วิกฤตน้ำ..
อ่าน: 1901วันที่ 30 แว็บไปนั่งฟังการสัมมนาเรื่อง วิกฤติน้ำ วิกฤติชีวิต: การจัดการน้ำเพื่อชีวิต..คนอีสาน ที่โรงแรมโฆษะ ขอนแก่น
มีสาระที่น่าสนใจมาก โดยเฉพาะท่านอาจารย์ศรีศักดิ์ วัลลิโภดม ที่เกริ่นนำให้เห็นภูมิปัญญาของคนโบราณที่จัดการเรื่องน้ำและวิถีชีวิต ท่านเน้นว่า คนโบราณจัดการทำโดยเน้นเพื่อการอุปโภค บริโภคเป็นหลัก วิธีการจัดการน้ำนั้น เน้นความสัมพันธ์คนกับคน คนกับธรรมชาติและกับสิ่งเหนือธรรมชาติ ท่านเน้นความรู้ที่ต้องเคารพมากๆคือความรู้ที่มาจาก “คนใน” มิใช่ เอาแต่ความคิดเห็นของ “คนนอก”
คุณมนตรี จันทวงศ์ จากมูลนิธิฟื้นฟูชีวิตและธรรมชาติ ได้ นำข้อมูลที่คนส่วนใหญ่มักไม่รู้ คือข้อมูลจากรัฐ นโยบายของรัฐ แม้ข้อมูลบางเรื่องเป็นที่ไม่เปิดเผยมาก่อน โดยเฉพาะ อย่างยิ่ง ข้อมูลงบประมาณมากมายมหาศาลที่รัฐได้เตรียมไว้สำหรับลงทุนทำงานเกี่ยวกับการจัดการน้ำทั่วประเทศ หลายแสนล้านบาท บางส่วนผ่านการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีแล้วด้วยทั้งที่ยังไม่มีข้อมูลการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม ยังไม่ได้รับการอนุมัติจากรัฐบาลลาวในกรณีโครงการผันน้ำจากเขื่อนน้ำเทินมุดแม่น้ำโขงมายังภาคอีสานของประเทศไทย แต่รัฐบาลไทย หน่วยงานที่รับผิดชอบได้อนุมัติงบประมาณออกแบบโครงการนี้แล้ว
ข้อมูลของคุณมนตรีนำมาเสนอนั้นไปตอกย้ำการกล่าวของท่านอาจารย์ศรีศักดิ์ที่ว่า เป็นความคิดของ “คนนอก” แม้จะพยายามทำประชาพิจารณ์ แต่ เป็นเพียงพิธีการแบบ ชงเองกินเองเสียมากกว่า…
คุณไพรินทร์ เสาะสาย จากโครงการทามมูล สุรินทร์ นั้นมาชี้ให้เห็นถึงระบบนิเวศอีสาน 6 แบบที่เกี่ยวข้องกับน้ำในอีสาน เป็นข้อมูลที่มีคุณค่ามาก หากไม่เข้าใจเรื่องราวของระบบนิเวศแล้ว การออกแบบชลประทาน หรือการจัดการน้ำก็จะไปทำลายระบบเหล่านี้และการจัดการแบบคนนอกคิดนั้นก็จะไปสร้างปัญหาอีกแบบหนึ่งขึ้นมาโดยอัตโนมัติ ซึ่งมีตัวอย่างมากมาย
ประทับใจข้อมูลคุณมัสยา คำแหง จากมูลนิธิพิทักษ์ธรรมชาติเพื่อชีวิต ที่นำเอางานวิจัยที่ชาวบ้านเป็นผู้ทำและประสบผลสำเร็จในการจัดการน้ำ เป็นข้อมูลที่ตอกย้ำว่าการที่ชาวบ้านมองหาทางออกเองนั้นมันเหมาะสม สอดคล้องกับเงื่อนไขและสภาพของชุมชน ที่สำคัญ ไม่ได้ใช้งบประมาณมากมายอย่างที่รัฐทำ เธอกล่าววลีที่ชอบมากคือ “ข้อมูลทำให้เกิดการตื่น ตระหนัก”..
ส่วนตัวมีข้อเสนอดังนี้
- RDI หรือหน่วยงานใดก็ตามที่เข้าใจปัญหานี้ ควรจะเอาข้อมูลเหล่านี้ และมากกว่านี้ไปขยายให้ชาวบ้านทั่วไปได้รับทราบมากที่สุด ด้วยวิธีการใดวิธีการหนึ่งที่หน่วยงานนั้นเอื้ออำนวยให้
- ทั้งข้อมูลที่เป็นภูมิปัญญาชาวบ้านและข้อมูลที่เป็นนโยบายของรัฐ ควรทำการสรุปสาระแล้วจัดทำเป็นสื่อต่างๆเพื่อเผยแพร่ให้กว้างขวางที่สุด
-
กระบวนการขยายข้อมูลควรดำเนินการไปเพื่อให้เกิดการตื่น ตระหนักของประชาชน โดยเฉพาะชาวบ้านที่เกี่ยวข้อง
- ช่วงเวลาที่ผ่านมานั้นรัฐบาลเป็นเจ้าของโครงการ และหน่วยงานราชการเป็นฝ่ายลากจูงการจัดการน้ำแต่โครงการเหล่านั้นจำนวนมากพิสูจน์แล้วว่า ล้วนแต่มีผลประโยชน์แอบแฝงของกลุ่มธุรกิจ และนักการเมือง บางส่วนที่มีอำนาจ ประการสำคัญ โครงการต่างๆเหล่านั้นไม่ได้ก่อประโยชน์ให้แก่ประชาชนตามที่ประกาศไว้ตั้งแต่ต้น เหตุผลที่สำคัญคือ รัฐไม่ค่อยฟังคนในชุมชน เน้นความรู้ทางเทคนิคมากกว่าความเข้าใจทางภูมินิเวศวัฒนธรรมเกษตรของท้องถิ่นนั้นๆ
- ความล้มเหลวที่ซ้ำซากนั้น เป็นความสูญเสียของงบประมาณของรัฐ ของประชาชน เป็นความล้มเหลวของโอกาสของประชาชน แต่กลับเป็นความอิ่มหนำสำราญของคนบางกลุ่ม
- มีแต่ประชาชนสร้างเครือข่ายและลุกขึ้นมาเสนอและควบคุมโครงการนั้นๆเอง ตรวจสอบการดำเนินการโครงการ โดยร่วมมือกับนักวิชาการที่ยืนอยู่ข้างประชาชน แม้จะเป็นการยากยิ่งก็ตาม
ขอบคุณ RDI และกลุ่มหน่วยงานผู้จัดที่เปิดเวทีให้เกิดการเรียนรู้และกระตุ้นให้มีการต่อยอดความคิดในเรื่องนี้ต่อไป