นโยบายการท่องเที่ยวและการโรงแรมที่รัฐบาลไทยเสียค่าโง่มาแสนนาน
ผมกำลังจะเดินทางสองประเทศในยุโรป ตามความต้องการที่ยัดเยียดให้ของหน่วยงานราชการไทย ผมได้พยายามปฏิเสธไม่ยอมไป เพราะเสียดายเงินภาษีราษฎรไทยของเรา แต่ “เขา” ก็ยัดเยียดให้ไป ไม่งั้นจะ “ประเมินไม่ผ่าน” …ช่วยผมสังเวชแทนประเทศไทยของเราด้วยนะครับ
เมื่อจำเป็นต้องไป ผมก็เลยไปสำรวจหาจองโรงแรมในยุโรป ซึ่งสองประเทศนี้แพงสุดๆ ที่สุดในโลกแล้ว ขนาดนักศึกษาผมไป “เขา” ให้ค่าที่พักเดือนละ 45,000 ปรากฏว่าที่พักเฉลี่ยแบบรังหนูระดับนศ. ราคาเดือนละ 75,000 ซึ่งทางฝ่ายโน้นเขาสงสารเลยหางบเสริมให้อีกเดือนละ 30,000
จากการสืบค้นพบว่า ค่าโรงแรมระดับสี่ดาวโดยเฉลี่ยประมาณ 6,000 บาทต่อวันเท่านั้นเอง (เท่านั้นเอง!!!) ซึ่งถือว่าถูกมาก ในขณะที่โรงแรมสี่ดาวในไทยก็ประมาณ 6,000 บาทเช่นกัน
ถามว่าทำไมราคาเท่ากัน ในประเทศด้อยพัฒนาแบบไทยเรากับในอารยประเทศระดับนั้น
รับรองว่ารัฐบาลไทยตอบไม่ได้หรอก….. ก็ต้องเห็นใจท่าน เพราะรัฐบาลไทยเรามีความรู้น้อย เนื่องจากต้องเอาเวลาส่วนใหญ่ไปหาผลประโยชน์หรือประนีประนอมผลประโยชน์กับฝ่ายต่างๆ จนไม่มีเวลาเหลือเอาไว้คิดวิเคราะห์อะไรเพื่อประเทศไทยให้มันลึกซึ้งไปกว่านี้อีกแล้ว เอาเวลาส่วนใหญ่ไปคิดแต่ให้ตัวเองอยู่รอดไปวันๆ หรือให้ร่ำรวยยิ่งขึ้นกว่าเดิมไปวันๆ แล้วแต่กรณี
ผมขอเสนอคำตอบที่ผมถามเอง ตอบเอง มากว่าสิบปีแล้วว่า มันเป็นเพราะโรงแรมสี่และห้าดาวส่วนใหญ่ในเมืองไทย ส่วนใหญ่กว่า 80% มันเป็นของนักลงทุนต่างชาติทั้งนั้น ดังนั้นมันเลยต้องตั้งราคามาตรฐานโลก เพื่อให้นักลงทุน(ผู้ถือหุ้น)ได้กำไรเท่ากันหรือมากกว่าต่อหน่วยการลงทุนที่คิดตามอัตราในประเทศของเขา ทั้งนี้เมื่อคิดอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราเรียบร้อยแล้ว
เรื่องนี้นักการเมืองไทยที่อ้างหรือเล่าลือกันว่าเก่งกาจหนักหนา จบดีกรีอะไรจากต่างชาติกันยาวเป็นหาง ต่างก็งี่เง่าตามเกมส์ฝรั่งไม่ทันกันมาแสนนาน ทำให้เสียค่าโง่ต่อประเทศไทยปีละไม่ต่ำกว่า สามแสนล้านบาท (repeat สามแสนล้านบาท)
ทักษิณมันโกงไปแสนล้านบาทเราว่ามันเลวมากแล้ว แต่รัฐบาลไทยเสียค่าโง่ด้านโรงแรมไปปีละ 3 แสนล้าน 10 ปีก็ 3 ล้านๆ แต่แปลกว่าแม้โง่เง่าขนาดนี้ก็ยังเอามาตีปี๊บอ้างเป็นผลงานหลอกรากหญ้าและยอดหญ้ากันได้ทุกยุคสมัย (ยอดหญ้าก็ใช่ว่าจะฉลาดกันหมดแม้จบกันมาดีกรียาวเป็นหาง และมีชื่อเสียงกระฉ่อนประเทศก็ตามที)
ผมถามว่าทำไมโรงแรมไทยต้องแพงเท่าสากลในขณะที่งบลงทุนต่ำกว่า (ค่าปูน ค่าแรง ต่ำกว่ามาก) งบดำเนินการก็ต่ำกว่ามาก (ค่าแม่บ้าน ยาม คนงาน) ส่วนต่างคือกำไรของนายทุนต่างชาติ (ที่ส่วนหนึ่งต้องเอามาติดสินบนขรก.ไทย เพื่อขออนุญาตก่อสร้าง ทั้งที่ขัดต่อกฎหมายก่อสร้างไทย)
ผมกล้าสาบานว่ารัฐบาลไทยไม่มีวันกล้าประกาศว่า ราคาโรงแรมในไทยต้องคิดตาม ppp (purchasing power parity) ที่ UN และ ไอ้กันมันนิยมใช้กันหนักหนา เพื่อประโยชน์ทางการเมืองในการครองโลก (และการค้า) ของพวกมัน
ppp คืออะไร ท่านลองไปหาอ่านเอาและคิดเชื่อมโยงเอานะครับ มันคิดมาโดย CIA ของไอ้กัน เพื่อการทำชั่วของพวกมันอย่างแยบยล และนักการเมือง นักเศรษฐศาสตร์เราต่างก็ขานรับกันอึงมี่
ถ้าทำได้แบบนี้จะทำให้ราคาโรงแรมไทยถูกลง 3 เท่าทันที (โดยข้อบังคับของกฎหมาย…ที่เป็นสากลอีกต่างหาก) ซึ่งพวกนักลงทุนฝรั่งมันก็ต้องออกโรงมาต้านทันทีว่าขัดต่อการค้าเสรี ซึ่งเราก็จะหงอยอมตามการค้านของพวกมันอีกตามเคย
ราคาโรงแรมที่ถูกลง 3 เท่าจะทำให้ฝรั่งไม่มาลงทุน (เพราะไม่คุ้มทุนเมื่อคิดอัตราแลกเปลี่ยน) ทำให้คนไทยเราลงทุนมากขึ้นเพื่อรองรับส่วนที่ขาดไป เพราะแม้คิดราคาเพียงวันละ 2,000 บาทก็กำไรเหลือเฟือแล้วสำหรับคนจนๆอย่างเรา
นอกจากนี้ราคาโรงแรมที่ถูกมากกว่าสากล 3 เท่า จะทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติหลั่งไหลเข้าประเทศมากขึ้น 2 เท่าทันที และเงินก็ไหลเข้ามือเจ้าของโรงแรมที่เป็นคนไทยทั้งนั้น แทนที่จะไหลเข้ามือนักลงทุนต่างชาติเหมือนที่ผ่านมา
ผมมีแขกฝรั่งมาเยี่ยมบ่อย ความรักชาติทำให้ผมจองโรงแรมให้แขกฝรั่งเป็นโรงแรมไทยทั้งสิ้น ผมพบว่าโรงแรม 4-5 ดาว เทียบเท่าฝรั่งของคนไทยเรา ตั้งอยู่สุขุมวิทย์ ใจกลางกรุง กลับถูกว่ารร.ฝรั่ง 3-5 เท่า …นี่แสดงว่าเขาทำกำไรได้ในราคานี้
แต่ประเทศเรามันเห่อสากล ก็คงต้องถูกสากลมันหลอกแด็กซ์เอาแบบนี้ต่อไป และคงตลอดไปจนกว่าจะไปอยู่กับพระเจ้า (ฝรั่ง) สักวัน
เราต้องฉลาดพอที่จะเล่นเกมส์ตามกติกา ที่ฝรั่งผู้มีอำนาจกำหนด หนามยอกเอาหนามบ่ง แต่เราต้องกล้าพอด้วย
ถ้ามัวหงอ โง่ แบบนี้ก็คงต้องรับอาชีพแบกเสลี่ยงพาฝรั่งชมทิวทัศน์โล “ภา” ภิวัฒน์กันต่อไปแบบนี้อีกแสนนาน…โชคดีประเทศไทย
…….ทวิช จิตรสมบูรณ์ (๒๕๕๑)