มองยุทธศาสตร์ไต้หวันแล้วหันดูตัว
มองยุทธศาสตร์ไต้หวันแล้วหันดูตัว
ประธานาธิบดีหม่า แห่งไต้หวัน ให้สัมภาษณ์นิตยสารไทม์ (เมื่อประมาณพศ. ๒๕๔๙) ว่า ที่ผ่านมาไต้หวันผิดพลาดที่เอาเศรษฐกิจไปผูกไวกับอุตสาหกรรมไอทีเพียงอย่างเดียว ทำให้เจ็บหนักเมื่อเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก
เขาเพิ่งเกิดวิสัยทัศน์ว่าจะปรับยุทธศาสตร์เศรษฐกิจให้หลากหลายมากขึ้นโดยจะเน้น 6 ด้านคือ
- 1. พลังงานเขียว
- 2. อุตสาหกรรมการเกษตร
- 3. การท่องเที่ยว
- 4. เทคโนโลยีชีวภาพ
- 5. อุตสาหกรรมทางวัฒนธรรม (cultural industry ไม่ทราบว่าหมายถึงอะไรแน่ อาจหมายถึงอุตสาหกรรมที่อิงอยู่กับวัฒนธรรมจีน เช่น สินค้าที่เฉพาะคนจีนบริโภค)
- 6. อุตสาหกรรมที่อิงอยู่กับการคิดค้นใหม่ (ท่านอภิสิทธิ์ก็กำลังพูดถึงประเด็นนี้อยู่เหมือนกัน)
ผมเพิ่งเขียนไปหยกๆ ถึงเกาหลี ที่เขาก็กำลังเน้นปฏิวัติลูกที่สามคือ ชีวเคมี ดูสิครับประเทศแนวหน้าเขาต่างหันมาทางเกษตร ชีวะ กันทั้งนั้น ทั้งที่ศักยภาพด้านภูมิศาสตร์พื้นฐานของเขาไม่สอดคล้องนัก
ส่วนไทยเรามีศักยภาพด้านนี้สูงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก แต่กลับไม่สนใจโดยไปกระสันต์อยากเป็นใหญ่ทางอุตสาหกรรมอีเล็กทรอนิกส์และสร้างรถยนต์จนขายตัวให้นายทุนต่างชาติด้านนี้เข้ามาปู้ยำประเทศเป็นการใหญ่ใน 40 ปีที่ผ่านมา
ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ผมได้เขียนบทความนับร้อยได้แล้วกระมังเพื่อเสนอให้รัฐบาลไทยปรับยุทธศาสตร์ด้านเศรษฐศาสตร์ของชาติให้การเกษตรและอุตสาหกรรมการเกษตรเป็นแกนหลัก โดยผมได้พยายามชี้ให้เห็นว่าถ้าคิดบัญชีให้ดีแล้วจะเห็นว่าการเกษตรมีมูลค่ามหาศาลกว่าสินค้าอื่นมากนัก (ทั้งมูลค่าตรงและอ้อม) (ผมได้ทำนายไว้ด้วยว่าเศรษฐกิจโลกต้องพังแน่ไม่ช้าก็เร็ว การเน้นการเกษตรจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดได้มากที่สุด)
ประเทศเราดูถูกการเกษตรเหลือเกิน จนขณะนี้ไม่มีใครเรียนวิศวเกษตรกันแล้ว ได้แต่นักศึกษาหางแถวที่คะแนนสอบเข้าเพียง 150 เต็ม 500 ส่วนวิศวคอมฯ โทรคมฯ ไฟฟ้า แย่งแทบจะเหยียบกันตาย วิศวกรรมอาหารมีมหาลัยเปิดสอนเพียงสองแห่งเท่านั้น แต่วิศวคอมพิวเตอร์เปิดสอนทุกซอกตึกเลยก็ว่าได้ (นี่แสดงว่ารัฐบาลไม่มีนโยบายส่งเสริม หรือมีแผนชาติทางด้านนี้เลย) …เท่ากับว่ารัฐบาลไทยกำลังเป็นองค์กรที่บ่อนทำลายประเทศไทยมากที่สุดก็ว่าได้
ผมเน้นให้ฟังอีกครั้งนะครับว่าถ้าไม่นับธุรกิจบริการ การเกษตรเป็นภาคที่จ้างแรงงานใหญ่ที่สุดใน usa (ประมาณ 30% ทั้งที่เกษตรกรจริงมีเพียง 1.8% เท่านั้น) ส่วนรถยนต์ที่ว่ายิ่งใหญ่นั้นไม่น่าถึง 2% ของแรงงานทั้งหมด คอมพิวเตอร์ไม่น่าถึง 1%
ถ้าให้ผมมีอำนาจในการกำหนดยุทธศาสตร์ด้านเศรษฐศาสตร์ของชาติผมจะกำหนดดังนี้
- 1) เกษตรชีวภาพ (ออกกฎหมายห้ามใช้สารเคมีทุกชนิด) และการประมงชีวภาพ
- 2) อุตสาหกรรมอาหารและการเกษตร (เช่น แปรรูปอาหาร ปุ๋ยชีวภาพ )
- 3) เทคโนโลยีชีวภาพ (การวิจัยเกี่ยวกับ 1 และ 2 รวมถึงด้านอื่นๆ)
- 4) การปลูกไม้เนื้อแข็งและอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ (ปลูกแบบยั่งยืน ซึ่งจะช่วยให้พื้นดินชุ่มชื้นอุดมสมบูรณ์ด้วย ดังที่ผมได้เขียนไว้ในบทความก่อนหน้านี้แล้ว)
- 5) อุตสาหกรรมต่อเรือ (เรื่องนี้ผมได้เขียนไว้มากแล้ว ว่าเป็นสิ่งที่ทุกรัฐบาลหลงลืมไปว่าเรามีฐานทางด้านนี้มากและนานมาแล้ว แต่ดันหันไปส่งเสริมการต่อรถแทนต่อเรือ)
- 6) การศึกษา วิจัย ผลิต ยาสมุนไพรตำรับไทย และการรักษา บำบัดโรคตามวิถีพุทธ (ซึ่งจะได้ทั้งเงินและจิตวิญญาณ)
- 7) พลังงานสะอาด (ลม แดด น้ำ และ ชีวภาพ)
การกำหนดนี้จะต้องมีแผนงานรองรับด้วย ไม่ใช่สักแต่ว่ากำหนดด้วยปาก เช่น รัฐบาลทักษิณกำหนดจะเป็นครัวโลก แต่ไม่เคยมีแผนสร้างคนด้านนี้ เช่น วิศวเกษตร วิศวอาหาร วิทยาศาสตร์อาหาร เลย ปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรมเหมือนเดิม
ยุทธศาสตร์ที่ผมจะไม่ส่งเสริมคือ
- 1) การท่องเที่ยวจากต่างชาติ (แบบที่ปธด.หม่า คิด) (ผมว่ามันไม่ยั่งยืนหรอก และยังต้องไปง้อเขากิน พึ่งตัวเราเองดีกว่า ยังฝรั่งกุ๊ยๆ เข้ามาย่ำยีศักดิ์ศรีหญิงไทยเต็มเมือง)
- 2) อุตสาหกรรมหนักทั้งหลาย (แต่ต้องมีพอเพียงของเราเอง โดยไม่หวังขายออกไปทำกำไร เช่น การต่อสร้างรถยนต์ รถไฟใช้เอง รวมไปถึงอาวุธสงคราม)
- 3) การลงทุนจากต่างชาติ (ยิ่งลงมากเท่าไร เราก็เป็นบ๋อยเขาเท่านั้น ไม่รู้จักเป็นนายตัวเองกันซะที)
….ทวิช จิตรสมบูรณ์ (๒๕๔๙)
« « Prev : มองเกาหลีเพื่อเอามาชี้ทางไทย
Next : ความเจริญแต่ด้อยพัฒนาของหนังสือพิมพ์ไทย » »
ความคิดเห็นสำหรับ "มองยุทธศาสตร์ไต้หวันแล้วหันดูตัว"