แดงไร้เดียงสา..
อ่าน: 2536
เที่ยงวันนั้นผมขับรถออกจากสำนักงานเพื่อไปร้านอาหารมังสวิรัติเจ้าประจำในตัวเมือง ออกประตูสำนักงานก็เห็นรถปิกอัพคันหนึ่งขับผ่านหน้าไป กระบะหลังมีเด็กหญิงสามคนนั่งอยู่ คนหนึ่งถือธงแดง ยกรับลม ธงแดงปลิวไสว
ผมขับรถไปประกบเพื่ออยากดูเธอ ผมยิ้มให้เธอก่อน เธอยิ้มตอบ ดูเหมือนเป็นเด็กขนาดมัธยมต้น เสื้อก็แดง แถมยกธงแดงเฉยเลย เมื่อผมจ้องเธอ เธอชักไม่แน่ใจ ไม่ยิ้มและเอาธงลง เมื่อผมปล่อยให้เธอเลยไปข้างหน้า เธอเอาธงขึ้นอีก..
ผมถ่ายรูปด้วยมือถือ พอดีเห็นมอเตอร์ไซด์คันหนึ่งข้างหน้าซ้อนสอง ใส่เสื้อแดงโพกผ้าแดง ผมพยายามส่งสัญญาณให้เด็กท้ายกระบะรู้ว่าเธอมีเพื่อนบนถนนด้วย เธอตกใจคงแปรความหมายเป็นอื่น เธอดูสีหน้าตกใจเอาธงลงและทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้..อิอิ
เห็นดังนั้นก็ปล่อยไปไม่เล่นกับเธออีก
ผมเชื่อว่าเธอคงไม่เข้าใจอะไรมากนักว่าธงแดงนั้นมีความหมายอย่างไรบ้าง เสื้อแดงมีความหมายกว้างขวางอย่างไรบ้าง เธออาจจะได้รับข้อมูลจากพ่อแม่ที่บ้าน เพื่อนบ้านและทีวี.. เข้าร่วมโดยไม่เข้าใจ เป็นแนวร่วมโดยบริสุทธิ์ ไร้เดียงสา
สังคมชนบทมีปรากฏการณ์แบบนี้มากมายนัก
ใครล่ะจะเป็นผู้ไปทำความเข้าใจ และจะมีกระบวนวิธีอย่างไร เขาเหล่านั้นจะเข้าใจไหม หรือไปตอกลิ่มเข้าไปอีก
รัฐจะมีบทบาทอย่างไรต่อปรากฏการณ์เหล่านี้ หรือปล่อยให้ความไร้เดียงสาพัฒนาไปสู่อุดมการณ์..?!
7 ความคิดเห็น
มันเป็นโจทย์ให้พวกเราขบคิด
แค่ปัญหาเฉพาะหน้าพวกเรายังไม่มีคำตอบ ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกันดี
แล้วไผ๋จะรับผิดชอบ อบรมสั่งสอนเด็กๆ หรือให้สิ่งที่พวกเราทำเป็นบทเรียนราคาแพงให้พวกเขาเรียนรู้
ยัง อิอิ ได้
เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว มีเด็กมาทดสอบไอคิวกับน้องนุช อายุประมาณ 4-5 ขวบได้ค่ะพี่บู๊ท มีข้อทดสอบหนึ่งให้จับคู่ร่มสีเขียวเพื่อดูความเข้าใจภาษาและเหตุผลของเด็ก
เจ้าตัวเล็กนี่ก็ร้องว่าบ่เอาฮ่มเขียว จะเอาฮ่มแดง ๆ ๆ ๆ …!?!
น้องนุชก็บอกว่าไม่เอากติกานั้น ให้เอากติกาครู ครูให้เลือกร่มสีเขียว…เจ้าตัวน้อยก็ไม่ยอมดิ้นว่าจะเอาร่มแดง ๆ ๆ ๆ !!!
เกิดอะไรขึ้นกับคนที่นี่ และทำอย่างไรที่จะแก้ไขได้ไม่ให้เป็นรากฐานในสิ่งที่ยังคิดไม่ออกว่าดีหรือไม่ดีในอนาคต…ถอนหายใจยาวอีกทีค่ะ
เฮียตึ๋งครับ น้องเบิร์ดครับ
วันก่อนผมเข้าหมู่บ้านผ่านบ้านอดีตผู้นำชุมชนท่านหนึ่งก็ลงแวะเยี่ยมเยือน ทักทาย ตามปกติ เลยถือโอกาสนั่งเกริ่นเรื่องจะหาเวลามาสัมภาษณ์ “มหากาพย์ดงหลวง” ผู้นำท่านนั้นก็ยินดี เรารู้นิสัยท่านดีว่าเป็นคนเช่นไร เป็นประเภทบู้…
และแน่นอนแดงทั่วตัว.. คุยไปสักพักก็กล่าวว่า ผู้นำต้องเข้มแข็ง จริงจัง แสดงออกมาให้ปรากฏไม่เช่นนั้นนำมวลชนไม่ได้ ดูขวัญชัย ไพรพนาซิ ดูอริสมันต์ซิ ต้องอย่างนี้ถึงจะเรียกผู้นำ..???!!!!???
ผมยกมือไหว้แล้วเดินทางกลับที่พักด้วยความคิดไปไกลสุดขอบฟ้าโน้น….
งานพัฒนาชนบทเราไม่เกี่ยวข้องการเมือง
งานพัฒนาคนเราไม่เกี่ยวข้องการเมือง
แต่การเมืองปนเปื้อนกับงานที่เราทำทุกอย่าง……
การพัฒนาคงพัฒนาแยกส่วนไม่ได้
การพัฒนาคงต้องทำไปทุกมิติ ความรู้ สังคม การเมือง ชีวิต การเรียนรู้
เราคงไม่ตัอสินว่าที่เขาคิด ถูกหรือผิด ? หรือเราแน่ใจว่าเราถูก ?
ขอแต่เพียงเขาคิดเป็น กล้าคิด กล้าทำ ทำไปแล้วรู้ว่าดี ไม่ดี ถูกหรือผิด แล้วแก้ไขเป็น…….
ที่สำคัญคือ เขามีโอกาสรับทราบข้อมูล และมีโอกาสที่จะคิด ตัดสินใจด้วยตัวเขาเอง
ผมเห็นด้วย และยอมรับในหลักการ แนวทาง ดังกล่าว และเราก็ยึดสิ่งเหล่านี้ในการทำงานครับ
ในทางปฏิบัตินั้นมีรายละเอียด มากมาย ที่จะเอาหลักการไปปฏิบัติ ดูหลักการไม่ยาก แต่จริงๆไม่ง่าย เช่น การปฏิบัติแบบไม่แยกส่วนลองแปลเป็นรูปธรรมในทางปฏิบัติในเรื่องบางเรื่องนั้น ไม่ง่ายนะครับ หากคนทำงานไม่จัดเจนจริงๆนั้น ยากที่จะเห็นรูปธรรมในหลักการนี้
คนทำงานมีคุณสมบัติที่ “ไม่จัดเจน” และ target มีภูมิหลัง มีวัฒนธรรม มีค่านิยม มีจุดอ่อนจุดแข็ง บางคน บางกลุ่มมีความสนใจเฉพาะตัวอยู่บ้างแล้ว คนทำงานจึงต้องมีศิลปในการทำงานด้วย
แน่นอน มิได้หมายความว่าในสาระหนึ่งเรื่องจะต้องมีทุกสาระครบไปหมด แต่หากเกี่ยวข้องก็พยายามกระตุ้นให้คิด คนทำงานตรงนี้ ต้องสุดยอดฝีมือทีเดียวนะครับ งานแต่ละชิ้นก็มีสาระหลัก รอง รองก็มีรอง 1 รอง 2 ฯลฯ ไม่ง่ายนักครับ
ขอบคุณครับที่ย้ำหลักการ
ผมไม่สบายใจทุกครั้งที่ในม๊อบมีเด็กเล็ก ไม่ว่าจะม๊อบเหลืองหรือม๊อบแดง เพราะเราปลูกฝังความเกลียดชังผู้ที่มีความคิดไม่เหมือนเราให้กลายเป็นศัตรู โดยเด็กเล็กเหล่านั้นวิเคราะห์ข้อมูลไม่เป็น ที่ภูเก็ตแม้แต่การประกวดดนตรี เด็กคนหนึ่งเพื่อนๆตัวเล็กๆไม่คุยด้วยเพราะพ่อมันเสื้อแดง เพียงแค่นี้ที่ผู้ใหญ่ปลูกฝังเด็กจะทำให้อนาคตชาติเป็นอย่างไร พอเกิดเหตุขึ้นมาเราไม่ยอมโทษตัวเองเรากลับไปโทษคนอื่น ผมอาจจะมองไม่เหมือนคนอื่นที่เห็นว่าต้องให้เด็กไปรับรู้ประชาธิปไตยด้วยตนเอง ซึ่งตรงนั้นไม่เถียงแต่กรณีที่กำลังมีความรุนแรงเกิดขึ้น มีการพูดจาท้าทาย พูดระดมมวลชน มีการชักชวนให้กระทำการรุนแรง ด่าฝ่ายตรงข้ามว่ามันเลวมันชั่ว เด็กยังไม่ได้รับรู้ข้อมูลอีกด้าน(ซึ่งหากรับรู้ก็ยังไม่ทราบว่าจะวิเคราะห์เป็นหรือไม่) สมควรให้เด็กซึ่งเป็นผ้าขาวซึมซับสิ่งเหล่านี้หรือ พาเด็กไปอยู่ในม๊อบยังสงสัยอยู่ว่าละเมิดสิทธิเด็กไหมครับ
เมื่อเช้าเห็นแม่รายหนึ่งร้องไห้คร่ำครวญสาปแช่งผู้กระทำให้ตายให้ตายกันทั้งประเทศเพราะลูกถูกกระสุนปืน ว่าเป็นการกระทำที่โหดเหี้ยม ไม่ได้ซ้ำเติมเขา แต่…พ่อแม่ก็ไม่ต้องรับผิดชอบเลยหรือที่เอาลูกไปอยู่ในสถานที่อย่างนั้น จะโทษทหารฝ่ายเดียวก็ไม่เต็มปากเพราะทหารก็ถูกกระทำมานาน เกียรติยศศักดิ์ศรีถูกทำลาย ถูกลอบใช้อาวุธสงคราม จะฝ่ายไหนก็เถอะ เขาก็จำเป็นที่จะต้องป้องกันชีวิตเขาเหมือนกัน แล้วไม่รู้เลยหรือว่าสถานการณ์มันอันตราย
โทษคนอื่นเราเห็นเป็นภูเขา
โทษของเราเราเห็นเท่าเส้นขน
ตดคนอื่นเหม็นเบื่อช่างเหลือทน
ตดของตนถึงเหม็นไม่เป็นไร
ไม่ได้โทษใคร แต่อยากจะให้เหตุการณ์มันจบลงเร็วๆ เขาหาทางลงให้แล้วก็มาตั้งเงื่อนไขเพิ่มเติมแบบเด็กๆเหมือนไม่อยากให้จบ นี่แหละคนไท..ประวัติศาสตร์ต้องซ้ำรอย รบกัน ฆ่ากัน แล้วให้คนอื่นมารุกราน แล้วรวมกันสามัคคีกันใหม่..เพื่ออะไร….
ท่านอัยการครับ
เรื่องเด็กกับสถานการณ์บ้านเมืองนั้น ผู้ใหญ่บ้านเราไม่ sensitive เรื่องนี้ ปล่อยให้สมองเด็กที่สดใสเสพสิ่งที่ยังไม่ควรเสพเข้าไป อย่างท่านอัยการกล่าว เอ้า ช่วยกันเท่าที่มีโอกาสนะ
สงครามกลางเมือง อีกบทเรียนหนึ่งที่คนไทยฆ่ากันเอง
ถามตัวเองว่าหากเราเป็นผู้รับผิดชอบเราจะทำอย่างไร จัดการรวดเดียวจบ หรือ ผ่อนคลายให้เลิกราไปเอง แต่เอ อย่างไรก็ไม่เลิก ยอมนั่นก็แล้ว ยอมนี่ก็แล้วไม่เลิกซะที อย่างนี้มันต้องลุยแบบให้สูญเสียน้อยที่สุด