กระเซ้าประชา”วิ”ยม ๙ ข้อของท่านนายกฯอภิสิทธิ์

โดย withwit เมื่อ 11 January 2011 เวลา 11:41 am ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1445

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ประกาศ 9 มาตรการ “ปฏิบัติการร่วมเดินหน้า ปฏิรูปประเทศไทย” ผ่านรายการ “เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯอภิสิทธิ์” ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทยช่อง 11 และสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย กรมประชาสัมพันธ์ เมื่อเช้าวันที่ 9 มกราคม

 

**ผมได้อ่าน 9 มาตรการแล้วเห็นว่าเป็นเรื่อง”วิธีการ” ปลีกย่อยเสียเป็นส่วนใหญ่ มี “มาตรการ” เพียงบางข้อ ยังไม่ถึงขั้นเป็นยุทธศาสตร์ หรือ นโยบายอะไรเลย แล้วแบบนี้ท่านนายกฯมาใช้คำเสียใหญ่โตว่า “ปฏิรูปประเทศไทย”  อย่างน้อยผมว่าท่านนายกฯใช้ภาษาไทยผิด อย่างมากอาจถึงขั้นหลอกลวง แล้วอย่างนี้ผมจะเชื่อมั่นในประเทศไทยได้อย่างไร

ของขวัญชิ้นแรก จะมีการปรับกฎหมาย กฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง สำหรับประชาชนซึ่งไม่ได้อยู่ในระบบประกันสังคม.. เปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถสมทบเงินไม่เกิน 100 บาทต่อเดือน …ถ้าในกรณีที่จ่าย 70 รัฐบาลสมทบ 30 ..ถ้าเป็นกรณีที่จ่าย 100 รัฐบาลสมทบ 50 …

 

**ถ้าใช้สูตรนี้มาจับคงไม่มีใครโง่ไปใช้ 70/30 หรอกครับ ก็คงมา 100/50 กันหมด เพราะเพิ่มอีก 30 ได้สมทบ 20 แน่ะ แถมส่วนนี้ยังได้คืนจากบำเหน็จตอนแก่อีก ว่าแต่ว่าแพคเก็จยอดเยี่ยมแบบนี้ผมว่ามันอาจแลบกลับได้นะ เพราะคนจนเหล่านี้คงไม่มีเงินเดือนละ 100 เอามาลงขันหรอก ก็คงไป “กู้หนี้นอกระบบ” มาลง เพราะคิดไปแล้วมันคุ้มกับดอกเบี้ยอยู่นะ (แม้จะสูงมากก็ตาม ซึ่งเรื่องนั้นเอาไว้ไปตายเอาดาบหน้า สิบเบี้ยใกล้มือต้องคว้าไว้ก่อน)

 ของขวัญชิ้นที่ 2 การนำร่องสินเชื่อเป็นกรณีพิเศษ เริ่มต้นจากแท็กซี่ …
พร้อมๆ กันไป เราจะมีสินเชื่อผ่อนปรน สำหรับผู้ค้าหาบเร่แผงลอย ในจุดผ่อนผันใน กทม. เป็นการนำร่องเช่นกัน ให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ในอัตราที่มีความเป็นธรรม ….

 

**คิดทั้งทีก็คิดไม่ทะลุ มัวกลัวๆกล้าๆนำร่องอยู่นั่นแหละ ทีคิดจะอุ้มนายทุนต่างชาติที่แสนรวยอยู่แล้ว ไม่เห็นนำร่องอะไรเลย ลดแลกแจกแถมเต็มพิกัดกันมาทุกรัฐบาล.. มันน่าจะให้ประโยชน์เดียวกันนี้กับผู้ประกอบการรายย่อยทั่วประเทศไปเลย ทำไมให้แต่พวกคนในกรุงเทพฯ หรือว่านี่เป็นฐานเสียงของพรรคตน ชาวนาชาวไร่จะปรับปรุงกิจการเช่น สร้างเล้าหมู เล้าไก่ ซื้อรถไถเดินตาม อย่างนี้ก็น่าสนับสนุนนะครับ โดยควรมีวาระซ่อนเร้นให้ซื้อยี่ห้อไทยผลิตด้วย (ไม่รู้มีหรือเปล่า แว่วๆว่ามีทำแล้วราคาถูกกว่าของญี่ปุ่นมาก แต่ขายไม่ค่อยออก เพราะคนไทยเห่อของนอก)  
  ของขวัญชิ้นที่ 3 ผู้ประกอบอาชีพมอเตอร์ไซค์รับจ้าง ขณะนี้จำนวนมากไม่ถูกต้องตามกฎหมาย นำมาสู่ปัญหา ต้องส่งเงินให้กลุ่มคนต่างๆ เป็นภาระอาจจะ 1,000-2,000 บาทต่อเดือน ต่อไปเราจะให้ขึ้นทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย 100 เปอร์เซ็นต์ แล้วจัดระบบ

**คิดไม่ทะลุอีกแล้ว..แล้วพวกสามล้อถีบ สามล้อเครื่อง  รถสกายแล็บ ตามบ้านนอกล่ะ ไม่เห็นหัวอกเขาหรือครับ ทำไมเลือกที่รักมักที่ชังเฉพาะแท็กซี่กับมอไซค์  หรือว่า..พวกนี้มันเสื้อแดง ต้องมัดใจมันหน่อย
 ของขวัญชิ้นที่ 4 ผู้ค้าหาบเร่แผงลอย จะดูจุดผ่อนผันซึ่งได้สำรวจไว้แล้ว อีกหลายจุดจะผ่อนผันเพิ่มเติม จะทำอย่างน้อย 2 หมื่นราย แต่ไม่ให้กระทบ เดือดร้อนประชาชนที่ใช้ทางเท้าสัญจร สามารถทำได้แบบถูกต้องตามกฎหมาย ลดรายจ่ายนอกระบบได้เช่นกัน จะดำเนินการเห็นผลได้ตั้งแต่เดือนเมษายน ปี 2554

**”ลดรายจ่ายนอกระบบ”??? แสดงว่ารัฐเองยอมรับว่ามันมีการรีดไถจากเจ้าหน้าที่รัฐ  แต่ไม่แก้ไขให้เด็ดขาด กลับมา “ผ่อนผัน” กันแบบไทยๆ อย่างนี้มันเลี้ยงไข้เพื่อหาคะแนนเสียงหรือไม่ ลงทุนสร้างตลาดให้ไปเลย แล้วเก็บค่าเช่าราคาถูกจะมิเป็นการแก้ปัญหาระยะยาวที่ดีกว่าหรือ ประชาชนส่วนใหญ่เดือดร้อนมากจากการล้ำทางเท้า แขกบ้านแขกเมืองมาก็อายเขาที่ประเทศไทยไร้ระเบียบเช่นนี้

 ของขวัญชิ้นที่ 5 การบริหารจัดการในเรื่องของกองทุนน้ำมัน ในส่วนของน้ำมัน ปัญหาในขณะนี้ก็จะเป็นผลมาจากการที่เรามีภาระของกองทุนน้ำมัน คือเก็บเงินจากผู้ที่ใช้น้ำมัน ส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเพื่อมาอุดหนุนในบางเรื่อง…คือว่าเราจะเลิกการอุดหนุนแอลพีจีสำหรับภาคอุตสาหกรรม

 

**เรื่องนี้มันวิธีการจิ๊บจ๊อยในรายละเอียดไม่ขอวิจารณ์นัก ความจริงถ้ารัฐใจกล้าหน่อย หรือมีหัวสักหน่อย  เก็บภาษีการใช้พลังงานอุตสาหกรรมต่างชาติให้สูงๆ จะดีมาก เพื่อชดเชยค่าแรงไทยที่ต่ำมาก  โดยเราอ้างเหตุผลได้มากมายว่าทำไมต้องเก็บเฉพาะต่างชาติเท่านั้น (เช่นมาทำให้อากาศไทยเสียมากขึ้น ทำให้สุขภาพคนไทยโดยรวมเสื่อมลง ซึ่งรัฐต้องเสียเงินในการรักษา)  ซึ่งแม้เก็บเช่นนี้ต่างชาติก็จะยังมาลงทุนมากอยู่ดีเพราะยังไงเสียก็ยังคุ้มค่าสิบเท่า โดยเฉพาะราคาพลังงานเราถูกกว่าค่าเฉลี่ยของโลกอยู่แล้วด้วย
 ของขวัญชิ้นที่ 6 คือเรื่องของการใช้ไฟฟ้าฟรีในปัจจุบันสำหรับ 9.1 ล้านครัวเรือนของไทย 8.5 ล้านอยู่ในชนบท 600,000 ครัวเรือนอยู่ใน กทม. เราได้ดำเนินการมาตรการนี้มาต่อเนื่อง แต่ที่ทำมาตลอดนี้ต้องเป็นภาระกับผู้เสียภาษีอากร คือต้องเอาเงินงบประมาณไปชดเชยให้กับการไฟฟ้า ในการที่จัดไฟฟรีให้ประชาชนซึ่งใช้ไฟต่ำกว่า 90 หน่วย ต่อไปนี้เราจะทำให้ไฟฟ้าสำหรับพี่น้องประชาชนที่ใช้ต่ำกว่า 90 หน่วยนั้นฟรีนั้นเป็นแบบถาวร โดยไม่ใช้เงินภาษีอากรหรือใช้งบประมาณ แต่จะไปปรับโครงสร้างค่าธรรมเนียม

 

**นี่อาจเข้าข่ายศรีธนญชัยเลยนะครับ…คือไม่ใช้ภาษีจากราษฎรโดยตรง แต่ไปเก็บค่าธรรมเนียมมากขึ้น  ดังนั้นประชาชนชั้นกลางเลยโดนสองเด้ง คือ ภาษีก็ต้องเสียในอัตราก้าวหน้าเท่าเดิม แล้วยังมาเสียค่าธรรมเนียมไฟฟ้าในอัตราก้าวหน้าอีกด้วย  …วิธีนี้ยังไปส่งเสริมให้คนจนใช้ไฟกันฟุ่มเฟือยกว่าปกติอีกด้วย เช่นเมื่อก่อนใช้เพียง 30 หน่วย พอให้ 90 ก็เลยใช้ให้ครบโควตาไปเสียเลย 90 หน่วยนี้ประมาณ 300 บาทต่อเดือนนะครับ ปีละประมาณ 35,000 ล้านบาท

 

…พอเราไปปรับโครงสร้างตรงนี้ ผู้ที่ใช้ไฟเยอะๆ ซึ่งพูดจริงๆ แล้วคนเหล่านี้ก็คือคนที่ทำให้เราต้องเอาเงินไปลงทุนในเรื่องของการจัดหาพลังงานไฟฟ้ามาค่อนข้างมากนี้ ก็จะเป็นผู้ที่จะต้องจ่ายเงินเพิ่มขึ้น

 

**ถ้าใช้ตรรกะแบบนี้ ต้องลดค่าธรรมเนียมให้คนใช้ไฟเยอะต่างหากเล่า เพราะเขาใช้เยอะ เราลงทุนมาก แต่เราก็ขายได้กำไรมากเป็นเงาตามตัวนะครับ  ปกติพ่อค้าที่ดีฉลาดนั้นถ้าคนซื้อของเรามากๆ เราต้องลดราคาให้เขา เพราะมันประหยัดค่าโสหุ้ย เช่น ค่าลงทุนเดินสายไฟ เสาไฟ  ต่อหัวก็เท่ากัน แต่ขายให้คนใช้เยอะได้กำไรมากกว่าขายให้คนใช้น้อย คิดอย่างนี้มันต้องลดให้คนใช้เยอะนะครับ …แต่เอาเถอะ จะประชานิยมก็ไม่ว่ากันหรอกครับ แต่ขอให้ยอมรับมาตรงๆ ไม่ต้องชักแม่น้ำให้อ้อมค้อมก็ได้  ..พวกใช้ไฟมากนั้นก็ต้องจ่ายภาษีการค้ามากในทางอ้อมด้วยเช่น ค่าแอร์ (มีสรรพสามิตด้วย) และเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ ก็เลยโดนหลายเด้ง (จ่ายอะไรก็มากกว่าแต่เวลาลงคะแนนเสียงให้หนึ่งคะแนนเสียงเท่ากับคนใช้ไฟน้อยนะ ..แปลกไหม)

 ของขวัญชิ้นที่ 7 ..ในเรื่องของต้นทุนของภาคเกษตร โดยเฉพาะอาหารสัตว์ พ่อพันธุ์ แม่พันธุ์ ซึ่งปัจจุบันนี้เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้อาหารราคาสูงกว่าที่ควรจะเป็น ต่อไปเราก็จะใช้แนวทางการใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการแข่งขันทางการค้า วิเคราะห์เจาะลึกลงไปถึงต้นทุนในส่วนต่างๆ ในองค์ประกอบต่างๆ แล้วก็จะทำให้เกิดความเป็นธรรมมากขึ้น แล้วก็นำมาสู่การลดต้นทุนและราคาของสินค้าเกษตรที่ประชาชนส่วนใหญ่บริโภค

 

**ตรงนี้ยังกำกวม ยังไม่เข้าใจดีนะครับ ผมเดาว่าจะไปควบคุมรายใหญ่ (ไม่ใช่รายย่อย..ใช่ไหม) ให้ลดราคา แหม..แต่พวกนี้เขาบริจาคพรรคการเมืองแต่ละพรรคหนักๆทั้งนั้นไม่ใช่หรือครับ แล้วถ้าราคาสินค้าเกษตรมันลด เกษตรกรรายย่อยมิแย่ไปด้วยหรือครับ เดี๋ยวรัฐก็ต้องไปประกันราคากันอีกหรอก  เงินประชา”วิยม” ก็ใช้ไปหมดแล้วด้วย

 ของขวัญชิ้นที่ 8 …..
นอกจากนั้น ในส่วนของไข่ไก่ จะมีการทดลองให้มีทางเลือกซื้อขายกันเป็นกิโล….

 

**..ผมให้ข้อคิดว่าถ้าทำแบบนี้เมือไหร่คนไทยกินไข่แพงขึ้นกว่าเดิมแน่ เพราะกิโลไทยมันไม่เที่ยงน่ะครับ
 ของขวัญชิ้นที่ 9 ชิ้นสุดท้าย ปัญหาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน เราจะประกาศเป็นเป้าหมายชัดเจนว่าภายใน 6 เดือนใน กทม. คดีอาชญากรรมต่างๆ นั้นจะต้องลดลง 20 เปอร์เซ็นต์ เริ่มต้นตั้งแต่เดือนมกราคมนี้

 

แนวทางก็คือการได้ไปกำหนดจุดที่ถือว่าเป็นจุดเสี่ยงมากที่สุด 200 กว่าจุด บริเวณเหล่านั้นจะมีการบูรณาการในเรื่องของระบบของกล้องวงจรปิด…

 

**พวกโจรกระจอกลดไม่ยาก ตำรวจไทยเขาทำยอดได้อยู่แล้วแหละถ้าเบื้องบนสั่งมา (เช่นยัดยาบ้า)  แต่โจรมีสีนี่สิ แถวราชประสงค์มีกล้องมาก พวกโจรมันก็ปีนขึ้นไปปิดกล้อง แล้วเผาเมืองกันสนุกมือ อาชญากรพวกนี้จะลดลงได้อย่างไรครับ
……..
เรื่องที่เราทำทั้งหมด ส่วนใหญ่เป็นเรื่องโครงสร้าง

 

**ผมไม่เห็นว่ามัน “โครงสร้าง” ตรงไหนเลยครับ มี “มาตรการ” สองข้อกระมัง และ  “วิธีการปลีกย่อย” อีกเจ็ดข้อกระมัง

 

 

เป็นเรื่องความเป็นธรรม  (**เป็นธรรมกับพวกผิดกฎหมาย เช่น แผงลอยล้ำทางเท้า แทกซี่ขับรถซิ่ง มอไซค์ไร้ทะเบียน?)

 

 

ไม่ใช่เอาเงินภาษีอากรมาแจกประชาชน (**บางเรื่องเอาไปแจกตรงๆ ดีกว่าครับ ไม่ต้องมาตอดเพิ่มจากค่าธรรมเนียม คนชั้นกลางเขาจะตายกันอยู่แล้ว)

 

เพราะฉะนั้นคงไปคนละเรื่องกันเลยกับที่เรียกว่านโยบายประชานิยม แต่สิ่งที่เราทำก็คือ เปิดโอกาสให้คนซึ่งก่อนหน้านี้เขาถูกกฎ ถูกระเบียบ ถูกโครงสร้างบางอย่าง ถูกเอารัดเอาเปรียบ เขาจะได้รับความเป็นธรรมมากขึ้น รัฐบาลจะปรับปรุงกฎ ระเบียบ วิธีการทำงานเพื่อตอบสนองเป้าหมายของคนเหล่านี้

 

**ประชาชนทั่วไปที่เคารพกฎหมายบ้านเมืองต่างหากครับ ที่ถูกเอารัดเอาเปรียบมากที่สุด จะเดินทางเท้าก็ไม่มีที่เดินต้องเสี่ยงลงไปเดินบนถนนที่มีแต่พวกมอไซค์รับจ้างซิ่งสวนทางมา และ แท็กซี่เบียดเข้ามาวิ่งรอกหาคนโดยสารนัวเนีย กลายเป็นว่าคนถูกเอาเปรียบมากที่สุดต้องเสียภาษีมากที่สุดและไม่มีแพคเก็จอะไรช่วยเหลือเลย ส่วนคนทำผิดกฎหมายทั้งหลายได้รับการอุ้มหลากหลายโครงการ

 

**เมืองไทยเรามีคนสองกลุ่มที่ทำผิดกฎหมายได้โดยรัฐไม่กล้าแตะคือ คนจนกับคนรวย

 

…สองชาติ ใจเต็ม (๑๑ มค. ๕๔)

« « Prev : ทำนาด้วยกบ มด และสมอง (ตอนที่ ๑/๒๐)

Next : ทำนาด้วยกบและมด (ตอน ๒) » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

2 ความคิดเห็น

  • #1 Panda ให้ความคิดเห็นเมื่อ 13 January 2011 เวลา 10:58 am

    ก็เป็นนโยบายเพื่อ หา(คะแนน)เสียงตามปกติ (ของนักการเมือง)….5555

  • #2 น้ำฟ้าและปรายดาว ให้ความคิดเห็นเมื่อ 13 January 2011 เวลา 2:03 pm

    อิอิอิ วนเข้ามาหลายรอบเพราะยังไม่ได้อ่านนโยบายจริงๆชัดๆ ซึ่งเบิร์ดก็เห็นด้วยว่า มี 2 อย่างในนั้นที่ทำให้คิดต่อว่ารบ.พูดแค่เท่าที่อยากให้เรารู้หรือเปล่า คือการแก้ปัญหาโครงสร้างและมาตรการบรรเทาปัญหา

    ที่สงสัยก็เพราะไม่เห็นบอกชัดๆว่าอะไรคือการแก้ปัญหาโครงสร้าง และอะไรคือการบรรเทาปัญหา ส่วนเรื่องของนโยบายจะส่งผลต่อคนบางกลุ่มมากบ้างน้อยบ้างนั้นเป็นเรื่องที่เข้าใจและเกิดขึ้นได้ไม่ว่าจะเป็นยุคไหนก็ตามนะคะ เพียงแต่”ต้อง”ตรวจสอบได้ (ย้ำว่าต้องเลยล่ะค่ะ และวิพากษ์วิจารณ์ได้ ,ฮา)

    ที่สะดุดใจคงเป็นประกันสังคมในข้อแรกน่ะค่ะ ดูจะมีรากฐานทางนโยบายรองรับอยู่ และเหตุของสะดุดใจก็คือ มันเหมือนเป็นการสร้างหลักประกันแบบหนึ่ง โดยปชช.ฝากเงินแล้วรัฐสมทบ(เบิร์ดเข้าใจถูก?) ทำให้เบิร์ดรู้สึกว่าเป็นโอกาสที่เราจะเปลี่ยนมุมมองว่าคนจนดีแต่เรียกร้อง (มีหลายคนๆคิดแบบนั้น)…กลายมาเป็นการรับผิดชอบร่วมกัน ซึ่งในข้อนี้เบิร์ดว่ารบ.ก็กล้าเอาการที่เสนอ (เพราะไม่ค่อยเห็น อิอิอิ)

    เบิร์ดชอบคำว่ากระเซ้านะคะ น่ารักดี ^ ^


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่


*
To prove you're a person (not a spam script), type the security word shown in the picture. Click on the picture to hear an audio file of the word.
Click to hear an audio file of the anti-spam word


Main: 0.19567513465881 sec
Sidebar: 0.012065887451172 sec