นโยบายปลูกปาล์มเป็นพืชพลังงาน..อย่าทำเลยสิบ่อกให่

5 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 14 January 2011 เวลา 4:32 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1950

biodieselจากปาล์มน้ำมัน..อย่าทำเลยสิบ่อกให่

 

ท่าน suthinan ได้ขอให้ผมช่วยเขียนเรื่องปาล์มน้ำมันสักหน่อย  ผมเลยต้องฉลองศรัทธาครับ เรื่องรายละเอียดเชิงเทคโนโลยีไม่ยากเท่าไร หาอ่านเอาได้มากหลายในตำราและในเน็ตครับ เดี๋ยวนี้ชาวบ้านทั่วไปก็ทำ biodiesel (ester)  กันเกลื่อนแล้ว แต่สิ่งที่ยากคือเรื่องนโยบายครับ ถ้าเดินผิดละก้อจะหลงทางหรือเจ๊งกันหมดได้นะครับ

 

ทำให้ผมนึกได้ว่าผมเคยคิดคำนวณเรื่องนโยบายนี้ไว้นานมากแล้ว (ประมาณ 8 ปีที่แล้วที่ผมทำวิจัยเรื่องปาล์มน้ำมัน โดยทดสอบการใช้น้ำมันปาล์มดิบในเครื่องยนต์)

 

ผมคิดว่าถ้ามองในแง่ของผลผลิตพลังงานที่จะได้แล้วปาล์มแพ้ยูคา  ประมาณ  6.75  เท่า  และยูคาก็แพ้ไผ่อยู่อีก 8 เท่า

 

การคำนวณของผมตั้งอยู่บนสมมติฐานที่ว่าการปลูกปาล์มหนึ่งไร่จะให้น้ำมันปาล์มประมาณ 500 กก. และให้ ไบโอดีเซลประมาณ 400 กก. มีค่าความร้อน 40 MegaJoule ต่อกก.   ส่วนยูคาให้เนื้อไม้เฉลี่ยที่ 6 ตันต่อไร่ต่อปี มีค่าความร้อน 18 MegaJoule ต่อกก.  จับหารกันก็จะได้ว่า ไม้ยูคาให้พลังงานมากกว่าน้ำมันปาล์ม 6.75 เท่า

 

ดังนั้นถ้าเอาความร้อนนี้มาเผาเพื่อต้มไอน้ำเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าขาย ยูคากินดิบเลยครับ แต่แน่นอนว่าเอายูคาไปเติมรถยนต์ไม่ได้

 

อย่างไรก็ดีที่ประเทศอัฟริกาใต้นั้นได้ใช้เทคโนโลยีสงครามโลกครั้งที่สอง ผลิตน้ำมันจากถ่านหินจนพอเพียงในประเทศจนวันนี้ (เรียกว่ากระบวนการ fischer-tropsch..เยอรมัน)  ผมจึงเชื่อว่าถ้าเราเอายูคามาผลิตน้ำมันโดยกระบวนการนี้ก็ยังจะดีกว่าการปลูกปาล์ม 3 เท่าเป็นแน่ ผมจึงไม่เห็นด้วยที่รัฐบาลจะไปสนับสนุนการปลูกปาล์มเป็นบ้าเป็นหลัง เอาพื้นที่ 10 ล้านไร่อะไรที่เพ้อฝันกันนั้นมาปลูกไผ่ดีกว่าครับ เพราะมันจะดีกว่าปาล์ม 50 เท่า

 

โดยเฉพาะปาล์มกินน้ำมาก ส่วนยูคา ไผ่ กินน้ำน้อย ปลูกได้ทุกภาค

 

ไผ่เป็นพืชมหัศจรรย์ใต้จมูกเราทีคนไทย นักวิชาการ รัฐบาล มองข้ามกันไปหมด มีพืชอะไรบ้างที่เดือนเดียวโตได้สูง 15 เมตร แถมเนื้อแข็งอีกต่างหาก และยังใช้ได้หลากหลายประโยชน์มาก เช่น เยื่อกระดาษ เฟอร์นิเจอร์(วิจัยให้ดีอัดให้แน่นจะไม่แพ้ไม้เนื้อแข็งอื่นเลย) ไปถึงเป็นพืชพลังงาน  และเป็นอาหาร

 

…ทวิช จิตรสมบูรณ์ (๑๔ มค. ๒๕๕๔)


ทำนาด้วยกบและมด (ตอน ๒)

6 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 13 January 2011 เวลา 6:48 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1665

ทำนาด้วยกบ มด และสมอง (ตอนที่ ๒)

 

นอกจากแมลงแล้ว ปัญหาสำคัญอีกประการของการทำนาคือวัชพืช ซึ่งผมได้เกิดแนวคิดในการกำจัดวัชพืชด้วยการใช้”มดง่าม” ใช่…มดง่าม ไม่ได้พิมพ์ผิดครับ

 

แนวคิดนี้เกิดจากการที่วันหนึ่งผมเดินกลับจากการไปสอนหนังสือ ..โชคดีที่อยู่ม.บ้านนอก ทำให้ต้องเดินผ่านป่าย่อมๆกลับมายังห้องพัก  ระหว่างทางเห็นมดง่ามนับแสนตัวมันเดินแถวกันอย่างเป็นระเบียบ เลยนอนราบลงกันพื้นดูมันเดินกัน ได้เห็นมดทหารกล้ามโตทำหน้าที่กวดขันมดงานที่แตกแถวออกไป ประหลาดมาก แต่เอ๊ะนั่น….มดงานส่วนใหญ่คาบอะไรมา สังเกตดูโห..เมล็ดพันธุ์ทั้งนั้นเลย เป็นเมล็ดหญ้าหลากหลายพันธุ์ ที่หล่นอยู่บนสนามหญ้าข้างๆ  แสดงว่ามดเหล่านี้ไปเก็บเมล็ดหญ้าที่ตกอยู่ตามดินในสนามหญ้าข้างๆป่าเอาไปเข้ายุ้งฉางของพวกมัน เพื่อเก็บเอาไว้กินในฤดูฝนแน่นอน (เรื่องนี้ควรมีการวิจัยกันอย่างจริงจัง เชื่อไหมกองทัพบกสหรัฐฯยังวิจัยมด แต่กรมวิชาการเกษตรไทยเชื่อว่าไม่มีใครจับเรื่องนี้)

 

          ผมจึงคิดต่อไปว่ามันน่าจะใช้มดปราบวัชพืชได้โดยปราบที่ต้นตอเลย วิธีการคือเราต้องเพาะเลี้ยงมดง่ามไว้ให้ดี พอจะเริ่มฤดูทำนา ก่อนที่ฝนจะตก เราก็เอามดไปปล่อยในนา ให้มันเก็บเมล็ดพืชกินให้หมดเกลี้ยง จากนั้นก็เรียกมดกลับรัง แล้วเอามดออกไปขจัดเมล็ดหญ้ายังนาแปลงต่อไปเรื่อยๆ ก็เมื่อไม่มีเมล็ดเสียแล้ววัชพืชก็ไม่เกิด การปลูกข้าวอาจไม่ต้องไถนาด้วยซ้ำไป เพราะการไถนานั้นจุดประสงค์หลักก็เพื่อพลิกหน้าดินกลบเมล็ดวัชพืชให้มันตายนั่นแหละ แต่ก็ไม่หมด ต้องปล่อยน้ำเข้ามาทำให้มันเน่าอีกซ้ำสอง (ผมเคยคิดเอาเองว่าการไถนาก็เพื่อให้ดินร่วนซุย ถามคนมามากทั้งชาวนาและนักวิชาการเกษตร ก็ไม่ได้คำตอบที่ชัดเจนสักที บัดนี้ผมสรุปเอาเองว่าการไถนานั้นส่วนใหญ่เพื่อกลบเมล็ดหญ้า)

 

เมื่อสัก 8 ปีมาแล้วผมไปร่วมประชุมกับชาวสวนปาล์มน้ำมันที่พังงา (เพราะผมทำงานวิจัยด้านไบโอดีเซล)  ชาวสวนบอกว่าอาจารย์ช่วยหาวิธีกำจัดหนูให้พวกผมหน่อย เขาคงต้องการฟังคำตอบที่แสนไฮเทค ผมคิดสัก2-3 นาทีก็บอกเขาไปว่ามีทางเลือกง่ายอยู่ 3 ทางคือ

 

1)       เลี้ยงงูสิง ซึ่งงูกินหนู แล้วยังจับงูขายพวกฮ่องกงได้ราคาดีอีกด้วย (วิธีนี้ไม่เป็นที่ยอมรับเพราะชาวสวนปาล์มกลัวงูกันมาก)

2)       เลี้ยงนกฮูก (เพราะนกฮูกจับหนูกินวันละมากๆ)

3)       เอาคนอีสานมาเป็นคนงาน (เพราะคนอีสานกินหมด ทั้งหนูและงู) (ข้อนี้เรียกเสียงหัวเราะจากที่ประชุม แต่ผมว่ามันเป็นวิธีที่ดีมากเลยนะ ดีกว่าไปจ้างพม่า)

 

วิธีที่สอง (เลี้ยงนกฮูก) บัดนี้กลายเป็นที่นิยมไปแล้วในหมู่คนทำสวนปาล์ม ได้ข่าวว่ากลายเป็นอาชีพใหม่ไปแล้ว คืออาชีพรับขจัดหนูในสวนด้วยนกฮูก (แต่คงไม่มีใครจำได้แล้วหละว่าใครเป็นคนต้นคิดเรื่องนี้)

 

ต่อไปอาจมีอาชีพเลี้ยงมดง่ามช่วยทำนาก็ได้นะครับ (มดง่ามไม่นำเพลี้ย ซึ่งเป็นศัตรูพืช ที่นำเพลี้ยมาคืดมดแดง) มดง่ามกับกบเขียดก็ไม่ขัดแย้งกัน เพราะมดง่ามทำงานตอนช่วงก่อนฝน ซึ่งกบเขียดยังจำศีลอยู่ ไม่งั้นกบเขียดจะเจี๊ยะมดง่ามหมดเสียก่อน

 

ผมได้เอาเรื่องนี้ไปปรึกษาอาจารย์ม.เกษตรศาสตร์ที่ท่านวิจัยเรื่องมดอยู่ ท่านว่ามันเป็นไปได้ และอาจลองทำดู เพียงแต่ว่าท่านอ้างว่าท่านจบมาด้ายชีววิทยาวนศาสตร์ไม่มีความรู้เรื่องพืชไร่ ..แต่ผมว่าน่าจะประสานงานกันได้นะครับ วิจัยเสร็จได้รางวัลโนเบลก็อย่าลืมแบ่งให้ผมบ้างล่ะครับ อิอิ


กระเซ้าประชา”วิ”ยม ๙ ข้อของท่านนายกฯอภิสิทธิ์

2 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 11 January 2011 เวลา 11:41 am ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1381

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ประกาศ 9 มาตรการ “ปฏิบัติการร่วมเดินหน้า ปฏิรูปประเทศไทย” ผ่านรายการ “เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯอภิสิทธิ์” ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทยช่อง 11 และสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย กรมประชาสัมพันธ์ เมื่อเช้าวันที่ 9 มกราคม

 

**ผมได้อ่าน 9 มาตรการแล้วเห็นว่าเป็นเรื่อง”วิธีการ” ปลีกย่อยเสียเป็นส่วนใหญ่ มี “มาตรการ” เพียงบางข้อ ยังไม่ถึงขั้นเป็นยุทธศาสตร์ หรือ นโยบายอะไรเลย แล้วแบบนี้ท่านนายกฯมาใช้คำเสียใหญ่โตว่า “ปฏิรูปประเทศไทย”  อย่างน้อยผมว่าท่านนายกฯใช้ภาษาไทยผิด อย่างมากอาจถึงขั้นหลอกลวง แล้วอย่างนี้ผมจะเชื่อมั่นในประเทศไทยได้อย่างไร

ของขวัญชิ้นแรก จะมีการปรับกฎหมาย กฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง สำหรับประชาชนซึ่งไม่ได้อยู่ในระบบประกันสังคม.. เปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถสมทบเงินไม่เกิน 100 บาทต่อเดือน …ถ้าในกรณีที่จ่าย 70 รัฐบาลสมทบ 30 ..ถ้าเป็นกรณีที่จ่าย 100 รัฐบาลสมทบ 50 …

 

**ถ้าใช้สูตรนี้มาจับคงไม่มีใครโง่ไปใช้ 70/30 หรอกครับ ก็คงมา 100/50 กันหมด เพราะเพิ่มอีก 30 ได้สมทบ 20 แน่ะ แถมส่วนนี้ยังได้คืนจากบำเหน็จตอนแก่อีก ว่าแต่ว่าแพคเก็จยอดเยี่ยมแบบนี้ผมว่ามันอาจแลบกลับได้นะ เพราะคนจนเหล่านี้คงไม่มีเงินเดือนละ 100 เอามาลงขันหรอก ก็คงไป “กู้หนี้นอกระบบ” มาลง เพราะคิดไปแล้วมันคุ้มกับดอกเบี้ยอยู่นะ (แม้จะสูงมากก็ตาม ซึ่งเรื่องนั้นเอาไว้ไปตายเอาดาบหน้า สิบเบี้ยใกล้มือต้องคว้าไว้ก่อน)

 ของขวัญชิ้นที่ 2 การนำร่องสินเชื่อเป็นกรณีพิเศษ เริ่มต้นจากแท็กซี่ …
พร้อมๆ กันไป เราจะมีสินเชื่อผ่อนปรน สำหรับผู้ค้าหาบเร่แผงลอย ในจุดผ่อนผันใน กทม. เป็นการนำร่องเช่นกัน ให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ในอัตราที่มีความเป็นธรรม ….

 

**คิดทั้งทีก็คิดไม่ทะลุ มัวกลัวๆกล้าๆนำร่องอยู่นั่นแหละ ทีคิดจะอุ้มนายทุนต่างชาติที่แสนรวยอยู่แล้ว ไม่เห็นนำร่องอะไรเลย ลดแลกแจกแถมเต็มพิกัดกันมาทุกรัฐบาล.. มันน่าจะให้ประโยชน์เดียวกันนี้กับผู้ประกอบการรายย่อยทั่วประเทศไปเลย ทำไมให้แต่พวกคนในกรุงเทพฯ หรือว่านี่เป็นฐานเสียงของพรรคตน ชาวนาชาวไร่จะปรับปรุงกิจการเช่น สร้างเล้าหมู เล้าไก่ ซื้อรถไถเดินตาม อย่างนี้ก็น่าสนับสนุนนะครับ โดยควรมีวาระซ่อนเร้นให้ซื้อยี่ห้อไทยผลิตด้วย (ไม่รู้มีหรือเปล่า แว่วๆว่ามีทำแล้วราคาถูกกว่าของญี่ปุ่นมาก แต่ขายไม่ค่อยออก เพราะคนไทยเห่อของนอก)  
  ของขวัญชิ้นที่ 3 ผู้ประกอบอาชีพมอเตอร์ไซค์รับจ้าง ขณะนี้จำนวนมากไม่ถูกต้องตามกฎหมาย นำมาสู่ปัญหา ต้องส่งเงินให้กลุ่มคนต่างๆ เป็นภาระอาจจะ 1,000-2,000 บาทต่อเดือน ต่อไปเราจะให้ขึ้นทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย 100 เปอร์เซ็นต์ แล้วจัดระบบ

**คิดไม่ทะลุอีกแล้ว..แล้วพวกสามล้อถีบ สามล้อเครื่อง  รถสกายแล็บ ตามบ้านนอกล่ะ ไม่เห็นหัวอกเขาหรือครับ ทำไมเลือกที่รักมักที่ชังเฉพาะแท็กซี่กับมอไซค์  หรือว่า..พวกนี้มันเสื้อแดง ต้องมัดใจมันหน่อย
 ของขวัญชิ้นที่ 4 ผู้ค้าหาบเร่แผงลอย จะดูจุดผ่อนผันซึ่งได้สำรวจไว้แล้ว อีกหลายจุดจะผ่อนผันเพิ่มเติม จะทำอย่างน้อย 2 หมื่นราย แต่ไม่ให้กระทบ เดือดร้อนประชาชนที่ใช้ทางเท้าสัญจร สามารถทำได้แบบถูกต้องตามกฎหมาย ลดรายจ่ายนอกระบบได้เช่นกัน จะดำเนินการเห็นผลได้ตั้งแต่เดือนเมษายน ปี 2554

**”ลดรายจ่ายนอกระบบ”??? แสดงว่ารัฐเองยอมรับว่ามันมีการรีดไถจากเจ้าหน้าที่รัฐ  แต่ไม่แก้ไขให้เด็ดขาด กลับมา “ผ่อนผัน” กันแบบไทยๆ อย่างนี้มันเลี้ยงไข้เพื่อหาคะแนนเสียงหรือไม่ ลงทุนสร้างตลาดให้ไปเลย แล้วเก็บค่าเช่าราคาถูกจะมิเป็นการแก้ปัญหาระยะยาวที่ดีกว่าหรือ ประชาชนส่วนใหญ่เดือดร้อนมากจากการล้ำทางเท้า แขกบ้านแขกเมืองมาก็อายเขาที่ประเทศไทยไร้ระเบียบเช่นนี้

 ของขวัญชิ้นที่ 5 การบริหารจัดการในเรื่องของกองทุนน้ำมัน ในส่วนของน้ำมัน ปัญหาในขณะนี้ก็จะเป็นผลมาจากการที่เรามีภาระของกองทุนน้ำมัน คือเก็บเงินจากผู้ที่ใช้น้ำมัน ส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเพื่อมาอุดหนุนในบางเรื่อง…คือว่าเราจะเลิกการอุดหนุนแอลพีจีสำหรับภาคอุตสาหกรรม

 

**เรื่องนี้มันวิธีการจิ๊บจ๊อยในรายละเอียดไม่ขอวิจารณ์นัก ความจริงถ้ารัฐใจกล้าหน่อย หรือมีหัวสักหน่อย  เก็บภาษีการใช้พลังงานอุตสาหกรรมต่างชาติให้สูงๆ จะดีมาก เพื่อชดเชยค่าแรงไทยที่ต่ำมาก  โดยเราอ้างเหตุผลได้มากมายว่าทำไมต้องเก็บเฉพาะต่างชาติเท่านั้น (เช่นมาทำให้อากาศไทยเสียมากขึ้น ทำให้สุขภาพคนไทยโดยรวมเสื่อมลง ซึ่งรัฐต้องเสียเงินในการรักษา)  ซึ่งแม้เก็บเช่นนี้ต่างชาติก็จะยังมาลงทุนมากอยู่ดีเพราะยังไงเสียก็ยังคุ้มค่าสิบเท่า โดยเฉพาะราคาพลังงานเราถูกกว่าค่าเฉลี่ยของโลกอยู่แล้วด้วย
 ของขวัญชิ้นที่ 6 คือเรื่องของการใช้ไฟฟ้าฟรีในปัจจุบันสำหรับ 9.1 ล้านครัวเรือนของไทย 8.5 ล้านอยู่ในชนบท 600,000 ครัวเรือนอยู่ใน กทม. เราได้ดำเนินการมาตรการนี้มาต่อเนื่อง แต่ที่ทำมาตลอดนี้ต้องเป็นภาระกับผู้เสียภาษีอากร คือต้องเอาเงินงบประมาณไปชดเชยให้กับการไฟฟ้า ในการที่จัดไฟฟรีให้ประชาชนซึ่งใช้ไฟต่ำกว่า 90 หน่วย ต่อไปนี้เราจะทำให้ไฟฟ้าสำหรับพี่น้องประชาชนที่ใช้ต่ำกว่า 90 หน่วยนั้นฟรีนั้นเป็นแบบถาวร โดยไม่ใช้เงินภาษีอากรหรือใช้งบประมาณ แต่จะไปปรับโครงสร้างค่าธรรมเนียม

 

**นี่อาจเข้าข่ายศรีธนญชัยเลยนะครับ…คือไม่ใช้ภาษีจากราษฎรโดยตรง แต่ไปเก็บค่าธรรมเนียมมากขึ้น  ดังนั้นประชาชนชั้นกลางเลยโดนสองเด้ง คือ ภาษีก็ต้องเสียในอัตราก้าวหน้าเท่าเดิม แล้วยังมาเสียค่าธรรมเนียมไฟฟ้าในอัตราก้าวหน้าอีกด้วย  …วิธีนี้ยังไปส่งเสริมให้คนจนใช้ไฟกันฟุ่มเฟือยกว่าปกติอีกด้วย เช่นเมื่อก่อนใช้เพียง 30 หน่วย พอให้ 90 ก็เลยใช้ให้ครบโควตาไปเสียเลย 90 หน่วยนี้ประมาณ 300 บาทต่อเดือนนะครับ ปีละประมาณ 35,000 ล้านบาท

 

…พอเราไปปรับโครงสร้างตรงนี้ ผู้ที่ใช้ไฟเยอะๆ ซึ่งพูดจริงๆ แล้วคนเหล่านี้ก็คือคนที่ทำให้เราต้องเอาเงินไปลงทุนในเรื่องของการจัดหาพลังงานไฟฟ้ามาค่อนข้างมากนี้ ก็จะเป็นผู้ที่จะต้องจ่ายเงินเพิ่มขึ้น

 

**ถ้าใช้ตรรกะแบบนี้ ต้องลดค่าธรรมเนียมให้คนใช้ไฟเยอะต่างหากเล่า เพราะเขาใช้เยอะ เราลงทุนมาก แต่เราก็ขายได้กำไรมากเป็นเงาตามตัวนะครับ  ปกติพ่อค้าที่ดีฉลาดนั้นถ้าคนซื้อของเรามากๆ เราต้องลดราคาให้เขา เพราะมันประหยัดค่าโสหุ้ย เช่น ค่าลงทุนเดินสายไฟ เสาไฟ  ต่อหัวก็เท่ากัน แต่ขายให้คนใช้เยอะได้กำไรมากกว่าขายให้คนใช้น้อย คิดอย่างนี้มันต้องลดให้คนใช้เยอะนะครับ …แต่เอาเถอะ จะประชานิยมก็ไม่ว่ากันหรอกครับ แต่ขอให้ยอมรับมาตรงๆ ไม่ต้องชักแม่น้ำให้อ้อมค้อมก็ได้  ..พวกใช้ไฟมากนั้นก็ต้องจ่ายภาษีการค้ามากในทางอ้อมด้วยเช่น ค่าแอร์ (มีสรรพสามิตด้วย) และเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ ก็เลยโดนหลายเด้ง (จ่ายอะไรก็มากกว่าแต่เวลาลงคะแนนเสียงให้หนึ่งคะแนนเสียงเท่ากับคนใช้ไฟน้อยนะ ..แปลกไหม)

 ของขวัญชิ้นที่ 7 ..ในเรื่องของต้นทุนของภาคเกษตร โดยเฉพาะอาหารสัตว์ พ่อพันธุ์ แม่พันธุ์ ซึ่งปัจจุบันนี้เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้อาหารราคาสูงกว่าที่ควรจะเป็น ต่อไปเราก็จะใช้แนวทางการใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการแข่งขันทางการค้า วิเคราะห์เจาะลึกลงไปถึงต้นทุนในส่วนต่างๆ ในองค์ประกอบต่างๆ แล้วก็จะทำให้เกิดความเป็นธรรมมากขึ้น แล้วก็นำมาสู่การลดต้นทุนและราคาของสินค้าเกษตรที่ประชาชนส่วนใหญ่บริโภค

 

**ตรงนี้ยังกำกวม ยังไม่เข้าใจดีนะครับ ผมเดาว่าจะไปควบคุมรายใหญ่ (ไม่ใช่รายย่อย..ใช่ไหม) ให้ลดราคา แหม..แต่พวกนี้เขาบริจาคพรรคการเมืองแต่ละพรรคหนักๆทั้งนั้นไม่ใช่หรือครับ แล้วถ้าราคาสินค้าเกษตรมันลด เกษตรกรรายย่อยมิแย่ไปด้วยหรือครับ เดี๋ยวรัฐก็ต้องไปประกันราคากันอีกหรอก  เงินประชา”วิยม” ก็ใช้ไปหมดแล้วด้วย

 ของขวัญชิ้นที่ 8 …..
นอกจากนั้น ในส่วนของไข่ไก่ จะมีการทดลองให้มีทางเลือกซื้อขายกันเป็นกิโล….

 

**..ผมให้ข้อคิดว่าถ้าทำแบบนี้เมือไหร่คนไทยกินไข่แพงขึ้นกว่าเดิมแน่ เพราะกิโลไทยมันไม่เที่ยงน่ะครับ
 ของขวัญชิ้นที่ 9 ชิ้นสุดท้าย ปัญหาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน เราจะประกาศเป็นเป้าหมายชัดเจนว่าภายใน 6 เดือนใน กทม. คดีอาชญากรรมต่างๆ นั้นจะต้องลดลง 20 เปอร์เซ็นต์ เริ่มต้นตั้งแต่เดือนมกราคมนี้

 

แนวทางก็คือการได้ไปกำหนดจุดที่ถือว่าเป็นจุดเสี่ยงมากที่สุด 200 กว่าจุด บริเวณเหล่านั้นจะมีการบูรณาการในเรื่องของระบบของกล้องวงจรปิด…

 

**พวกโจรกระจอกลดไม่ยาก ตำรวจไทยเขาทำยอดได้อยู่แล้วแหละถ้าเบื้องบนสั่งมา (เช่นยัดยาบ้า)  แต่โจรมีสีนี่สิ แถวราชประสงค์มีกล้องมาก พวกโจรมันก็ปีนขึ้นไปปิดกล้อง แล้วเผาเมืองกันสนุกมือ อาชญากรพวกนี้จะลดลงได้อย่างไรครับ
……..
เรื่องที่เราทำทั้งหมด ส่วนใหญ่เป็นเรื่องโครงสร้าง

 

**ผมไม่เห็นว่ามัน “โครงสร้าง” ตรงไหนเลยครับ มี “มาตรการ” สองข้อกระมัง และ  “วิธีการปลีกย่อย” อีกเจ็ดข้อกระมัง

 

 

เป็นเรื่องความเป็นธรรม  (**เป็นธรรมกับพวกผิดกฎหมาย เช่น แผงลอยล้ำทางเท้า แทกซี่ขับรถซิ่ง มอไซค์ไร้ทะเบียน?)

 

 

ไม่ใช่เอาเงินภาษีอากรมาแจกประชาชน (**บางเรื่องเอาไปแจกตรงๆ ดีกว่าครับ ไม่ต้องมาตอดเพิ่มจากค่าธรรมเนียม คนชั้นกลางเขาจะตายกันอยู่แล้ว)

 

เพราะฉะนั้นคงไปคนละเรื่องกันเลยกับที่เรียกว่านโยบายประชานิยม แต่สิ่งที่เราทำก็คือ เปิดโอกาสให้คนซึ่งก่อนหน้านี้เขาถูกกฎ ถูกระเบียบ ถูกโครงสร้างบางอย่าง ถูกเอารัดเอาเปรียบ เขาจะได้รับความเป็นธรรมมากขึ้น รัฐบาลจะปรับปรุงกฎ ระเบียบ วิธีการทำงานเพื่อตอบสนองเป้าหมายของคนเหล่านี้

 

**ประชาชนทั่วไปที่เคารพกฎหมายบ้านเมืองต่างหากครับ ที่ถูกเอารัดเอาเปรียบมากที่สุด จะเดินทางเท้าก็ไม่มีที่เดินต้องเสี่ยงลงไปเดินบนถนนที่มีแต่พวกมอไซค์รับจ้างซิ่งสวนทางมา และ แท็กซี่เบียดเข้ามาวิ่งรอกหาคนโดยสารนัวเนีย กลายเป็นว่าคนถูกเอาเปรียบมากที่สุดต้องเสียภาษีมากที่สุดและไม่มีแพคเก็จอะไรช่วยเหลือเลย ส่วนคนทำผิดกฎหมายทั้งหลายได้รับการอุ้มหลากหลายโครงการ

 

**เมืองไทยเรามีคนสองกลุ่มที่ทำผิดกฎหมายได้โดยรัฐไม่กล้าแตะคือ คนจนกับคนรวย

 

…สองชาติ ใจเต็ม (๑๑ มค. ๕๔)


ทำนาด้วยกบ มด และสมอง (ตอนที่ ๑/๒๐)

2 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 9 January 2011 เวลา 3:50 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1786

กบ-มด-สมองคน…ช่วยทำนากู้ชาติ  (ตอนที่ ๑/๒๐)

 

 

เมื่อครั้งผมเป็นผู้บริหารสถาบันการศึกษากะเขาอยู่ช่วงหนึ่ง มักต้องเดินทางเข้ามาประชุมในกทม. บ่อยๆ เลยถือโอกาสใช้เวลาว่างจากการนั่งรถให้เป็นประโยชน์ด้วยการคุยกับคนขับรถ ซึ่งมักเปลี่ยนหน้ากันมามิได้ขาด ได้ประโยชน์สองต่อคือ ได้ความรู้จากพวกเขา และได้ความปลอดภัย (เนื่องจากทำให้คนขับรถไม่ง่วง)

 

สิ่งที่ผมถามเขาก็คือเรื่องความเป็นอยู่ กับเรื่องการทำมาหากิน โดยเฉพาะการทำสวนนาไร่ ซึ่งมักเป็นอาชีพดั้งเดิมของพวกเขาเหล่านี้

 

การถามซอกแซกของผม ทำให้รู้ว่าเมื่อก่อนนาข้าวอีสานมีเขียดขาคำ (หรือเขียดอีโม่) เยอะมาก (แต่จริงๆแล้วสองสกุลนี้มันต่างกันอยู่)  มันทั้งสองต่างเป็นเขียดตัวเล็กๆ ขนาดลำตัวกว้างสัก 0.5-1.0 ซม. ชาวนามักไปช้อนจับมาต้มปลาร้า ว่ากันว่าอร่อยมาก แถมได้ธาตุอาหารดี แต่เดี๋ยวนี้หายไปหมดแล้ว 

 

ฟังไปก็สลืมลือไปด้วยความง่วง…ก็แข็งใจถ่างตาถามเขาต่อไปว่าอ้าว..แล้วมันหายไปได้ยังไง เขาก็บอกว่าสงสัยมันจะสูญพันธุ์ไปตามกาลเวลา …เออคงใช่.กาลเวลามันทำลายทุกสิ่ง ไม่เว้นแม้จิตวิญญาณ

 

พอหายง่วง เพราะรถตกหลุมใหญ่ริมโค้ง จนแทบกระดอนพลิกคว่ำกลายเป็นศพไปเป็นศาลพระภูมิเฝ้าทางโค้ง (อันเป็นผลพวงมาแต่การเมืองน้ำเน่า) ก็มาฝันต่อยอดว่าต้องเป็นเพราะการใช้สารเคมีแน่ๆเลย  กบเขียดล้ำค่าพวกนี้มันเลยตายหมด

 

จนกระทั่งผมไปเจอชาวนาเอาเขียดอีโม่มาขายในตลาดสดทีตลาดสด อ.เมือง จ. ชัยภูมิ ก็ถามว่านานี้ใช้ยาเคมีไหม เขาบอกว่าไม่ใช้ แล้วเขายังบอกอีกว่านาที่ใช้เคมีไม่มีเขียดอีโม่เลย …ผมถึงบางอ้อ (ที่เดี๋ยวนี้อ้อไม่มีเหลือแล้ว เพราะสารเคมีอีกแหละ)

 

ผมคิดเชื่อมโยงต่อไปอีกว่า เขียดพวกนี้กินอะไรเป็นอาหาร อ้อ…แมลง พวกนี้ลิ้นยาว มันแลบออกไปตวัดแมลงเข้าปากวันละมากตัว  ผมเลยเกิดแนวคิดว่าทำไมเราไม่เลิกใช้สารเคมีแล้วจงใจเลี้ยงเขียดอีโม่ในนาข้าวไปเสียเลย เพราะตัวมันเล็ก มันกระโดเกาะไปตามใบข้าวได้ กินแมลงตัวเล็กๆ ไม่เหลือหรอ รวมทั้ง”เพลี้ย” “ไร” ต่างๆ

 

ส่วนมูล (ขี้..ตามประสาชาวบ้าน ขอโทษ ขี้ อาจไม่สุภาพ) เอ้อ.มูลของมันก็กลายมาเป็นปุ๋ยชีวภาพให้ต้นข้าว เท่ากับว่าเปลี่ยนแมลงซึ่งเป็นศัตรูพืชมาเป็นประโยชน์ต่อต้นพืชไปเสียเลย ไม่ต้องไปเสียเงินซื้อปุ๋ยที่มีชื่อยี่ห้อเป็นภาษาหัวหรั่งที่อ่านแล้วไม่เข้าใจให้เปลืองเงินและเปลืองศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์อีกต่อไป (เพราะถูกเขาหลอกมาหลายทอด)

 

ส่วนการกำจัดแมลงตัวใหญ่เราก็เลี้ยงเขียดและกบตัวใหญ่สิ ซึ่งมันชอบน้ำในนาอยู่แล้ว   กบพวกนี้ยังจับไปขายได้อีก สร้างรายได้เพิ่มให้ชาวนา เป็นกบชีวภาพอีกด้วยนะ  ราคาแพงกว่าปกติ

 

ไอ้พวกฝรั่งเศสที่มาโกงนครวัด เขาพระวิหาร ไปจากเราก็ชอบกินหอย หมึก ปู แมลงพิสดารอีกด้วย พวกนี้มันจ่ายไม่อั้น จนอาจจ่ายเขาพระวิหารมาซื้อขาเขียดอีโม่หนึ่งขาก็เป็นไปได้นะ ..สิบ่อกไห่ 

 

พวกนี้มันเอาพระเจ้าหลุยส์ไปฆ่าทิ้ง ตัดคอด้วยกิลโยติน แต่วันนี้ถามว่ามันหากินกับอะไร ตอบได้ว่า หากินกับวังแวร์ซายที่พระเจ้าหลุยส์สร้างไว้น่ะแหละ (เงินจากนักท่องเที่ยวทั่วโลก)  โห..ถ้ามันเกลียดกษัตริย์จริง มันน่าจะเผาวังทิ้ง หรือไม่ก็เปิดให้ดูฟรีสิ หรือยิ่งไปกว่านั้น บอกคนทั้งโลกว่าอย่าเดินทางมาท่องเที่ยวฝรั่วเศสเลยนะ เพราะประเทศนี้มันมีประวิติศาสตร์เลวร้ายน่ารังเกียจ

 

ผมก็ได้แต่คิดฝันไป ไม่มีเวลาไปทำการทดลอง (ไปขอทุนเขาใครเขาจะให้เพราะเราเป็นวิดวะเครื่องกล ไม่ได้จบเกษตรอันสูงส่งที่ทุกคนยกย่อง…แต่ไม่ยอมส่งลูกหลานไปเรียน)

 

แต่อยู่มาวันหนึ่งผมไปพบนาที่ อ.ประทาย จ.นครราชสีมา (ผ่านเครือข่ายเกษตรกรที่ผมรู้จักโดยบังเอิญ) นาแห่งนี้ปลูกอยู่ข้างสระน้ำ เผอิญเจ้าของเอากบมาปล่อยในสระ ทำให้กบกระโดเข้าไปในนาข้าว โดยนาข้าวแห่งนี้ไม่ใช้ยาฆ่าแมลง แต่กลับงามที่สุดในละแวกนั้นซึ่งนาโดยรอบใช้สารเคมีทั้งสิ้น แสดงว่าทฤษฎีกบขจัดแมลงของผมน่าใช้ได้

 ผมไปเดินด้อมๆดูรอบคันนา เอ้า..มีเขียดอีโม่อยู่ด้วย มันมาของมันเองตามธรรมชาติ เลิกใช้ยาเมื่อไหร่ไข่มันก็คงจะปลิวมาลงนาเอง ยังมีเขียดตะปาดตาไสน่ารักมาก เจ้าของนาบอกว่าผมโชคดีที่เห็นเขียดนี้เพราะเขาเองยังไม่เคยเห็นเลย

 

ส่วนในน้ำก็มีปลาซิว และ กุ้งฝอยว่ายน้ำไสโชว์เรือนร่างแสนสวยอยู่ไปมา ทำให้ผมเกิดแนวคิดต่อไปว่า ถ้าฉีดยาปลากุ้งก็ตายหมด แต่ถ้าไม่ฉีดแล้วเลี้ยงปลากุ้งฝอยตามธรรมชาติ หรือเลี้ยงแหน ผำ เสริมให้มันก็ยิ่งดี  (ผำ รู้จักไหม ..ลูกเล็กๆ ลอยในน้ำ คนกินอร่อย ปลาก็ชอบ คนส่วนใหญ่ไม่รู้จัก แม้นักวิทยาด้านพืช ถามมาหลายรายแล้ว) 

 

มูลปลากุ้งก็กลายเป็นปุ๋ยให้ข้าวอีก ชาวนาอาจขายปลา กุ้ง กบ ได้เงินมากกว่าขายข้าวเสียอีก  ข้าวชีวภาพก็สะอาด ราคาแพงกว่าปกติเสียอีก (ได้หลายต่อมาก)

 

แบบนี้ชาวนาไทยจะรวยกันหมดประเทศ  แต่รัฐบาล กระทรวงเกษตร กระทรวงวิทย์ ก็คงไม่รับรู้อีกตามเคย…เพราะบริษัทปุ๋ย สารเคมีมันล็อบบี้หนัก และเงินมันก็หนักด้วย จนทำให้บอดสนิทกันไปหมด และนานมาแล้ว ด้วยสูตรเดิมๆ ง่ายๆ แบบนี้แหละ …อนิจจาประเทศไทยเรา

 

 

          ….ทวิช จิตรสมบูรณ์ (กย. ๒๕๕๒)

 

 

 

 


ดื่มน้ำวันละ 8 แก้ว มันมากเกินไป ระวังจะตายไวนะ

9 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 9 January 2011 เวลา 11:55 am ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2243

ดื่มน้ำวันละ 8-10 แก้ว มันมากเกินไป ระวังตายไว (ไตวาย)  

 

เราท่านคงเคยได้ยินผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพแนะนำให้ดื่มน้ำวันละ 8-10 แก้ว ซึ่งผมเชื่อว่าตัวเลขนี้ลอกมาจากตำราฝรั่งอีกต่อ (ตามเคย) ซึ่งผมเชื่อต่อไปว่าการดื่มน้ำในปริมาณขนาดนี้มันมากเกินจำเป็นไปประมาณ 1.5 เท่า ซึ่งจะทำให้คนไทยเราตายไวมากขึ้นอีกด้วย

 

ก่อนอื่นต้องคิดให้ออกในเบื้องต้นก่อนว่าฝรั่ง (เจ้าของทฤษฎี 8 แก้ว) นั้นร่างกายเขาใหญ่กว่าเรา พวกเขาเฉลี่ย 80 กก. ส่วนเราหนักเฉลี่ย 60 กก. หากเทียบส่วนตามบัญญัติไตรยางค์ ถ้าเขาดื่ม 8 เราก็ต้องดื่มเพียง 6 เท่านั้นเอง (… แต่แล้วเราก็ไปลอกตำราเขามาทั้งดุ้นอีกตามเคย ไม่ต่างอะไรกับที่ลอกระบบประชาธิปไตยเขามาใช้ทั้งดุ้น โดยไม่ปรับให้เข้ากับสังคมเราเสียก่อน)

 

ช้าก่อน..ยังไม่จบ..เรื่องมันยังมีอีกมาก…

 

หากวิเคราะห์ให้ละเอียดยิ่งขึ้นจะเห็นได้ว่าอาหารไทยที่คนไทยเรากิน เช่น ข้าวสวย ต้มยำ แกง ผักลวก นั้นมีน้ำเจืออยู่แล้วด้วยเป็นจำนวนมาก ผิดกับอาหารฝรั่งที่มักเป็นขนมปัง เนื้อปิ้ง ซึ่งแห้งกว่าอาหารบ้านเรามาก ทำให้เขาต้องดื่มน้ำมากกว่าเราเพื่อทำให้เกิดความชื้นที่เพียงพอต่อการย่อยอาหาร เพราะเชื่อได้ (โดยสำนึกพื้นฐานแม้ไม่ต้องเรียนมาทางด้านสุขภาพ) ว่าการย่อยอาหารนั้นมันคงต้องการความชื้นระดับหนึ่ง ถ้าแห้งเกินไปหรือแฉะเกินไปก็ไม่ดีทั้งนั้นแหละ

 

อาหารเช้าฝรั่งเขากินไข่ดาว หมูแฮม หนมปัง (มีน้ำน้อยมาก)  ส่วนเรากินข้าว (ที่มีน้ำปนอยู่แล้วครึ่งแก้ว..บางคนกินข้าวต้มก็ยิ่งไปกันใหญ่)  โดยกินกับแกงจืด (มีน้ำอีกหนึ่งแก้ว) ..เช้านี้เรากินน้ำมากกว่าฝรั่งไปแก้วครึ่งแล้วนะ

 

ส่วนอาหารกลางวันฝรั่งกินแซนด์วิช (ไม่มีน้ำเลย) ส่วนเรากินก๋วยเตี๋ยว (มีน้ำอยู่แล้วอีกแก้วครึ่ง)  เย็นฝรั่งกินเสต็ก (ไม่มีน้ำ) ส่วนเรากินข้าว (น้ำครึ่งแก้ว) แกงต่างๆ หรือ  ต้มยำ (น้ำอีกแก้ว)

 

รวมอาหารสามมื้อเรากินน้ำแบบ “ตามน้ำ” มากกว่าฝรั่งไปแล้ว  4 แก้วครึ่ง หักออกจากทั้งหมดที่ต้องกิน 6 แก้วให้เท่ากับฝรั่งตามหลักบัญญัติไตรยางศ์ ก็เท่ากับว่าเราควรกินน้ำเสริมเข้าไปเพียงวันละ 1 แก้วครึ่งเท่านั้นเอง  (มื้อละ ครึ่งแก้ว)

 

ดังนั้นการดื่มน้ำทั้งวันให้ได้ประมาณ 8-10 แก้ว ตามที่นักวิชาการไทยไปลอกมาจากตำราฝรั่งนั้นผมเห็นว่ามันมากเกินไป 1-200% ซึ่งผมว่ามันจะเป็นผลร้ายต่อสุขภาพคนไทยหลากหลายประการ เหตุผลทั้งหมดที่จะยกอ้างมาสนับสนุนความเห็นนี้ ผู้เขียนคิดเอาเองทั้งสิ้น ไม่มีข้อมูลทางการแพทย์รับรอง  ดังนั้นโปรดอ่านด้วยวิจารณญาณก่อนเชื่อหรือและถือปฏิบัติ

 

ผู้เขียนเชื่อว่าการดื่มน้ำมากเกินไป จะทำให้ฉี่ไสเกินไป และฉี่บ่อยเกินไป เพื่อคายน้ำส่วนเกิน ส่งผลให้ไตทำงานหนักเกินจำเป็น (เรียนรู้มาจาก “ตำราฝรั่ง” แบบกระท่อนแท่นว่าไตทำหน้าที่ส่งผ่านสิ่งโสโครกที่กรองออกจากเลือดไปสู่น้ำที่มันดูดซับเข้ามา ก่อนที่จะระบายน้ำเสียออกสู่ท่อปัสสาวะ)  ดังนั้นการดื่นน้ำมากเกินไปอาจทำให้ไตเสื่อมเร็วกว่าปกติเนื่องเพราะไตต้องทำงานหนักกว่าปกตินั่นเอง ไตทำงานหนักแต่ได้ผลน้อย เท่ากับว่า โง่แล้วขยันหรือไม่  (ไตไม่โง่หรอกแต่เจ้าของไตต่างหาก)  

 

วิถีสุขภาพแห่งมาโครไบโอติก (macrobiotic)  ได้เสนอไว้อย่างน่าคิดว่าให้ดื่มน้ำให้น้อยที่สุด เพื่อที่ไตจะได้แห้ง พอมันแห้ง มันก็ดูดฟอกสารพิษจากเลือดได้ดี อุปมาดังฟองน้ำถ้ามันเปียกโชกเพราะน้ำมากเกินไปมันก็ดูดเช็ดทำความสะอาดอะไรไม่ได้หรอก แต่ถ้ามันแห้งมันจะดูดได้ดีมาก ซึ่งผมขอค้านว่า ฟองน้ำแห้งเกินไปก็ไม่ดีหรอก มันต้องชื้นเล็กน้อยจึงจะดูดได้ดีที่สุด สรุปคือ เปียกมากไปก็ไม่ดี แห้งมากไปก็ไม่ดี ต้องกำลังพอดีนะครับ คือคนไทยตัวเล็กๆ ควรดื่มน้ำวันละประมาณ 1-2 แก้วเท่านั้น แล้วแต่ว่าตัวเล็กใหญ่แค่ไหน

 

อย่าลืมด้วยว่าอากาศบ้านเรามีความชื้นสูงกว่าบ้านฝรั่งเขามาก (ความชื้นสัมพัทธ์ (relative humidity) บ้านเราเฉลี่ยประมาณ 70% ส่วนของเขาประมาณ 40%)  ซึ่งข้อแตกต่างนี้จะทำให้ผิวหนังเราสูญเสียน้ำจากรูขุมขนน้อยกว่าเขา ก็ยิ่งต้องการน้ำเข้าร่างกายน้อยกว่าเขาเข้าไปอีก

 

 ที่สำคัญกว่านั้นคือการหายใจเข้าออกนั้นเกิดการสูญเสียน้ำมากพอควร เพราะแต่ละวันเราหายใจมากทีเดียว อากาศเมืองฝรั่งแห้งกว่าบ้านเรามาก (ความชื้นสัมพัทธ์)  ดังนั้นเมื่อเขาหายใจเข้าไปสู่ปอดความชื้นในร่างกายก็จะถูกดูดซับออกสู่ลมหายใจได้มากกว่าการหายใจในอากาศชื้นของบ้านเรา  ก็ยิ่งทำให้เขาสูญเสียน้ำในร่างกายมากกว่าเรา (ดังนั้นก็ต้องดื่มน้ำชดเชยเข้าไปมากกว่าเรา) ลองสังเกตจากลมหายใจออกในหน้าหนาวของดาราในหนังฝรั่งสิ การที่เกิดควันขาวออกจากรูจมูกดาราฝรั่งนั้นแท้แล้วก็คือไอน้ำในลมหายใจที่มีความชื้นสูงเกิดการควบแน่น (condensation) ในอากาศเย็นออกกลายเป็นหมอกนั่นเอง ซึ่งแสดงว่าลมหายใจออกนั้นมีการดูดซับความชื้นออกมาจากร่างกาย (ที่ปนมากับเลือดในปอดเป็นส่วนใหญ่)  ซึ่งการดูดซับความชื้นของเขามีมากกว่าของเราทุกลมหายใจเข้าออก  ก็ยิ่งทำให้เขาต้องการน้ำเข้าไปชดเชยมากกว่าเราวันละหลายแก้ว

 

เมื่อพิจารณาปัจจัยประกอบหมดแล้วอาจเป็นไปได้ว่าเราควรดื่มน้ำเพียงวันละ 0 แก้วเท่านั้นเอง  (ไม่ต้องดื่มเลย) เพื่อให้เกิดความสมดุลของระบบการชดเชยน้ำตามที่ร่างกายต้องการ ดังนั้นการดื่มน้ำตามที่ตำราฝรั่งบอกว่าต้องวันละ 8-10 แก้ว นั้นจึงเป็นการให้น้ำมากเกินจำเป็นสำหรับคนไทยเราไปถึง 1-200% ซึ่งผมว่านอกจากไตจะทำงานหนักเกินจำเป็นอย่างโง่เขลาแล้ว ยังน่าจะก่อผลร้ายต่อสุขภาพตามมาอีกมากหลาย

 

คราวนี้ลองมาเพ่งดูระบบการไหลเวียนเลือดและหัวใจ(วาย)กันหน่อยนะ

 

ทฤษฎีฝรั่งที่นักวิชาการไทยเราเอามาเล่าต่อด้วยความภูมิใจว่าการกินน้ำมากจะทำให้เลือดใส ทำให้เลือดไหลลื่นได้ง่าย แต่ถ้ากินน้ำน้อยเลือดจะหนืดข้น ทำให้ไหลยาก จนทำให้กลายเป็นโรคความดันโลหิตสูง ทั้งนี้เพราะพอเลือดไหลยาก หัวใจก็ต้องออกแรงดันมากกว่าปกติเพื่อให้เลือดไหลไปได้ ก็เลยต้องสร้างความดันให้สูงกว่าปกตินั่นเอง  โห..ฟังดูน่าเชื่อถือมาก เพราะเข้ากันได้กับสามัญสำนึกของเราท่าน

 

แต่ผู้เขียนขอให้ข้อคิดว่าการที่เลือดใสขึ้นก็หมายความว่าปริมาณเลือดที่ไหลจะต้องมากขึ้นด้วย ทั้งนี้เพื่อนำเซลเม็ดเลือดที่ดูดสารอาหารไปหล่อเลี้ยงร่างกายให้ได้ในปริมาณที่เพียงพอเท่าเดิม (เป็นการชดเชยความเข้มข้นที่ลดลงด้วยปริมาณที่มากกว่า)  ดังนั้น..ความเร็วของการไหลของเลือดใสขึ้นก็จะต้องสูงขึ้นกว่าเลือดที่ข้นหนืด

 

แต่ตามหลักวิศวกรรมศาสตร์นั้นการไหลในท่อที่มีหน้าตัดคงเดิมนั้น ถ้าความเร็วสูงขึ้น 2 เท่า เครื่องสูบส่ง  (หัวใจในที่นี้) ต้องทำงานหนักมากขึ้น 8 เท่า (กฎความเร็วยกกำลังสาม) แต่ความหนืดที่ลดลงของเลือดที่ใสขึ้นอาจช่วยลดภาระการทำงานของหัวใจที่เพิ่มขึ้นนี้ได้เล็กน้อย (ประมาณ 2 เท่าเป็นอย่างมาก) ดังนั้นการใสขึ้นของเลือดจากการดื่มน้ำมากนั้นอย่างดีที่สุดก็ช่วยลดภาระการทำงานของหัวใจที่มากขึ้นจาก 8 เท่ามาเหลือแค่ 4 เท่า

 

สรุปคือ ตามหลักวิศวกรรมศาสตร์และหลักโภชนาการเลือดที่ใสขึ้นน่าจะเป็นผลร้ายต่อหัวใจ และหลอดเลือดมากกว่าเลือดที่ข้นขึ้นเสียอีก (เรื่องนี้น่าสนใจมาก ทำเป็นวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกได้เลย หมอคนไหนสนใจโทรมาคุยกับผมได้ ที่ 044 224414 ถ้าได้รางวัลโนเบลจากเรื่องนี้ก็อย่าลืมผมด้วยกะแล้วกัน)

 

ถ้านักวิชาการไทยเรายังลอกระบบดื่มน้ำ (และกินอาหาร) ของฝรั่งมาใช้ทั้งดุ้นโดยไม่ปรับให้เข้ากับสภาพร่างกายของคนไทยเรา อีกหน่อยคนไทยก็คง”ตายไว”  (ไตวาย) กันหมด และหัวใจวายกันก่อนเวลาอันควร

 

แม้ระบบประชาธิปไตยก็ไปลอกเขามาใช้ทั้งดุ้น แล้วเทิดทูนกันหนักหนา จนใครแตะต้องไม่ได้ ซึ่งผู้เขียนเคยนำเสนอระบบประชาธิปไตยรูปแบบใหม่ที่เข้ากันได้กับลักษณะสังคมไทยมาหลายรูปแบบ ก็ถูกรุมก่นด่า หาว่าไม่เป็น “ประชาธิปไตย”  ซึ่งเรื่องนี้อาจนำไปสู่อาการ “ไทวาย” ที่เลวร้ายกว่า “ไตวาย” และหัวใจวายจากการลอกระบบดื่มน้ำฝรั่งเสียอีก

 

ทวิช จิตรสมบูรณ์…..๔ ธค. ๒๕๕๒

 

 

ปล. 

  • 1) น่าสังเกตว่ายังไม่เคยได้ยินผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพท่านใดในโลกนี้ออกมาบอกว่ามนุษย์เราต้องการอากาศเข้าสู่ร่างกายเป็นปริมาณเท่านั้นเท่านี้ต่อวัน ทั้งที่อากาศสำคัญกว่าน้ำเสียอีก ขาดน้ำสามวันก็ยังไม่ตาย แต่ขาดอากาศ 3 นาทีก็ตายแล้ว ซึ่งกรณีการหายใจนี้เราปล่อยให้เป็นหน้าที่ของธรรมชาติร่างกายในการกำหนดอัตราการหายใจ โดยเราไม่เข้าไปแทรกแซงกำหนดกฎเกณฑ์อะไรให้มากเรื่องมากความ แต่ทำไมเรากลับไปกำหนดเรื่องการต้องการน้ำเล่า?? ทำไมไม่ปล่อยไปตามธรรมชาติของร่างกาย? แต่เชื่อหรือไม่ว่าความต้องการน้ำและอากาศก็สามารถ “ฝึก” ได้ แต่ต้องการวิทยายุทธวิถีพุทธในขั้นสูงสักหน่อย เช่นการเข้าสมาธิในขั้นสูงนั้นต้องการอากาศในการหายใจน้อยมาก (ซึ่งสัตว์เดรัจฉานทั้งหลายที่รู้จักการจำศีลต่างก็รู้เคล็ดลับนี้ เช่น หมี กบ ปลาไหล เป็นต้น)
  • 2) ผู้เขียนได้วิเคราะห์มานานด้วยแล้วว่า ไม่เพียงแต่การดื่มน้ำมากเกินไป แม้แต่การกินอาหารมากเกินไปก็จะตายไวด้วย เนื่องเพราะระบบย่อยอาหารต้องทำงานหนักมาก ซึ่งส่งผลให้หัวใจก็ต้องทำงานหนักกว่าปกติเพื่อสูบฉีดเลือดไปรับส่งสารอาหารที่ย่อยสลายแล้วไปหล่อเลี้ยงอวัยวะต่างๆในปริมาณที่เพิ่มขึ้น ซึ่งหัวใจ หลอดเลือด ตับ ไต ทั้งระบบก็ต้องสึกหรอมากขึ้นเป็นเงาตามตัว (อวัยวะทั้งหลายนั้นสังเกตได้ว่ามีเพียง “สมอง” เท่านั้นที่ยิ่งใช้งานมากก็ยิ่งมีสุขภาพดีขึ้น) ลองสังเกตดูสิ พระป่าฉันอาหารวันละหนึ่งมื้อ อาหารก็ไม่ค่อยมีคุณค่า (ข้าวราดน้ำปลาร้า จิ้มผักป่า เสียเป็นส่วนใหญ่) น้ำก็ดื่มน้อย และทำงานทั้งวัน (เช่นเดินจงกรม ธุดงค์ กวาดลานวัด) แต่กลับมีอายุยืนเกินค่าเฉลี่ยกันเป็นส่วนใหญ่ หลายรูปมีอายุเกินร้อยปี น่าจะเป็นกลุ่มชนที่มีอายุยืนโดยเฉลี่ยสูงที่สุดในโลก (ผู้เขียนเคยเขียนคอมเม้นท์เรื่องนี้เป็นภาษาอังกฤษและได้ลงในนิตยสารไทม์มาแล้ว) สมัยผู้เขียนบวชพระสามเดือนได้มีโอกาสเดินธุดงค์หนึ่งเดือน ก็เดินทั้งวัน วันละประมาณ 20 กม.แบกย่ามและกลดที่หนักอีกต่างหากแต่ฉันมื้อเดียวและดื่มน้ำน้อยมาก ไม่เกินสามแก้วต่อวัน ก็อยู่ได้ดี คงเพราะร่างกายปรับตัวตามเงื่อนไขนี่เอง

 


ลดพื้นที่ทำนา..หันมาทำอุตสาหกรรมป่าไม้กันดีกว่า

3 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 9 January 2011 เวลา 10:13 am ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2054

อนาคตประเทศไทย เกาะต้นไม้กินจะดีที่สุด

 

เดินทางไกลเที่ยวนี้ผมใช้เวลา 10 วัน ตระเวนไปตามแนวตะเข็บชายแดนลาว เลียบเลาะไปตามริมฝั่งโขง จากนั้นกระโดดไปเลาะริมแม่เมยจากแม่สะเรียงจนถึงแม่สอด (เส้นทางคดเคี้ยวเปลี่ยวเหงาที่สุดในประเทศไทยก็ว่าได้ หนึ่งชั่วโมงมีรถสวนมาหนึ่งคัน เต็มไปด้วยไทยกระเหรี่ยงตัวเล็กๆ ที่สะพายย่ามแสนน่ารัก)

 

สิ่งที่เห็นเหมือนกันไปหมดริมสองข้างทางสองพันกิโลเมตรที่ขับรถผ่านไปคือเขาหัวโล้นที่ถูกบุกรุกถากถางต่อหน้าต่อตาเจ้าหน้าที่บ้านเมืองที่ขับรถผ่านไปมาทั้งวัน (เช่น นายตำรวจใหญ่ ผู้ว่า นายอำเภอ และนักการเมืองทั้งหลาย) ผมจึงได้เกิดแนวคิดว่าถ้าสามารถเอาพื้นที่หลายล้านไร่เหล่านี้คืนมาได้ แล้วปลูกป่าไม้เนื้อแข็งสัก 10 สกุลสลับกันไป เช่น สัก มะค่า เต็ง รัง ประดู่ พยุง ชิงชัน แดง เราจะได้ป่าไม้เศรษฐกิจขนาดใหญ่มาก ที่สามารถสร้างความร่ำรวยให้ประเทศได้อีกมากโข แถมยังจะกลายเป็นป่าต้นน้ำให้เราได้มีพื้นดินอุดมสมบูรณ์กว่าเดิมอีกด้วย

 

วิธีการคือเราปลูกป่าดังกล่าวเป็นเวลา 20 ปีก่อนที่จะตัดไม้มาใช้ โดยการทะยอยตัดอย่างยั่งยืน สมมุติว่าเราปลูกป่า 10 ล้านไร่ ในแต่ละปีจัดตัดมาใช้เพียง 5 แสนไร่เท่านั้น อีก 9.5 ล้านไร่เป็นพื้นที่ป่าปลูกที่มีอายุจาก 1 ถึง 19 ปี เต็มพื้นที่ ป่าที่ตัดไม้ออกก็ปลูกป่ากลับคืนทันที หรือจะใช้วิธี 20 ต้น ตัด 1 ต้นก็ได้ จะได้ดูเหมือนว่าไม่มีรอยแหว่ง

 

ไม้ 5 แสนไร่ที่ตัดมานี้เราเอามาเพิ่มมูลค่าด้วยการทำเฟอร์นิเจอร์ชั้นดีส่งออกขายในประเทศและทั่วโลก ผมได้ลองคำนวณดูว่าถ้าเนื้อไม้ 1 ลูกบาศก์เมตรขายได้ 1 แสนบาท (อาจดูว่าแพง แต่ผมว่าถูกแล้ว ถ้าเอามาทำเป็นเฟอร์นิเจอร์ชั้นดีอาจได้ถึง 1 ล้านบาทด้วยซ้ำไป) แต่ละปี (5 แสนไร่) จะขายได้ถึงประมาณ 1 ล้านล้านบาทถึง 5 ล้านล้านบาท (อย่าลืมด้วยครับว่าผมได้ประเมินรายได้ประชาสัญชาติไทยจริงๆขณะนี้มีเพียง 1.35 ล้านล้านบาทเท่านั้นเอง ทั้งที่ตัวเลข GDP เรา 9 ล้านล้าน)

 

 ในขณะที่ถ้าเอาที่ดิน 10 ล้านไร่ทั้งหมดมาทำนาจะขายได้เพียงประมาณ 5 หมื่นล้านบาทเท่านั้นเอง  (คิดไร่ละ 5000 บาท และยังไม่หักรายจ่ายค่าปุ๋ยยาฆ่าแมลงที่เข้ากระเป๋าต่างชาติไปอีกตั้งครึ่งค่อน แต่การทำป่าไม้ดังกล่าวมีรายจ่ายน้อยมาก เพราะให้เทวดาดูแลเสียเป็นส่วนใหญ่)

 

อย่างนี้แล้วเราเลิกทำนาเลี้ยงโลกเสียทีดีไหม หันมาปลูกป่าไม้เนื้อแข็งกันดีกว่า เพราะบ้านเรานั้นแดดฝนดี ไม้โตเร็วกว่าเมืองฝรั่ง 10 เท่าเห็นจะได้ 20 ปีก็ได้ต้นขนาดใหญ่ 20 ซม. สูง 10 เมตรแล้ว แต่เราลืมคิดถึงแหล่งรายได้อันงามนี้ของเราไป ไปถางเอามาทำไร่นาเสียหมด ลองคิดดูสิครับโซฟาไม้สักน้ำหนักไม่ถึง 30 กก. ราคา 3 หมื่นสบายๆ (ถ้าออกเมืองนอกก็กลายเป็นแสนไปแล้ว) ตก กก. ละ 1000-3000 บาท มันเป็นรายได้มหาศาลจริงๆ  (ในขณะที่ข้าวเปลือกกก.ละ 10 บาทเท่านั้น)

 

แต่ถ้าจะทำแบบนี้รัฐบาลต้องชาญฉลาดในการวางแผนระยะยาว (ซึ่งอะไรยาวๆนั้นน่าเป็นห่วงเสมอสำหรับรัฐบาลไทย)  ด้วยการผลิตบุคลากรนายช่างไม้ฝีมือดีออกมาให้เต็มประเทศ (ซึ่งขณะนี้หายากมาก ช่างไม้ไทยเราส่วนใหญ่ตอนนี้ฝีมือแย่มาก สู้พม่าไม่ได้ ไม่เชื่อไปดูที่แม่สอด ค่าแรงวันละ 50 บาท แต่ฝีมือดีกว่าช่างไทยวันละ 300 บาทเสียอีก)  อีกทั้งต้องมีนักออกแบบชั้นดีที่รู้ใจลูกค้าต่างชาติอีกด้วย มีการตลาดครบวงจร โดยการส่งออกไปขายนั้นให้ถอดออกเป็นชิ้นๆ  ส่งทางเรือ แล้วเอาไปกระกอบที่ต่างประเทศ โดยเรามีโชว์รูมคนไทยขายเองทั่วโลกไปเลย จะเกิดรายได้ครบวงจรตั้งแต่ปลูก ผลิต จนกระทั่งขาย รวมทั้งรัฐต้องมีแผนการสร้างรายได้ให้เกษตรกรที่หันมาปลูกป่าในระหว่าง 20 ปีนี้ด้วย เช่น ให้เป็นเจ้าหน้าที่ดูแลป่าไม้ของตัวเอง ให้ปลูกพืชผักสวนครัวแซมป่าเพื่อช่วยค่าครองชีพไปด้วย ในขณะเดียวกันก็เอาไปเข้าโรงเรียนช่างไม้เพื่อเตรียมพร้อมผลิตเฟอร์นิเจอร์ ในระหว่างนี้ก็อาจซื้อไม้จากประเทศเพื่อนบ้านและจากป่าของเราเองมาผลิตขายไปพลางก่อน หรือ หัดทำเฟอร์นิเจอร์ไม้เนื้ออ่อนเช่น สะเดา ยูคา กระถินเทพาขายไปพลางก่อนก็ได้

 

ผมเชื่อว่าตลาดโลกมีความต้องการเฟอร์นิเจอร์ไม้มาก ยิ่งพอบอกว่าเป็นไม้สักจะสู้ราคากันไม่อั้นเลย เพราะมันกลายเป็นไม้ในเทพนิยายไปแล้ว (ทั้งที่ก็งั้นๆแหละ ผมชอบไม้แดง ไม้มะค่า พยุง ชิงชันมากกว่า)

 

นอกจากความชุ่มชื้นอุดมสมบูรณ์ร่มเย็นแล้วชาวเกษตรป่ายังสามารถปลูกพืซแซมการปลูกป่าเพิ่มรายได้ได้อีกมาก เช่น มัน กลอย กระบุก กล้วยไม้ ไม้เถาต่างๆที่ชอบแดดรำไร รวมไปถึงไข่มดแดง แย้ กระแต กระรอก นก หนู งู ที่จะเพิ่มจำนวนขึ้นมากมายเข้ามาเป็นอาหารป่าให้ชาวบ้าน

 

ประเทศไทยเราต้องเกาะต้นไม้กินนั่นแหละดีที่สุด จะรวยแบบยั่งยืน แถมอยู่เย็นเป็นสุขกันถ้วนหน้า อย่าให้เขาดูถูกได้อีกว่าแผ่นดินนี้มีดีทุกอย่างยกเว้นมีคนไทยเข้ามาอยู่

 

…ทวิช จิตรสมบูรณ์ ๑๑ พค. ๕๒

 

ปล. ขณะนี้ พย. ๒๕๕๓ ผมได้แนวคิดเพิ่มว่า ไทยเราควรลดพื้นที่ทำนา ไร่ ลงมา เอาให้มีแค่พอกินใช้ในประเทศเท่านั้น แล้วนำพื้นที่ที่เหลือมาปลูกป่าดีกว่า เพราะทำนาได้กำไรสุทธิไร่ละประมาณ 3000 บาทเท่านั้น แต่ถ้าปลูกป่าทำเฟอร์นิเจอร์จะได้ ไร่ละ 1 ล้านบาทต่อปี (คำนวณแล้ว ไม่ว่าปลูกไม้อะไรก็จะได้เท่านี้แหละ ถ้ารู้จักเพิ่มมูลค่าให้ดี)  แถมป่ายังช่วยป้องกันน้ำท่วม และช่วยลดโลกร้อนได้ด้วย  วันนี้ผมอ่านข่าวเศรษฐกิจการเกษตรทีไรก็แสนเศร้าใจที่รัฐบาลไทยคิดได้แต่จะแข่งกับเวียตนามเพื่อส่งออกข้าว..ผมว่าปล่อยให้เขาแซงเราไปเถอะครับ เรื่องแบบนี้ไปแข่งทำไมให้โง่

 

 


วิธีลดการจราจรติดขัดในช่วงเทศกาล

3 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 4 January 2011 เวลา 12:33 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1750

วิธีรลดการจราจรติดขัดในช่วงเทศกาล

 

ปีใหม่สงกรานต์แต่ละปี การจราจรบนถนนมิตรภาพ จากสระบุรีสู่โคราช ขอนแก่น บุรีรัมภ์ ก็ติดขนัด ผู้คนหงุดหงิดอารมณ์เสีย บางคนด่ารัฐบาลว่าเอาเงินภาษีราษฎรไปทำอะไรหมด

 

ผมได้สำรวจพบว่าสาเหตุสำคัญประการหนึ่งคือความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของตำรวจไทย ที่ไปเพิ่มพื้นผิวการจราจร เช่นถนนมี 4 เลน เขาก็คิดกันได้ว่าให้เพิ่มเลนวิ่งทางหนึ่งเป็น 3 เลน ส่วนอีกทางหนึ่งรถมีน้อยก็ลดให้เหลือ 1 เลน

 

ตรรกะของตำรวจไทยก็คือถ้าเราเพิ่มผิวการจราจรให้มากขึ้นมันก็น่าจะทำให้การจราจรไหลลื่นได้มากขึ้น แต่ผิดถนัดครับ ยิ่งเพิ่มผิวจราจร จาก 2 เลน เป็น  3 เลน ยิ่งทำให้รถติดหนักมากขึ้น 10 เท่า  10 เท่านะครับไม่ใช้เท่าเดียว

 

เหตุผลคือ คุณไม่ได้เพิ่มผิวการจราจรอย่างต่อเนื่องตลอดสาย แต่เพิ่มเป็นบางช่วงเท่านั้น เช่น ช่วงสีคิ้วลำตะคอง ประมาณ 10 กม. จากนั้นก็บีบจาก 3 ให้เหลือ 2  เหมือนเดิม

 

ไอ้ช่วงบีบกลับนี่แหละครับที่คือสาเหตุสำคัญของการติดขัด เพราะรถจากเลนที่สามต้องชะลอตัวลง แล้วเบียดเข้ามาในเลนที่สอง ทำให้รถในเลน  2 เบรคตัว แล้วตีออกไปเลนที่ 1 ทำให้เลน 1 เบรค และหยุดตัวไปหมดทั้งระบบในที่สุด

 

ถ้าปริมาณจราจรไม่มากนักผลเสียก็ไม่เท่าไร แต่ถ้าปริมาณรถมากเกินระดับหนึ่ง มันจะส่งผลให้รถติดยาวหลายกิโลเมตรในที่สุด เพราะรถที่ตามมาจะเบรคและหยุดต่อกันเป็นหางยาว  พอต้นขบวนออกตัว กว่าที่ท้ายขบวนจะออกตัวได้ก็กินเวลาเป็นชั่วโมง เพราะเสียเวลาในการออกตัวเป็นระลอก  หลักการนี้ไม่ต่างอะไรกับการติดไฟแดง พอไฟเขียวมาทำไมรถคันท้ายๆออกตัวไม่ได้ทันที บางทียังไม่ทันออกตัวไฟแดงมาอีกแล้วก็มี

 

 

ผมเคยเผชิญปรากฎการณ์นี้มาด้วยตนเองครั้งหนึ่ง บริเวณลำตะคองที่ตำรวจขยายช่องการจราจรให้ ระยะทาง 10 กิโลใช้เวลาประมาณ 1 ชม.  พอพ้นตรงนี้ ถนนเล็กลง เหลือเพียงสองเลน การจราจรก็พุ่งตัวเป็นปกติ วิ่งได้ 100 กม. ต่อชม.สบายๆ

 

และก็เหตุผลเดียวกันนี้แหละ ที่ทำให้ถนนวงแหวนมอเตอร์เวย์ชลบุรีบางช่วงที่เคยราบรื่นดีพอสมควร ต้องติดหนักในบางครั้ง เพราะดันไปเพิ่มผิวการจราจรให้เป็น 3  เลน ใน “บางช่วง ”   ถ้าทำต้องทำตลาดสายอย่าทำเพียงบางช่วง มันจะยิ่งร้ายกว่าเดิมเสียอีก

 

 

ผลพวงอีกประการของการนี้ก็คือ มันทำให้เกิดอุบัติเหตุจากการเบียดตัวตัดหน้ากันเพิ่มขึ้น และพอชนกัน ก็หยุดมาทะเลาะกัน รถก็ยิ่งติดหนึบมากขึ้นอีก 10 เท่า

 

อีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้รถติดคือช่วงขึ้นเขา แล้วรถหนักเช่น รถบรรทุก และ รถโดยสารซึ่งวิ่งได้ช้ามาก ไปวิ่งปิดเลนถนนหมดทุกเลน เช่น บริเวณแก่งคอย ในช่วงประมาณ 10 นาทีนี้รถจะมาออต่อหางกันยาวหลายกิโล ดังนั้นตำรวจต้องไปกำกับดูแลเป็นพิเศษในการบังคับให้รถหนักวิ่งเลนซ้ายเท่านั้น ในช่วงขึ้นเขา ห้ามแซงเด็ดขาด

 

อีกเหตุผลคือ การเอาเปรียบกันด้วยการลงไปวิ่งไหล่ถนน ลักษณะเหมือนกับขยายเลนจาก 2 เป็น 3 เลนทุกประการ เพราะพอถึงคอสะพานวิ่งไปไม่ได้ก็ต้องตีเข้า แล้วมาเบียดให้รถบนถนนหลักต้องชะลอตัว ดังนั้นตำรวจควรไปรออยู่ตรงคอสะพานแล้วจับปรับไอ้พวกนี้ให้หนัก (คงได้เงินหลาย เอาเข้าหลวงสักครึ่งนึงเด๊อ)

 

…ทวิช จิตรสมบูรณ์ (ช่วงสงกรานต์ ๒๕๔๘)


สังคมเศรษฐกิจฐานปัญญา (วึสเดิ้มเบสด์อึเคอะน่ะมิ่)

9 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 3 January 2011 เวลา 2:00 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1491

สังคมเศรษฐกิจฐานปัญญา (วึสเดิ้มเบสด์อึเคอะน่ะมิ่)

  

            ผู้อ่านหลายท่านคงจะไม่เคยได้ยินคำว่า “สังคมเศรษฐกิจฐานความรู้” ซึ่งนับเป็นคำอีกคำหนึ่งที่กำลังฮิตติดตลาดสังคมระดับปัญญาของประเทศ         ผมเองแม้อยู่ในแวดวงการศึกษาก็เพิ่งได้ยินคำนี้เป็นครั้งแรกเมื่อคราวเข้าร่วมประชุม กับหน่วยงานที่เรียกว่า “ที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย” (ทปอ.) เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๕ นี่เอง ประเด็นหลักของการประชุมในครั้งนี้ คือการเสวนากันในเรื่อง “การพัฒนาประเทศสู่สังคมเศรษฐกิจฐานความรู้”

           

คำคำนี้ก็เป็นอีกคำหนึ่งที่แปลมาจากภาษาอังกฤษที่ว่า “knowledge based economy”  คำคำนี้กำลังเป็นของเล่นชิ้นใหม่ของผู้บริหารไทยทุกระดับ ตั้งแต่นายกรัฐมนตรีไปจนถึงอธิการบดีและคณบดีในมหาวิทยาลัยทั้งในส่วนกลางและภูมิภาค

 

ในฐานะคนไทยที่จะต้องมีส่วนรับบุญและรับกรรมจากผลพวงของคำคำนี้ ก็ควรที่เราจะต้องรับทราบและช่วยกันวิพากษ์วิจารณ์ตามสมควร มิฉะนั้นก็คงจะได้รับกรรมมากกว่ารับบุญเหมือนหลายๆครั้งในอดีตที่ผ่านมาที่รัฐบาลไทยเราวางนโยบายในการบริหารประเทศ

            เมื่อได้ฟังการอภิปรายของผู้ทรงคุณวุฒิและได้อ่านเอกสารประกอบการประชุมจึงได้หายเชยและหายโง่เมื่อได้ทราบว่าคำคำนี้มีคำนิยามว่า “เป็นระบบเศรษฐกิจที่อาศัยการผลิต การแพร่กระจาย และการใช้ความรู้เป็นตัวขับเคลื่อนหลัก ที่ทำให้เกิดการเจริญเติบโต สร้างความมั่งคั่งและ สร้างงานในทุกภาคการผลิตของประเทศ” ซึ่งสามารถรู้สึกจากสำเนียงของภาษาได้ทันทีว่าเป็นคำนิยามที่แปลมาจากสำนวนภาษาอังกฤษโดยตรง (ภาษาที่ใช้ในเอกสารมีวงเล็บภาษาอังกฤษของคำศัพท์บางคำไว้ด้วย จึงทำให้ฟังดูขลังกว่าที่ได้นำเสนอเป็นภาษาไทยล้วนๆ ณ ที่นี้เสียอีก)

           

ฟังดูแล้วก็ให้รู้สึกขนหัวลุกอยู่พักหนึ่งว่า ทำไมพวกฝรั่งจึงได้ฉลาดเป็นหนักหนา ที่สามารถคิดอะไรได้ล้ำหน้า ล้ำสมัย และล้ำลึก เช่นนั้น แต่ในขณะเดียวกันก็อดท้อใจเสียมิได้ว่าทำไมกลุ่มคนที่(ถือกันว่า)ฉลาดที่สุดในประเทศไทยจึงต้องขานรับและปฏิบัติตามแนวคิดของฝรั่งราวกับได้รับโองการจากสวรรค์แทบทุกครั้ง  เมือไรเราจะรู้จักคิดอะไรเองบ้างที่มันเป็นของเราเอง ที่มันสอดคล้องกับพื้นฐานวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของเราที่(เคย)แตกต่างจากวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของชาวตะวันตกเกือบสิ้นเชิง

           

หลังจากได้ศึกษาข้อมูลประมาณสักสองสามอึดใจ ผมก็ถึงบางอ้อว่า..มันก็ไอ้เหล้าเก่าในขวดใหม่นั่นแหละหวา เหล้าเก่าก็คือ ความอยากรวยมากยิ่งขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุดของชาวตะวันตก ขวดใหม่ก็คือ การใช้คำว่า”ฐานความรู้” แทนคำสำคัญดั้งเดิมในอดีต เช่น “วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี”  “ข้อมูลข่าวสาร” และ “อุตสาหกรรม” เป็นต้น ซึ่ง “ความรู้” ที่ว่านี้ในที่สุดก็ต้อง ส่งผ่านและแพร่กระจายไปโดยระบบข้อมูลข่าวสาร ซึ่งนำไปสู่การเป็นวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และนำไปสู่อุตสาหกรรมการผลิตสินค้าในรูปแบบต่างๆเพื่อสนองตัณหาของมนุษย์ในที่สุดจนได้

           

คำว่า “ความรู้” เป็นคำที่หรูที่ขายได้ตลอดกาล สัตว์ที่อุปโลกน์ตนว่า”ประเสริฐ” พึงใคร่ครวญให้จงหนักก่อนที่จะยอมน้อมรับเข้าสู่กมลสันดาน

           

คำว่า “สังคมฐานความรู้” ฟังดูเผินๆก็น่าพิสมัย คิดว่าเป็นของใหม่ แต่แท้จริงแล้วไม่ได้มีอะไรใหม่เลยแม้แต่น้อย เพราะสัตว์เดรัจฉานทุกตระกูลต่างก็อยู่รอดมาได้แต่ดึกดำบรรพ์ด้วยการพัฒนาสังคมฐานความรู้ของตนให้สูงยิ่งขึ้นด้วยกันทั้งนั้น เช่น เสือ ก็อยู่รอดได้ด้วยความรู้ว่าจะจับกวางได้ที่ไหน เมื่อไหร่ และ อย่างไร โดยมีระบบการถ่ายทอดความรู้กันจากรุ่นอายุหนึ่งสู่รุ่นอายุหนึ่งด้วยการเรียนการสอนอย่างเป็นระบบ ส่วนกวางนั้นเล่า ก็ได้สั่งสมความรู้ในการอยู่รอดจากเขี้ยวเล็บของเสือได้โดยวิธีเดียวกัน บ่อยครั้งที่เสือต้องบาดเจ็บเพราะถูกกวางเตะ  แต่ขณะนี้คนไทยอาจจะกำลังทำตัวให้โง่กว่า “หญ้า” ที่กำลังถูกกวางกัดกินและถูกเสือขี้รดอยู่ตลอดเวลา เพราะกำลังงมงายหลงเชื่อฝรั่ง(อีกครั้ง)ว่า สังคมฐานความรู้เป็นของใหม่ที่ต้องติดตามและลอกเลียนแบบ

 

แท้จริงแล้วคนไทยเราอยู่รอดมาได้ด้วยสังคมฐานความรู้มานมนานกว่าพวกฝรั่งเสียอีก ตั้งแต่ 6,000  ปีก่อนที่บ้านเชียง (อุดรธานี) ถึงบ้านโนนวัด ( 5,000 ปี นครราชสีมา)  และบ้านปราสาท (3,000 ปี นครราชสีมา) โน่น ในช่วงเวลา 3000 ปีที่ผ่านมาพวกชนเผ่าฝรั่งได้ใช้มันไปในการปูพื้นฐานแนวคิดและวัฒนธรรมเพื่อควบคุมและตักตวงผลประโยชน์จากธรรมชาติ (กรีก โรมัน) จากนั้นช่วง 300 ปีที่ผ่านมานี้ฝรั่งไม่เคยคิดอะไรได้ใหม่เลยในเชิงหลักการดำรงชีวิต นอกจากวิธีการสร้างความร่ำรวยทางวัตถุในรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งนำพวกเขา(และพวกเราที่เดินตามเขา)มาสู่การทำลายล้างในทุกรูปแบบเท่าที่จะสามารถจินตนาการได้ นับแต่การทำลายล้างคู่แข่ง (สงคราม) การทำลายล้างศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ (ทาส และอาณานิคม)  การทำลายล้างสิ่งแวดล้อม และที่เลวร้ายที่สุดคือการทำลายล้างจิตวิญญาณของมนุษยชาติด้วยลัทธิบริโภคนิยม

 

ความรู้ในยุคโลกาภิวัฒน์ที่นำโดยสังคมฝรั่งตะวันตกนี้เป็นความรู้ที่ไม่บริสุทธิ์ มีพื้นฐานอยู่บนความโลภ ถือได้ว่าเป็นความรู้ที่ปนมลทิน ยิ่งความรู้แบบนี้แพร่กระจายได้เร็วและมากเท่าใดมนุษยชาติก็ต้องจ่าย “ค่าเสื่อมราคาของความเป็นมนุษย์” เร็วและมากเท่านั้น  อุปมาดั่งอาหารนั้น หากปรุงด้วยความโลภที่ต้องการขายอาหารให้ได้มากที่สุดของพ่อครัว ก็จำต้องปรุงให้อร่อยมากๆ  ผู้บริโภคก็ยิ่งกินเร็วและกินมากเกินความจำเป็นของร่างกาย ก็กลับกลายเป็นพิษเป็นภัยต่อคนกิน ต้องเป็นโรคอ้วน โรคมะเร็ง โรคเบาหวานกันระนาว และอุจจาระที่ออกมาก็จะมีปริมาณมากและมีกลิ่นเหม็นมากเป็นสัดส่วนกัน

 

ทุกวันนี้มนุษยชาติ..ภายใต้การนำของอารยธรรมตะวันตก..ต้องหลงติดอยู่ในวังวนของความโลภซึ่งมีต้นเหตุมากจากความโง่ หรือ “อวิชชา” (ซึ่งแปลว่า “ความไม่รู้”)

 

หากพวกเราจักใช้ภูมิปัญญาของไทยเราที่สั่งสมกันมานานหลายพันปีวิเคราะห์ให้ดีอาจจะเห็นได้ว่า “เศรษฐกิจฐานความรู้” นั้น แท้จริงแล้วตั้งอยู่บน “ฐานแห่งความโลภ”  อันมี อวิชชา หรือ “ความไม่รู้”  เป็นฐานรองรับชั้นล่างสุด จึงมีค่าเท่ากับเป็น “เศรษฐกิจบนฐานของความไม่รู้” นั่นเอง

 

การที่พวกฝรั่งกำลังประโคมให้เราหลงใหลในกระบวนทัศน์ใหม่ของสังคมฐานความรู้นั้น ควรพึงระวังว่าพวกเขาอาจกำลังปั่น”ความรู้” ให้เป็น “สินค้า”"ตัวใหม่ เพื่อหลอกขายให้กับเราเพื่อทำเงินให้พวกเขาอีกรูปแบบหนึ่งก็เป็นได้  เพราะพวกนี้มัน “รู้มาก” กว่าเราหลายขุม มันรู้ดีว่าความรู้คือ “จุดขาย” ของพวกมัน

 

เราก็ควรช่วยกันสอนโลกอย่างแยบยลกลับไปว่า โลกควรก้าวเข้าสู่สังคม “เศรษฐกิจฐานปัญญา” หรือ Wisdom-based economy” ดีกว่า จะน่าพิสมัยกว่ากันมากนัก เพราะคนมีปัญญาย่อมใช้ความรู้เพื่อเกื้อกูลโลก มากกว่าที่จะเอาเปรียบโลก

 

ปัญญา ต่างจากความรู้ลิบลับ เพราะความรู้นั้นหาง่ายและหาได้ในระยะเวลาสั้นๆ ส่วนปัญญานั้นเกิดจากการสะสมบ่มเพาะมาเป็นเวลานานชั่วชีวิต หรือ แม้แต่หลายชั่วชีวิต คนมีความรู้มากแต่ไม่มีปัญญาเป็นคนที่น่ากลัวมาก เพราะสามารถทำลายล้างได้มาก ดังเช่นกระแสโลกที่กำลังเป็นอยู่ทุกวันนี้ (เรียกกันว่า กระแสโลกาภิวัฒน์ ซึ่งที่จริงน่าจะเรียกเสียใหม่ให้เหมาะสมว่า กระแสโลภาภิวัฒน์ เนื่องจากมีความโลภเป็นพลังขับเคลื่อน)

 

คนไทยเคยมีปัญญามากมาแต่โบราณกาลเพราะสะสมบ่มเพาะมาแสนนาน แต่บัดนี้ปัญญาได้ถูกความรู้บดบังเสียหมด เพราะเราตามฝรั่งและเห่อความรู้แบบฝรั่งมากเกินไป

           

จนกลายเป็นว่า ความรู้มาปัญญาหมด

 

..สองชาติ ใจเต็ม (ปัดฝุ่นมาเสนอใหม่จากที่เขียนไว้เมื่อปี ๔๕… ที่กำลังบ้าเห่อจนเจ๋อไปเป็นผู้บริหารกะเขาด้วย)



Main: 1.3639950752258 sec
Sidebar: 0.021746873855591 sec