ลดจำนวนข้าราชการลงสามเท่า
การปฏิรูประบบราชการเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด
ถ้าจำไม่ผิดงบประมาณประเทศไทยประมาณ 70% เป็นงบเงินเดือน ค่าจ้าง ซึ่งถ้าเป็นบริษัทก็คงเจ๊งไปนานแล้ว นี่ขนาดของเราให้เงินเดือนต่ำนะ ในตปท. ในเมืองใหญ่ๆ เช่น ฮัมบูร์ก เมืองทางตอนเหนือของเยอรมันที่มีประชากรประมาณ 1 ล้านคน แต่ศาลากลางเขาหลังนิดเดียว กะว่าคนทำงานไม่น่าเกิน 500 คน
ส่วนของเราจังหวัดเล็ก ประชากร 3 แสน กลับมีศาลากลางหลังเบ้อเร่อ มีคนทำงานนับพัน ซึ่งแสดงว่าระบบเรา ด้อยปสภ.กว่าฝรั่งหลายเท่า อาจถึงสิบเท่าก็เป็นได้
ถ้าเราทำปสภ.ให้ได้เท่าฝรั่งเยอรมัน ก็หมายความว่าเราจะใช้งบดำเนินการเพียง 7% เท่านั้น อีก 63% ที่เหลือก็อาจเอาไปพัฒนาสังคม
ถ้าทำได้แบบนี้เราคงเจริญเท่าฝรั่งสักวันหนึ่ง เพราะมันเงินมหาศาลที่จ้างคน ก็เอาพัฒนาสังคมได้อีกมากมหาศาล
กฎระเบียบข้อบังคับที่รัฐตราไว้บังคับประชาชนไทยนั้นน่าจะมากเกินจำเป็นไปมาก ยกตัวอย่างสรอ. (usa)…. ที่นั่นคุณมีใบขับขี่ใบเดียวคุณก็ใช้ทำอะไรได้หมด ตั้งแต่ขับรถ ซื้อบ้าน ย้ายบ้าน ออกเช็ค กู้เงิน คลอดลูก เสียภาษี เผาศพ(ตัวเอง)
เออ…มันง่ายไปหมด ที่ผมชอบที่สุด คือการย้ายถิ่นฐานบ้านอยู่แบบข้ามมลรัฐ ไม่ต้องมีการแจ้งย้ายออกย้ายเข้าให่เง่างี่ พอเราย้ายไปอยู่ที่ใหม่ก็เพียงแค่ไปทำใบขับขี่ใหม่ แล้วเขาจัดการย้ายที่อยู่ให้เราเสร็จสรรพ อีกทั้งการทำใบขับขี่ใหม่ที่ว่าก็ใช้เวลาเพียงประมาณ 5 นาทีเท่านั้น
ลองคิดดูว่าถ้าคุณคือคนไทยที่จะต้องย้ายที่อยู่จากเชียงใหม่ไปภูเก็ต ถามว่า..คุณต้องทำอะไรบ้างและเสียเวลาขนาดไหน ต้องถ่ายสำเนากี่ฉบับ เดินทางกันกี่รอบ ซึ่งเรื่องพวกนี้เสียหายหลายต่อมาก คือ ต้องจ้างขรก.มาช่วยทำงานเอกสารซึ่งเปลืองเงินมาก ต้องสร้างอาคารสำนักงานให้ขรก.ทำงาน ปชช.ก็ต้องเสียเงินเวลาอารมณ์ในการทำธุรกรรมไร้สาระพวกนี้มากขึ้นเป็นเงาตามตัว เสียทั้งขึ้นทั้งล่อง นี่ขนาดผมยกมาเป็นอุทธาหรณ์เพียงเรื่องเดียว ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ดิน ก่อสร้างอาคาร ร้านค้า มันยุ่งยากหยุมหยิมไปหมดสำหรับเมืองเรา (ยกเว้นเอาเงินยัดก็กลายเป็นง่าย)
นี่แหละที่มันเป็นส่วนสำคัญประการแรกที่ทำให้ต้องการจำนวนผู้ปฏิบัติงานที่มากขึ้นเป็นเงาตามตัว ผมเชื่อว่าถ้าเราลดขั้นตอน กฎระเบียบที่ไม่จำเป็นลงมันจะลดงานทันที 3 เท่า
เรื่องนี้ผมมีประสบการณ์กับตัวเองเมื่อผมได้รับตำแหน่งบริหารระดับสูงในมหาลัยแห่งหนึ่ง ผมได้ทำการวิจัยด้านการบริหาร พบว่า คณบดีไม่ต้องมีเวลาทำอะไรเชิงนโยบายกันหรอก เพราะวันๆต้องพิจารณาลงนามอนุมัติในประเด็นไร้สาระเป็นร้อยๆ เรื่อง เช่น นศ. ป่วยลาขาด ขอลงทะเบียนเกิน ขอลงทะเบียนขาด ขอเรียนซ้ำซ้อนเวลา อาจารย์ลาหยุดพักร้อน ลูกป่วย ไปส่งเมียเดินทางต่างประเทศ ฯลฯ
คิดได้ดังนั้น ผมเลย “กระทำการ” ปฏิรูปครั้งใหญ่ด้วยการแก้กฎระเบียบ ยกอำนาจให้แก่หัวหน้าภาควิชาในการเซ็นอนุมัติเรื่องเหล่านี้ จำนวนทั้งสิ้น 21 รายการ ซึ่งนอกจากจะลดปริมาณงานต่อคณบดีแล้วยังเพิ่มคุณภาพงานอีกด้วย เพราะหัวหน้าภาคย่อมรู้จักนักศึกษาของตัวเองดีกว่าคณบดีเสียอีก ดังนั้นจึงย่อมตัดสินใจอนุมัติหรือไม่ ได้ดีกว่าคณบดี
กว่าผมจะเปลี่ยนระบบสำเร็จ ต้องใช้เวลาอยู่สองปี รบกับเสียงด่าทอรอบข้างว่าจะทำให้ประสิทธิภาพเสื่อม แต่แล้วด้วยความบ้าบิ่น ผมก็ทำสำเร็จ รวมทั้งปฏิรูปอะไรที่เห็นว่าไม่ดีงามอีกมากหลาย สุดท้ายผมเหนื่อยมาก ขอลาออกมาเป็นครูน้อยธรรมดาดีกว่าว่ะ แต่วันหนี้ย้อนหลังมองไป เออ..เราก็ได้ฝากรอยเท้าเอาไว้แหละหวา
เชื่อได้ 100% ว่าลักษณะกฎระเบียบแบบนี้ก็มีเกลื่อนกลาดในระบบราชการไทยทุกกระทรวง ทบวง กรม เพราะไปขอทำเรื่องอะไรแต่ละที ต้องเซ็นอนุมัติกันเป็นหางว่าว บางที่พื้นที่ไม่พอต้องไปเซ็นหลังกระดาษ
หวนรำลึกสมัยผมเข้าไปทำงานกับองค์การนาซ่าของสรอ. เมื่อจะเดินทางไปประชุมวิชาการยังต่างเมืองแต่ละทีก็ไม่เห็นต้องทำหนังสืออะไรเลย เพียงกรอกข้อมูล 2 บรรทัดในแบบฟอร์ม ส่งเสมียน แล้วเสมียนก็ลงนามอนุมัติทันที
ย้ำ…เสมียนอนุมัติ (จบม. 6 อีกต่างหาก) พร้อมไปเบิกเงินมาจ่ายให้เราเรียบร้อย สรุปคือเรื่องหยุมหยิมที่เป็นไปตามกฎระเบียบแบบนี้ประเทศเจริญแล้วเขาไม่ส่งไปรบกวนเวลาทำงานของคนระดับสูงหรอก ให้เสมียนเซ็นอนุมัติไปเลย
แต่ของเรา โอย ต้องเซ็นหางว่าวกันเต็มหน้ากระดาษกว่าจะอนุมัติได้ จากผู้ช่วยหัวหน้าภาค หัวหน้าภาค รองคณบดี คณบดี รองอธิการบดี และอธิการบดี (ทั้งที่เงินทั้งหมดที่อนุมัติประมาณ 2,3015.49 ….ซึ่งการกะเสียนหนังสือ ก็ถามกันไปมาเปรอะหน้ากระดาษว่า จะปัดเศษทศนิยมขึ้นหรือลงดี) มันก็เลยเปลืองกำลังพลมาก
บรรดาเจ้านายวันๆเอาแต่กะเสียนหนังสือ ก็ไม่มีเวลาเหลือเอาไว้คิดวางนโยบายระดับสูงอะไร เพราะเอามาพิจารณาเอกสารหยุมหยิมแบบนี้เสียหมด
ไปดูเถอะครับ ทุกกระทรวงกรมกองของเราเป็นอย่างที่กล่าวนี้หมด ดังนั้นถ้าจะปฏิวัติระบบราชการให้ดีก็คงต้องตัดขั้นตอนระเบียบหยุมหยิมที่ไม่จำเป็นออกให้หมด พร้อมผ่องถ่ายอำนาจอนุมัติลงให้สู่ระดับต่ำที่สุดเท่าที่จะทำได้
จะเป็นการฝึกคนให้รู้จักการใช้อำนาจในระดับที่พอดีกับสถานะแห่งตน ไม่ใช่แค่ตรวจอักขระ แล้วก็เขียนกันต่อว่า เรียนท่านเพื่อโปรดพิจารณา กันเป็นหางว่าว
….ทวิช จิตรสมบูรณ์ ๔ ตค. ๒๕๕๒
« « Prev : ธนาคารออมสิน…SuperSin หลอกแด๊กซ์เด็กจน
Next : เสียงจิ้งหรีดกรีดร้องในโรงแรม(ไทย) » »
7 ความคิดเห็น
เคยได้ยินข้อกวนคิดฝรั่งไหมว่า The power of a man is inversely proportional to the number of pens in his shirt pocket. …เป็นข้อกวนคิดหนึ่งที่ผมชอบมากที่สุด ซึ่งมันต่างจากไทยเราแบบหน้ามือหลังตรีนเลย
แต่ว่าไม่ขอลดข้าราชการครูนะคะ
ตอนนี้มีแต่ครูย้ายเข้าเมือง ครูบ้านนอกกำลังจะตายแล้ว
(รำพันเกินไป ยังไม่ตายค่ะ ยังกินได้อ้วนดี ถึงกับหัดเล่นฮูล่าฮูป)
กว่าจะฝึกคน “เป็นงาน” นานนะคะ
ฝึกพอจะได้แล้ว ก็เข้าเมืองกันแทบจะหมด
ในเมืองเขาว่า “เกย” กัน เป็นบางโรงเรียนเลยทีเดียว
ส่วนหน่วยงานราชการอื่น ประสบการณ์น้อยเลยไม่ทราบจะออกความเห็นอย่างไรค่ะ
แต่งงกับเมืองของตัวเองอยู่อย่างหนึ่งคือ ทำไมขยันจัดงานแสดงสินค้าเสียจริง
จัดงานครั้งหนึ่งก็คงใช้คนมากนะคะ แล้วว่ากันว่า พื้นที่บางแห่ง เทศบาล อบจ. อปท. ฯลฯ
ซ้อนทับปะปนกัน ประชาชนก็งงไม่หายจนเดี๋ยวนี้
คักอีหลี เห็นนำเด้อ อิ
บทความก่อนๆ ของผม (ไม่ทราบได้โพสต์ในลานปัญญาหรือเปล่า หรือว่าโพสต์แล้ว ลบออกไปหรือยัง) ได้เขียนไว้ว่า ให้ลด ขรก. ตำรวจ ทหาร ลงสามเท่า แล้วเพิ่มจำนวนครูเพิ่มสองเท่า แล้วให้เงินเดือนเพิ่ม สามเท่า ด้วยครับ โดยเอาเงินเดือนทหารตำรวจ ขรก. ที่ลดไปมาโปะเพิ่มให้ครู
แต่ผมขอร้องด้วยว่า ครูเองก็ต้องปฏิรูป เลิกเลียนักการเมือง ตีกอล์ฟ และเป็นหัวคะแนนให้นักการเมืองเสียที
ผมเสียดายครูอย่าง นายอะไรนะ ที่เป็นหน. พรรคความหวังไหม่ ยังเคยคุยกันอยู่เลย ผมว่าลึกๆแล้วท่านดีมากเลยนะ แต่ว่าไปถูกเกี่ยวก่ายซ้อนการเมืองจนดิ้นไม่หลุด ก็เลยต้องติดร่างแหมาจนวันนี้ (ชื่ออะไรหนอจำไม่ได้ อยู่กาฬสินธิ์) ..อ้อ ชิงชัย มงคลธรรม
ผมคิดว่าส่วนหนึ่งของความเฟอะฟะ เกิดจากการที่ระบบราชการเป็นระบบที่ไม่ไว้ใจใครครับ จึงมีขั้นตอน ดัชนีชี้วัด และวิธีประเมินผลพิลึกๆ ไม่ให้โอกาสคนทำงานได้ทำงาน แต่ไปพึ่งผู้บริหารซึ่งส่วนใหญ่ไม่มีเวลา(เพราะระเบียบต้องการอะไรตั้งมากมาย) แต่ดันจะดูรายละเอียดหมดทุกอย่าง(เพราะระเบียบบอกหัวหน้าหน่วยงานต้องรับผิดชอบ) มันก็เลยเละครับ
การไม่ไว้ใจก็ประเด็นหนึ่งครับ แต่อีกประเด็นหนึ่งก็คือ บ้าอำนาจ รวบอำนาจในการเซ็นไว้ที่ยอดหมด แม้แต่เรื่องหยุมหยิม
อีกอย่างคือบ้าควบคุมประชาชน ก็เลยต้องมีการทำเอกสารมากมาย จ่ายภาษียังต้องมีเลขพิเศษ มันใช้เลขบัตรประชาชนไม่ได้หรือไง เลขก็ต้องมีเสีย 13 ตัว ของ usa ปชช เขามากก่วาเรา 5 เท่า มีเลขแค่ 9 ตัว
ที่ city hall ใน usa และ ยุโรป จะสังเกตว่าแทบไม่มีปชช.มาติดต่อราชการเลย ขรก. เขาก็คงทำงานภายในองค์กรของเขาเสียเป็นส่วนใหญ่ ที่มีมากก็ที่ทำใบขับขี่แห่งเดียวเท่านั้น
ส่วนของเราโอย ศาลากลางมันแน่นเอี้ยด เต็มไปด้วยผู้คน