ดื่มน้ำวันละ 8 แก้ว มันมากเกินไป ระวังจะตายไวนะ

โดย withwit เมื่อ 9 January 2011 เวลา 11:55 am ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2244

ดื่มน้ำวันละ 8-10 แก้ว มันมากเกินไป ระวังตายไว (ไตวาย)  

 

เราท่านคงเคยได้ยินผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพแนะนำให้ดื่มน้ำวันละ 8-10 แก้ว ซึ่งผมเชื่อว่าตัวเลขนี้ลอกมาจากตำราฝรั่งอีกต่อ (ตามเคย) ซึ่งผมเชื่อต่อไปว่าการดื่มน้ำในปริมาณขนาดนี้มันมากเกินจำเป็นไปประมาณ 1.5 เท่า ซึ่งจะทำให้คนไทยเราตายไวมากขึ้นอีกด้วย

 

ก่อนอื่นต้องคิดให้ออกในเบื้องต้นก่อนว่าฝรั่ง (เจ้าของทฤษฎี 8 แก้ว) นั้นร่างกายเขาใหญ่กว่าเรา พวกเขาเฉลี่ย 80 กก. ส่วนเราหนักเฉลี่ย 60 กก. หากเทียบส่วนตามบัญญัติไตรยางค์ ถ้าเขาดื่ม 8 เราก็ต้องดื่มเพียง 6 เท่านั้นเอง (… แต่แล้วเราก็ไปลอกตำราเขามาทั้งดุ้นอีกตามเคย ไม่ต่างอะไรกับที่ลอกระบบประชาธิปไตยเขามาใช้ทั้งดุ้น โดยไม่ปรับให้เข้ากับสังคมเราเสียก่อน)

 

ช้าก่อน..ยังไม่จบ..เรื่องมันยังมีอีกมาก…

 

หากวิเคราะห์ให้ละเอียดยิ่งขึ้นจะเห็นได้ว่าอาหารไทยที่คนไทยเรากิน เช่น ข้าวสวย ต้มยำ แกง ผักลวก นั้นมีน้ำเจืออยู่แล้วด้วยเป็นจำนวนมาก ผิดกับอาหารฝรั่งที่มักเป็นขนมปัง เนื้อปิ้ง ซึ่งแห้งกว่าอาหารบ้านเรามาก ทำให้เขาต้องดื่มน้ำมากกว่าเราเพื่อทำให้เกิดความชื้นที่เพียงพอต่อการย่อยอาหาร เพราะเชื่อได้ (โดยสำนึกพื้นฐานแม้ไม่ต้องเรียนมาทางด้านสุขภาพ) ว่าการย่อยอาหารนั้นมันคงต้องการความชื้นระดับหนึ่ง ถ้าแห้งเกินไปหรือแฉะเกินไปก็ไม่ดีทั้งนั้นแหละ

 

อาหารเช้าฝรั่งเขากินไข่ดาว หมูแฮม หนมปัง (มีน้ำน้อยมาก)  ส่วนเรากินข้าว (ที่มีน้ำปนอยู่แล้วครึ่งแก้ว..บางคนกินข้าวต้มก็ยิ่งไปกันใหญ่)  โดยกินกับแกงจืด (มีน้ำอีกหนึ่งแก้ว) ..เช้านี้เรากินน้ำมากกว่าฝรั่งไปแก้วครึ่งแล้วนะ

 

ส่วนอาหารกลางวันฝรั่งกินแซนด์วิช (ไม่มีน้ำเลย) ส่วนเรากินก๋วยเตี๋ยว (มีน้ำอยู่แล้วอีกแก้วครึ่ง)  เย็นฝรั่งกินเสต็ก (ไม่มีน้ำ) ส่วนเรากินข้าว (น้ำครึ่งแก้ว) แกงต่างๆ หรือ  ต้มยำ (น้ำอีกแก้ว)

 

รวมอาหารสามมื้อเรากินน้ำแบบ “ตามน้ำ” มากกว่าฝรั่งไปแล้ว  4 แก้วครึ่ง หักออกจากทั้งหมดที่ต้องกิน 6 แก้วให้เท่ากับฝรั่งตามหลักบัญญัติไตรยางศ์ ก็เท่ากับว่าเราควรกินน้ำเสริมเข้าไปเพียงวันละ 1 แก้วครึ่งเท่านั้นเอง  (มื้อละ ครึ่งแก้ว)

 

ดังนั้นการดื่มน้ำทั้งวันให้ได้ประมาณ 8-10 แก้ว ตามที่นักวิชาการไทยไปลอกมาจากตำราฝรั่งนั้นผมเห็นว่ามันมากเกินไป 1-200% ซึ่งผมว่ามันจะเป็นผลร้ายต่อสุขภาพคนไทยหลากหลายประการ เหตุผลทั้งหมดที่จะยกอ้างมาสนับสนุนความเห็นนี้ ผู้เขียนคิดเอาเองทั้งสิ้น ไม่มีข้อมูลทางการแพทย์รับรอง  ดังนั้นโปรดอ่านด้วยวิจารณญาณก่อนเชื่อหรือและถือปฏิบัติ

 

ผู้เขียนเชื่อว่าการดื่มน้ำมากเกินไป จะทำให้ฉี่ไสเกินไป และฉี่บ่อยเกินไป เพื่อคายน้ำส่วนเกิน ส่งผลให้ไตทำงานหนักเกินจำเป็น (เรียนรู้มาจาก “ตำราฝรั่ง” แบบกระท่อนแท่นว่าไตทำหน้าที่ส่งผ่านสิ่งโสโครกที่กรองออกจากเลือดไปสู่น้ำที่มันดูดซับเข้ามา ก่อนที่จะระบายน้ำเสียออกสู่ท่อปัสสาวะ)  ดังนั้นการดื่นน้ำมากเกินไปอาจทำให้ไตเสื่อมเร็วกว่าปกติเนื่องเพราะไตต้องทำงานหนักกว่าปกตินั่นเอง ไตทำงานหนักแต่ได้ผลน้อย เท่ากับว่า โง่แล้วขยันหรือไม่  (ไตไม่โง่หรอกแต่เจ้าของไตต่างหาก)  

 

วิถีสุขภาพแห่งมาโครไบโอติก (macrobiotic)  ได้เสนอไว้อย่างน่าคิดว่าให้ดื่มน้ำให้น้อยที่สุด เพื่อที่ไตจะได้แห้ง พอมันแห้ง มันก็ดูดฟอกสารพิษจากเลือดได้ดี อุปมาดังฟองน้ำถ้ามันเปียกโชกเพราะน้ำมากเกินไปมันก็ดูดเช็ดทำความสะอาดอะไรไม่ได้หรอก แต่ถ้ามันแห้งมันจะดูดได้ดีมาก ซึ่งผมขอค้านว่า ฟองน้ำแห้งเกินไปก็ไม่ดีหรอก มันต้องชื้นเล็กน้อยจึงจะดูดได้ดีที่สุด สรุปคือ เปียกมากไปก็ไม่ดี แห้งมากไปก็ไม่ดี ต้องกำลังพอดีนะครับ คือคนไทยตัวเล็กๆ ควรดื่มน้ำวันละประมาณ 1-2 แก้วเท่านั้น แล้วแต่ว่าตัวเล็กใหญ่แค่ไหน

 

อย่าลืมด้วยว่าอากาศบ้านเรามีความชื้นสูงกว่าบ้านฝรั่งเขามาก (ความชื้นสัมพัทธ์ (relative humidity) บ้านเราเฉลี่ยประมาณ 70% ส่วนของเขาประมาณ 40%)  ซึ่งข้อแตกต่างนี้จะทำให้ผิวหนังเราสูญเสียน้ำจากรูขุมขนน้อยกว่าเขา ก็ยิ่งต้องการน้ำเข้าร่างกายน้อยกว่าเขาเข้าไปอีก

 

 ที่สำคัญกว่านั้นคือการหายใจเข้าออกนั้นเกิดการสูญเสียน้ำมากพอควร เพราะแต่ละวันเราหายใจมากทีเดียว อากาศเมืองฝรั่งแห้งกว่าบ้านเรามาก (ความชื้นสัมพัทธ์)  ดังนั้นเมื่อเขาหายใจเข้าไปสู่ปอดความชื้นในร่างกายก็จะถูกดูดซับออกสู่ลมหายใจได้มากกว่าการหายใจในอากาศชื้นของบ้านเรา  ก็ยิ่งทำให้เขาสูญเสียน้ำในร่างกายมากกว่าเรา (ดังนั้นก็ต้องดื่มน้ำชดเชยเข้าไปมากกว่าเรา) ลองสังเกตจากลมหายใจออกในหน้าหนาวของดาราในหนังฝรั่งสิ การที่เกิดควันขาวออกจากรูจมูกดาราฝรั่งนั้นแท้แล้วก็คือไอน้ำในลมหายใจที่มีความชื้นสูงเกิดการควบแน่น (condensation) ในอากาศเย็นออกกลายเป็นหมอกนั่นเอง ซึ่งแสดงว่าลมหายใจออกนั้นมีการดูดซับความชื้นออกมาจากร่างกาย (ที่ปนมากับเลือดในปอดเป็นส่วนใหญ่)  ซึ่งการดูดซับความชื้นของเขามีมากกว่าของเราทุกลมหายใจเข้าออก  ก็ยิ่งทำให้เขาต้องการน้ำเข้าไปชดเชยมากกว่าเราวันละหลายแก้ว

 

เมื่อพิจารณาปัจจัยประกอบหมดแล้วอาจเป็นไปได้ว่าเราควรดื่มน้ำเพียงวันละ 0 แก้วเท่านั้นเอง  (ไม่ต้องดื่มเลย) เพื่อให้เกิดความสมดุลของระบบการชดเชยน้ำตามที่ร่างกายต้องการ ดังนั้นการดื่มน้ำตามที่ตำราฝรั่งบอกว่าต้องวันละ 8-10 แก้ว นั้นจึงเป็นการให้น้ำมากเกินจำเป็นสำหรับคนไทยเราไปถึง 1-200% ซึ่งผมว่านอกจากไตจะทำงานหนักเกินจำเป็นอย่างโง่เขลาแล้ว ยังน่าจะก่อผลร้ายต่อสุขภาพตามมาอีกมากหลาย

 

คราวนี้ลองมาเพ่งดูระบบการไหลเวียนเลือดและหัวใจ(วาย)กันหน่อยนะ

 

ทฤษฎีฝรั่งที่นักวิชาการไทยเราเอามาเล่าต่อด้วยความภูมิใจว่าการกินน้ำมากจะทำให้เลือดใส ทำให้เลือดไหลลื่นได้ง่าย แต่ถ้ากินน้ำน้อยเลือดจะหนืดข้น ทำให้ไหลยาก จนทำให้กลายเป็นโรคความดันโลหิตสูง ทั้งนี้เพราะพอเลือดไหลยาก หัวใจก็ต้องออกแรงดันมากกว่าปกติเพื่อให้เลือดไหลไปได้ ก็เลยต้องสร้างความดันให้สูงกว่าปกตินั่นเอง  โห..ฟังดูน่าเชื่อถือมาก เพราะเข้ากันได้กับสามัญสำนึกของเราท่าน

 

แต่ผู้เขียนขอให้ข้อคิดว่าการที่เลือดใสขึ้นก็หมายความว่าปริมาณเลือดที่ไหลจะต้องมากขึ้นด้วย ทั้งนี้เพื่อนำเซลเม็ดเลือดที่ดูดสารอาหารไปหล่อเลี้ยงร่างกายให้ได้ในปริมาณที่เพียงพอเท่าเดิม (เป็นการชดเชยความเข้มข้นที่ลดลงด้วยปริมาณที่มากกว่า)  ดังนั้น..ความเร็วของการไหลของเลือดใสขึ้นก็จะต้องสูงขึ้นกว่าเลือดที่ข้นหนืด

 

แต่ตามหลักวิศวกรรมศาสตร์นั้นการไหลในท่อที่มีหน้าตัดคงเดิมนั้น ถ้าความเร็วสูงขึ้น 2 เท่า เครื่องสูบส่ง  (หัวใจในที่นี้) ต้องทำงานหนักมากขึ้น 8 เท่า (กฎความเร็วยกกำลังสาม) แต่ความหนืดที่ลดลงของเลือดที่ใสขึ้นอาจช่วยลดภาระการทำงานของหัวใจที่เพิ่มขึ้นนี้ได้เล็กน้อย (ประมาณ 2 เท่าเป็นอย่างมาก) ดังนั้นการใสขึ้นของเลือดจากการดื่มน้ำมากนั้นอย่างดีที่สุดก็ช่วยลดภาระการทำงานของหัวใจที่มากขึ้นจาก 8 เท่ามาเหลือแค่ 4 เท่า

 

สรุปคือ ตามหลักวิศวกรรมศาสตร์และหลักโภชนาการเลือดที่ใสขึ้นน่าจะเป็นผลร้ายต่อหัวใจ และหลอดเลือดมากกว่าเลือดที่ข้นขึ้นเสียอีก (เรื่องนี้น่าสนใจมาก ทำเป็นวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกได้เลย หมอคนไหนสนใจโทรมาคุยกับผมได้ ที่ 044 224414 ถ้าได้รางวัลโนเบลจากเรื่องนี้ก็อย่าลืมผมด้วยกะแล้วกัน)

 

ถ้านักวิชาการไทยเรายังลอกระบบดื่มน้ำ (และกินอาหาร) ของฝรั่งมาใช้ทั้งดุ้นโดยไม่ปรับให้เข้ากับสภาพร่างกายของคนไทยเรา อีกหน่อยคนไทยก็คง”ตายไว”  (ไตวาย) กันหมด และหัวใจวายกันก่อนเวลาอันควร

 

แม้ระบบประชาธิปไตยก็ไปลอกเขามาใช้ทั้งดุ้น แล้วเทิดทูนกันหนักหนา จนใครแตะต้องไม่ได้ ซึ่งผู้เขียนเคยนำเสนอระบบประชาธิปไตยรูปแบบใหม่ที่เข้ากันได้กับลักษณะสังคมไทยมาหลายรูปแบบ ก็ถูกรุมก่นด่า หาว่าไม่เป็น “ประชาธิปไตย”  ซึ่งเรื่องนี้อาจนำไปสู่อาการ “ไทวาย” ที่เลวร้ายกว่า “ไตวาย” และหัวใจวายจากการลอกระบบดื่มน้ำฝรั่งเสียอีก

 

ทวิช จิตรสมบูรณ์…..๔ ธค. ๒๕๕๒

 

 

ปล. 

  • 1) น่าสังเกตว่ายังไม่เคยได้ยินผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพท่านใดในโลกนี้ออกมาบอกว่ามนุษย์เราต้องการอากาศเข้าสู่ร่างกายเป็นปริมาณเท่านั้นเท่านี้ต่อวัน ทั้งที่อากาศสำคัญกว่าน้ำเสียอีก ขาดน้ำสามวันก็ยังไม่ตาย แต่ขาดอากาศ 3 นาทีก็ตายแล้ว ซึ่งกรณีการหายใจนี้เราปล่อยให้เป็นหน้าที่ของธรรมชาติร่างกายในการกำหนดอัตราการหายใจ โดยเราไม่เข้าไปแทรกแซงกำหนดกฎเกณฑ์อะไรให้มากเรื่องมากความ แต่ทำไมเรากลับไปกำหนดเรื่องการต้องการน้ำเล่า?? ทำไมไม่ปล่อยไปตามธรรมชาติของร่างกาย? แต่เชื่อหรือไม่ว่าความต้องการน้ำและอากาศก็สามารถ “ฝึก” ได้ แต่ต้องการวิทยายุทธวิถีพุทธในขั้นสูงสักหน่อย เช่นการเข้าสมาธิในขั้นสูงนั้นต้องการอากาศในการหายใจน้อยมาก (ซึ่งสัตว์เดรัจฉานทั้งหลายที่รู้จักการจำศีลต่างก็รู้เคล็ดลับนี้ เช่น หมี กบ ปลาไหล เป็นต้น)
  • 2) ผู้เขียนได้วิเคราะห์มานานด้วยแล้วว่า ไม่เพียงแต่การดื่มน้ำมากเกินไป แม้แต่การกินอาหารมากเกินไปก็จะตายไวด้วย เนื่องเพราะระบบย่อยอาหารต้องทำงานหนักมาก ซึ่งส่งผลให้หัวใจก็ต้องทำงานหนักกว่าปกติเพื่อสูบฉีดเลือดไปรับส่งสารอาหารที่ย่อยสลายแล้วไปหล่อเลี้ยงอวัยวะต่างๆในปริมาณที่เพิ่มขึ้น ซึ่งหัวใจ หลอดเลือด ตับ ไต ทั้งระบบก็ต้องสึกหรอมากขึ้นเป็นเงาตามตัว (อวัยวะทั้งหลายนั้นสังเกตได้ว่ามีเพียง “สมอง” เท่านั้นที่ยิ่งใช้งานมากก็ยิ่งมีสุขภาพดีขึ้น) ลองสังเกตดูสิ พระป่าฉันอาหารวันละหนึ่งมื้อ อาหารก็ไม่ค่อยมีคุณค่า (ข้าวราดน้ำปลาร้า จิ้มผักป่า เสียเป็นส่วนใหญ่) น้ำก็ดื่มน้อย และทำงานทั้งวัน (เช่นเดินจงกรม ธุดงค์ กวาดลานวัด) แต่กลับมีอายุยืนเกินค่าเฉลี่ยกันเป็นส่วนใหญ่ หลายรูปมีอายุเกินร้อยปี น่าจะเป็นกลุ่มชนที่มีอายุยืนโดยเฉลี่ยสูงที่สุดในโลก (ผู้เขียนเคยเขียนคอมเม้นท์เรื่องนี้เป็นภาษาอังกฤษและได้ลงในนิตยสารไทม์มาแล้ว) สมัยผู้เขียนบวชพระสามเดือนได้มีโอกาสเดินธุดงค์หนึ่งเดือน ก็เดินทั้งวัน วันละประมาณ 20 กม.แบกย่ามและกลดที่หนักอีกต่างหากแต่ฉันมื้อเดียวและดื่มน้ำน้อยมาก ไม่เกินสามแก้วต่อวัน ก็อยู่ได้ดี คงเพราะร่างกายปรับตัวตามเงื่อนไขนี่เอง

 

« « Prev : ลดพื้นที่ทำนา..หันมาทำอุตสาหกรรมป่าไม้กันดีกว่า

Next : ทำนาด้วยกบ มด และสมอง (ตอนที่ ๑/๒๐) » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

9 ความคิดเห็น

  • #1 sutthinun ให้ความคิดเห็นเมื่อ 9 January 2011 เวลา 1:13 pm

    อ่านเรื่องนี้แล้วโดนใจมาก เคยสงสัยเกี่ยวเรืื่องนี้เหมือนกัน เคยโง่กินตามจนท้องโย้
    ได้แง่คิดมุมมองเอามาพิจารณาได้อย่างสมบูรณ์ ขอบคุณ ครับ

  • #2 น้ำฟ้าและปรายดาว ให้ความคิดเห็นเมื่อ 9 January 2011 เวลา 2:32 pm

    โอย ตามอ่านซะคิดไม่ทันเลยค่ะ ^ ^

    เอาแค่เรื่องการกินอาหารก่อน เบิร์ดเห็นด้วยกับการกินน้อยเพราะอาหารมีเพื่อหล่อเลี้ยงชีวิต และร่างกายเรานี่แหละค่ะที่จะบอกเองว่าต้องการกินอาหารประเภทไหนบ้าง (คือตัวเบิร์ดเองไม่ชอบการบังคับหรือตีกรอบว่าต้องกินอาหารตามนี้ๆๆๆถึงจะสุขภาพดี แต่เชื่อว่าการกินที่ดีที่สุดคือกินตามที่ร่างกายบอกเรา)

    มาถึงเรื่องน้ำ เบิร์ดไม่สนใจว่าใครบอกให้กินเท่าไรเพราะฐานความเชื่อมันอยู่ที่ร่างกายบอกเราว่าอย่างไร และทางการแพทย์แน่นอนว่าอะไรที่มากเกินไปไม่ดีทั้งนั้น ไม่นานมานี้ก็มีข่าวเรื่องของคุณแม่ลูกสามที่เสียชีวิตจากการดื่มน้ำมากเกินไป http://en.wikipedia.org/wiki/Water_intoxication

    อาจารย์พูดถูกว่าน้ำเกี่ยวข้องกับการทำงานของไต และน้ำมากไปมันทำให้ความเข้มของเกลือในเลือดน้อยลงซึ่งส่งผลทำให้สมองของคุณแม่ลูกสามบวมจนเสียชีวิตในเวลาต่อมา

    แต่เบิร์ดยังอิ๊กคะลิกอยู่ว่าน้ำจะเป็นพิษได้น่าจะเกิดจากการดื่มน้ำจำนวนมากในระยะเวลาสั้นมากกว่าจำนวนเฉลี่ยในการดื่มน้ำทั้งวันค่ะอาจารย์ เพราะในระหว่างวันเรามีการสันดาปในร่างกายเยอะพอควร รวมทั้งกิจกรรมต่างๆด้วย ซึ่งมันน่าจะมีผลต่อการดูดซึมน้ำระหว่างวันไม่มากก็น้อย

    ดังนั้นแม้จะน่าคิดว่าการดื่มน้ำวันละ 8 แก้วน่าจะมากเกินไป แต่มันก็ยังมีข้อขัดแย้งว่ามีคนไม่น้อยที่ดื่มในจำนวนนี้หรือมากกว่านี้แล้วพบว่าสุขภาพดีขึ้น (คนเป็นนิ่วและไม่มีโรคอื่นมักได้รับการแนะนำให้ดื่มน้ำเยอะขึ้นค่ะ เพราะมีสุภาษิตรพ.ว่าน้ำน้อยย่อมแพ้นิ่ว) และมีคนจำนวนไม่น้อยที่มีโรคหรือกินยาบางอย่างก็ไม่สามารถดื่มน้ำได้มากเท่า

    คงไปลงที่ว่าร่างกายจะบอกเราเองถ้ารู้จักสังเกตเพื่อหาจุดพอดีสำหรับตัวเองมั้งคะ เพราะไม่ว่าจะดื่มวันละ 8 แก้ว หรือน้อยขนาดไม่เกิน 3 แก้วต่อวันตามที่อาจารย์กล่าวมาก็ล้วนอยู่บนปฏิปทาของตัวเองทั้งสิ้น

    (ขอจองเรื่องอุบัติเหตุกับเด็กยุคใหม่ก่อนนะคะ เพราะติดใจหลาย 55555555)

  • #3 ทวิช จิตรสมบูรณ์ ให้ความคิดเห็นเมื่อ 9 January 2011 เวลา 2:40 pm

    ท่านน้ำฟ้าฯ

    ที่ผมว่ามานั้นมันเป็น “ค่าเฉลี่ย” ของคนทั้งประเทศน่ะครับ ที่สอนกับในตำราสุขศึกษา ส่วนเรื่องเฉพาะแต่ละบุคคลก็ต้องว่ากันไปตามเงื่อนไขเฉพาะนะครับ

    ขอให้มีสุขกะเพียบดีตลอดไปเด๊อ …(ภาษาข้าเหม็นปนลาวนะเนี่ย)

  • #4 ทวิช จิตรสมบูรณ์ ให้ความคิดเห็นเมื่อ 9 January 2011 เวลา 7:06 pm

    ท่านน้ำฟ้าฯ ทวีต เอ๊ยโพสต์ว่า
    “…… เบิร์ดไม่สนใจว่าใครบอกให้กินเท่าไรเพราะฐานความเชื่อมันอยู่ที่ร่างกายบอกเราว่าอย่างไร และทางการแพทย์แน่นอนว่าอะไรที่มากเกินไปไม่ดีทั้งนั้น ..”

    ฮ่าๆ…ยกเว้นยาครับ หมอและเภสัชกรมักต้องการให้เรากินให้มาก เช่นยาปฏิชีวนะต้องกินให้ครบคอร์ส ยาบางอย่างต้องกินตลอดชีวิตเลยนะ เช่นยาลดความดันโลหิต

    ผมมานั่งวิเคราะห์ว่า อ๋อ..ก็บริษัทยามันสั่งมาน่ะซี่ …มีบทความวิจัยรองรับเป็นปี่ขลุ่ย คนเรากลัวตาย หมอสั่งอะไรก็ทำตามกันโม้ด

    อีกทั้ง “ยาเสพติด” ทั้งหลายนั้น มันก็ “บอก” ร่างกายของเราให้กินมากกว่าปกติเสมอ ไม่ใช่หรือ

    อย่าคิดว่าน้ำ จะไม่กลายเป็นยาเสพติดสำหรับบางคนไปได้นะครับ …ส่วนอากาศนั้นมันเสพติดกันมาจนเคยชินกันไปหมดแล้ว โดยเฉพาะโอโซนริมทะเล และ ภูเขา..อิอิ

  • #5 น้ำฟ้าและปรายดาว ให้ความคิดเห็นเมื่อ 10 January 2011 เวลา 5:17 am

    แหม อาจารย์อ่ะ! ทำเอาต้องกลับมาคุยต่อเรื่องนี้อีกจนได้ 555

    เบิร์ดคิดว่าอาจารย์ก็คงเห็นแบบเดียวกันคือการสั่งแบบ mass นั้นแม้จะดูขาดเหตุผลไปบ้างเพราะความเป็นจริงมันมีรายละเอียดที่ไม่เท่ากันตามลักษณะของบุคคลหรือความจำเป็น(แม้แต่การกินยาบางชนิดก็มีผลต่อความเข้มข้นของเลือดเช่นแคลเซียมเพื่อป้องกันกระดูกพรุน คนที่กินยานี้ประจำต้องดื่มน้ำเยอะ)

    แต่การโน้มน้าวแบบ mass นี้ทำเพื่ออะไร? เอาล่ะอาจมีคำตอบแบบเบิร์ดก็ได้ว่า”ไม่ทราบ” เพราะไม่มีคนคิดสุขบัญญัติ 10 ประการมาตอบซักทีนี่คะว่าที่ทำตอนนั้นมีความคิด ความคาดหวังอะไรอยู่ในหัว แต่อนุมานเอาว่าน่าจะหวังดีล่ะ(มั้ง)

    ประเด็นจึงอาจไม่อยู่ที่ว่ากินน้ำกี่แก้วถึงจะดีหรือมาก-น้อยเกินไป(เพราะ”ดี”หรือ”มาก-น้อยเกินไป” ก็ไม่มีนิยามหรือขนาดที่แน่นอนเหมือนกัน จนบางทีอาจเป็นแบบนี้ก็ได้ด้วยนะคะ http://lanpanya.com/skk222a1/2010/05/09/soree-bad/ )

    ส่วนการเป็นสิ่งเสพติดหรือไม่ก็น่าจะเข้าข่ายเดียวกัน,ฮา …ดังนั้นน่าจะไปอยู่ที่”การเลือก”เป็นหลัก เพราะเมื่อใดที่เริ่มโยนคำถามหรือแนวคิดใหม่เข้าไป นั่นหมายถึงการก่อกวนให้ผู้เลือก ได้เริ่มเห็นถึงเหตุของการเลือกนั้นชัดเจนขึ้น และรับผิดชอบการเลือกของตนเองมากขึ้น เหมือนประชาธิปไตยไงคะ ^ ^

    เบิร์ดเชื่อว่าปัจจัยเรื่องอายุยืนของพระธุดงค์หรือแม้แต่การดำรงอยู่ด้วยปัจจัยที่มี”แค่เพียงพอ”สำหรับดำรงชีวิตอยู่ในแต่ละวันตามที่อาจารย์ยกตัวอย่างมา ไม่น่าจะมีเหตุจากการดื่มน้ำเพียงอย่างเดียวเพราะอาจารย์ก็กล่าวถึงหลายปัจจัยมาก (เหมือนประชาธิปไตยอีกแล้ว อิอิอิ)

  • #6 อุ๊ยสร้อย ให้ความคิดเห็นเมื่อ 10 January 2011 เวลา 7:21 am

    ไตเป็นเขื่อนกักน้ำ สะกัดปล่อยน้ำในอัตราที่พอดีเมื่อน้ำพอ
    เขื่อนตัน น้ำท่วมปอด
    แต่ถ้ามีตัวช่วยดูดน้ำอยู่ในน้ำมากๆ เช่นน้ำตาล เขื่อนก็ปล่อยน้ำมาก ผืนดินก็แห้งเหมือนการปล่อยน้ำทิ้งยามน้ำหลาก
    เรื่องดื่มน้ำมากกี่แแก้วเป็นเพียงค่าพยากรณ์เหมือนกรมอุตุเตือนว่าฝนจะตกกี่เปอร์เซนต์ของพื้นที่ แล้วก็คอยแหงนฟ้าดูเอาว่าพื้นที่นั้นบนหัวเราหรือเปล่า
    ที่ดีกว่าคือรู้จักพิจารณาพื้นที่ของตัวเองว่ามีความชุ่มชื้นเพียงพอและต้องการน้ำมากหรือน้อย

    เนื่องจากอาจารย์เขียนได้ไอเดียน่าทึ่งค่ะ และสะกิดต่อมอยากตอบ ทั้งๆที่ปกติจะพูดน้อย (ฮา)

  • #7 สาวตา ให้ความคิดเห็นเมื่อ 15 January 2011 เวลา 4:30 pm

    “แต่ตามหลักวิศวกรรมศาสตร์นั้นการไหลในท่อที่มีหน้าตัดคงเดิมนั้น ถ้าความเร็วสูงขึ้น 2 เท่า เครื่องสูบส่ง (หัวใจในที่นี้) ต้องทำงานหนักมากขึ้น 8 เท่า (กฎความเร็วยกกำลังสาม) แต่ความหนืดที่ลดลงของเลือดที่ใสขึ้นอาจช่วยลดภาระการทำงานของหัวใจที่เพิ่ม ขึ้นนี้ได้เล็กน้อย (ประมาณ 2 เท่าเป็นอย่างมาก) ดังนั้นการใสขึ้นของเลือดจากการดื่มน้ำมากนั้นอย่างดีที่สุดก็ช่วยลดภาระการ ทำงานของหัวใจที่มากขึ้นจาก 8 เท่ามาเหลือแค่ 4 เท่า”

    ขอบคุณข้อความตรงนี้ ที่ทำให้ได้คำตอบว่า ทำไมคนที่ยังไม่มีความดันโลหิตสูง แต่เข้าข่ายเริ่มก้าวต่อไปที่จะมีความดันโลหิตสูงขึ้นจึงมีเลือดที่ข้นกว่าคนทั่วไป และทำไมเมื่อคนได้ปรับตัวให้เลือดของเขามีความใสขึ้น ความไม่สบายเล็กๆน้อยๆภายในร่างกายของเขาที่เคยมีจึงหายไปได้

    “สรุปคือ ตามหลักวิศวกรรมศาสตร์และหลักโภชนาการเลือดที่ใสขึ้นน่าจะเป็นผลร้ายต่อ หัวใจ และหลอดเลือดมากกว่าเลือดที่ข้นขึ้นเสียอีก (เรื่องนี้น่าสนใจมาก ทำเป็นวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกได้เลย หมอคนไหนสนใจโทรมาคุยกับผมได้ ที่ 044 224414 ถ้าได้รางวัลโนเบลจากเรื่องนี้ก็อย่าลืมผมด้วยกะแล้วกัน)”

    ขอบคุณข้อความตรงนี้เช่นกัน ที่ช่วยยืนยันว่า หลักการที่หมอใช้ดูแลคนไข้ โดยหลีกเลี่ยงการให้น้ำในคนที่ปัญหาของหัวใจและหลอดเลือดอยู่แล้ว นั้นเป็นเรื่องที่ใช่เลยว่า ไม่ได้ทำร้ายหัวใจคนไข้ให้แย่ลง

    ตามหาคนโค๊ดกับสังคมเรื่องการให้น้ำ “๘-๑๐ แก้วต่อวัน” มาเหมือนกันค่ะอาจารย์ แต่ก็ยังหาตัวไม่เจอ ที่ตามหาก็เพราะเห็นด้วยว่าการให้ข้อมูลเรื่องดื่มน้ำแบบว่าไปเรื่อยนี้ “อันตราย” จะทำให้คนป่วยด้วยโรคน้ำเป็นพิษได้

    เมื่อตามรอยลองดูว่าตัวเลขมาได้ยังไง ก็ไปเจอว่า สูตรนี้เขาใช้กับการรักษาคนที่ “ป่วย” เวลาเข้าร.พ. และใช้กับคนที่ไม่มีปัญหาของอวัยวะเหล่านี้ หัวใจ ไต ตับ ปอด เสื่อมถอยการทำงาน สูตรนี้ใช้เพื่อประคองให้สมองยังทำงานได้ดีในการเป็นแม่ทัพคอยสั่งการอวัยวะต่างๆให้ทำงานสู้โรค ระดมพลังของอวัยวะต่างๆมาช่วยให้อยู่รอด

    ตามรอยมาได้อย่างนี้ก็เลยเชื่อว่า คนที่นำมาบอกปรารถนาดี โดยลืมไปว่า ทุกอย่างมีด้านบวกและลบ เห็นด้านบวกว่าทำให้คนป่วย “ส่วนใหญ่” รอดพ้นจากการเสียชีวิต เลยลืมด้านลบ และลืมไปอีกหลายมุมว่า การใช้คำตรงข้าม แค่ใส่คำว่า “ไม่” ลงตรงหน้า คำว่า “ป่วย” มิได้หมายความว่าสามารถนำมาประคองให้ “สุขภาพดี” ได้เสมอไป

    “น้ำ” สำคัญสำหรับการอยู่รอดของสมอง
    “ความอุ่นพอดี” สำคัญสำหรับได้อากาศพอเพียงสำหรับการอยู่รอดโดยปอด
    “การไร้ของเสียคั่ง” สำคัญสำหรับการอยู่รอดโดยไต
    “อาหาร” สำคัญสำหรับการให้พลังงานเพื่อนำพาร่างกายไปได้ตลอดรอดฝั่ง โดยมีตับและตับอ่อนเป็นหลักสำคัญ
    “น้ำเลือด” สำคัญสำหรับการเป็นที่รวมของด่านป้องกันร่างกายให้อยู่รอดจากสิ่งรุกรานภายนอก
    “เม็ดเลือด” สำคัญสำหรับนำพาอาหารและอากาศไปให้ส่วนต่างๆของร่างกาย

    ทั้งหมดนี้ต้องการ “น้ำ” เพื่อปรับสมดุล จำนวนเท่าไร ความสำคัญไม่ได้อยู่ที่สูตร แต่อยู่ที่ “รู้จักตัวเอง” มากแค่ไหน อย่างที่อาจารย์กล่าวไว้

    โดยส่วนตัวนั้นนำสูตรนี้ มาใช้ในการบำบัดคนที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคยอดฮิตอย่างเรื่องความดันเลือดสูง และเบาหวานให้ใช้ปรับตัวเองเพื่อให้ห่างโรค ส่วนคนที่ปกติดีไม่เสี่ยงกับเรื่องนี้ก็ไม่ได้เน้น

    โดยส่วนตัวเช่นกัน ให้ความเคารพว่า การเรียนรู้ที่ดีคือการรู้จักมีข้อสังเกต วิเคราะห์ และสรุป ด้วยมุมมองส่วนตัว แล้วนำมาใช้ดูแลตัวเองให้ได้มาซึ่ง “สุขภาพดี” ที่ตนเองปรารถนา เพราะเจ้าของร่างกายเท่านั้นที่รู้ว่า “ตนเอง” ต้องการสุขภาพอย่างไร

    เห็นความรู้ที่เผยแพร่แล้วได้รับการย่อยและวิเคราะห์อย่างนี้แล้ว ดีใจ คนที่มีสติเท่านั้นที่สามารถดำรงตนอย่างนี้ได้ เมื่อความเชื่อได้รับการลงมือทำแล้วได้มาซึ่งสุขภาพอย่างที่ปรารถนาได้ ก็ดีใจด้วย สูตรของใครไม่สำคัญเท่าสูตรของตัวเองค่ะ

    ก็แค่เข้ามาแลกเปลี่ยนว่า เรื่องของ “น้ำ” มีมากกว่าเรื่อง “ไตวาย” ขอชวนให้มองหลายมุมก่อนนำพาชีวิตต่อไป เพราะชีวิตเป็นเรื่องขององค์รวมมีสามารถแยกส่วนโดยเฉพาะการมองแต่อวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งเพียงมุมเดียว

  • #8 สาวตา ให้ความคิดเห็นเมื่อ 15 January 2011 เวลา 4:39 pm

    มือเร็วกว่าความคิด กดแล้วดีดเลยไม่ทันแก้ประโยคสุดท้าย ก็ขอแก้นะคะ “ชีวิตเป็นเรื่องขององค์รวม “มิสามารถ” แยกส่วน….”

    ไหนก็เข้ามาแก้แล้วก็เลยขอความรู้สักหน่อย

    ความชื้นสัมพัทธ์ที่สามาารถคงอุณหภูมิน้ำที่ไหลผ่านท่อซึ่งมีหน้าตัดคงเดิมให้อยู่ที่ ๓๗ องศาเซนติเกรดตลอดเวลานั้น ต้องใช้น้ำเท่าไร มีหลักทางวิศวกรรมอธิบายให้เข้าใจง่ายๆได้มั๊ยค่ะ

  • #9 ทวิช จิตรสมบูรณ์ ให้ความคิดเห็นเมื่อ 15 January 2011 เวลา 7:06 pm

    คุณสาวตาครับ

    หลักความชื้นสัมพัทธ์ คือความชื้นที่คิดหน่วยเป็นร้อยละ ความชื้น100 คือ ชื้นเต็มที่ 0 คือแห้งสนิท ครับ แต่ 100 ของวันที่ร้อน มีไอน้ำในอากาศมากกว่า 100 ของวันที่เย็นครับ ผิวของเราในอากาศที่มีความชื้นสูงย่อมระเหยน้ำได้ช้ากว่า ดังนั้นทำให้เรารู้สึกร้อนกว่าปกติ (เช่นในเมืองร้อนแบบบ้านเรา) เพราะการระเหยน้ำที่ผิวหนังทำให้เรารู้สึกว่าเย็นได้ เนื่องจากการระเหยต้องการความร้อนแฝง (latent heat) ครับ

    คำถามของคุณ ผมไม่อาจตอบได้ (และไม่น่ามีคำตอบนะครับ) แต่ผมเข้าใจว่าร่างกายปกติมีกลไกรักษา T ให้อยู่ที่ 37 จึงต้องมีกลไกการระบายความร้อนออกจากร่างกายด้วย และผมเชื่อว่านี่คือเหตุผลว่าทำไมฝรั่งผิวหยาบกว่าคนบ้านเรา


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่


*
To prove you're a person (not a spam script), type the security word shown in the picture. Click on the picture to hear an audio file of the word.
Click to hear an audio file of the anti-spam word


Main: 0.25771713256836 sec
Sidebar: 0.010186910629272 sec