ทำนาด้วยกบ มด และสมอง (ตอนที่ ๑/๒๐)
กบ-มด-สมองคน…ช่วยทำนากู้ชาติ (ตอนที่ ๑/๒๐)
เมื่อครั้งผมเป็นผู้บริหารสถาบันการศึกษากะเขาอยู่ช่วงหนึ่ง มักต้องเดินทางเข้ามาประชุมในกทม. บ่อยๆ เลยถือโอกาสใช้เวลาว่างจากการนั่งรถให้เป็นประโยชน์ด้วยการคุยกับคนขับรถ ซึ่งมักเปลี่ยนหน้ากันมามิได้ขาด ได้ประโยชน์สองต่อคือ ได้ความรู้จากพวกเขา และได้ความปลอดภัย (เนื่องจากทำให้คนขับรถไม่ง่วง)
สิ่งที่ผมถามเขาก็คือเรื่องความเป็นอยู่ กับเรื่องการทำมาหากิน โดยเฉพาะการทำสวนนาไร่ ซึ่งมักเป็นอาชีพดั้งเดิมของพวกเขาเหล่านี้
การถามซอกแซกของผม ทำให้รู้ว่าเมื่อก่อนนาข้าวอีสานมีเขียดขาคำ (หรือเขียดอีโม่) เยอะมาก (แต่จริงๆแล้วสองสกุลนี้มันต่างกันอยู่) มันทั้งสองต่างเป็นเขียดตัวเล็กๆ ขนาดลำตัวกว้างสัก 0.5-1.0 ซม. ชาวนามักไปช้อนจับมาต้มปลาร้า ว่ากันว่าอร่อยมาก แถมได้ธาตุอาหารดี แต่เดี๋ยวนี้หายไปหมดแล้ว
ฟังไปก็สลืมลือไปด้วยความง่วง…ก็แข็งใจถ่างตาถามเขาต่อไปว่าอ้าว..แล้วมันหายไปได้ยังไง เขาก็บอกว่าสงสัยมันจะสูญพันธุ์ไปตามกาลเวลา …เออคงใช่.กาลเวลามันทำลายทุกสิ่ง ไม่เว้นแม้จิตวิญญาณ
พอหายง่วง เพราะรถตกหลุมใหญ่ริมโค้ง จนแทบกระดอนพลิกคว่ำกลายเป็นศพไปเป็นศาลพระภูมิเฝ้าทางโค้ง (อันเป็นผลพวงมาแต่การเมืองน้ำเน่า) ก็มาฝันต่อยอดว่าต้องเป็นเพราะการใช้สารเคมีแน่ๆเลย กบเขียดล้ำค่าพวกนี้มันเลยตายหมด
จนกระทั่งผมไปเจอชาวนาเอาเขียดอีโม่มาขายในตลาดสดทีตลาดสด อ.เมือง จ. ชัยภูมิ ก็ถามว่านานี้ใช้ยาเคมีไหม เขาบอกว่าไม่ใช้ แล้วเขายังบอกอีกว่านาที่ใช้เคมีไม่มีเขียดอีโม่เลย …ผมถึงบางอ้อ (ที่เดี๋ยวนี้อ้อไม่มีเหลือแล้ว เพราะสารเคมีอีกแหละ)
ผมคิดเชื่อมโยงต่อไปอีกว่า เขียดพวกนี้กินอะไรเป็นอาหาร อ้อ…แมลง พวกนี้ลิ้นยาว มันแลบออกไปตวัดแมลงเข้าปากวันละมากตัว ผมเลยเกิดแนวคิดว่าทำไมเราไม่เลิกใช้สารเคมีแล้วจงใจเลี้ยงเขียดอีโม่ในนาข้าวไปเสียเลย เพราะตัวมันเล็ก มันกระโดเกาะไปตามใบข้าวได้ กินแมลงตัวเล็กๆ ไม่เหลือหรอ รวมทั้ง”เพลี้ย” “ไร” ต่างๆ
ส่วนมูล (ขี้..ตามประสาชาวบ้าน ขอโทษ ขี้ อาจไม่สุภาพ) เอ้อ.มูลของมันก็กลายมาเป็นปุ๋ยชีวภาพให้ต้นข้าว เท่ากับว่าเปลี่ยนแมลงซึ่งเป็นศัตรูพืชมาเป็นประโยชน์ต่อต้นพืชไปเสียเลย ไม่ต้องไปเสียเงินซื้อปุ๋ยที่มีชื่อยี่ห้อเป็นภาษาหัวหรั่งที่อ่านแล้วไม่เข้าใจให้เปลืองเงินและเปลืองศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์อีกต่อไป (เพราะถูกเขาหลอกมาหลายทอด)
ส่วนการกำจัดแมลงตัวใหญ่เราก็เลี้ยงเขียดและกบตัวใหญ่สิ ซึ่งมันชอบน้ำในนาอยู่แล้ว กบพวกนี้ยังจับไปขายได้อีก สร้างรายได้เพิ่มให้ชาวนา เป็นกบชีวภาพอีกด้วยนะ ราคาแพงกว่าปกติ
ไอ้พวกฝรั่งเศสที่มาโกงนครวัด เขาพระวิหาร ไปจากเราก็ชอบกินหอย หมึก ปู แมลงพิสดารอีกด้วย พวกนี้มันจ่ายไม่อั้น จนอาจจ่ายเขาพระวิหารมาซื้อขาเขียดอีโม่หนึ่งขาก็เป็นไปได้นะ ..สิบ่อกไห่
พวกนี้มันเอาพระเจ้าหลุยส์ไปฆ่าทิ้ง ตัดคอด้วยกิลโยติน แต่วันนี้ถามว่ามันหากินกับอะไร ตอบได้ว่า หากินกับวังแวร์ซายที่พระเจ้าหลุยส์สร้างไว้น่ะแหละ (เงินจากนักท่องเที่ยวทั่วโลก) โห..ถ้ามันเกลียดกษัตริย์จริง มันน่าจะเผาวังทิ้ง หรือไม่ก็เปิดให้ดูฟรีสิ หรือยิ่งไปกว่านั้น บอกคนทั้งโลกว่าอย่าเดินทางมาท่องเที่ยวฝรั่วเศสเลยนะ เพราะประเทศนี้มันมีประวิติศาสตร์เลวร้ายน่ารังเกียจ
ผมก็ได้แต่คิดฝันไป ไม่มีเวลาไปทำการทดลอง (ไปขอทุนเขาใครเขาจะให้เพราะเราเป็นวิดวะเครื่องกล ไม่ได้จบเกษตรอันสูงส่งที่ทุกคนยกย่อง…แต่ไม่ยอมส่งลูกหลานไปเรียน)
แต่อยู่มาวันหนึ่งผมไปพบนาที่ อ.ประทาย จ.นครราชสีมา (ผ่านเครือข่ายเกษตรกรที่ผมรู้จักโดยบังเอิญ) นาแห่งนี้ปลูกอยู่ข้างสระน้ำ เผอิญเจ้าของเอากบมาปล่อยในสระ ทำให้กบกระโดเข้าไปในนาข้าว โดยนาข้าวแห่งนี้ไม่ใช้ยาฆ่าแมลง แต่กลับงามที่สุดในละแวกนั้นซึ่งนาโดยรอบใช้สารเคมีทั้งสิ้น แสดงว่าทฤษฎีกบขจัดแมลงของผมน่าใช้ได้
ผมไปเดินด้อมๆดูรอบคันนา เอ้า..มีเขียดอีโม่อยู่ด้วย มันมาของมันเองตามธรรมชาติ เลิกใช้ยาเมื่อไหร่ไข่มันก็คงจะปลิวมาลงนาเอง ยังมีเขียดตะปาดตาไสน่ารักมาก เจ้าของนาบอกว่าผมโชคดีที่เห็นเขียดนี้เพราะเขาเองยังไม่เคยเห็นเลย
ส่วนในน้ำก็มีปลาซิว และ กุ้งฝอยว่ายน้ำไสโชว์เรือนร่างแสนสวยอยู่ไปมา ทำให้ผมเกิดแนวคิดต่อไปว่า ถ้าฉีดยาปลากุ้งก็ตายหมด แต่ถ้าไม่ฉีดแล้วเลี้ยงปลากุ้งฝอยตามธรรมชาติ หรือเลี้ยงแหน ผำ เสริมให้มันก็ยิ่งดี (ผำ รู้จักไหม ..ลูกเล็กๆ ลอยในน้ำ คนกินอร่อย ปลาก็ชอบ คนส่วนใหญ่ไม่รู้จัก แม้นักวิทยาด้านพืช ถามมาหลายรายแล้ว)
มูลปลากุ้งก็กลายเป็นปุ๋ยให้ข้าวอีก ชาวนาอาจขายปลา กุ้ง กบ ได้เงินมากกว่าขายข้าวเสียอีก ข้าวชีวภาพก็สะอาด ราคาแพงกว่าปกติเสียอีก (ได้หลายต่อมาก)
แบบนี้ชาวนาไทยจะรวยกันหมดประเทศ แต่รัฐบาล กระทรวงเกษตร กระทรวงวิทย์ ก็คงไม่รับรู้อีกตามเคย…เพราะบริษัทปุ๋ย สารเคมีมันล็อบบี้หนัก และเงินมันก็หนักด้วย จนทำให้บอดสนิทกันไปหมด และนานมาแล้ว ด้วยสูตรเดิมๆ ง่ายๆ แบบนี้แหละ …อนิจจาประเทศไทยเรา
….ทวิช จิตรสมบูรณ์ (กย. ๒๕๕๒)
« « Prev : ดื่มน้ำวันละ 8 แก้ว มันมากเกินไป ระวังจะตายไวนะ
Next : กระเซ้าประชา”วิ”ยม ๙ ข้อของท่านนายกฯอภิสิทธิ์ » »
2 ความคิดเห็น
เสริมต่อนะครับว่า…ในที่สุดผมก็ได้ไปเยี่ยม ม.เกษตรศาสตร์ ที่มีพิพิธภัณฑ์มด โดยผมได้ไปเสนอแนวคิดมดทำนาต่อท่านอาจารย์ผู้ดูแล
ท่านอจ.ท่านนี้อ่อนกว่าผมสัก ๑๐ ปีเห็นจะได้ ท่านฟังแล้วร้องว่า “เออ.จริงอย่างที่คุณว่า…แต่ผมไม่ไปทำงานแข่งกับคุณหรอก”
นี่แสดงว่าการนำเสนอของผมมันล้มเหลวสิ้นเชิง เพราะผมตั้งใจจะบอกท่านว่าผมเอาแนวคิดมานำเสนอเพื่อให้ท่านนั่นแหละลองเอาไปทำดู เพราะน่าจะเป็นนักวิชาการคนเดียวในประเทศไทยที่ทำวิจัยด้านนี้
ท่านยอมรับในที่สุดว่า มันยาก เพราะไปก้าวก้ายกับวิชาการของพวกพืชไร่
เอ้า…มีใครสนใจทำวิจัยเรื่องนี้ไหมครับ (โดยเฉพาะสถาบันวิจัยทั้งหลายที่ตอนนี้ตั้งกันมาราวดอกเห็ด ส่งผอ.ไปดูงานเมืองนอกเป็นว่าเล่น) ผมว่าเรารอภาครัฐไม่ไหวแล้วแหละครับ มดมันจะกัดตายเสียก่อน
มดนี่แหละ คือสัตว์ประเสริฐที่ “สะกิดกัด” เตือนมนุษย์มานานหนักหนาแล้ว แต่เรามันคนที่หนังหนา เลยไม่ค่อยรู้สึก
สุดบันเจิดในความคิดของอ.ทวิช แต่มันคือธรรมชาติที่ธรรมดาๆ เกินกว่า ที่นักวิชาการทางด้านเกษตร จะลงมาทำได้ค่ะ เพราะธรรมชาติต้องเยีวยาตัวเองตามธรรมชาติเท่านั้น ในการที่จะปรับตัวให้สอดคล้องกับธรรมชาติ มนุษย์ทำได้แค่เลียนแบบธรรมชาติ จำลองสภาพให้คล้ายธรรมชาติที่สุด มนุษย์ผู้ยิ่งใหญ่ ไม่มีใครสร้างธรรมชาติได้ค่ะ ทำได้แค่เพียงปล่อยให้ธรรมชาติฟื้นคืนตัวเอง โดยอย่าให้มนุษย์เข้าไปยุ่งค่ะ