ดีใจที่เป็นนิ่ว….

10 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ พฤศจิกายน 12, 2008 เวลา 0:59 ในหมวดหมู่ เรื่องของชีวิต #
อ่าน: 3586

เมื่อสิบกว่าปีก่อนผมต้องบินด่วนจากกรุงเทพฯกลับขอนแก่น เพื่อนฝรั่งเอารถไปรับผมที่สนามบินพาเข้าโรงพยาบาลเอกชนทันที เพราะผมปวดอาการของนิ่ว หมอให้เข้าห้องเพื่อทำการส่องและคีบเอาก้อนนิ่วออกมาทันที…

คุณหมอคนนี้เป็นรุ่นน้องที่เรียน มช.เรารู้จักกันดี ต่อมาครอบครัวผมก็เป็นคนไข้ของคุณหมอท่านนี้ทั้งบ้านรวมทั้งภรรยาคุณหมอท่านนี้ก็เป็นหมอด้วย เมื่อคุณหมอทั้งสองท่านย้ายไปอยู่โรงพยาบาลเอกชนขนาดใหญ่เพราะโรงพยาบาลเอกชนเดิมปิดกิจการ ครอบครัวผมก็ตามไปเป็นคนไข้อีกเหมือนเดิม.. ก็ติดใจในบริการคุณหมอ

การเอานิ่วออกครั้งนั้นผมไม่ต้องนอนโรงพยาบาลแค่คีบเอาออกมา พักสักพักก็กลับบ้านได้ แล้วก็มีความรู้ว่าคนกินใบไม้ใบหญ้าอย่างผม(พวกมังสวิรัติ)นั้นเสี่ยงต่อการเป็นนิ่วไม่น้อยเพราะผักประเภทใบหลายชนิดมีส่วนสร้างก้อนนิ่วได้หากระบบขับถ่ายสารไม่มีคุณภาพดีพอ ที่สำคัญผักที่ผมชอบคือ ใบชับพลู หน่อไม้…..

เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาผมเป็นไข้ครั่นเนื้อครั่นตัว ปวดกล้ามเนื้อ จึงไปซื้อยามาทานอาการก็ลดลงแต่กลับมีอาการเจ็บจี๊ดๆที่พุงด้านขวามือ เมื่อวันอาทิตย์ตั้งใจจะไปพบคุณหมอพิศาล ไม้เรียง ญาติป้าจุ๋มของเรา แต่คุณหมอไม่ได้เข้าเวรแพทย์กว่าจะมาเข้าเวรก็วันอังคาร วันจันทร์อาการเจ็บที่พุงด้านขวามือหนักขึ้น ผมเสียวเรื่องตับจึงเปิดอินเตอร์เนทดูเปรียบเทียบอาการต่างๆแล้วก็เบาใจว่า หากเกี่ยวกับตับก็น่าจะเป็นอาการของตับอักเสบ จึงตัดสินใจไปตรวจเลือดที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง เพราะทนไม่ไหว…ใจร้อนทั้งๆที่เสียวลึกๆว่ามันอะไรกันแน่

ผลการตรวจเลือดที่ต้องนั่งคอย 1 ชั่วโมงพบว่า ตับผมไม่มีสิ่งผิดปกติใดๆ ค่าต่างๆอยู่ในเกณฑ์ดี แต่เนื่องจากช่วงที่ผมไปตรวจนั้นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้กลับบ้านไปแล้ว แพทย์ที่รับไข้ก็ยังเด็กและไม่มีความชำนาญด้านนี้ ก็ไม่สามารถบอกอะไรได้มาก เพียงแต่อ่านค่าตามการตรวจเลือดมาเท่านั้น

ผมดีใจที่มันไม่เกี่ยวกับตับ แต่คำถามคือ ก็มันยังปวดอยู่ แล้วมันคืออะไร พรุ่งนี้ผมต้องไปพบคุณหมอพิศาล ไม้เรียงผู้เชี่ยวชาญด้านนี้ให้ได้ โดยผมไปตามปกติเหมือนคนไข้ทั่วไปโดยไม่ได้ใช้อ้างอิงว่าป้าจุ๋มแนะนำมา เพราะอยากจะดูว่าระบบเป็นเช่นไรบ้าง..

เมื่อผมไปถึงคลินิกคุณหมอเวลาประมาณ หกโมงครึ่ง คุณหมอเข้ามาพอดี คนไข้เต็มจนไม่มีที่นั่ง และเป็นเช่นนี้ทุกวัน…..ผมแจ้งประสงค์แล้วก็บังเอิญมีที่นั่งพอดีเนื่องจากมีคนไข้หนึ่งคนเสร็จสิ้นแล้ว

เมื่อนั่งสายตาก็สำรวจความเป็นไปในคลีนิคที่ทุกคนต่างมาหาคุณหมอด้วยมีทุกข์มาทั้งนั้น แต่คุณหมอก็ใจเย็นออกมาทักทายคนไข้ ล้อเล่นกับคนไข้ แหย่บ้าง จนบรรยากาศดูดี คนไข้คนหนึ่งพูดกับเพื่อนข้างๆว่า ผมเป็นคนไข้คุณหมอมานาน คุณหมอใจดีมาก ผู้ช่วยแพทย์จำนวน 3 คนวิ่งกันวุ่นเพื่อจัดคนไข้เข้าพบคุณหมอ แล้วก็วิ่งมาจ่ายยา แต่เธอก็ยิ้มตลอด

ผมรู้ตัวว่าต้องนั่งยาวจึงหยิบเอาหนังสือจากบ้านมาอ่านเล่มหนึ่ง ชื่อ เดินสู่อิสรภาพ ของอาจารย์ประมวล เพ็งจันทร์ ที่ลือลั่นมาแล้วเพราะเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ แล้วลาออก ทำการเดินด้วยเท้าจากเชียงใหม่ไปบ้านเกิดที่เกาะสมุย…. ผมอ่านเพลินสลับกับการสังเกตความเป็นไปในคลินิกแห่งนี้ที่น่าสนใจมาก…

สามทุ่มไปแล้วคนไข้เริ่มบางตาแต่ผมยังไม่ได้รับการเรียกชื่อ แต่แล้วคุณหมอก็ออกมาดูคนไข้แล้วให้ผู้ช่วยขานชื่อแล้วให้จัดลำดับเข้าพบคุณหมอ ตามห้องเล็กๆ 4 ห้อง ผมได้อันดับที่ 3 ห้องหมายเลข 4

เกือบสี่ทุ่มผู้ช่วยพยาบาลก็ขานชื่อผมให้เข้าไปนั่งรอคุณหมอ

ไม่พร่ำทำเพลง ผมอธิบายสาเหตที่มาหาคุณหมอขณะที่คุณหมอตรวจสอบใบประวัติผม แล้วก็กล่าวว่า คราวนี้ต้องผ่าตัดสาละมั๊ง….ผมหยุดอธิบายไปนิดหนึ่ง คุณหมอมองหน้ายิ้มๆ แล้วก็กล่าวว่า ยาที่ให้ไปทานน่ะ ทานประจำไหม.. เอายาใหม่ไปอีกชุดหนึ่งก็แล้วกัน แล้วอีกสองสัปดาห์มาหาหมอใหม่พร้อมเอาแผ่นอุลตร้าซาวมาให้ดูด้วย ว่าจะต้องผ่าหรือไม่ นิ่วแน่นอน อาการของคุณนี่ไม่ใช่อะไร นิ่วที่คุณเป็นอยู่นั้นเอง….

คุณหมอสั่งยาแล้วก็บอกว่า..ค่อยพบกันตามนัดนะครับ…

ผมกราบลาคุณหมอด้วยแอบดีใจลึกๆว่ามันไม่ใช่ตับก็ดีหลายแล้ว แค่นิ่วแม้จะต้องผ่าก็ดีกว่าเรื่องเกี่ยวกับตับมากมายหลายเท่าตัวนัก…อิอิ

ก็เพื่อนฝูง น้องนุ่ง ญาติพี่น้อง เป็นมะเร็งที่ตับกันมากมาย จะไม่ให้ผมดีใจได้อย่างไรที่เป็นนิ่ว …. แม้จะเป็นนิ่วที่ไตก็ตาม…


รุ่นโตโจ…

6 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ ตุลาคม 26, 2008 เวลา 15:19 ในหมวดหมู่ เรื่องของชีวิต #
อ่าน: 2215

เด็กบ้านนอกอย่างผมนั้น มือหนึ่งต้องจับเชือกเลี้ยงควาย อีกมือถือหนังสืออ่าน ควายที่บ้านชื่อไอ้ม่วงกับไอ้มั่น ควายถึกสองตัวนี้ พ่อผมรักใคร่มันยังกะลูก ขัดสีฉวีวรรณ ดูแลให้หญ้าให้น้ำ ทำร้านหรือคอกควายที่ยกพื้น ให้อยู่ยามฤดูน้ำหลาก และไม่ทำหมัน อ้วนพี หล่อเหลาเอาการ ควายสาวๆแถวบ้าน เลยไปถึงตำบลอื่นๆ เห็น ไอ้ม่วง ไอ้มั่นแล้วก็ต้องเงยหน้ามองและร้อง ตามประสามัน เสมอ อิอิ..

ยามที่ถึกสองตัว เป็นสัตว์ (ฤดูกาลผสมพันธ์) ผมกับพี่ชายเอามันไม่อยู่หละครับ ต้องพ่อลงมาเอามันถึงจะยอม..ผมเองเกือบพิการเพราะเอาถึกสองตัวเทียมเกวียน ผมนั่งข้างบน ไปเอาข้าวฟ่อน เมื่อมันเห็นสาวงาม สองตัวก็นัดกันขโยกไปหาสาว มิใยจะฟังผมตะโกนให้มันหยุด

โถ…คุณครับ เกวียนนะครับ บนที่นาที่มีคันนา ไม่ใช่ถนนลาดยาง และเกวียนมันไม่มีโชคอัพคอยสปริงอย่าง Foretuner หรือแหนบนิ่มอย่างดีแบบ Mu 7 อย่างที่เขาโฆษณาในทีวีปัจจุบัน แรงรักสาวไอ้ม่วงไอ้มั่นมันมากกว่าความรักนายที่นั่งมาบนเกวียน เรียบร้อยครับ เกวียนที่เทียบบ่ามันกระเด็นกระดอนไปคนละทิศละทาง เพราะตกหลุม ตกร่องในนาและที่ร้ายคือชนคันนา ผมหรือ กระเด็นตกไปนานแล้ว ทั้งตกใจ ทั้งกลัวพ่อตี ทั้งกลัวควายของเราจะขวิดกับควายถึกบ้านอื่นเพราะแย่งควายสาวกัน….โอย…ร้องให้ไม่ออกครับ.. หน้าซีดเป็นไก่ป่วย…

เมื่อจบ ม.ศ. 3 พ่อก็ถามว่าจะไปเรียนต่อที่ไหนกันล่ะ พ่อมีลูกหลายคนอยากให้เรียนด้านอาชีพจะได้จบมาทำงานช่วยพ่อแม่ส่งน้องๆอีกตั้ง 4 คน ผมอยากเรียนต่อ ม.ศ. 4-5 และเข้ามหาวิทยาลัย หรือเตรียมทหาร เท่ห์เหมือนรุ่นพี่ๆเขา เด็กบ้านนอกก็คิดอย่างนั้น พ่ออยากให้เรียน วิทยาลัยครู ใกล้บ้าน

โชคดีที่คุณตาคู่บุญของผมและน้องๆ ท่านเคยอพยพมาจากฝั่งธนบุรีมาบ้านนอกเมื่อสมัยสงครามโลก มาพักที่บ้านเพราะทั้งหมู่บ้านมีเพียงบ้านเดียวในสมัยนั้นที่มีส้วมซึม คุณตาเลยออกปากว่า หากลูกหลานเรียนจบแล้วอยากเรียนต่อในกรุงเทพฯก็เอาไปไว้ที่บ้านสวนได้ ผมจึงมีโอกาสเข้ากรุงฯครั้งแรกในชีวิต

เรานั่งเรือยนต์สองชั้นจากบ้านนอกมาขึ้นกรุงเทพฯที่ท่าเตียน วัดโพธิ์ เรือนี้เป็นเรือสินค้า สมัยนั้นยังไม่มีทางรถเชื่อมกรุงเทพฯวิเศษชัยชาญ ความตื่นตาตื่นใจของเด็กบ้านนอกเข้ากรุง คุณเอ้ยยย มันตื่นเต้นจนนอนไม่หลับตลอดคืน อะไรก็ใหม่ไปหมดในสายตาเรา และการนอนในเรือโดยสารเป็นครั้งแรกก็เสียงเรือมันดัง แวะรับผู้โดยสารไปตลอดทางแม่น้ำน้อย …

มาอยู่บ้านคุณตาคุณยาย ต้องปั้นวัวปั้นควายให้ลูกหลานท่านเล่น….มันเป็นสังคมใหม่ ผิดไปหมดจากบ้านนอกของเรา ผมนอนร้องให้ทุกคืน เพราะคิดถึงบ้าน พ่อเอามาฝากฝังคุณตาคุณยายแล้วก็กลับไป มันเหงามากๆ แม้จะมีเด็กรุ่นราวคราวเดียวกันที่เป็นลูกหลานท่าน แต่เราก็เข้ากับเขาไม่ค่อยได้ ไม่รู้เขาคุยอะไรกัน เล่นอะไรกัน มันไม่มีวัว ควาย หมู เห็ด เป็ดไก่เหมือนบ้านเราเลย…

สองปีที่มาเรียนที่โรงเรียนฝั่งธนบุรี เพราะคุณตาเป็นอาจารย์ใหญ่ที่นั่น โรงเรียนนี้ที่ปักอักษรย่อบนหน้าอกเสื้อว่า ส.ว.ย.(ดร.กมลวัลย์ก็จบจากที่นี่) กว่าจะปรับตัวได้กินเวลาเป็นเทอมเลย สิ่งที่ต้องปรับตัวมากที่สุดคือ อาหารหารกิน ความฟรี อิสระ และสดใส เพราะมาอยู่บ้านคุณตาคุณยายที่ท่านเป็นผู้ใหญ่ มีญาติมากมายเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ เราเลยกลายเป็นคนขี้เกรงใจคน เก็บตัวมาตลอด ผมต้องช่วยงานบ้านทุกอย่าง กวาดบ้าน ถูบ้าน รดน้ำต้นไม้ในสวน เก็บกวาดใบไม้ ตักน้ำใส่ตุ่ม ดูแลความเรียบร้อยทั่วไป.. มันมิใช่งานหนักสำหรับผม แต่เด็กบ้านนอกจะสอึกทุกครั้งที่เมื่อมีใครต่อใครถามว่ามาจากไหน แล้วเด็กๆ ลูกหลานคุณตาจะบอกว่ามาจากบ้านนอก…

คุณตาคุณยายมีพระคุณเป็นที่สุดที่ให้ความเมตตา กรุณาต่อผมและน้องอีกสองคนที่ตามผมไปพักอาศัยที่บ้านหลังนี้ โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆเลยแม้แต่น้อย เพราะหากเสียค่าใช้จ่ายผมคงไม่มีโอกาสเช่นนี้ คงเรียนที่วิทยาลัยครูแถวบ้านแล้ว

เพื่อนที่เรียนด้วยกันก็รักใคร่กันดีมาก เมื่อผมปรับตัวได้แล้ว ก็แสดงบทบาทการเป็นผู้แทนนักเรียนบ้าง เพื่อนรักคนหนึ่งก็คือ สง่า ดามาพงษ์ ท่านโฆษกกระทรวงสาธารณสุขปัจจุบัน และประธานชมรมนักโภชนาการแห่งประเทศไทย เจ้าของโครงการ มาลดพุงกันเถอะ (หากผิดขออภัยด้วยนะครับ) วันหนึ่งเราพบกันที่สนามบินดอนเมือง สง่าบอกผมว่า กูเบื่อนามสกุลกูฉิบ… ผมถามว่าทำไมล่ะ อ้าว..ไอ้บู๊ธ..มึงก็รู้ว่านามสกุลกูน่ะเป็นญาติสนิทกับท่านเหลี่ยม ใครต่อใครโทรมาขอยืมสตางค์กูเป็นสิบล้านร้อยล้าน กู..งี้..ขำกลิ้ง ผมย้ำว่าทำไม… เพื่อนรักตอบว่า มึงก็รู้ว่านามสกุลกูน่ะไปพ้องเสียงกันเท่านั้น…อิอิ..

การสอบม.ศ.5 ผ่านไปไม่กี่วัน กระทรวงก็ประกาศว่าให้การสอบทั่วประเทศเป็นโมฆะ เพราะข้อสอบรั่ว…….ให้สอบใหม่…..ทั่วประเทศ

นี่เกิดขึ้นในประเทศไทยเป็นครั้งที่สอง… ที่มีการสอบใหม่ทั่วประเทศ ครั้งที่หนึ่งเกิดขึ้นสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ญี่ปุ่นบุก…จึงยุติการสอบ แล้วให้มีการสอบใหม่ภายหลัง ตอนญี่ปุ่นบุกนั้นอยู่ภายใต้การบัญชาการของนายพลโตโจ จึงเรียกผู้เรียนรุ่นนั้นว่า รุ่นโตโจ

เช่นเดียวกันสมัยที่ผมต้องสอบ ม.ศ. 5 ครั้งที่สอง ก็เลยเรียก รุ่นโตโจ เหมือนกันครับ…


คำรำพึงจากภาพ…

7 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ ตุลาคม 22, 2008 เวลา 15:28 ในหมวดหมู่ เรื่องของชีวิต #
อ่าน: 2489

“รูปภาพหนึ่งรูปแทนหนึ่งพันคำพูด”

เป็นคำเปรียบเทียบที่มีความจริงมาก  แต่ไม่ใช่ทั้งหมด

ใครที่นอนใจในคำเปรียบเทียบดังกล่าวมากเกินไปก็อันตราย โดยเฉพาะท่านที่นั่งอยู่ในตำแหน่งที่ต้องตัดสินใจ ต้องฟันธง ด้วยความบีบคั้นในหลายๆเงื่อนไข

หากผู้ถ่ายภาพนี้ไม่อธิบายแล้วถามแต่ละท่าน

คงได้คำตอบที่อาจจะไม่ต่างกันมากนัก เช่น โอยน่าสงสารจัง ที่ไหนเนี่ยะ น้ำท่วมมิดเลย  ชาวบ้านคงแย่แล้ว ปีนี้เจ้าของที่นาตรงนี้คงไม่มีข้าวกินแล้ว..ฯลฯ…

คำคาดเดาน่าที่จะอยู่ในแนวทางนั้น

แต่ความจริงมีส่วนถูกบ้างแต่ไม่มาก เพราะภาพนี้ถ่ายน้ำท่วมจริง แต่เป็นพื้นที่ แก้มลิงของจังหวัดกาฬสินธุ์ ที่เป็นพื้นที่ที่น้ำจะท่วมเช่นนี้ทุกปี  ย้ำทุกปี ชาวบ้านเขารู้เขาจึงไม่ใช้พื้นที่นี้ปลูกข้าวในฤดูฝน  แต่จะใช้ปลูกข้าวในฤดูแล้งโดยสูบน้ำจาก “ลำปาว” ฤดูฝนก็จะปล่อยให้น้ำมันท่วมเช่นนี้  และเป็นผลดีเสียอีก  เพราะเมื่อน้ำท่วม ก็จะได้ปุ๋ยอินทรีย์จากธรรมชาติ

กระต๊อบ ที่น้ำท่วมเกือบมิดนี้ คือเถียงนาที่ชาวบ้านปลูกแบบชั่วคราวไม่ได้ใช้ในฤดูน้ำหลาก แต่จะไปใช้ในช่วง “ทำนาปรัง”

แค่นี้ก็ทำให้เราซึ้งในหลักกาลามาสูตร  ที่ท่านกล่าวว่า อย่าเชื่อ เพราะ….อย่าเชื่อเพราะ….อย่าเชื่อเพราะ…..แต่จงเชื่อเมื่อท่านพิสูจน์ด้วยตัวท่านเองแล้ว

สื่อสารจำนวนมากถูกนำมาใช้บิดเบือนตามวัตถุประสงค์ของผู้ที่ต้องการบิดเบือน

สังคมสมัยนี้จึงซับซ้อนมากขึ้น  มากขึ้น จนหลอมให้คนเราในปัจจุบันและอนาคตห่างไกลการไว้เนื้อเชื่อใจกัน เพราะขาดคุณธรรม

ยิ่งสังคมที่สร้างอุดมการณ์เพื่อการยืนอยู่บนเงื่อนไขที่เหนือกว่าผู้อื่น ยิ่งซับซ้อนจนน่ากลัว

ความมืดไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว  ความสว่าง ตัวเป็นๆ นี่แหละน่ากลัวยิ่งนัก

ทุนเดิมทางสังคมเรามีดีมากมาย

ก็เป็นเพียงคำบอกกล่าว เล่าสู่กันฟังระหว่าง generation เท่านั้นมั๊ง…


ท่านรู้จักคนมีชื่อเสียงระดับโลกที่เป็นมังสวิรัติบ้างไหม?..

5 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ กันยายน 30, 2008 เวลา 23:48 ในหมวดหมู่ เรื่องของชีวิต #
อ่าน: 3489
นักมังสวิรัติที่มีชื่อเสียงของโลก:
 
นักปราชญ์และผู้นำด้านจิตวิญญาณ 
ปรมหรรษา โยคะนันทะ (อาจารย์ด้านจิตวิญญาณชาวอินเดีย), โซคราตีส (นักปราชญ์ชาวกรีก), พระเยซูและชาวคริสเตียนในยุคต้น ๆ , ขงจื่อ(นักปราชญ์ชาวจีน), พระศากยมุนีพุทธเจ้า, เหลาจื่อ (นักปราชญ์ชาวจีน), เซนต์ฟรานซีสแห่งแอสซิซิ (นักบุญคริสต์เตียนชาวอิตาเลียน), ธึคยึทหันห์ (พระสงฆ์ศาสนาพุทธ/นักประพันธ์ชาวเวียดนาม), โยคี มหาริชิ มเหช (นักประพันธ์, นักปราชญ์,ผู้สอนการนั่งสมาธิแบบทรานเซ็นเด็นทัลชาวอินเดีย), ลีโอ นิโคลาเยวิค ตอลสตอย (นักปราชญ์ชาวรัสเซีย), ปีทากอรัส (นักคณิตศาสตร์/นักปราชญ์ชาวกรีก), โซโรเอสเตอร์ (ชาวอิหร่าน-ผู้ก่อตั้งลัทธิโซโรเอสไทรอานิซึม), มะหะหมัด อัล-กาซาลี (นักวิชาการชาวอิหร่านอิสลามและนักบุญลัทธิลึกลับแห่งทฤษฎีว่าด้วยเทพเจ้าทั่วไป), มะหะหมัด ราฮีม บาวา มูไฮยาดีน (นักประพันธ์ชาวศรีลังกาอิสลามและนักบุญลัทธิลึกลับแห่งทฤษฎีว่าด้วยเทพเจ้าทั่วไป), บุลเลห์ ซาห์ (นักบุญลัทธิลึกลับแห่งทฤษฎีว่าด้วยเทพเจ้าทั่วไปชาวอิสลาม) ฯลฯ
 
นักประพันธ์ ศิลปิน และ จิตรกร 
ลีโอนาร์โด ดา วินชี (จิตรกรชาวอิตาเลียน), ลาร์ฟ วัลโด อีเมอร์สัน (จินตกวีและนักเขียนบทความชาวอเมริกัน), จอร์จ เบอร์นาร์ด ชอว์ (นักประพันธ์ชาวไอริส), จอห์น ร็อบบินส์ (นักประพันธ์ชาวอเมริกัน), มาร์ค ทเวน (นักประพันธ์ชาวอเมริกัน), อัลเบิร์ต ชไวท์เซอร์ (นักปราชญ์, แพทย์, นักดนตรีชาวเยอรมัน), พลูตาร์ช (นักประพันธ์ชาวกรีก), วอลแตร์ (นักประพันธ์ชาวฝรั่งเศส), ซาเดห์ เฮดายัท(นักประพันธ์นวนิยายชาวอิหร่าน) ฯลฯ
 
นักวิทยาศาสตร์ นักประดิษฐ์ และ วิศวกร 
ชารลส์ ดาร์วิน (นักธรรมชาติวิทยาชาวอังกฤษ), อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (นักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมัน), โทมัส เอดิสัน (นักวิทยาศาสตร์/นักประดิษฐ์ชาวอเมริกัน), เซอร์ ไอเเซค นิวตัน (นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ), นิโคลา เทสลา (นักวิทยาศาสตร์/นักประดิษฐ์ชาวเซอร์เบีย - อเมริกัน), เฮนรี่ ฟอร์ด (ผู้ก่อตั้งฟอร์ด มอเตอร์ ชาวอเมริกัน), ฯลฯ 
 
นักการเมือง รัฐบุรุษ และ นักต่อสู้เคลื่อนไหว 
ซูซาน บี แอนโทนี่ (ผู้นำการเคลื่อนไหวการให้สิทธิออกเสียงแก่ผู้หญิงในสหรัฐอเมริกา), มหาตมะ คานธี (ผู้นำเรียกร้องสิทธิทางการเมืองชาวอินเดีย), โคเร็ตตา สก๊อต คิง (ผู้ดำเนินการและผู้นำเรียกร้องสิทธิทางการเมืองชาวอเมริกัน ภรรยามาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์), ประธานาธิบดีจาเนซ ดอร็ฟเซ็ก แห่งสโลเวเนีย, ดร. เอ. พี. เจ. อับดุล คาลัม (ประธานาธิบดีประเทศอินเดีย), ดร. มานโมฮาน ซิงห์ (นายกรัฐมนตรีประเทศอินเดีย), เดนนิส เจ. คูชินิช (สมาชิกสภาผู้แทนอเมริกา), ฯลฯ
 
นักแสดง ดาราภาพยนต์ และ ดาราโทรทัศน์ 
พาเมล่า แอนเดอร์สัน (นักแสดงหญิงชาวอเมริกัน), อเล็กซ์ บาล์ดวิน (นักแสดงชายชาวอเมริกัน), แอชลีย์ จู๊ด (นักแสดงหญิงชาวอเมริกัน), บริจิตต์ บาร์โดต์ (นักแสดงหญิงชาวฝรั่งเศส), จอห์น คลีส (นักแสดงชายชาวอังกฤษ), เพโนโลเป ครูส (นักแสดงหญิงชาวสเปน/อเมริกัน), คิม บาร์ซิงเจอร์ (นักแสดงหญิงชาวอเมริกัน), เดวิด ดูคอฟนีย์ (นักแสดงชายชาวอเมริกัน), แดนนี่ เดอวีโต้ (นักแสดงชายชาวอเมริกัน), คาเมลอน ดิแอซ (นักแสดงหญิงชาวอเมริกัน), ริชาร์ด เกียร์ (นักแสดงชายชาวอเมริกัน), แดริล ฮานน่าห์ (นักแสดงหญิงชาวอเมริกัน), ดัสติน ฮอฟแมน (นักแสดงชายชาวอเมริกัน), เคธี โฮล์เมส (นักแสดงหญิงชาวอเมริกัน), สตีฟ มาร์ติน (นักแสดงชายชาวอเมริกัน), เดมี่ มัวร์ (นักแสดงหญิงชาวอเมริกัน), เอียน แม็คเคลเลน (นักแสดงชายชาวอังกฤษ), โทบี้ แม็กไกวร์ (นักแสดงชายชาวอเมริกัน), พอล นิวแมน (นักแสดงชายชาวอเมริกัน), แบรด พิทท์ (นักแสดงชายชาวอเมริกัน), โจอาควิน ฟินิกซ์ (นักแสดงชายชาวอเมริกัน), นาตาลี พอร์ทแมน (นักแสดงหญิงชาวอเมริกัน), สตีเว่น ซีกัล (นักแสดงชายชาวอเมริกัน), บรู๊ค ชิลด์ส (นางแบบ/นักแสดงหญิงชาวอเมริกัน), เจอร์รี่ ไซน์เฟลด์ (นักแสดงชายชาวอเมริกัน), นาโอมิ วัตต์ส (นักแสดงหญิงชาวอเมริกัน), เคท วินสเล็ต (นักแสดงหญิงชาวอังกฤษ), ฯลฯ
 
 
นักร้องเพลงป๊อปชื่อดังและนักดนตรี 
โจน แบส (นักร้องเพลงลูกทุ่งชาวอเมริกัน), จอร์จ แฮริสัน (นักดนตรีชาวอังกฤษ สมาชิกของวงเดอะ บี๊ทเทิ่ลส์), พอล แมคคาร์ทนี่ย์ (นักดนตรีชาวอังกฤษ สมาชิกของวงเดอะ บี๊ทเทิ่ลส์), ริงโก้ สตาร์ (นักดนตรีชาวอังกฤษ สมาชิกของวงเดอะ บี๊ทเทิ่ลส์), บ๊อบ ดีแลนท์ (นักร้องชาวอเมริกัน), ไมเคิล แจ๊คสัน (นักร้องเพลงป๊อปชื่อดังชาวอเมริกัน), มอร์ริสซีย์ (นักร้องชาวอังกฤษ), โอลิเวีย นิวตัน-จอห์น (นักร้องชาวออสเตรเลีย), ซีนีด โอ’คอนเนอร์ (นักร้องชาวไอริส), พิงค์ (นักร้องชาวอเมริกัน), ปรินซ์ (นักร้องเพลงป๊อปชื่อดังชาวอเมริกัน), จัสติน ทิมเบอร์เลค (นักร้อวเพลงป๊อปชาวอเมริกัน), ทีน่า เทอร์เนอร์ (นักร้องเพลงป๊อปชื่อดังชาวอเมริกัน), ชาไนย่า ทเวน (นักร้องชาวแคนาดา), เวเนสซา วิลเลี่ยมส์ (นักร้อวเพลงป๊อปชาวอเมริกัน), ฯลฯ
 
นักกีฬา 
บิลลี่ จีน คิง (แชมเปี้ยนเทนนิสชาวอเมริกัน), บิล วอลตัน (นักกีฬาบาสเก็ตบอลชาวอเมริกัน), คาร์ล ลูอิส (นักกีฬาเหรียญทองโอลิมปิก 9 สมัยชาวอเมริกัน-ดาราลู่-ลาน), เอ็ควิน ซี. โมเสส (นักกีฬาเหรียญทอง 2 สมัยประเภทลู่-ลานชาวอเมริกัน), เอลีน่า วาเลนด์ซิค (แชมเปี้ยนมวยชาวเยอรมัน), อเล็กซานเดอร์ ดาร์กัสต์ (นักกีฬาชาวเยอรมัน, แชมเปี้ยนนักเพาะกาย, แพทย์), ฯลฯ
  
นางแบบ 
คริสตี้ บริงค์ลีย์ (นางแบบชื่อดังชาวอเมริกัน), คริสตี้ เทอร์ลิงตัน (นางแบบชื่อดังชาวอเมริกัน) ฯลฯ
  
และรายชื่อเพิ่มเติมค้นหาได้จาก…http://AL.Godsdirectcontact.org.tw/vg-vip


บางทรายรายงานตัว

10 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ สิงหาคม 25, 2008 เวลา 13:24 ในหมวดหมู่ เรื่องของชีวิต #
อ่าน: 2139

บางทราย หายไป….
หายหัวไปไหน (วะ)
หายไป ทั้งหัว ทั้งตัว อิอิ…

1. ป่วยครับ เป็นหวัดอย่างแรง ติดจากภรรยา อิอิ.. นอกจากหวัดแล้วสิ่งที่มาพร้อมกันคือภูมิแพ้ ขึ้นผื่นแดงเต็มตัว หากถอดกางเกงเดินในตลาดคนคงวิ่งป่าราบ เพราะตัวอะไรแดงๆมาเดินเพ่นพ่าน..อิอิ..
2. งานครับ งาน งาน งาน
3. เศร้า เพราะเพื่อนรุ่นน้องที่รักใคร่กัน ด่วนจากไปด้วยโรคมะเร็งร้าย สงสาร ลูกเมียเขา เขาเป็นหมอแพทย์แผนไทย เป็นอาจารย์สอนที่ราม เป็นที่ปรึกษากระทรวงสาธารณะสุข เป็นอาจารย์ที่ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร เป็นที่ปรึกษาใหญ่เครือข่ายอินแปง และอีกมากมาย….
4. หลานรักลูกของเพื่อนรุ่นน้องที่ทำงานด้วยกันก็มาจากไปด้วยมะเร็งในเด็ก (เป็นเคสที่ 18 ของโลก) เธออายุแค่สิบสองปี เรียนเก่งสอบได้ที่ 1 มาตลอด กลับมาเป็นมะเร็งที่ม้าม จากไปไล่ๆกับคนแรก น้องคนนี้ท้ายที่สุดไปอาศัยวัดบนดอยในดงหลวงที่ผมทำงาน เพื่อใช้ธรรมชาติบำบัดช่วงสุดท้ายของชีวิต สงสารพ่อแม่ ใจจะขาดเมื่อเสียลูกรัก

บางทรายเลยพักยาวไปเลย ฟื้นตัวเมื่อไหร่ก็มาแน่นอนครับ คิดถึงทุกคนครับ
ขอบคุณที่ถามหา
ขอบคุณที่ sms
ขอบคุณที่ โทรไปหา

เดี๋ยวมาครับ…..


ประสบการณ์ conflict confrontation 1

10 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ กรกฏาคม 18, 2008 เวลา 14:36 ในหมวดหมู่ เรื่องของชีวิต #
อ่าน: 4316

ผมเสนอตัวต่อท่านครูบาฯ ที่จะแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในเรื่อง ความขัดแย้งในรูปแบบต่างๆ ผมเลยรับปากท่านโดยจะลำดับมาเรื่อยๆครับ

เรื่องแรกนี้ผมจั่วหัวไว้ว่า conflict confrontation ครับ

ผมเคยบันทึกเรื่องนี้ไว้บ้างแล้ว แต่คราวนี้จะลงรายละเอียดมากขึ้นครับ ดังนี้

สมัยที่ผมทำงานที่ท่าพระ เป็นโครงการแรกที่ผมก้าวจากเป็นนักพัฒนาองค์กรเอกชนสู่การเป็นที่ปรึกษา สังกัด กรมวิเทศสหการ (DTEC) คือเป็นลูกจ้างราชการในตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญด้านฝึกอบรม เป็นครั้งแรกที่ก้าวออกจาก NGO มาสู่โครงการพิเศษ ขณะนั้นผมก็เป็นเด็กคนทำงานคนหนึ่งประสบการณ์การทำงานกับระบบราชการและโครงการใหญ่ที่มี USAID เป็นผู้สนับสนุนนั้นมันใหม่มากๆสำหรับผม และตื่นเต้นที่เข้ามาทำงานกับฝรั่งมังค่ามากมาย

บทบาทของผมนั้นรับผิดชอบในการจัดกระบวนการฝึกอบรมให้แก่พนักงานโครงการทั้งข้าราชการระดับอำเภอลงไปถึงหมู่บ้าน และจัดการประชุมประจำเดือน และจัดสัมมนาในวาระต่างๆมากมาย ทีมงานของสำนักงานเกษตรภาคอีสาน ล้วนแต่เป็นข้าราชการระดับ ดร.ทั้งนั้น จึงเป็นโอกาสที่ผมจะเข้ามาทำงานกับนักวิชาการมากมาย ผมจึงเป็นฝ่ายเรียนรู้เสียมากกว่าจะเอาความรู้มาแลกเปลี่ยนในช่วงปีแรกๆ แต่ผมมีความตั้งใจสูงที่จะทำงาน จึงเร่งเรียนรู้ทุกอย่างที่เป็นบทบาทหน้าที่ และการสนับสนุนประสิทธิภาพการทำงานของเจ้าหน้าที่ในระดับสนาม

พื้นที่ทำงานมีอยู่ 4 จังหวัดคือ สกลนคร ชัยภูมิ ร้อยเอ็ด และศรีสะเกษ อันเป็นพื้นที่ตัวแทนของภาคอีสาน โครงการนี้มีท่านรองปลัดกระทรวงเป็นผู้อำนวยการโครงการและมีกรมกองต่างๆภายใต้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์มาร่วมงานมากมาย จึงเป็นโครงการที่ใหญ่มากๆ เป้าหมายที่สำคัญคือ การพัฒนาการเกษตรในพื้นที่อาศัยน้ำฝน

รวบรัดเข้ามาถึงสาระของหัวเรื่องนี้คือ การทำงานของผมนั้นมีทั้งเข้าตาและไม่เข้าตาของผู้ใหญ่ของโครงการ โดยเฉพาะข้าราชการไทยระดับ ดร. ที่การทำงานของผมไป ขัดหูขัดตาท่านเสียจริงๆ จนถึงขั้นที่ท่านนั้นเสนอให้ปลดผมออกจากตำแหน่งไปเลย..??

หากเป็นท่าน จะรู้สึกอย่างไร ?? นี่คือข้อขัดแย้งในการทำงาน ซึ่งคิดว่าหลายท่านอาจจะเคยพบหรือรับรู้เรื่องราวทำนองนี้มาบ้าง ทั้งในหน่วยงานท่านหรือหน่วยงานอื่นๆก็ตาม

ผมมานั่งทบทวนว่าผมทำผิดพลาดอะไรบ้าง แม้ว่าจะตั้งใจเต็มที่แล้วก็รูตัวดีว่าหลายเรื่องเป็นเรื่องใหม่มากๆสำหรับผม ผมคิดหัวแทบแตกว่าจะทำอย่างไรดี ต่อปัญหาที่ใหญ่มากสำหรับผมในช่วงนั้น

ผมคิดถึงการลาออกจากโครงการ เพราะผู้ใหญ่ตำหนิผมเช่นนั้น มันรุนแรงวมาก สำหรับผมที่เป็นเด็กใหม่สำหรับวงการในสมัยนั้น ผมมาทบทวนว่าหากลาออก เราก็ไปทำงานในวงการ NGO เหมือนเดิม ก็โอเค เพราะเพื่อนฝูง ญาติพี่น้องก็อ้าแขนรับเราอยู่แล้ว แต่หากเราแก้ปัญหานี้ไม่ได้ ก็เป็นแผลติดตัวเราไปตลอด ผมคิดว่าต้องจัดการต่อปัญหานี้ให้ถึงรากถึงเหง้าให้ได้ มิเช่นนั้น อนาคตของเราจะมีปัญหาแน่นอน

ในที่สุดผมเลือกการเดินเข้าหาท่าน ดร.ท่านนั้น เดินเข้าหาแบบเผชิญหน้า แต่ เราเข้าหาแบบผู้น้อยเข้าหาผู้ใหญ่ แล้วเปิดฉากเจรจาทันที ด้วยท่าทีของผู้น้อย โดยเรียนท่านว่า

“ผมเป็นเด็กที่ก้าวมาจากการทำงานกับชาวบ้าน ประสบการณ์ตรงก็คือการทำงานกับชาวบ้าน เมื่อก้าวมานั่งในตำแหน่งนี้ มันใหม่สำหรับผม จึงมีข้อบกพร่อง ผมขอยอมรับ และตั้งใจจะแก้ไข แต่ขอมารับข้อแนะนำของท่าน ดร. ขอความกรุณาจากท่าน……”
“ผมได้รับการตอบรับที่มีเกินคาด ท่าน ดร.ท่านนั้นให้ความเมตตา และกรุณามากมาย ท่านชี้จุดอ่อนของผม และแนะนำต่างๆมากมาย….”

ในที่สุดผมกลับมาทำแผนงานพัฒนาตัวเองอย่างเร่งด่วน และได้รับการยอมรับในเวลาต่อมา จนได้รับคำชมจาก ผอ.สำนักงานฯ และผมยังได้รับการแนะนำให้เข้าทำงานกับโครงการต่างประเทศต่อมาอีกหลายโครงการ….

สรุป ความขัดแย้งในที่ทำงานนั้นมีอยู่เสมอ ครั้งนั้นผมใช้วิธีการแก้ปัญหาที่เขาเรียกว่า
- การเผชิญหน้าแบบตรงไปตรงมาอย่างมีเหตุผลที่เรียกว่า conflict confrontation
- ผมยอมรับในข้อบกพร่องที่ผู้ใหญ่วิจารณ์ แต่ขอคำอธิบายแบบนอบน้อม
- ผมใช้วิธีตามวัฒนธรรมไทย คือ ผู้น้อยต้องเคารพและน้อมรับฟังต่อข้อคิดของผู้ใหญ่
- ผมเผชิญหน้าต่อท่านผู้เป็นกรณีอย่างสม่ำเสมอเพื่อขอคำแนะนำปลีกย่อยต่างๆ
- และแน่นอน ผมต้องตั้งใจแก้ไขและปรับปรุงจุดอ่อนอย่างจริงจัง

แม้บัดนี้ผมโตขึ้นมาเป็นผู้บริหารสำนักงานก็เห็นข้อบกพร่องของลูกน้องมากมาย เมื่อจะแก้ไขปัญหากับลูกน้องก็นึกถึงความหลังเรื่องนี้เสมอมาครับ

“ไม่มีความสมบูรณ์ในตัวบุคคล”
“คนทุกคนสามารถพัฒนาได้ หากมีความตั้งใจจริง”



Main: 0.083827972412109 sec
Sidebar: 0.040112018585205 sec