โกงไม่ว่าถ้าทำให้ชาติเจริญ

ไม่มีความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 11 June 2011 เวลา 6:02 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1064

วันนี้เด็กชายอายุ 12 มาเล่าให้ผมฟังว่า ขณะที่เขากับเพื่อนกำลังคุยกันบนรถสองแถวเกี่ยวกับการโกงกินของรัฐบาลชุดก่อนๆ ชายแก่วัยสัก 50 ที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็ทนไม่ไหวรีบพูดแทรกออกมาขัดจังหวะว่ารัฐบาลที่เอ็งว่านั้นถึงจะโกงบ้างก็ทำให้ชาติเจริญและประชาชนก็ไม่เห็นเดือดร้อนอะไร

 

ซึ่งการพูดแบบที่คนแก่คนนี้พูดกำลังเป็นสำนวนการเมืองของประเทศไทยในยุคนี้ไปแล้ว และถือเป็นสัญญาณอันตราย

 

การโกงกินของนักการเมืองเพียงไม่กี่คน แล้วสร้างภาพว่าชาติก็เจริญ ประชาชนไม่เดือดร้อน แถมบางกลุ่มได้ประโยชน์เสียอีกนั้น ผมว่ามันเหมือนกับการเล่นแชร์ปิรามิดนั่นเอง ตอนแรกๆก็ดูว่าได้ประโยชน์ ได้กำไรกันถ้วนหน้า เพราะเขาเอาอัฐประชาชนมาซื้อขนมประชาชน แจกจ่ายกันกินอย่างสนุกสนาน โดยพวกเขาชักเปอร์เซ็นไว้ส่วนหนึ่ง แต่พอเวลาผ่านไปปิรามิดมันสูงมาก จนมันกินตัวเอง คราวนี้แหละก็จะล้มกันระเนระนาด ส่วนพวกนักการเมืองมันก็สบายแล้วหละ ลูกหลานพวกมันอยู่ดีมีสุขกันไปอีกนาน

 

เพียงแต่ว่าแชร์ปิรามิดมันเห็นผลเร็วภายในเดือนในปีก็เห็นผลแล้ว แต่ปิรามิดการเมืองมันเห็นผลช้าต้องใช้เวลา 20 ปีขึ้นไป แต่พอถึงเวลานั้นมันก็เสียหายหนัก จนอาจกู่ไม่กลับเสียแล้ว

 

ดังนั้นถ้าให้ผมเลือกระหว่างนักการเมืองที่โกงแล้วทำให้ชาติเจริญกับนักการเมืองที่ไม่โกงแล้วทำให้ชาติไม่เจริญ ผมจะเลือกเอาอย่างหลัง เพราะผมเห็นว่าการไม่โกงนั้นมันเป็นความเจริญอยู่ในตัวของมันเองแล้ว  ส่วน “ความเจริญ” ที่เห่อเหิมกันหนักหนานั้นไม่รู้ว่าคืออะไรแน่ ต่างคนก็ต่างนิยาม

 

เจริญแต่ไม่พัฒนาอาจน่ากลัวกว่าการไม่เจริญและไม่พัฒนาเสียอีก

 

…คนถางทาง (๒๕๕๑)


ขนมจีน…จากมุมมองของหลานมอญ เจ็ก ไทย

ไม่มีความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 11 June 2011 เวลา 2:29 am ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1127

มาเรียกขนมจีนว่า “ข้าวปุ้น” กันดีก่วา

 

ขนมจีนที่เป็นอาหารคู่เมืองไทยมาช้านานนั้น ทางอีสานเราเรียกว่า “ข้าวปุ้น” มาช้านานแล้วเหมือนกัน แต่ทุกวันนี้ก็พลอยเรียกว่าขนมจีนตามคนภาคกลางไปด้วย ซึ่งเรื่องนี้นับว่าน่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง ผมอยากรณรงค์ให้กลับมาเรียกว่าข้าวปุ้นกันให้หมดประเทศ

 

เรื่องนี้สำคัญนะครับ อย่าทำเป็นเล่น เห็นว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย เพราะมันเป็นการให้เกียรติบรรพชน ที่คงจะคิดค้นกันขึ้นเองมาช้านานแล้ว ไม่ได้ลอกเลียนแบบจีนมาอย่างแน่นอน

 

ที่ว่าไม่ได้ลอกเลียนมานั้นมีเหตุผลนะครับ คือ ขั้นตอนการทำข้าวปุ้นจะซับซ้อนกว่าการทำเส้นก๋วยเตี๋ยว เนื่องจากมีขั้นตอนสำคัญเพิ่มขึ้นมาคือ การหมัก ซึ่งทำให้เส้นเหนียวและ “หอม” (ตุๆ ซึ่งบางคนก็ว่าเหม็น)

 

ที่ จ. กาฬสินธุ์ มีอำเภอหนึ่งชื่อว่า อ.กุดข้าวปุ้น ทำให้ผมต้องแวะรถเข้าไปเยี่ยม สอบถามชาวบ้านทราบว่าอำเภอนี้อายุหลายร้อยปีแล้ว แต่ตอนนี้ไม่มีบ้านทำข้าวปุ้นสักหลัง

 

ขนมจีนนั้น เดาว่าคนภาคกลางคงมารู้จักกินกันสมัยรัตนโกสินทร์นี่เอง พร้อมกับการเข้ามาของคนจีน ก็เลยคิดตั้งชื่อกันเอาว่า ขนมจีน เพราะเส้นคล้ายก๋วยเตี๋ยวของจีน ส่วนทางภาคเหนือดูเหมือนจะเรียกว่า ขนมเส้น

 

คนไทยเรามีนิสัยไม่ดีอยู่อย่าง คือ ไม่ค่อยภูมิใจ หรือ มั่นใจในตนเอง เห็นอะไรของเราคล้ายแขกก็ว่าลอกมาจากแขก เห็นอะไรคล้ายจีนก็ว่าลอกมาจากจีน ลาว เขมร เช่นปลาร้า ก็ว่าลอกมาจากปลาฮ็อกของเขมร แม้แต่ปลาบึกก็ไม่มีในไทยหรอก โน่น ว่ายมาจากฝั่งลาวโน่น (ชาวไทยริมโขงนักล่าป่าบึกเล่าให้ผมฟังอย่างนั้น)

 

ไม่คิดกันในมุมกลับบ้างว่า เขาอาจลอกไปจากเราก็ได้นะ ว่าไปแล้วโอกาสเขาลอกเรามากกว่าด้วยซ้ำเพราะคนไทยเราไม่ค่อยเดินทางไกล ส่วนแขก จีน นั้นเขาเดินทางมาก มาเห็นอะไรดีๆเข้าเขาก็ลอกเอาไปใช้บ้างเมืองเขา

 

ยิ่งข้าวปุ้นนั้นขั้นตอนของเราซับซ้อนกว่า เป็นไปได้ยากว่าเราลอกมาจากเขา ถ้าลอกมาขั้นตอนต้องเท่ากันหรือซับซ้อนน้อยกว่า ดังนั้นถ้าจะว่าลอกกันแล้วไซร้ ความเป็นไปได้มากกว่าคือ จีนลอกไทย แล้วอิตาเลียนลอกจีนไปอีกที

 

มาวันนี้คนไทยหาหลักฐานอย่างไรก็ไม่เจอว่าลอกมาจากจีน ก็เลยค้นมาจนเจอได้ “จนได้ว่า” ลอกมาจากมอญนี่เอง เพราะ มอญเรียกแป้งว่า คะนม และเรียก เส้นว่า ชิน ฮะห้า ใช่เลย คะนมชิน ..เข้ากันเป็นปีขลุ่ยได้เสมอ

 

นักวิชาการไทยเขาสรุปไว้ล่วงหน้าแล้วว่า คนไทยคิดอะไรไม่เป็นเลย ต้องลอกคนนอกมาหมด (แล้วพ่อแม่ของท่านนักวิชาการไม่ทราบลอกวิธีการสืบพันธุ์จนให้กำเนิดท่านมาจากไหน ????)

 

หรือว่าอย่างมากที่สุดก็แค่ต่างคนต่างคิดค้นโดยอิสระ

 

แค่คิด “อย่างมาก” แค่นี้ คนไทยเราส่วนใหญ่ก็ไม่กล้าคิดแล้วหละ…ก็เอ้า..ไปกิน “คะนมชิน” ลาดน้ำสปาเก็ตตี้กันต่อไปก็แล้วกัน ..โชคดีเด๊อ

 

…คนถางทาง

 

 

 


อิทธิพลไทใหญ่ต่อวัฒนธรรมอาหารล้านนา

6 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 10 June 2011 เวลา 11:11 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1726

อิทธิพลไทใหญ่ต่อวัฒนธรรมอาหารล้านนา

 

แหม..วันนี้ผมจั่วหัวเสียสุภาพ แบบเชิงวิชาการอีกต่างหาก …ชักเขินตัวเอง

 

จากการที่ผมได้มาแอ่วเหนือหลายครั้งมาก และไปเดินเที่ยวตลาดเช้าแทบทุกครั้ง ทำบุญตักบาตรกับตุ๊เจ้า ในบรรยากาศที่แสนอะโรแมติกของ “มนต์เมืองเหนือ”

 

 

ผมสรุปว่า อาหารเหนือล้านนาเดิมแท้นั้น ไม่น่าต่างจากอาหารอีสานสักเท่าใด คือ นิยมกินเนื้อมาก และกินผักมากด้วย มักมีรสเค็มเป็นหลัก (เหมือนฝรั่งเลย เอ้า..ปรบมือ)

 

และมักแห้งๆ ไม่ค่อยมีน้ำ  (เอ้าเหมือนฝรั่งอีกแล้ว)

 

…ทั้งนี้เพราะแบบนี้มันเข้าได้กับ “ข้าวเหนียว”  นั่นเอง เพราะข้าวเหนียวไม่ค่อยซึมน้ำ จะให้กินกับอาหารน้ำก็ไม่ค่อยเข้ากันได้

 

ก็ข้าวมันเหนียว มันต้องปั้น ต้องจิ้ม ก็เลยไม่เข้ากันได้กับอาหารแฉะๆ  แต่ไทใหญ่ ส่วนใหญ่กินข้าวเจ้า ซึ่งเข้ากันได้กับกับข้าวแบบแฉะๆ เป็นน้ำๆ

 

อีกทั้งน่าสังเกตว่า อาหาร “ลาว” (ไม่ว่าลาวล้านนา ล้านช้าง หรือ ล้านเสื้อแดง)  มักมีเครื่องเทศคล้ายๆกัน ไม่ค่อยมีไอ้ที่กลิ่นฉุนๆ  ที่น่าคลื่นไส้  (ก็เหมือนฝรั่งอีกแล้ว) เช่น มะกรูด กระวาน ยี่หร่า

 

 ส่วนใหญ่คนลาวจะนิยมสมุนไพรที่กลิ่นปานกลาง เช่น หอม กระเทียม มะเขือเทศ มะขาม  หรือไม่ก็เหม็นๆ แต่ก็ไม่วายออกเค็มๆ  เช่น ปลาร้า แหนม ไปเลย (เอ้าเหมือนฝรั่งอีกแล้ว ทิ่นิยมชีสที่แสนเหม็น..แต่คนไทยเห่อกันจัง ยกเว้นปลาร้า กลับหาว่าด้อยพัฒนา แต่ดันไปนิยม anchovy ซึ่งคือปลาร้า(ฝรั่ง) เราดีๆนี่เอง)  

 

คนลาว มักนิยม ปิ้ง ย่าง แอบ อะไรที่แห้งๆ และไม่มัน แต่ไม่นิยมต้ม ทอด ผัด และอะไรที่ใช้น้ำมัน

 

อาหารไทยใหญ่นั้น มักมีอะไรที่แฉะๆ ที่กลิ่นฉุนๆ และมีน้ำมัน  เข้ามามากหลาย เช่น แกงฮังเล  ไส่อั่ว ข้าวกั๋นจิ้น (ข้าวผัดใส่ขมิ้นและเลือดวัว บวกกระเทียมเจียว น้ำมันย่อง) ถั่วเน่า (สัญลักษณ์ประจำชนชาติไทยใหญ่ก็ว่าได้) แกงโฮะ ผักกาดจอ (ต้มผักใส่ถั่วเน่า)

 

ผมเชื่อว่า อาหารที่เราเชื่อกันว่า “ล้านนา” นั้นจำนวนมากมาจากไทยใหญ่ …แต่เรื่องนี้ไม่ใคร่มีใครทำวิจัย (ทำวิจัยถูกอาจถูกขู่ฆ่าได้อีกต่างหาก)

 

ส่วนเหล้า หลู้ เลือด นั้น ผมว่า ลาวทั้งสาม และไทใหญ่  ต่างก็นิยมด้วยกันทั้งหมด บ่ฮู้ว่าใครนำใคร

 

ใช่แต่ว่าล้านนาได้รับอิทธิพลของไทใหญ่ เพราะอิทธิพลฝ่ายตรงข้ามก็มากหลาย เช่น ไปกิน”แอบถั่วเน่า”  ที่แม่ฮ่องสอน  เล่นเอาละเมอหามาจนวันนี้

 

ห่อละ สองบาท (สองบาท ไม่ได้พิมพ์ผิด) เอามาจิ้มผักประหลาดๆ เช่น รากจิ๊ดอง และอะไรอีกมากหลายที่ซื้อมาจนลายตาจนลืมจดและถ่ายรูป

 

แล้วเอามากินกลั้วคอด้วยข้าวนึ่งที่แสนเหนียว ริมไอน้ำจากใต้พิภพ ณ ผาบ่อง ที่มีสาวๆมานุ่งกระโจมอกอาบน้ำริมธารน้ำอุ่น แบบไม่อายฟ้าดิน และคนกำลังนั่งกินใกล้ๆ

 

นี่มันประเทศไทย หรือสวรรค์ ขุมไหน กันหนอ

 

…คนถางทาง


ปฏิวัติก๋วยเตี๋ยว

2 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 10 June 2011 เวลา 9:50 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1491

ประเทศไทยเรามีวัฒนธรรมอะไรแปลกๆที่ฝรั่งคงเข้าใจได้ยาก เช่น  การขายก๋วยเตี๋ยวเรือ ด้วยการเอาเรือมาตั้งบนบก โดยที่คนขายก็อาจไม่เคยขายก๋วยเตี๋ยวเรือมาก่อน หรืออาจพายเรือไม่เป็นด้วยซ้ำไป  อย่างนี้ไมทราบเข้าข่ายการโฆษณาหลอกลวงหรือไม่

 

ที่น่าถามต่อไปคือ แล้วทำไมก๋วยเตี๋ยวเรือ มันต้องชามเล็ก และใส่ซอสดำ และใช้พริกเผา น้ำส้มพริกตำ  ด้วย??? 

เรื่องชามเล็กพอคาดเดาแบบเข้าข้างมั่วๆได้ว่าก็เรือมันโคลง ทำให้หยิบฉวย พลิกมือได้ง่าย ถ้าใช้ชามใหญ่เดี๋ยวมันหกใส่คนขายคนกิน  แต่ ซอสดำ และ พริกน้ำส้มตำ (แทนพริกหั่นแบบบนบก) หาคำตอบไม่ได้ หรือ พริกตำมันข้นดี ทำให้ตักง่ายในขณะเรือโคลงก็ไม่รู้ แต่ก็ยังเหลือปริศนาเจ้าซอสดำว่ามีที่มาอย่างไร

อ้อ..กากหมูทอดกรอบ และ อะไรต่อมิอะไรอื่นๆ อีกล่ะ จะอธิบายอย่างไร (เช่น โหระพา)

นิสัยคนไทยเราไม่ค่อยขี้สงสัย ซึ่งผมว่าเป็นนิสัยหนึ่งที่ทำให้ชาติเราไม่พัฒนาเท่าที่ควร

 คิดถึงก๋วยเตี๋ยวรถเข็น โดยมากจะขายบะหมี่ เกี๊ยว เดี๋ยวนี้หาไม่ได้แล้ว ผมเคยคิดเพื้ยนๆว่าจะประกอบธุรกิจขายก๋วยเตี๋ยวรถเข็นด้วยการเอารถเข็นบรรทุกไปบนเรือ พายขายมันไปเรื่อยๆ   เพื่อให้มันถ่วงดุลกับพวกก๋วยเตี๋ยวเรือที่ยกเอาเรือไปตั้งบนบก ขนาดบนภูเขาสูงยังมีขายเลย 

 

คิดต่อไปว่าทำไมไม่มีคนคิดก๋วยเตี๋ยวอีสาน ใส่ปล้าร้า ใส่ผักเยอะ หรือ ก๋วยเตี๋ยวปักษ์ใต้ใส่อะไรยำๆ ลงไปเหมือนข้าวยำ (หรือข้าวซอย ของไทยใหญ่ก็ได้)

 

ก๋วยเตี๋ยวต้มยำก็อะไรไม่รุ มีใส่ถั่วด้วย น่าจะมีคนคิดขายก๋วยเตี๋ยวต้มยำขนานแท้ คือเอาต้มยำกุ้ง ต้มยำปลา มาใส่เส้นลงไป ให้มันเป็นอาหารจานใหม่ไปเลย  

มีใครเคยกินข้าว “แรมฟืน” ของไทยใหญ่บ้างไหมครับ มันเป็นเต้าฮวย แต่เอามาปรุงแบบก๋วยเตี๋ยว ผสมกับผักกาดดอง (แบบข้าวซอย)  หากินยากมาก แถวแม่ฮ่องสอนพอมี อ้อ..เชียงแสน เชียงของ ก็พอเจอ (แถวนี้คนไทยใหญ่เยอะ)

 

ก๋วยเตี๋ยวราดพะแนงก็ไม่มีใครคิดกัน ผมว่าสปาเกตตี่วิ่งหนีแน่ๆ เอาไปเสริฟทดลอง บนสายการบินไทย หรือใครจะเอาไปจดสิทธิบัตร ก็คงได้นะ

 

…คนถางทาง

 

 

 


เสียงหอนจากหมาเน่าริมถนน (๑)

1 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 10 June 2011 เวลา 8:50 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1193

หลากหลายวิธีสู่สวรรค์บนท้องถนนไทย

 

แต่ละปีคนไทยตายกันเป็นเบือบนท้องถนน ภายใน 5 วันหยุดช่วงปีใหม่ คนไทยตายบนถนนมากกว่าคนอังกฤษตายทั้งปี (ทั้งที่มีประชากรพอกัน และเขามีจำนวนรถมากกว่าเราหลายเท่า) 

 

รัฐบาลก็หาเสียงบนซากศพ โดยบอกว่าเป็นเพราะคนขับ เมา ง่วง ประมาท เป็นหลัก  แล้วหาเสียงหนักแน่นว่าจากนี้ไปรัฐจะเข้ามาทำโน่นนี่เพื่อทำให้คนตายน้อยลง ซึ่งผมเห็นว่าเป็นการ… เอาดีเข้าตัวเอาชั่วใส่ประชาชนเหมือนเดิมๆที่ผ่านมานานับปี

 

ผมได้คิดคำนวณว่า กว่า 50% ของอุบัติเหตุจราจรเป็นความผิดของรัฐบาลที่งี่ง่าว ที่เอาแต่โยนบาปให้ประชาชน  จนผมได้เขียนบทความ “109 วิธีตายบนท้องถนนไทย”  ไว้นานมาแล้ว

 

มันเป็นความผิดที่มีหัวขบวนเริ่มตั้งแต่นายกฯ รองนายกฯ เรื่อยไป จนถึง รมต.คมนาคม กรมทางฯ และตำรวจ นายกฯอบต. หัวคะแนน นั่นเทียว  ก็ระบบอำนาจแนวดิ่งแบบไทยๆตามเดิมๆ  เช่น:

 

  • 1. ตำรวจตั้งด่านเต็มประเทศ โดยรัฐบาลไม่เพียงแต่ทำตาปริบๆ แต่ส่งเสริมเสียอีก ซึ่งเรื่องนี้มันผิดกฎหมาย เป็นการกีดขวางการจราจร เพราะมันบีบถนนให้แคบลง ทำให้ต้องเบรกกระทันหัน ในขณะขับรถมาเพลินๆ ด่านหลายด่านตั้งอยู่บริเวณโค้ง เนินเขา (เพื่อบังไม่ให้เห็นได้จากระยะไกลเสียก่อน) …บางด่านตั้งเป็นการถาวรทำให้ถนน 3 เลน เหลือเพียงเลนเดียว รถติดกันเป็นกิโล เสียเวลากันเป็นชั่วโมง …แต่ตำรวจไทยก็ไม่รู้ร้อนหนาวหรือละอายใจอะไร เท่ากับว่าตำรวจทำตัวเป็นผู้ก่อการร้าย (อุบัติเหตุ) เสียเอง (เห็นมากับตาหลายครั้งที่รถชนกันหน้าด่านตำรวจ เพราะเบรก เบียด ไม่ทัน) …แบบนี้ก็ไม่ต้องไปพูดถึงเรื่องอื่นแล้ว สังเกตได้เลยว่าระดับการพัฒนาของประเทศใดแปรผันกับจำนวนด่านตำรวจเสมอ ในประเทศพัฒนาแล้วจะไม่มีด่านตำรวจให้เห็น แต่ประเทศด้อยพัฒนาเช่น อเมริกาใต้ อาฟริกา ไทย มีด่านมากจริงๆ ส่วนใหญ่อ้างว่าเพื่อจับยาเสพติด สินค้าเถื่อน (เหมือนกันทุกประเทศ) พ่อค้าแม่ขายเล่าให้ฟังว่า ทำมาหากินแสนลำบากทุกวันนี้เพราะด่านตำรวจมันรีดไถด้วยการกักด่าน …ซึ่งคนจบนอก ไม่เคยสัมผัสชีวิตรากหญ้า ไม่มีวันรับรู้ได้หรอก ต่อให้เรียนได้เกียรตินิยมระดับไหนก็ตามที …คนส่งหัวกะหล่ำจากเพชร์บูรณ์เล่าว่ากว่าจะเอากะหล่ำส่งมาถึงกทม. ต้องผ่านด่านสิบกว่าด่าน ด่านละร้อย จนเงินหมด ก็ต้องจ่ายให้ไอ้เอี้ยพวกนั้นเป็นหัวกะหล่ำ ..ไอ้พวกโจรในเครื่องแบบ ที่รัฐบาลไทยไม่มีวันกล้าสั่งให้มันเลิก เพียงเพราะมันอ้างว่าเพื่อปราบยาเสพติด ที่พวกมันคุมเอง ขายเองทั้งนั้น

 

  • 2. ร้านค้าริมถนน มันก็ทำให้ชนกันได้บ่อยๆ (รถจอดซื้อของ รถถอยออก รถตีออก ทำอยู่ได้ เพราะตำรวจได้เงินตอบแทนจากการไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนด พอร้องเรียนก็ปรับวิกฤตเป็นโอกาสทันที..ว่า..อลุ้มอล่วยต่อคนจน)…ฮาแตกจริงๆ ตำขวดไทย

 

  • 3. ไม่มีป้ายบอกทาง หรือมีแต่บอกทางกะทันหันมาก ทั้งที่เป็นแยกใหญ่ เช่น มอเตอร์เวย์จากพัทยาจะเข้ากรุงเทพ เก็บเงินเราเป็นร้อย และขับเร็วมาเป็นร้อย แต่มันมีป้ายบอกทางเข้ากรุงเทพเพียงป้ายเดียว ห่างทางเลี้ยวแยกประมาณ 10 เมตร. มันก็เลยต้องเบรกตัวโก่ง จนรถตามมาข้างหลังเบรกไม่ทันจนชนกันระเนนาด

 

หากเป็นยุโรปหรือเมกา กรณีแบบนี้เขาจะเตือนด้วย  3 ป้ายเป็นอย่างน้อย เตือนเป็นระยะเพื่อให้ปรับตัว (ร้านข้าวแกงริมทางมันยังมีป้ายเตือนมากกว่านี้ แถมมีบอกว่าขับเลยแล้วด้วยซ้ำไป)   

 

แต่บางครั้งลัดถะบวมไทยก็เว่อร์มากหลาย เช่นพอเลยสระบุรีไปแล้วก็ทำป้ายทุกสามกิโลบอกให้ยูเทอร์นไปสระบุรีนับสิบป้าย จนถึงโคราชโน่น  ซึ่งเลยมาแล้วตั้งร้อยกิโลเมตร ..มันบ้าไปแล้ว สงสัยคงรับประมูลง่าวๆ มาได้ เป็นแน่ …เมืองไทยของเรา อะไรๆ ที่เหลือเชื่อย่อมเกิดขึ้นได้เสมอ   ส่วนป้ายบอกทางไปสนามบินสุวรรณภูมิมันก็มีตั้งแต่เชียงใหม่ โน่น มีมาเรื่อยจนถึงพิษณุโลก ชัยนาท นครสวรรค์ …มันบ้าไปแล้วจริงๆ

 

  • 4. แยกในกรุงเทพส่วนใหญ่ไม่มีป้ายบอกชื่อถนน ทางเลี้ยว หรือมีแต่มีแบบหงี้หง้าว ที่ต้องหันคอสามทิศบิดจนโก่งกว่าจะเห็น แถมตัวหนังสือกระจิ๋วเดียว คนบ้านนอกเข้ากรุงเป็นจำนวนมาก ต้องสับสน หันมองหาทางซ้ายขวา จนไม่มีตามองถนน ก็เลยชนกันแหลก เพราะรถมันก็มาก ต่างก็ขับเร็ว ดิ๊ปไฟไล่กันไม่เกรงใจ ยิ่งทำให้เราลุกรี้ลน แม้แต่คนกรุงเองที่ทนทรมานอยู่มานานก็ยังบ่นว่าแย่ …..แต่พอมันปรับปรุงก็กลับทำแย่ยิ่งกว่าเดิม ทำเป็นตัววิ่งไฟแว็บแลบไปแลบมา ที่มันคิดว่า…ก็กรูยังเห็นและคิดได้ทันดังนั้นมรึงก็ต้องเห็นและคิดทันด้วยสิ …โธ่..ไอ้เวรตลัย…เสียแรงจบวิศวปริญญาเอกมาจากนอกเป็นทิวแถว ..จะโง่กันไปถึงหนัย (วะ) (เสียงอุทานในใจเราขณะขับรถน่ะ )

 

  • 5. ภาษาอังกฤษในป้ายบอกทาง …ทำไมต้องมีด้วย มันยิ่งทำให้ตัวอักษรไทยที่เล็กมากอยู่แล้วยิ่งเล็กลงไปใหญ่ จะเอาใจฝรั่งไปถึงไหน บนซากศพของคนไทย ทั้งที่มีฝรั่งขับรถในเมืองไทยไม่ถึง หนึ่งในหมื่น แต่ป้ายบอกทางกลับให้พื้นที่มันไป 30% แสดงว่าชีวิตฝรั่งมันมีค่ากว่าชีวิตคนไทย 3 หมื่นกว่าเท่า ..โอ…เข้ากินเนสบุคได้เลย ไปโตเกียว แฟรงเฟิรต์ ไม่เห็นป้ายจราจรเป็นภาษาอังกฤษสักป้าย ทั้งที่มีคนต่างด้าวมากกว่าไทยหลายเปอร์เซ็นต์

 

 

  • 6. โครงการเจ็ดชั่วโคตร เต็มประเทศ เมื่อไหร่มันจะเสร็จเสียที ไปกี่ปีก็เหมือนเดิม มีแต่ฝุ่นและอุบัติเหตุ เช่น ไหล่ถนนสูง ไม่มีป้ายเตือน ทางเบี่ยง ฝุ่นหนามองไม่เห็นทาง (โดยเฉพาะตอนกลางคืน) ทำให้ป้ายเตือนอ่านไม่ออก เช่น “ทางต่างระดับ” “ไหล่ถนนต่างระดับ” (No pavement) ภาษาอังกฤษตรงกว่า สงสัยเป็นภาษาพ่อมัน

 

  • 7. ทางโค้งก็ไม่มีเสาไฟส่อง เสาสะท้อนแสง หรือ เหล็กกันไหล่ถนน

 

 

  • 8. ป้ายโมษณาริมถนนก็อนุญาตให้ติดกันเกร่อ อ่านจนเพลิน จนไม่มองถนน จนชนกันเพลิน (ควรห้ามได้แล้วโดยเฉพาะพวกมีรูปโป๊ นมหก และคำขวัญพระเจ้าไถ่บาป รวมทั้งรูปหน้าตำขวดพร้อมคำขวัญ)

 

  • 9. ป้ายต้อนรับสู่หมู่บ้าน ตำบล อำเภอ จังหวัด พร้อมคำขวัญยาวยืด ก่อนเข้ามันบอกว่า “ขอต้อนรับสู่….” พอออกมันบอกว่า “ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพ” ไร้สาระและเสียงบประมาณกันมากหลาย เมื่อไรจะออกกฎหมายห้ามเสียที เพราะอ่านไปอ่านมา ไม่มีตามองถนนก็ถลาลงริมถนนไปชนป้ายบ้านั่นคอหักตายกันพอดี

 

(โปรดติดตามตอนต่อไป …ถ้าไม่ตายเหมือนหมาข้างถนนเสียก่อน)


เสียงจิ้งหรีดกรีดร้องในโรงแรม(ไทย)

1 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 9 June 2011 เวลา 10:25 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1071

นโยบายการท่องเที่ยวและการโรงแรมที่รัฐบาลไทยเสียค่าโง่มาแสนนาน

 

ผมกำลังจะเดินทางสองประเทศในยุโรป ตามความต้องการที่ยัดเยียดให้ของหน่วยงานราชการไทย ผมได้พยายามปฏิเสธไม่ยอมไป เพราะเสียดายเงินภาษีราษฎรไทยของเรา แต่ “เขา” ก็ยัดเยียดให้ไป ไม่งั้นจะ “ประเมินไม่ผ่าน”  …ช่วยผมสังเวชแทนประเทศไทยของเราด้วยนะครับ

 

เมื่อจำเป็นต้องไป ผมก็เลยไปสำรวจหาจองโรงแรมในยุโรป ซึ่งสองประเทศนี้แพงสุดๆ ที่สุดในโลกแล้ว  ขนาดนักศึกษาผมไป “เขา” ให้ค่าที่พักเดือนละ 45,000 ปรากฏว่าที่พักเฉลี่ยแบบรังหนูระดับนศ. ราคาเดือนละ 75,000 ซึ่งทางฝ่ายโน้นเขาสงสารเลยหางบเสริมให้อีกเดือนละ 30,000

 

จากการสืบค้นพบว่า ค่าโรงแรมระดับสี่ดาวโดยเฉลี่ยประมาณ 6,000 บาทต่อวันเท่านั้นเอง (เท่านั้นเอง!!!)   ซึ่งถือว่าถูกมาก ในขณะที่โรงแรมสี่ดาวในไทยก็ประมาณ 6,000 บาทเช่นกัน

 

ถามว่าทำไมราคาเท่ากัน ในประเทศด้อยพัฒนาแบบไทยเรากับในอารยประเทศระดับนั้น

 

 รับรองว่ารัฐบาลไทยตอบไม่ได้หรอก….. ก็ต้องเห็นใจท่าน เพราะรัฐบาลไทยเรามีความรู้น้อย เนื่องจากต้องเอาเวลาส่วนใหญ่ไปหาผลประโยชน์หรือประนีประนอมผลประโยชน์กับฝ่ายต่างๆ จนไม่มีเวลาเหลือเอาไว้คิดวิเคราะห์อะไรเพื่อประเทศไทยให้มันลึกซึ้งไปกว่านี้อีกแล้ว เอาเวลาส่วนใหญ่ไปคิดแต่ให้ตัวเองอยู่รอดไปวันๆ หรือให้ร่ำรวยยิ่งขึ้นกว่าเดิมไปวันๆ แล้วแต่กรณี

 

ผมขอเสนอคำตอบที่ผมถามเอง ตอบเอง มากว่าสิบปีแล้วว่า มันเป็นเพราะโรงแรมสี่และห้าดาวส่วนใหญ่ในเมืองไทย ส่วนใหญ่กว่า 80% มันเป็นของนักลงทุนต่างชาติทั้งนั้น ดังนั้นมันเลยต้องตั้งราคามาตรฐานโลก เพื่อให้นักลงทุน(ผู้ถือหุ้น)ได้กำไรเท่ากันหรือมากกว่าต่อหน่วยการลงทุนที่คิดตามอัตราในประเทศของเขา ทั้งนี้เมื่อคิดอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราเรียบร้อยแล้ว

 

เรื่องนี้นักการเมืองไทยที่อ้างหรือเล่าลือกันว่าเก่งกาจหนักหนา จบดีกรีอะไรจากต่างชาติกันยาวเป็นหาง ต่างก็งี่เง่าตามเกมส์ฝรั่งไม่ทันกันมาแสนนาน ทำให้เสียค่าโง่ต่อประเทศไทยปีละไม่ต่ำกว่า สามแสนล้านบาท  (repeat สามแสนล้านบาท)  

 

ทักษิณมันโกงไปแสนล้านบาทเราว่ามันเลวมากแล้ว แต่รัฐบาลไทยเสียค่าโง่ด้านโรงแรมไปปีละ 3 แสนล้าน 10 ปีก็ 3 ล้านๆ แต่แปลกว่าแม้โง่เง่าขนาดนี้ก็ยังเอามาตีปี๊บอ้างเป็นผลงานหลอกรากหญ้าและยอดหญ้ากันได้ทุกยุคสมัย (ยอดหญ้าก็ใช่ว่าจะฉลาดกันหมดแม้จบกันมาดีกรียาวเป็นหาง และมีชื่อเสียงกระฉ่อนประเทศก็ตามที)

 

ผมถามว่าทำไมโรงแรมไทยต้องแพงเท่าสากลในขณะที่งบลงทุนต่ำกว่า (ค่าปูน ค่าแรง ต่ำกว่ามาก) งบดำเนินการก็ต่ำกว่ามาก (ค่าแม่บ้าน ยาม คนงาน) ส่วนต่างคือกำไรของนายทุนต่างชาติ  (ที่ส่วนหนึ่งต้องเอามาติดสินบนขรก.ไทย เพื่อขออนุญาตก่อสร้าง ทั้งที่ขัดต่อกฎหมายก่อสร้างไทย)

 

ผมกล้าสาบานว่ารัฐบาลไทยไม่มีวันกล้าประกาศว่า ราคาโรงแรมในไทยต้องคิดตาม ppp (purchasing power parity) ที่ UN และ ไอ้กันมันนิยมใช้กันหนักหนา  เพื่อประโยชน์ทางการเมืองในการครองโลก (และการค้า) ของพวกมัน  

 

ppp คืออะไร ท่านลองไปหาอ่านเอาและคิดเชื่อมโยงเอานะครับ มันคิดมาโดย CIA ของไอ้กัน เพื่อการทำชั่วของพวกมันอย่างแยบยล และนักการเมือง นักเศรษฐศาสตร์เราต่างก็ขานรับกันอึงมี่

 

ถ้าทำได้แบบนี้จะทำให้ราคาโรงแรมไทยถูกลง 3 เท่าทันที (โดยข้อบังคับของกฎหมาย…ที่เป็นสากลอีกต่างหาก) ซึ่งพวกนักลงทุนฝรั่งมันก็ต้องออกโรงมาต้านทันทีว่าขัดต่อการค้าเสรี ซึ่งเราก็จะหงอยอมตามการค้านของพวกมันอีกตามเคย

 

ราคาโรงแรมที่ถูกลง 3 เท่าจะทำให้ฝรั่งไม่มาลงทุน (เพราะไม่คุ้มทุนเมื่อคิดอัตราแลกเปลี่ยน) ทำให้คนไทยเราลงทุนมากขึ้นเพื่อรองรับส่วนที่ขาดไป  เพราะแม้คิดราคาเพียงวันละ 2,000 บาทก็กำไรเหลือเฟือแล้วสำหรับคนจนๆอย่างเรา 

 

นอกจากนี้ราคาโรงแรมที่ถูกมากกว่าสากล  3 เท่า จะทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติหลั่งไหลเข้าประเทศมากขึ้น 2 เท่าทันที และเงินก็ไหลเข้ามือเจ้าของโรงแรมที่เป็นคนไทยทั้งนั้น แทนที่จะไหลเข้ามือนักลงทุนต่างชาติเหมือนที่ผ่านมา

 

ผมมีแขกฝรั่งมาเยี่ยมบ่อย ความรักชาติทำให้ผมจองโรงแรมให้แขกฝรั่งเป็นโรงแรมไทยทั้งสิ้น ผมพบว่าโรงแรม 4-5 ดาว เทียบเท่าฝรั่งของคนไทยเรา ตั้งอยู่สุขุมวิทย์ ใจกลางกรุง กลับถูกว่ารร.ฝรั่ง 3-5 เท่า …นี่แสดงว่าเขาทำกำไรได้ในราคานี้

 

แต่ประเทศเรามันเห่อสากล ก็คงต้องถูกสากลมันหลอกแด็กซ์เอาแบบนี้ต่อไป และคงตลอดไปจนกว่าจะไปอยู่กับพระเจ้า (ฝรั่ง) สักวัน

 

เราต้องฉลาดพอที่จะเล่นเกมส์ตามกติกา ที่ฝรั่งผู้มีอำนาจกำหนด หนามยอกเอาหนามบ่ง แต่เราต้องกล้าพอด้วย

 

 ถ้ามัวหงอ โง่ แบบนี้ก็คงต้องรับอาชีพแบกเสลี่ยงพาฝรั่งชมทิวทัศน์โล “ภา” ภิวัฒน์กันต่อไปแบบนี้อีกแสนนาน…โชคดีประเทศไทย

 

…….ทวิช จิตรสมบูรณ์  (๒๕๕๑)


ลดจำนวนข้าราชการลงสามเท่า

7 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 9 June 2011 เวลา 8:40 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1571

การปฏิรูประบบราชการเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด

 

ถ้าจำไม่ผิดงบประมาณประเทศไทยประมาณ 70% เป็นงบเงินเดือน ค่าจ้าง ซึ่งถ้าเป็นบริษัทก็คงเจ๊งไปนานแล้ว นี่ขนาดของเราให้เงินเดือนต่ำนะ ในตปท. ในเมืองใหญ่ๆ เช่น ฮัมบูร์ก  เมืองทางตอนเหนือของเยอรมันที่มีประชากรประมาณ 1 ล้านคน แต่ศาลากลางเขาหลังนิดเดียว กะว่าคนทำงานไม่น่าเกิน 500 คน

 

ส่วนของเราจังหวัดเล็ก ประชากร 3 แสน กลับมีศาลากลางหลังเบ้อเร่อ มีคนทำงานนับพัน ซึ่งแสดงว่าระบบเรา ด้อยปสภ.กว่าฝรั่งหลายเท่า อาจถึงสิบเท่าก็เป็นได้

 

ถ้าเราทำปสภ.ให้ได้เท่าฝรั่งเยอรมัน ก็หมายความว่าเราจะใช้งบดำเนินการเพียง 7% เท่านั้น อีก 63% ที่เหลือก็อาจเอาไปพัฒนาสังคม

 

ถ้าทำได้แบบนี้เราคงเจริญเท่าฝรั่งสักวันหนึ่ง เพราะมันเงินมหาศาลที่จ้างคน ก็เอาพัฒนาสังคมได้อีกมากมหาศาล

 

กฎระเบียบข้อบังคับที่รัฐตราไว้บังคับประชาชนไทยนั้นน่าจะมากเกินจำเป็นไปมาก ยกตัวอย่างสรอ. (usa)…. ที่นั่นคุณมีใบขับขี่ใบเดียวคุณก็ใช้ทำอะไรได้หมด ตั้งแต่ขับรถ ซื้อบ้าน ย้ายบ้าน ออกเช็ค กู้เงิน คลอดลูก เสียภาษี เผาศพ(ตัวเอง)

 

เออ…มันง่ายไปหมด ที่ผมชอบที่สุด คือการย้ายถิ่นฐานบ้านอยู่แบบข้ามมลรัฐ ไม่ต้องมีการแจ้งย้ายออกย้ายเข้าให่เง่างี่ พอเราย้ายไปอยู่ที่ใหม่ก็เพียงแค่ไปทำใบขับขี่ใหม่ แล้วเขาจัดการย้ายที่อยู่ให้เราเสร็จสรรพ อีกทั้งการทำใบขับขี่ใหม่ที่ว่าก็ใช้เวลาเพียงประมาณ 5 นาทีเท่านั้น

 

ลองคิดดูว่าถ้าคุณคือคนไทยที่จะต้องย้ายที่อยู่จากเชียงใหม่ไปภูเก็ต ถามว่า..คุณต้องทำอะไรบ้างและเสียเวลาขนาดไหน ต้องถ่ายสำเนากี่ฉบับ เดินทางกันกี่รอบ ซึ่งเรื่องพวกนี้เสียหายหลายต่อมาก คือ ต้องจ้างขรก.มาช่วยทำงานเอกสารซึ่งเปลืองเงินมาก ต้องสร้างอาคารสำนักงานให้ขรก.ทำงาน ปชช.ก็ต้องเสียเงินเวลาอารมณ์ในการทำธุรกรรมไร้สาระพวกนี้มากขึ้นเป็นเงาตามตัว เสียทั้งขึ้นทั้งล่อง นี่ขนาดผมยกมาเป็นอุทธาหรณ์เพียงเรื่องเดียว ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ดิน ก่อสร้างอาคาร ร้านค้า มันยุ่งยากหยุมหยิมไปหมดสำหรับเมืองเรา (ยกเว้นเอาเงินยัดก็กลายเป็นง่าย)

 

นี่แหละที่มันเป็นส่วนสำคัญประการแรกที่ทำให้ต้องการจำนวนผู้ปฏิบัติงานที่มากขึ้นเป็นเงาตามตัว ผมเชื่อว่าถ้าเราลดขั้นตอน กฎระเบียบที่ไม่จำเป็นลงมันจะลดงานทันที 3 เท่า

 

เรื่องนี้ผมมีประสบการณ์กับตัวเองเมื่อผมได้รับตำแหน่งบริหารระดับสูงในมหาลัยแห่งหนึ่ง ผมได้ทำการวิจัยด้านการบริหาร พบว่า คณบดีไม่ต้องมีเวลาทำอะไรเชิงนโยบายกันหรอก เพราะวันๆต้องพิจารณาลงนามอนุมัติในประเด็นไร้สาระเป็นร้อยๆ เรื่อง เช่น นศ. ป่วยลาขาด  ขอลงทะเบียนเกิน ขอลงทะเบียนขาด ขอเรียนซ้ำซ้อนเวลา อาจารย์ลาหยุดพักร้อน ลูกป่วย ไปส่งเมียเดินทางต่างประเทศ ฯลฯ

 

คิดได้ดังนั้น ผมเลย “กระทำการ” ปฏิรูปครั้งใหญ่ด้วยการแก้กฎระเบียบ ยกอำนาจให้แก่หัวหน้าภาควิชาในการเซ็นอนุมัติเรื่องเหล่านี้ จำนวนทั้งสิ้น 21 รายการ ซึ่งนอกจากจะลดปริมาณงานต่อคณบดีแล้วยังเพิ่มคุณภาพงานอีกด้วย เพราะหัวหน้าภาคย่อมรู้จักนักศึกษาของตัวเองดีกว่าคณบดีเสียอีก ดังนั้นจึงย่อมตัดสินใจอนุมัติหรือไม่ ได้ดีกว่าคณบดี

 

กว่าผมจะเปลี่ยนระบบสำเร็จ ต้องใช้เวลาอยู่สองปี รบกับเสียงด่าทอรอบข้างว่าจะทำให้ประสิทธิภาพเสื่อม แต่แล้วด้วยความบ้าบิ่น ผมก็ทำสำเร็จ รวมทั้งปฏิรูปอะไรที่เห็นว่าไม่ดีงามอีกมากหลาย สุดท้ายผมเหนื่อยมาก ขอลาออกมาเป็นครูน้อยธรรมดาดีกว่าว่ะ แต่วันหนี้ย้อนหลังมองไป เออ..เราก็ได้ฝากรอยเท้าเอาไว้แหละหวา

 

เชื่อได้ 100% ว่าลักษณะกฎระเบียบแบบนี้ก็มีเกลื่อนกลาดในระบบราชการไทยทุกกระทรวง ทบวง กรม  เพราะไปขอทำเรื่องอะไรแต่ละที ต้องเซ็นอนุมัติกันเป็นหางว่าว บางที่พื้นที่ไม่พอต้องไปเซ็นหลังกระดาษ

 

หวนรำลึกสมัยผมเข้าไปทำงานกับองค์การนาซ่าของสรอ. เมื่อจะเดินทางไปประชุมวิชาการยังต่างเมืองแต่ละทีก็ไม่เห็นต้องทำหนังสืออะไรเลย เพียงกรอกข้อมูล 2 บรรทัดในแบบฟอร์ม ส่งเสมียน แล้วเสมียนก็ลงนามอนุมัติทันที      

 

ย้ำ…เสมียนอนุมัติ (จบม.  6 อีกต่างหาก)  พร้อมไปเบิกเงินมาจ่ายให้เราเรียบร้อย สรุปคือเรื่องหยุมหยิมที่เป็นไปตามกฎระเบียบแบบนี้ประเทศเจริญแล้วเขาไม่ส่งไปรบกวนเวลาทำงานของคนระดับสูงหรอก  ให้เสมียนเซ็นอนุมัติไปเลย

 

แต่ของเรา โอย ต้องเซ็นหางว่าวกันเต็มหน้ากระดาษกว่าจะอนุมัติได้ จากผู้ช่วยหัวหน้าภาค หัวหน้าภาค รองคณบดี คณบดี รองอธิการบดี และอธิการบดี (ทั้งที่เงินทั้งหมดที่อนุมัติประมาณ 2,3015.49 ….ซึ่งการกะเสียนหนังสือ ก็ถามกันไปมาเปรอะหน้ากระดาษว่า จะปัดเศษทศนิยมขึ้นหรือลงดี)   มันก็เลยเปลืองกำลังพลมาก

 

บรรดาเจ้านายวันๆเอาแต่กะเสียนหนังสือ ก็ไม่มีเวลาเหลือเอาไว้คิดวางนโยบายระดับสูงอะไร เพราะเอามาพิจารณาเอกสารหยุมหยิมแบบนี้เสียหมด

 

ไปดูเถอะครับ ทุกกระทรวงกรมกองของเราเป็นอย่างที่กล่าวนี้หมด ดังนั้นถ้าจะปฏิวัติระบบราชการให้ดีก็คงต้องตัดขั้นตอนระเบียบหยุมหยิมที่ไม่จำเป็นออกให้หมด พร้อมผ่องถ่ายอำนาจอนุมัติลงให้สู่ระดับต่ำที่สุดเท่าที่จะทำได้ 

 

จะเป็นการฝึกคนให้รู้จักการใช้อำนาจในระดับที่พอดีกับสถานะแห่งตน  ไม่ใช่แค่ตรวจอักขระ แล้วก็เขียนกันต่อว่า เรียนท่านเพื่อโปรดพิจารณา กันเป็นหางว่าว

 

….ทวิช จิตรสมบูรณ์   ๔ ตค. ๒๕๕๒

 


ธนาคารออมสิน…SuperSin หลอกแด๊กซ์เด็กจน

ไม่มีความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 8 June 2011 เวลา 9:24 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1070

ธนาคารออมสิน…SuperSin หลอกแด๊กซ์เด็กจน

 

สมัยผมและพี่น้องร่วมท้องอีก 5 คนยังเป็นเด็กน้อยอายุ 6-10 ขวบ เราทุกคนต่างก็เก็บออมเงินที่แม่ให้ไปกินขนมที่โรงเรียน เพื่อ”ฝากออมสิน” กับธนาคารออมสินที่แวะเวียนมารับฝากเดือนละครั้ง

 

บ้านเราอยู่ต่างจังหวัด ทุรกันดาร ค่อนข้างยากจน ผมได้เงินไป รร.อาทิตย์ละประมาณหนึ่งสลึง (พศ. ประมาณ 2505 ที่ทอฟฟี่เม็ดละ 5 สตางค์ ก๋วยเตี่ยวตลาด  1 บาท แต่ก๋วยเตี๋ยวรร. 1 สลึง หรือ ครึ่งบาทเป็นอย่างมาก )    ก็สู้อดออมพึงบรรจบให้ครบบาท เพื่อนำไปฝากออมสิน จำได้ว่าอดขนมมาหลายปี จนยอดฝากรวมได้ประมาณ 20 บาท พี่น้องทุกคนต่างก็ได้กันประมาณนี้แหละ

 

กาลเวลาผ่านไปไวเหมือนไฟเชิงตะกอน แล้วเราก็เรียนจบประถม ย้ายรร.ไปเข้ามัธยม เข้ามหาลัย จนลืมไปเลยว่าได้เคยฝากเงินไว้แต่ปอสามปอสี่นานมาแล้ว

 

พอนึกขึ้นได้จะเอาไปเบิกคืน ก็หาสมุดไม่เจอ เพราะย้ายบ้านไปย้ายมาหลายครั้ง สมุดฝากหายไปไหนหมดแล้ว

 

 และแม้ว่าหาสมุดเจอก็คงเบิกคืนไม่ได้หรอก เพราะพวกธนาคารพวกนี้มักมีกฎประหลาดเอาเปรียบลูกค้าว่า ถ้าไม่ไป “อัพเดท” สมุดภายใน …. จะต้องถูกปิดบัญชีริบเงินโดยอัตโนมัติ

 

ท่านผู้อ่านเคยประสบแบบผมบ้างไหม ผมว่ามันเป็นอุบายหลอกเด็กที่น่ารังเกียจมากเลย โดยเฉพาะเด็กยากจนตามบ้านนอกคอกนาที่ไม่มีอันจะกินอยู่แล้ว…ไอ้คนคิดได้แบบนี้ เกิดชาติหน้าให้มันไปเป็นอะไรดีหว่า??? อ้อ..ให้เป็นนายกประเทศไทยแหละ น่าเหมาะที่สุด

 

ปีหนึ่งๆธนาคารออมสินได้เงินกินเปล่าจากเด็กบ้านนอกสักเท่าไรหนอ รวมกันคงหลายพันล้าน (ยังไม่คิดดอกเบี้ยสะสม)  น่าจะมีนโยบายเอาเงินเหล่านี้ไปให้ทุนการศึกษาเด็กบ้านนอก เป็นการล้างบาปที่หลอกเด็กกินก็ยังดี

 

 

….ทวิช จ. (๒๕๔๐)

 


ความเจริญแต่ด้อยพัฒนาของหนังสือพิมพ์ไทย

ไม่มีความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 8 June 2011 เวลา 8:22 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1034

ความห่วยแตกบางประการของหนังสือพิมพ์ไทย คือ หนังสือพิมพ์ไทยเราเจริญเทียมเท่าอารยประเทศ เพราะรูปเล่มสอดสีสวยงามตายิ่งนัก แต่…

ความห่วยแตกประการหนึ่งของหนังสือพิมพ์ไทยทุกฉบับที่พบบ่อยมากที่สุดคือ การใช้ชื่อย่อของหน่วยงาน แล้วไม่บอกว่าย่อมาจากอะไร โดยคิดเอาเองว่าเป็นชื่อย่อที่ผู้อ่านรู้จักกันดีอยู่แล้ว เช่น อสมท. อาร์เคเค (RKK) นปก. คมช. สนช. GDP เป็นต้น

 

โดยเฉพาะ RKK ผมอ่านเจอมาเป็นร้อยครั้งแล้ว ในหนังสือพิมพ์ (นสพ.) หลายฉบับ แต่ก็ยังไม่รู้ว่ามันย่อมาจากวลีใด

 

ถ้าเป็นหนังสือพิมพ์ฝรั่งนะครับ ไม่ว่าคำย่อจะเป็นที่รู้จักกันดีอย่างไรก็ตามเขาจะต้องเอ่ยคำเต็มก่อนเสมอ แล้ววงเล็บคำย่อไว้ข้างท้าย จากนั้นไปเขาถึงจะใช้คำย่อ สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าพวกเขาฉลาด คือมีสามัญสำนึกมากกว่าเรา (และดังนั้นประะเทศเขาจึงเจริญ)

 

 

ความห่วยแตกของนสพ.ไทยอีกประการที่ผมสุดแสนขัดใจมานาน คือ ทำไมเวลาเขียนข่าวมันช่างเยิ่นเย้อเหลือเกิน โดยมักเกริ่นนำข่าวด้วยข้อมูลไร้สาระยาวยืดที่ไม่เป็นประโยชน์อะไรเลยกับผู้อ่าน เช่น ไปเกริ่นว่า ร.ต.อ คนไหนได้รับการแจ้งความจากใคร จึงนำความแจ้งผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้น (พร้อมระบุยศ ชื่อ ตำแหน่ง ผู้บังคับบัญชาเหล่านั้นให้เราอ่านครบหมดทุกคน)  จากนั้น ผบ. ก็สั่งการลงไปตามลำดับชั้นให้นำกำลังเท่านั้นเท่านี้ไปยังที่เกิดเหตุ

 

ยัง…ยังไม่หนำใจคนเขียนข่าวท่าน จากนั้นท่านจะต้องแจ้งให้เรารู้ก่อนว่าเหตุเกิดที่บ้านเลขที่เท่าไร หมู่ไหน ตำบลใด เสียก่อน หน้าบ้านมีต้นตาลสองต้น หรือสามต้น ก็ต้องบอกด้วย ท่านก็พร่ำพรรณนาไปเรื่อย จนถึงกลางๆเรื่องนั่นแหละ ถึงจะได้รู้ว่า อ้อ..เกิดไอ้โน่นไอ้นี่ขึ้น  ซึ่งก็มักไม่มีรายละเอียดอะไรมากนัก  เนื้อข่าวจริงๆประมาณสัก หนึ่งในสามของอารัมภบทเท่านั้นเอง

 

ลองไปอ่านข่าวนสพ. ฝรั่งดูสิ ไม่ต้องไปไกล เอาฝรั่งในไทยนี่แหละ จะเห็นว่ามันคนละเรื่องเลย

 

ความห่วยแตกประการที่สามของหนังสือพิมพ์ไทยคือ จริยธรรม ของกองบรรณาธิการ (บก.)

 

ลองส่งเรื่องของท่านไปถึงเขาสิ เขาจะเงียบหายต๋อมเหมือนกันทุกฉบับ ไม่ตอบไม่อะไรทั้งนั้น (คงหยิ่งยะโสว่า นสพ./วารสาร ของฉันเนี่ย ระดับแนวหน้านะ ไม่มีเวลาตอบนักเขียนกระจอกอย่างเจ้าหรอก)  บางทีเขาก็ลงให้นะ แต่ก็ไม่แจ้งไม่บอกตามเคย เจ้าไปหาอ่านเรื่องของเจ้าเอาเอง  เงินทองค่าเรื่องก็ไม่ให้ (ไม่ได้เงินแล้วยังต้องเสียงเงินไปซื้อหามาอ่านเรื่องของตัวหรือเก็บไว้เป็นที่ระลึกอีก) เขาคงถือเป็นบุญคุณเสียอีกที่หนังสือดังอย่างเขาอุตส่าห์ลงเรื่องให้นักเขียนกระจอกๆอย่างเรา

 

ผมเคยส่งเรื่องสั้นๆทางอีเมล์ ไปยังนิตยสาร Times นิตยสารฝรั่งระดับโลก ภายในสองชม. เขาตอบกลับมาว่าได้รับเรื่องแล้ว กอง บก. จะพิจารณา ได้ผลอย่างไรจะแจ้งให้ทราบ แล้วภายใน 2 วันก็ตอบกลับมาว่า รับ หรือไม่รับ เมื่อรับก็จะแจ้งให้เราปรับแก้ตรงโน้นตรงนี้ พร้อมบอกว่าจะให้หรือไม่ให้ค่าเรื่องเท่าไร และถ้าไม่ให้ ด้วยเหตุผลใด

 

ไม่น่าแปลกทำไมประเทศเราจึงยังด้อยพัฒนาอยู่จนบัดนี้

 

ความห่วยแตก (ประการที่ 4) ของหนังสือพิมพ์ไทย

 

คือเวลาเขาเขียนข่าวที่เป็นข่าวสืบเนื่องจากข่าววันก่อนๆ เขามักต่างพากันสรุปว่าผู้อ่านทุกคนต้องได้อ่านข่าวในประเด็นนี้มาตั้งแต่ต้น เขาก็จะไม่ท้าวหรือทวนความเดิมแต่ประการใด ทำยังกะเขียนไดอารีให้ตัวเองอ่านยังงั้นแหละ

 

ส่วนนสพ. ฝรั่ง (แม้แต่ฝรั่งในบ้านเรา) ถ้าเป็นข่าวต่อเนื่อง ย่อหน้าสุดท้ายของข่าว จะเป็นย่อหน้าที่เขาทวนความเก่าให้ฟ้งพอสังเขป เอาเฉพาะหลักการสำคัญของข่าว ที่เขาไม่เอาไปไว้ข้างหน้า เดาว่าคงกลัวว่าจะไปทำความรำคาญให้กับผู้อ่าน”ส่วนใหญ่” ที่ติดตามเรื่องนี้มาแต่ต้น แต่วันก่อนๆ แต่เขาก็ไม่ลืมคนส่วนน้อยที่ไม่ได้ตามมาแต่ต้น เลยเอาไปขมวดไว้ด้านหลัง

 

ส่วนสไตล์การเขียนบทความในวารสารรายสัปดาห์ก็คล้ายๆกัน ของไทยเรามักไม่ปูพื้น ท้าวความเป็นมา มาถึงก็วิจารณ์กันแหลกลาญไปเลย เพราะสมมติกันว่าผู้อ่านมีพื้นความรู้ในเรื่องนั้นๆดีอยู่แล้ว (ซึ่งส่วนใหญ่ไม่เป็นความจริง) แต่บทความฝรั่งจะปูพื้นให้พอสมควร แม้เราไม่รู้อิโหน่อิเหน่ในประเด็นนั้น ไปอ่านเข้าก็พอจับความได้ที่เดียว การเขียนแบบนี้ยังเป็นผลดีด้านประวัติศาสตร์อีกด้วย ใครจะรู้อีก 100-200 หรือ แม้แต่ 1000-2000 ปีจากนี้ไปนักประวัติศาสตร์เขามาค้นคว้า เขาจะได้อ่านได้เข้าใจว่าที่มาที่ไปเป็นอย่างไร

 

คนไทยเรามักคิดกันสั้นๆ ใกล้ๆ แบบนี้เสมอ นี่ขนาดสื่อนะ ซึ่งถือว่าเป็นชนระดับปัญญาของประเทศ

 

แล้วรากหญ้าที่อำมาตย์กำลังกลัวกันเหลือเกินล่ะ..

 

…สองเกิด ใจเต็ม (๒๕๕๒)

 

 


มองยุทธศาสตร์ไต้หวันแล้วหันดูตัว

ไม่มีความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 8 June 2011 เวลา 7:32 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1184

มองยุทธศาสตร์ไต้หวันแล้วหันดูตัว

 

ประธานาธิบดีหม่า แห่งไต้หวัน  ให้สัมภาษณ์นิตยสารไทม์ (เมื่อประมาณพศ. ๒๕๔๙) ว่า ที่ผ่านมาไต้หวันผิดพลาดที่เอาเศรษฐกิจไปผูกไวกับอุตสาหกรรมไอทีเพียงอย่างเดียว ทำให้เจ็บหนักเมื่อเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก

 

เขาเพิ่งเกิดวิสัยทัศน์ว่าจะปรับยุทธศาสตร์เศรษฐกิจให้หลากหลายมากขึ้นโดยจะเน้น 6 ด้านคือ

  • 1. พลังงานเขียว
  • 2. อุตสาหกรรมการเกษตร
  • 3. การท่องเที่ยว
  • 4. เทคโนโลยีชีวภาพ
  • 5. อุตสาหกรรมทางวัฒนธรรม (cultural industry ไม่ทราบว่าหมายถึงอะไรแน่ อาจหมายถึงอุตสาหกรรมที่อิงอยู่กับวัฒนธรรมจีน เช่น สินค้าที่เฉพาะคนจีนบริโภค)
  • 6. อุตสาหกรรมที่อิงอยู่กับการคิดค้นใหม่ (ท่านอภิสิทธิ์ก็กำลังพูดถึงประเด็นนี้อยู่เหมือนกัน)

 

ผมเพิ่งเขียนไปหยกๆ ถึงเกาหลี ที่เขาก็กำลังเน้นปฏิวัติลูกที่สามคือ ชีวเคมี ดูสิครับประเทศแนวหน้าเขาต่างหันมาทางเกษตร ชีวะ กันทั้งนั้น ทั้งที่ศักยภาพด้านภูมิศาสตร์พื้นฐานของเขาไม่สอดคล้องนัก

 

ส่วนไทยเรามีศักยภาพด้านนี้สูงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก แต่กลับไม่สนใจโดยไปกระสันต์อยากเป็นใหญ่ทางอุตสาหกรรมอีเล็กทรอนิกส์และสร้างรถยนต์จนขายตัวให้นายทุนต่างชาติด้านนี้เข้ามาปู้ยำประเทศเป็นการใหญ่ใน 40 ปีที่ผ่านมา

 

ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ผมได้เขียนบทความนับร้อยได้แล้วกระมังเพื่อเสนอให้รัฐบาลไทยปรับยุทธศาสตร์ด้านเศรษฐศาสตร์ของชาติให้การเกษตรและอุตสาหกรรมการเกษตรเป็นแกนหลัก โดยผมได้พยายามชี้ให้เห็นว่าถ้าคิดบัญชีให้ดีแล้วจะเห็นว่าการเกษตรมีมูลค่ามหาศาลกว่าสินค้าอื่นมากนัก (ทั้งมูลค่าตรงและอ้อม) (ผมได้ทำนายไว้ด้วยว่าเศรษฐกิจโลกต้องพังแน่ไม่ช้าก็เร็ว การเน้นการเกษตรจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดได้มากที่สุด)

 

ประเทศเราดูถูกการเกษตรเหลือเกิน จนขณะนี้ไม่มีใครเรียนวิศวเกษตรกันแล้ว ได้แต่นักศึกษาหางแถวที่คะแนนสอบเข้าเพียง 150 เต็ม 500  ส่วนวิศวคอมฯ โทรคมฯ ไฟฟ้า แย่งแทบจะเหยียบกันตาย วิศวกรรมอาหารมีมหาลัยเปิดสอนเพียงสองแห่งเท่านั้น แต่วิศวคอมพิวเตอร์เปิดสอนทุกซอกตึกเลยก็ว่าได้ (นี่แสดงว่ารัฐบาลไม่มีนโยบายส่งเสริม หรือมีแผนชาติทางด้านนี้เลย) …เท่ากับว่ารัฐบาลไทยกำลังเป็นองค์กรที่บ่อนทำลายประเทศไทยมากที่สุดก็ว่าได้

 

ผมเน้นให้ฟังอีกครั้งนะครับว่าถ้าไม่นับธุรกิจบริการ การเกษตรเป็นภาคที่จ้างแรงงานใหญ่ที่สุดใน usa  (ประมาณ 30% ทั้งที่เกษตรกรจริงมีเพียง 1.8% เท่านั้น)  ส่วนรถยนต์ที่ว่ายิ่งใหญ่นั้นไม่น่าถึง 2% ของแรงงานทั้งหมด  คอมพิวเตอร์ไม่น่าถึง 1%

 

ถ้าให้ผมมีอำนาจในการกำหนดยุทธศาสตร์ด้านเศรษฐศาสตร์ของชาติผมจะกำหนดดังนี้

 

  • 1) เกษตรชีวภาพ (ออกกฎหมายห้ามใช้สารเคมีทุกชนิด) และการประมงชีวภาพ
  • 2) อุตสาหกรรมอาหารและการเกษตร (เช่น แปรรูปอาหาร ปุ๋ยชีวภาพ )
  • 3) เทคโนโลยีชีวภาพ (การวิจัยเกี่ยวกับ 1 และ 2 รวมถึงด้านอื่นๆ)
  • 4) การปลูกไม้เนื้อแข็งและอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ (ปลูกแบบยั่งยืน ซึ่งจะช่วยให้พื้นดินชุ่มชื้นอุดมสมบูรณ์ด้วย ดังที่ผมได้เขียนไว้ในบทความก่อนหน้านี้แล้ว)
  • 5) อุตสาหกรรมต่อเรือ (เรื่องนี้ผมได้เขียนไว้มากแล้ว ว่าเป็นสิ่งที่ทุกรัฐบาลหลงลืมไปว่าเรามีฐานทางด้านนี้มากและนานมาแล้ว แต่ดันหันไปส่งเสริมการต่อรถแทนต่อเรือ)
  • 6) การศึกษา วิจัย ผลิต ยาสมุนไพรตำรับไทย และการรักษา บำบัดโรคตามวิถีพุทธ (ซึ่งจะได้ทั้งเงินและจิตวิญญาณ)
  • 7) พลังงานสะอาด (ลม แดด น้ำ และ ชีวภาพ)

 

การกำหนดนี้จะต้องมีแผนงานรองรับด้วย ไม่ใช่สักแต่ว่ากำหนดด้วยปาก เช่น รัฐบาลทักษิณกำหนดจะเป็นครัวโลก แต่ไม่เคยมีแผนสร้างคนด้านนี้ เช่น วิศวเกษตร วิศวอาหาร วิทยาศาสตร์อาหาร เลย ปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรมเหมือนเดิม

 

ยุทธศาสตร์ที่ผมจะไม่ส่งเสริมคือ

 

  • 1) การท่องเที่ยวจากต่างชาติ (แบบที่ปธด.หม่า คิด) (ผมว่ามันไม่ยั่งยืนหรอก และยังต้องไปง้อเขากิน พึ่งตัวเราเองดีกว่า ยังฝรั่งกุ๊ยๆ เข้ามาย่ำยีศักดิ์ศรีหญิงไทยเต็มเมือง)
  • 2) อุตสาหกรรมหนักทั้งหลาย (แต่ต้องมีพอเพียงของเราเอง โดยไม่หวังขายออกไปทำกำไร เช่น การต่อสร้างรถยนต์ รถไฟใช้เอง รวมไปถึงอาวุธสงคราม)
  • 3) การลงทุนจากต่างชาติ (ยิ่งลงมากเท่าไร เราก็เป็นบ๋อยเขาเท่านั้น ไม่รู้จักเป็นนายตัวเองกันซะที)

 

….ทวิช จิตรสมบูรณ์ (๒๕๔๙)



Main: 0.35660719871521 sec
Sidebar: 0.016990900039673 sec