จากคนไม่มีกรอบถึงคนชายขอบ

โดย bangsai เมื่อ พฤษภาคม 27, 2010 เวลา 0:12 ในหมวดหมู่ ชนบท, สังคม บ้านเมือง ประชาธิปไตย, เรื่องของชีวิต #
อ่าน: 1850

….ผมแนะนำผู้บริหารทรูไปดูเรื่องโสเภณีชายขายตัวแถวๆสนามหลวง พาไปดูโสเภณีแถวคลองหลอด พาไปดูลุงแก่ๆที่แกอยู่ในสลัม ครูน้อยที่เขาช่วยเหลือเด็กยากจน ถ้าเศรษฐีไม่ช่วยกันทำตรงนี้นะ ประเทศไทยพังไหม วันใดก็ตามที่เศรษฐีในโลกนี้ไม่รู้จักคำว่าแบ่งปัน สงครามเกิดแน่นอน บิล เกตส์ มันคิดได้แล้วไง แล้วถามว่าแล้วเศรษฐีไทยล่ะ ยูๆๆ คิดจะคืนหรือยังล่ะ สังคมประชาธิปไตยมันทำร้ายคนเล็กกว่านะ เพราะเสรีภาพ คือ ใครทำอะไรก็ได้ จริงมันไม่ใช่นะ สังคมประชาธิปไตยมันสร้างความแตกแยกเยอะมาก คือมันโตแต่มันต้องกลับมาแบ่งปัน…

นี่คือคำให้สัมภาษณ์ของคนไม่มีกรอบ อาจารย์ ดร.วรภัทร์ ภู่เจริญ กับสกุลไทย (หน้า 47 ) คำกล่าวของคนไม่มีกรอบมันถีบหัวใจผมน่ะซี

ทุกวันนี้ไม่ว่าส่วนไหนของสังคม ทั้งกลางราชดำเนิน ราชประสงค์ ที่ลานคนเมือง ที่หนองประจักษ์ บนถนนท่าแพ บนถนนประชาสโมสร แม้ในตำบลซอกภูเขาต่างก็อ้างประชาธิปไตย เสรีภาพ เรียกร้องประชาธิปไตย แสดงความเป็นประชาธิปไตย อธิบายสิ่งที่เขาทำว่านี่คือการใช้สิทธิประชาธิปไตย แต่สิทธิที่เขาอ้างนั้นมันไปทำร้าย ทำลายอีกตั้งหลายสิ่งหลายอย่าง แล้วมันประชาธิปไตยแบบไหนวะ..

คำว่าประชาธิปไตยนั้น มันเป็นเสมือนพระเจ้า ใครที่อ้างพระเจ้าแล้วสิ่งที่กระทำนั้นถูกต้องเสมอ อะไรทำนองนั้น คนชั้นกลางพอแยกแยะได้ แต่คนชั้นล่างนี่ซิ มิได้ดูถูก แต่รายละเอียดของคำว่าประชาธิปไตยนั้น มีคำอธิบายมากมายกว่าที่หลายคนจะเข้าใจเพียงมองเห็นสิทธิในการกระทำต่างๆเท่านั้น

คุยกับนักปลุกระดมมวลชนของ ผกค. ดงหลวงมาหลายต่อหลายคน เราเข้าใจได้ว่าทำไมชาวบ้านชายขอบจึงลุกขึ้นมาเดินเข้าป่าไปร่วมกับเขา เพราะการเข้าไปชี้จุดอ่อนของสังคม ตอกย้ำความล้มเหลวของการบริหารแผ่นดิน เปิดแผลน้ำเน่าของการเอารัดเอาเปรียบ การแก่งแย่ง การเข้าพวกเข้าสังกัด การใช้ความได้เปรียบ ขณะที่เขาด้อย ขณะที่การเยียวยาของสังคมต่อเขานั้นก็แค่น้ำหยดสุดท้ายในขวดเท่านั้น

ยิ่งการประพฤติตัวตนของผู้มีอำนาจในเครื่องแบบกระทำต่อชุมชนให้ปรากฏ มันไปตอกย้ำการวิเคราะห์ การพูดคุยของผู้เห็นใจกับผู้ยากไร้ในชนบท เมื่อผู้เห็นใจยื่นมือมาให้จับ แล้วบอกว่า มาเถอะ เราไปด้วยกัน เราไปเรียกร้อง ต่อสู้เพื่อสิ่งที่เราควรจะได้ด้วยกัน ยิ่งการแสดงบทตีแตกถึงการเอาจริงเอาจัง นั้นคือเทวดาของเขา นั่นคือผู้ปลดปล่อย…..

หากผมเป็นนายจืด อยู่บ้านคำป่าหลาย ยากจน ด้อยการศึกษา ขาดปัจจัย …เมื่อมีผู้ปลดปล่อยมาเป็นเพื่อน ผมก็อุ่นใจว่าชีวิตนี้ดูมีหวัง มากกว่าสิ้นหวัง มากกว่านั่งๆนอนๆมองคนในเมืองเติบโต มองข้าราชการมีเงินเดือนกิน… ผมก็ขอจับมือผู้ปลดปล่อยไว้ก่อน ผมไม่มีทางเลือกอะไรมากนัก…

แล้วสังคมทุกหย่อมหญ้าทุกวันนี้มันต้องใช้เงิน เพราะมันเป็นปัจจัยที่สำคัญสำหรับชีวิตเสียแล้ว แน่นอนเราไม่ได้หวังก้มหน้าหาแต่เงินๆ แต่ควรมีจำนวนต่ำสุดที่ควรจะมีรายได้ประกอบการพึ่งตัวเองแบบชนบท เพราะลูกต้องใช้จ่าย และครอบครัวต้องใช้จ่าย…

สภาพสังคมในปัจจุบันที่เคลื่อนตัวไปนั้น ได้สร้างความอึดอัดให้แก่ครอบครัวชนบท การจะมาฟังใครต่อใครพร่ำบ่นว่า ต้องพึ่งตัวเอง ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้นั้น นายจืดอย่างผมก็คิดออก แต่เงื่อนไขของผมนั้นดูจะตีบตัน อุกอั่ง

หากไม่มีกระบวนใดๆของแผ่นดินก้าวออกไป จริงจังกับการเป็นเพื่อนคู่คิดกับเขา ละก็ มีคนที่อยากเป็นเพื่อนเขาจ้องอยู่ และกำลังทำงานเงียบๆอยู่แล้ว

ดูเหมือนคำกล่าวของฯพณฯพลเอกเปรมจะถูกต้องที่ว่า ..นโยบาย 66/23 ที่ท่านทำมากับมือนั้นล้มเหลวครั้งยิ่งใหญ่เสียแล้ว…

« « Prev : ที่นี่มีแรงงานขาย..

Next : ประเด็นวิจัยเพื่อการพึ่งตนเอง » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

4 ความคิดเห็น

  • #1 อุ๊ยสร้อย ให้ความคิดเห็นเมื่อ 27 พฤษภาคม 2010 เวลา 6:39

    บันทึกนี้กระแทกใจค่ะ

    เป็นเช่นนั้น เมื่อโอกาสมันตีบตัน แล้วมีใครมาบอกว่า ทำอย่างนั้นซิ อย่างนี้ ซิ ราวกับว่าสิ่งที่เขาเป้นสิ่งที่เขาทำมันล้มเหลว มันเป็นชีวิตที่ไม่มีกินไม่มีใช้ เพราะไม่หาทางออกแบบที่น่าจะทำ …หรือการให้ความเห็นแต่ไม่ให้ช่องทาง…คนที่ดิ้นรนเขายิ่งทำกลับยิ่งเจ็บหนัก เป็นหนี้หนักกว่าเดิม เมื่อมันสะสมเข้า จนล้นคอหอย…ใครที่หยิบยื่น “ประชาธิปไตยที่กินได้” …มันก็เหมือนเส้นทางที่เห็นผลชัดกว่า(อย่างเฉพาะหน้า ด่วนๆ) ทำไมเขาจะไม่ “ลองอีกทีซิ” ล่ะ

    บทเพลงหนึ่งที่เคยประทับใจ ร้องว่า “ทุกวันหาเลี้ยงกายา เขาก็ยังบอกว่าเป็นคนเกียจคร้าน นาแล้ว นาล่มจมนานจะเอาหัวกะบาลที่ไหนทำกิน…แบบไหน แบบไหน” พี่จำชื่อเพลงได้ไหมคะ

    อีกประเด็นที่อยากแลกเปลี่ยนคือ….คำว่าคนชายขอบ….แม้แต่ในระบบราชการ…คนที่เป็นลูกน้อง ถูกกดดัน KPI โดยผู้บริหารไม่ให้กำลังใจ ไม่ช่วยแบ่งเบาภาระงาน เอาแต่สั่ง….ผลสุดท้าย ก็เดินเข้าหา “ประชาธิปไตยที่กินได้” เพราะเกิดความหวังว่า จะเข้ามาช่วยล้มล้างระบบที่มันกดดันเขาซึ่งไม่มีทางเลือกอื่น …เพราะไม่ทำงานนี้ ครอบครัวจะเอาอะไรกิน จบมาทางนี้ อยากทำงานนี้ แต่เจอผู้บริหารแบบนี้…ก็มีแต่หาทางล้มกระดานเพื่อให้ยังทำงานนี้อยู่ได้โดยไม่กดดัน

    เมื่อปัญหามันหมักหมม แล้วยังมองไม่เห็น..สุดท้ายก็แตกสลายกันหมด

  • #2 ป้าจุ๋ม ให้ความคิดเห็นเมื่อ 27 พฤษภาคม 2010 เวลา 11:02

    -เห็นด้วยกับทั้งคุณบางทรายและน้องสร้อยค่ะ…และก็จากเหตุผลข้างบนนี้แหละค่ะ จึงทำให้เกิดจุดอ่อนหรือช่องโหว่ แล้วคนที่เขาเห็นช่องโหว่ก็ใช้โอกาสขายความคิดประชาธิปไตยที่กินได้ ก็ทำไมจะไม่เอาในเมื่อมันหมดหนทางแล้วนี่ พอมองเห็นแสงสว่างปลายอุโมงบ้างก็รีบคว้า…ก็คิดอะไรเองไม่ออกแล้ว เพราะเกิดมาก็ไม่ค่อยได้ถูกสอนให้คิดอะไร…มีปัญหาอะไรก็รอความช่วยเหลือตะพึด…จนเป็นง่อยไปหมดแล้ว ง่อยมือง่อยขายังพอเยียวยาแต่สังคมไทยส่วนหนึ่งง่อยความคิด อันนี้น่ากลัวและคิดว่าป็นเรื่องใหญ่ค่ะ
    -สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ก็ต้องยอมรับว่าองค์กรของรัฐก็ขาดความเข้มแข็งไปมากค่ะ…ยอมรับว่า”ขาดการใส่ใจหรือความรักเข้าไปในงานที่ทำค่ะ”เรียกว่างานตามหน้าที่เท่านั้นแล้วเขียนKPI หรูๆหน่อย…อิอิและยังมีอีกหลายๆอย่างที่น่าจะช่วยกันทำได้ทำไปพร้อมๆกันค่ะ เช่น โรงเรียน วัด ชุมชน และองค์กรของรัฐทุกองค์กรคือทุกฝ่ายต้องหันหน้าเข้ามาหากันแล้วค่ะ  ลองชวยกันฟื้นฟูดูซิว่าสังคมบรรพบุรุษเรา เขาอยู่กันอย่างไร เขาจึงมีเวลาให้ความรักความอบอุ่นลูก ช่วยกันฟื้นเรียกสิ่งดีๆของเรากลับคืนมาค่ะ โรงเรียนก็เช่นกันความสัมพันธ์ทางโรงเรียนกับผู้ปกครอง(อันนี้ยังไม่สิ้นหวัง ยังเห็นหลายโรงเรียนที่เดียวทำได้ค่ะ แต่มีเป็นส่วนน้อยค่ะ)ถึงอย่างไรถ้าฟื้นมาก็คงทำได้ เมื่อทุกๆสังคมมีความรักความห่วงใยและความผูกพันธ์กัน อะไรๆๆก็พูกันรู้เรื่องค่ะ
    -ดังนั้นต่อไปนี้มีอะไรก็คงต้องช่วยๆกัน …ต่อไปนี้ใครจะทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อนไม่ได้แล้วกระมังค่ะ

  • #3 bangsai ให้ความคิดเห็นเมื่อ 29 พฤษภาคม 2010 เวลา 15:22

    น้องสร้อยครับ  ข้าราชการชายขอบก็น่าสงสารนะครับ หากไม่มีอุดมการณ์จริงๆ อกแตกตาย เพราะมีแรงกดดันมากมายจริงๆ พี่ทำงานที่สะเมิงนั้น พวกครูหรือข้าราชการอื่นๆนั้น เหนือยมากๆ สมัยนั้น(พ.ศ. 2518) พี่มีมอเตอร์ไซด์ขี่ แต่เกษตรตำบล อสม และแม้ปลัดอำเภอก้ไม่มีรถ เดินขึ้นดอยไปประชุมชาวบ้าน เห็นแล้วต้องยกนิ้วให้กับความแกร่งของอุดมการณ์จริงๆ

    แม้แต่ในเมืองก็มีข้าราชการชายขอบ เพราะตัวเล้กเกินไปที่นายจะมองเห็น ทำดีอย่างไรนายก็ไม่เห็น

  • #4 bangsai ให้ความคิดเห็นเมื่อ 29 พฤษภาคม 2010 เวลา 15:25

    ป้าจุ๋มครับ เดี๋ยวนี้ยังทำเหมือนเดิม แม้แต่โครงการต่างประเทศที่ผมทำงานอยู่ ก็ไม่ต่างไปจากสมัยที่ผมเริ่มเขจ้ามาทำงานใหม่ๆ ผมเสนอให้มีการสัมมนาเพื่อสรุปบทเรียนรูปแบบการทำงานพัฒนาทั้งวในรูปแบบโครงการและตามระบบราชการ น่าจะยกระดับกระบวนการทำงานใหม่ได้แล้ว อย่าทำซ้ำๆแบบเมื่อสามสิบปีที่แล้วเลย ยกเว้นบางเรื่องบางประการมที่ดีอยู่แล้วก็หาทางให้ดียิ่งขึ้นก็แล้วกัน

    ผมเสนอเรื่องนี้เพื่อสรุปบทเรียนสัมมนากัน แต่ไม่ได้รับการตอบรับจากผู้บริหารระดับสูงเช่นกัน ครับ


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่


*
To prove you're a person (not a spam script), type the security word shown in the picture. Click on the picture to hear an audio file of the word.
Click to hear an audio file of the anti-spam word


Main: 0.06085205078125 sec
Sidebar: 0.037331104278564 sec