คำถามถึงสวนป่าที่เฮฮาเก้า…
ส่งสัญญาณมานานพอสมควรเรื่องเฮเก้าที่สวนป่า ผมก็ตั้งท่าเรื่องแผนงานชีวิตไว้ อาว์เปลี่ยนก็เช่นกัน เพราะชีวิตเราขึ้นกับงาน มิใช่งานจะขึ้นกับชีวิตเรา แต่ก็พอจูนเครื่องได้บ้างและลงล๊อคพอดี แต่สำหรับท่านอื่นๆคงปรับตารางชีวิตยาก เพราะเงื่อนไขแต่ละคนแตกต่างกันไป ผมกับอาว์เปลี่ยนตั้งใจอยากเอา ป้าหวานและ ออต ไปด้วย แต่ทั้งสองท่านติดงาน ติดภารกิจดังกล่าว เข้าใจได้ครับ เพราะหลายครั้งเราก็ไม่สามารถเข้าร่วมได้ เอาเถอะ สบายๆ ตามสไตล์เฮ..
ได้พบเพื่อนใหม่ หลายท่านครับ น่าสนใจ จริงๆทำไมจึงมีคนหนุ่มสาวหันหน้ามาสวนป่า ขณะที่จำนวนมากมายหลงใหลกับห้างสรรพสินค้าที่แอร์เย็นเฉียบ และชีวิตทันสมัยในเมืองหลวง ผมถือโอกาสพูดคุยกับท่านเหล่านั้น แต่ขออนุญาตไม่ลงรายละเอียดที่นี่ ผมนั้นสนใจ The turning point ของแต่ละคน น่าศึกษา น่าหาจุดคลิก แล้วมองย้อนกลับมาเราจะสร้างคนให้ คลิกได้อย่างไร ในฐานะที่เป็นคนทำงานพัฒนาคน จึงสนใจแง่มุมเหล่านี้…
จริงๆผมกับอาว์เปลี่ยนมีงานจะต้องทำ แต่บังเอิญ งานที่จะทำนั้นเกี่ยวข้องกับสวนป่าและพื้นที่ของจังหวัดบุรีรัมย์ แผนงานเราจึงสอดคล้องกับเฮเก้า แม้ว่าเวลาที่เราจะอยู่น้อยไปหน่อยก็ตาม
ด้วยงานที่เราทำมีส่วนเกี่ยวข้องกับมูลนิธิพัฒนาอีสานที่สุรินทร์ จึงนัดน้องสองคนจากสุรินทร์มาพบกับอาว์เปลี่ยน เพื่อคุยกันเรื่องงาน เมื่อจบน้องกลับไป ก็เหลือแต่พวกเฮ ผมก็ร่วมวงคุยกับพ่อครูบา แม่หวี คอน เปลี่ยน และน้องใหม่ ท่ามกลางอากาศที่เย็นมากๆ ประมาณ 21 องศา เย็นจนคอนบอกว่าเกือบไม่สบาย
ระหว่างที่คุยกันนั้น เรื่องราวสาระก็พาไปหลายเรื่อง จนมาถึงเรื่องสวนป่า ผมนั่งหนาวไปก็นึกไปร้อยแปด
- มหัศจรรย์จริงๆที่เดิมตรงนี้มันแปนเอิดเติด (เตียน โล่ง ว่าง) มันกลายมาเป็นป่าได้อย่างไร ผมเห็นเทศบาลขอนแก่นหรือที่ไหนๆใช้งบประมาณปีหนึ่งมากมาย พาคุณหญิงคุณนาย พาผู้มีตำแหน่งหน้าที่การงาน มาปลูกต้นไม้ ถ่ายรูป ลงหนังสือ ชื่นชมกันไม่ได้หยุด แต่แล้วต้นไม้นั้นก็เฉาตายหลังจากนั้นไม่นานเท่าไหร่ ผมทราบมาว่าป่าของเดนมาร์คเพิ่มขึ้น 2 % แต่ป่าไม้บ้านเราหดหายไปทุกปี แต่ที่สวนป่าเป็นป่า ท่านผู้เป็นเจ้าของที่แห่งนี้สร้างมันขึ้นมาได้ ผมคิดว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์
- ที่เดิมตรงนี้มันแปนเอิดเติดนั้นมันสะท้อนวิถีการพัฒนาสังคมเกษตรของบ้านเรา ของประเทศเรา เอาป่ามาปลูกพืชเศรษฐกิจ แล้วก็เสียภาษี แล้วเอาภาษีนั้นกลับมาปลูกป่า ซึ่งก็ไม่ได้ดีเท่าของเดิมที่เคยมีอยู่
- หากผมเป็นพ่อครูในสมัยสามสิบปีย้อนหลังไปนั้น ผมหรือใครๆที่เป็นชาวบ้านที่คิดจะเอาที่ดินตรงนี้มาปลูกป่านั้น คงคิดยาก และไม่คิด หนทาง แนวทางจะขายเสียมากกว่าเพื่อเอาเงินไปทำอย่างอื่น หรือทู่ซี้ปลูกมัน ปลูกอ้อย ต่อไปอีก มุ่งสร้างปริมาณโดยเพิ่มการลงทุนลงไปมากขึ้น เพียงหวังว่าจะได้กลับคืนมามากพอตามต้องการ ในจิตใจพ่อครูคิดอย่างไรจึงหันมาปลูกป่า มันแหวกม่านความคิดทั่วไปของชาวบ้านไปสิ้นเชิง พ่อครูคิดอะไร ทำไมถึงคิดเช่นนั้น
- แค่คิดก็มหาศาลแล้ว แต่นี่ท่านผู้นี้ลงมือทำ ลงมือปลูกป่าในที่ดินที่ใครๆเขาปลูกอ้อน ปลูกมันสำปะหลังกันในสมัยนั้น… คิดแบบง่ายๆว่า ปลูกอ้อย ปลูกมันขายไปก็ได้เงิน แต่ปลูกป่านี่มันได้เงินตรงไหน เมื่อไหร่มันได้ แปลกคนจริงเชียวพ่อครูนี่….
- ผมคิดต่อไปว่า เอ เอาละจะปลูกป่า ก็คือปลูกต้นไม้เยอะๆลงในพื้นที่ที่เตียนโล่งนี่น่ะ ตัดสินใจเอาต้นอะไรมาปลูกเป็นต้นแรก ทำไมถึงเอาต้นนี้ เพราะอะไร แล้วมันอยู่รอดหรือเปล่า เอาน้ำที่ไหนมารดมันล่ะ หรือรอเพียงน้ำฝนเท่านั้น กล้าหาญจริงๆ กล้ามากที่คิดปลูกป่าในพื้นที่ที่เป็นเศรษฐกิจ
- ผมสนใจระบบคิด การตัดสินใจ เหตุผล ปัจจัยรอบข้าง เงื่อนไข และ…สารพัดประเด็นคำถามที่อยากถามพ่อครูบา…
คืนนั้นผมและเพื่อนๆนั่งซักถามพ่อครูบา และแลกเปลี่ยนกันจนถึงเที่ยงคืน จึงล่ำลากันไปนอน เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ผมก้าวลึกเข้าไปในพัฒนาการสวนป่าจากอดีตมาสู่ปัจจุบัน ซึ่งความจริงเราไม่ได้หยุดอยู่แค่ปัจจุบัน เรายังมองไปในอนาคต ซึ่งผมคิดว่า ชาวเฮหลายท่านคิดเรื่องนี้มาก่อนผมแล้วด้วย องค์ความรู้ที่ไหลออกมาจากสมองของพ่อครูบา ที่มันหลุดมาจากปากพ่อครูบา ที่มันอยู่ในมือของพ่อครูบานั้น จะถูกบันทึกเพื่อประโยชน์แก่สาธารณะชนอีกมากมายได้อย่างไร
ความรู้ ความจริงอีกมากมายที่ยังรออาสาก้าวเข้าไปช่วยสร้างระบบเหล่านี้ขึ้นมา แล้วเผยแพร่ออกไป
ส่วนประเด็นข้างบนนั้นผมไม่มีคำตอบ หากท่านอยากทราบ
คำตอบอยู่ที่สวนป่าครับ
1 ความคิดเห็น
[...] สิ่งที่พ่อครูบาทำ [...]