิตต้องอยู่ต่อไป จะทำมาหากินอะไรเล่าเพื่อให้พอมีรายได้เข้ามาบ้าง ลุงจะไปทำโครงการอะไรกับเขานั่น หรือ….? จะให้ลุงไปเดินๆ นั่งๆอยู่ในหมู่บ้านคนชราหรือ…? ลุงขอทำที่หุ้มคมมีดมาขาย ที่ดักหนู เสียมขุดดิน เอามาขาย ก็ลุงทำได้แค่นี้ รู้ดีว่าสิ่งของเหล่านี้เป็นสิ่งที่เหมาะกับชนบท แต่ที่นี่กลางเมืองขอนแก่น มันจะขายได้หรือ

ลุงมีทางเลือกอะไรบ้างเล่าไอ้หนู…. ปัญญาของลุงคิดได้อย่างนี้ ทำได้แค่นี้ เองพอใจก็ซื้อไป ลุงก็มีรายได้ เองไม่ซื้อก็แล้วไป ลุงไม่ได้เอ่ยปากซักแอ๊ะ ไม่เคยเรียกร้องให้มาซื้อด้วยความสงสาร แค่เอามาวางๆที่นี่ เจ้าหน้าที่ก็ค้อนไปหลายตลบแล้ว เขาว่ามันเกะกะ

ใช่…….ชีวิตลุงมันเกะกะบ้านเมือง แต่ลุงไม่งอมือขอทาน ทำของมาขายด้วยสุจริต เองจะเรียกอะไรก็เรื่องของเอง แต่ลุงขอที่วางของขายตรงนี้ นะ ขายไม่ได้ลุงก็จะไปที่อื่น ลุงไม่ได้มาขอกินนะ

ใช่…..ชีวิตลุงมันเกะกะบ้านเมือง………สำหรับความคิดบางคน…


CIA…

2 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ กุมภาพันธ 21, 2012 เวลา 13:21 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 1469

อย่าเพิ่งตกใจว่าผมกำลังจะเขียนถึงหน่วยงานสายลับของอเมริกานะครับ ไม่ใช่ครับ คืองี้… ผมทำงานในบริษัทที่ปรึกษาซึ่งเป็นธุรกิจประเภทหนึ่ง ธุรกิจส่วนใหญ่มีสินค้าอุปโภค บริโภค เครื่องอำนวยความสะดวกต่างๆ แต่ธุรกิจที่ผมเป็นลูกจ้างอยู่นี้เป็นธุรกิจขายความรู้ทางวิชาการ ที่เรียกปริษัทที่ปรึกษา ซึ่งมีหลายมุมมองของคนหลายกลุ่ม เช่น พี่น้อง NGO ส่วนใหญ่ก็จะมองว่าพวกนี้เป็นมือปืนรับจ้างทำเรื่องไม่ดีให้ดี กลุ่มที่มีกิจกรรมที่จะต้องทำประเมินผลกระทบก็ต้องว่าจ้างมืออาชีพที่มีชื่อเสียงมาทำการศึกษา

ผมคิดว่าเป็นความก้าวหน้าทางการพัฒนาบ้านเมือง ที่มีกฎหมายออกมาบังคับให้มีการศึกษาผลกระทบด้านต่างๆมากมาย และมีกิจการมากมายที่ไม่ผ่าน หมายความว่าจะต้องปรับปรุงบางส่วนของกิจการเพื่อมิให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจึงจะดำเนินการต่อไปได้

ที่ผ่านมานั้นก็มักจะได้ยินว่ามีการศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมที่เรียก EIA หรือ Environmental Impact Assessment และมีการศึกษาผลกระทบอื่นๆอีกเช่น IEE, HIA, SIA ฯ ซึ่งล้วนมีกฎหมายบังคับ และมีขั้นตอน มีกระบวนการ มีส่วนร่วมมากมาย ซึ่งใช้งบประมาณค่อนข้างมากในการดำเนินงานศึกษา วิเคราะห์ข้อมูล ใช้ผู้เชี่ยวชาญหลายด้านประกอบเป็นทีมงาน

ผมนั้นมีส่วนร่วมในกระบวนการประเมินผลชนิดต่างๆเหล่านี้ตามความถนัดและชำนาญที่มีอยู่ ล้วนเกี่ยวข้องกับชาวบ้าน เกี่ยวกับสนาม และข้อเท็จจริงในส่วนที่เป็นชาวบ้านหรือผู้มีส่วนได้เสีย

สิ่งที่ดีอีกประการหนึ่งของการศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมคือ หากว่ามีประเด็นใดๆที่เสี่ยงต่อการเกิดผลกระทบ จะต้องมีการกำหนดมาตรการต่างๆในการแก้ไข ปรับปรุง ดำเนินการต่างๆออกมา และเจ้าของธุรกิจนั้นๆก็จะต้อนำไปปฏิบัติ มิเช่นนั้นกิจการก็อาจถูกปิดลงตามกฎหมายที่ควบคุมได้

ผมพบว่าส่วนใหญ่ดูเรื่องเศรษฐกิจ และกายภาพต่างๆ สุขภาพ ซึ่งเป็นสิ่งที่จับต้องได้ ตรวจวัดได้ สิ่งที่หายไปนั้นก็คือ ส่วนทื่จับต้องไม่ได้ก็คือผลกระทบด้านวัฒนธรรม จริงๆมีอยู่ครับแต่เป็นประเด็นย่อยในด้านสังคม ใน EIA มิได้หยิบมาให้เป็นประเด็นใหญ่ แต่ผมเห็นว่านี่เป็นเรื่องใหญ่ มิใช่เรื่องเพียงผิวเผินเท่านั้นเอง

ผมยกตัวอย่าง สังคมเราตั้งแต่โบราณมานั้น วัฒนธรรมสังคมของเรานั้นมีความเรียบร้อย เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กัน ใครไม่มี คนมีก็แบ่งปันกัน ใครขาดอะไรก็ขอกันได้ เพียงเอ่ยปากบอกกล่าว มิได้ใช้เงินตรามาซื้อหากัน ฯลฯ แต่เมื่อสังคมพัฒนาไปสู่ความทันสมัย ซิวิไลซ์ ก้าวหน้า แล้วแต่จะสรรหาคำพูดมาอธิบาย คุณค่าทางวัฒนธรรมเดิมของเราก็จางหายไป อย่างที่เราๆ ท่านๆซึ้งอยู่แก่ใจ และเรียกร้องให้กลับคืนมา มีการจัดงานโน่นนี่เพื่อประกาศคืนสู่คุณค่าแบบดั้งเดิมแต่ก็เป็นแค่พิธีกรรมเท่านั้น

การก่อสร้างสรรพสินค้า สมควรมีการศึกษาผลกระทบด้านวัฒนธรรม การเข้ามาของ เทคโนโลยี่ใหม่ๆ ควรศึกษาผลกระทบด้านวัฒนธรรม ฯลฯ มิใช่ศึกษาเพื่อเอาไม่เอาเทคโนโลยี่นั้นๆ เทคโนโลยีมีผลสองด้าน ด้านดีเรารับ แต่ด้านส่งผลเสียก็น่าที่จะพิจารณามีมาตรการป้องกัน แก้ไข หรืออย่างใดอย่างหนึ่งมิให้ใช้เทคโนโลยี่นั้นๆอย่างอิสระ และปล่อยให้ส่งผลกระทบต่อวัฒนธรรมประเพณีที่ดีงามของเรา

สมควรหยิบเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ หรือเป็นวาระแห่งชาติอะไรก็ว่าไป ทีน้ำเสียส่งกลิ่นนิดเดียวโอยมีมาตรการมากมายไปบังคับให้เจ้าของกิจการแก้ไข ปรับปรุง แต่กรณีเด็กนัดเรียนหนีโรงเรียนไปนั่งเล่นเกมที่ห้างสรรพสินค้าเป็นวันๆ ไม่มีมาตรการใดๆ ร้านเกมปล่อยให้เด็กวัยรุ่นเปิดดูภาพลามก…ฯลฯ

การพัฒนาเมืองไปสู่ความทันสมัยไปสร้างค่านิยมว่าคนเราต้องมุ่งหาเงินเพื่อไปซื้อสิ่งที่ใจต้องการ แต่มากเกินขอบเขตปัจจัยการดำรงชีวิตแบบพอเพียง ผลกระทบที่เกิดขึ้น เช่นกรณีตัวอย่างที่ผมประสบมาคือ ที่เมืองหนึ่ง เป็นสังคมพุทธ เป็นสังคมค่อนข้างชนบทกำลังเร่งพัฒนา เป็นสังคมที่ดีงาม เย็นวันหนึ่งผมเดินไปชมบ้านเมือง พร้อมกล้องถ่ายรูปที่นิสัยผมชอบถ่ายรูปวิถีชีวิต ขณะที่ผมเดินผ่านห้องแถว มีสาวกลางคนอุ้มลูกน้อยเดินรี่มาหาผมแล้วถามตรงๆดังชัดเจนว่า “เอาผู้สาวบ่” ผมตะลึงที่ไม่คิดว่าจะได้ยินคำนี้ออมาจากปากสตรีในเมืองเช่นนี้ ในเวลาเย็นๆที่อากาศกำลังดีเช่นนี้…

เราเน้นการพัฒนาด้านเศรษฐกิจ กายภาพ ความทันสมัย การเติบโต ฯลฯ แต่คุณค่าทางสังคมเดิมๆของเราก็กลายเป็นสินค้าไปด้วย เพียงเพื่อเงิน เพราะเงินคือสื่อกลางที่จะนำมาในสิ่งที่ใจต้องการ ใจที่ต้องการนั้นมาจากการกระตุ้นของระบบค่าทางสังคมที่มีธุรกิจเป็นตัวสร้างค่านี้ขึ้นมา และจากปัจจัยอื่นๆที่ระบบสังคมเราไม่ได้คำนึงถึงผลกระทบ

ผมคิดว่าทุนนิยมไม่ได้เลวร้ายไปหมด ผมก็ไม่ได้คิดว่า วัฒนธรรมเดิมของสังคมเราจะดีไปหมดทุกเรื่อง แต่ควรมีการศึกษา กลั่นกรอง ปรับแก้ มีมาตรการที่เลือกสรรสิ่งที่เป็นประโยชน์สังคมเท่านั้น การปล่อยฟรี อิสระ ในระบบประชาธิปไตยเสรีนั้น คือเหยื่อของระบบธุรกิจสามานย์ ทั้งแบบจงใจและไม่รู้ตัว..

นี่คือความหมายหยาบๆที่เสนอให้มีการทำการศึกษาผลกระทบด้านวัฒนธรรมและคุณค่าทางสังคมหรือ Cultural Impact Assessment หรือ CIA นี่แหละครับ..


หิมะหมอก..

2 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ กุมภาพันธ 19, 2012 เวลา 18:07 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 2016

 

ปลายเดือนมกรา ที่ผ่านมา ที่เมืองนี้หนาวมากๆ เช้ามีแต่หมอก ผมเห็นคลุมยอดเขา ไกลออกไปแถวชายแดน ลาว-เวียตนาม มันแปลกตามากๆ เหมือนหิมะปกคลุมยอดภูเขา สวยสะใจจริงๆ รีบขอขึ้นไปที่หน้าอาคารที่ทำการเมืองซึ่งอยู่ที่สูง ถ่ายรูปนี้..

คนท้องถิ่นบอกว่าลมทะเลจากเวียตนามหอบลมเย็นพัดเข้ามาแผ่นดินลาว ลมแรงๆจึงเกิดปรากฏการณ์แบบนี้

เขาว่างั้นครับ


ไปกินฝิ่น..

4 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ กุมภาพันธ 18, 2012 เวลา 21:40 ในหมวดหมู่ ชนบท, ธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม, สังคม บ้านเมือง ประชาธิปไตย #
อ่าน: 3988

ไปขุดเอาภาพที่ไปทำงานในลาวมาเขียนบันทึก ให้เห็นบางมุมของชนบท ที่เหมือนบ้านเราในอดีต สภาพยังต้องการพัฒนาอีกมาก โดยเฉพาะโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนน และระบบสาธารณูปโภคต่างๆ

พูดถึงเรื่องนี้มีบางมุมในทฤษฎีทางสังคมที่กล่าวว่า ระดับของการพัฒนานั้นขึ้นกับชุมชนนั้นอยู่ห่างไกลตัวเมืองมากน้อยแค่ไหน แต่ปัจจุบันหลักการนี้อาจจะไม่จริงเสียแล้วเพราะ หลักการนี้จะใช้สภาพถนนเป็นตัวบ่งชี้การเปลี่ยนแปลงชุมชน หากถนนดี ก็จะมีการเดินทางเข้าออกมาก ระบบธุรกิจก็เข้าไปมาก การลงทุนก็มีมาก ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงมาก แต่ปัจจุบันมีระบบสื่อสารที่เป็นคลื่น ไม่มีถนน หรือถนนไม่ค่อยดี แต่การรับรู้ข่าวสารทางอื่นมีมากมาย อย่างผมเคยพบ ชุมชนชายป่าห้วยขาแข้งที่นครสวรรค์ โทรศัพท์ติดต่อกับลูกสาวที่ญี่ปุ่นได้..


ดูภาพเหล่านี้สิครับ มันเป็นธรรมชาติของวิถีชนบท พี่เลี้ยงน้อง เพื่อนเด็กชายหญิงเล่นด้วยกัน มีความผูกพัน ใกล้ชิด เห็น สัมผัสชีวิตกันและกัน เหล่านี้คือพื้นฐานแรกๆของแรงเกาะเกี่ยวทางสังคมอันเป็นฐานของ ทุนทางสังคมชุมชน


ที่บ้านนี้ผมตื่นเต้นที่เกือบทุกบ้านปลูกต้นไม้ทำเป็นรั้ว ผมสงสัยว่าต้นอะไร พ่อท่านนี้บอกว่าต้นกฤษณา ที่พ่อค้าซื้อเอาเนื้อไม้ไปกลั่นเป็นน้ำหอม หากต้นที่มีแก่นก็ราคาแพง หากไม่มีแก่นอยากได้เงินก็ตัดขายได้ ชั่งเป็นน้ำหนักขาย ผมไม่ได้ค้นสมุดบันทึกดูว่าราคาเท่าไหร่ แต่ถูกมาก พ่อท่านนี้กล่าว


ผมเดินไปอีกหน่อยก็เห็นกะบะยกพื้นสูงปลูกผักสวนครัว คือหอมแดง แต่มีต้นฝิ่นแซม ดอกฝิ่นสีขาวกำลังชูช่อสวยงามเชียว ผมคุ้นเคยดอกฝิ่นทั้งสีขาวและสีแดง เพราะสมัยทำงานที่สะเมิงที่นั่นเป็นพื้นที่ปลูกฝิ่นเป็นไหล่เขาเลย ผมปีนไปถ่ายรูปบ่อยๆ ต่อมาจึงมีการปราบปรามและเป็นพืชต้องห้าม แต่ที่นี่ปลูกในบ้านเลย


ผมถามพ่อที่เดินมาด้วยกันว่า เขาไม่ห้ามปลูกหรือ และปลูกทำไมในกะบะที่บ้านเช่นนี้ พ่อเขายิ้มๆแล้วตอบผมว่า หากปลูกเล็กน้อยเช่นนี้ไม่เป็นไร ก็ปลูกเอาไว้กินใบอ่อนนั่นไง อร่อยด้วยนะ กรอบ กินสดๆกับน้ำพริก กับลาบ และสารพัดเหมือนผักทั่วไป….

แหม เราทราบดีว่าฝิ่นนั้น ยางที่ผลนั้นมีฤทธิ์เป็นยาแก้ปวด หากกินมากๆก็ติด แต่ใบฝิ่นนี่มีคุณสมบัติทางยาอย่างไรบ้างผมไม่ทราบ และไม่ได้ทดลองชิมด้วยซี แหม….มังสวิรัติแบบผม แบบพ่อครูบาฯ มีพืชที่น่าทดลองเพิ่มขึ้นอีกแล้วซิ

แต่เป็นพืชต้องห้าม อิอิ….




Main: 0.076769113540649 sec
Sidebar: 0.088706970214844 sec