ลดพื้นที่ทำนา..หันมาทำอุตสาหกรรมป่าไม้กันดีกว่า
อนาคตประเทศไทย เกาะต้นไม้กินจะดีที่สุด
เดินทางไกลเที่ยวนี้ผมใช้เวลา 10 วัน ตระเวนไปตามแนวตะเข็บชายแดนลาว เลียบเลาะไปตามริมฝั่งโขง จากนั้นกระโดดไปเลาะริมแม่เมยจากแม่สะเรียงจนถึงแม่สอด (เส้นทางคดเคี้ยวเปลี่ยวเหงาที่สุดในประเทศไทยก็ว่าได้ หนึ่งชั่วโมงมีรถสวนมาหนึ่งคัน เต็มไปด้วยไทยกระเหรี่ยงตัวเล็กๆ ที่สะพายย่ามแสนน่ารัก)
สิ่งที่เห็นเหมือนกันไปหมดริมสองข้างทางสองพันกิโลเมตรที่ขับรถผ่านไปคือเขาหัวโล้นที่ถูกบุกรุกถากถางต่อหน้าต่อตาเจ้าหน้าที่บ้านเมืองที่ขับรถผ่านไปมาทั้งวัน (เช่น นายตำรวจใหญ่ ผู้ว่า นายอำเภอ และนักการเมืองทั้งหลาย) ผมจึงได้เกิดแนวคิดว่าถ้าสามารถเอาพื้นที่หลายล้านไร่เหล่านี้คืนมาได้ แล้วปลูกป่าไม้เนื้อแข็งสัก 10 สกุลสลับกันไป เช่น สัก มะค่า เต็ง รัง ประดู่ พยุง ชิงชัน แดง เราจะได้ป่าไม้เศรษฐกิจขนาดใหญ่มาก ที่สามารถสร้างความร่ำรวยให้ประเทศได้อีกมากโข แถมยังจะกลายเป็นป่าต้นน้ำให้เราได้มีพื้นดินอุดมสมบูรณ์กว่าเดิมอีกด้วย
วิธีการคือเราปลูกป่าดังกล่าวเป็นเวลา 20 ปีก่อนที่จะตัดไม้มาใช้ โดยการทะยอยตัดอย่างยั่งยืน สมมุติว่าเราปลูกป่า 10 ล้านไร่ ในแต่ละปีจัดตัดมาใช้เพียง 5 แสนไร่เท่านั้น อีก 9.5 ล้านไร่เป็นพื้นที่ป่าปลูกที่มีอายุจาก 1 ถึง 19 ปี เต็มพื้นที่ ป่าที่ตัดไม้ออกก็ปลูกป่ากลับคืนทันที หรือจะใช้วิธี 20 ต้น ตัด 1 ต้นก็ได้ จะได้ดูเหมือนว่าไม่มีรอยแหว่ง
ไม้ 5 แสนไร่ที่ตัดมานี้เราเอามาเพิ่มมูลค่าด้วยการทำเฟอร์นิเจอร์ชั้นดีส่งออกขายในประเทศและทั่วโลก ผมได้ลองคำนวณดูว่าถ้าเนื้อไม้ 1 ลูกบาศก์เมตรขายได้ 1 แสนบาท (อาจดูว่าแพง แต่ผมว่าถูกแล้ว ถ้าเอามาทำเป็นเฟอร์นิเจอร์ชั้นดีอาจได้ถึง 1 ล้านบาทด้วยซ้ำไป) แต่ละปี (5 แสนไร่) จะขายได้ถึงประมาณ 1 ล้านล้านบาทถึง 5 ล้านล้านบาท (อย่าลืมด้วยครับว่าผมได้ประเมินรายได้ประชาสัญชาติไทยจริงๆขณะนี้มีเพียง 1.35 ล้านล้านบาทเท่านั้นเอง ทั้งที่ตัวเลข GDP เรา 9 ล้านล้าน)
ในขณะที่ถ้าเอาที่ดิน 10 ล้านไร่ทั้งหมดมาทำนาจะขายได้เพียงประมาณ 5 หมื่นล้านบาทเท่านั้นเอง (คิดไร่ละ 5000 บาท และยังไม่หักรายจ่ายค่าปุ๋ยยาฆ่าแมลงที่เข้ากระเป๋าต่างชาติไปอีกตั้งครึ่งค่อน แต่การทำป่าไม้ดังกล่าวมีรายจ่ายน้อยมาก เพราะให้เทวดาดูแลเสียเป็นส่วนใหญ่)
อย่างนี้แล้วเราเลิกทำนาเลี้ยงโลกเสียทีดีไหม หันมาปลูกป่าไม้เนื้อแข็งกันดีกว่า เพราะบ้านเรานั้นแดดฝนดี ไม้โตเร็วกว่าเมืองฝรั่ง 10 เท่าเห็นจะได้ 20 ปีก็ได้ต้นขนาดใหญ่ 20 ซม. สูง 10 เมตรแล้ว แต่เราลืมคิดถึงแหล่งรายได้อันงามนี้ของเราไป ไปถางเอามาทำไร่นาเสียหมด ลองคิดดูสิครับโซฟาไม้สักน้ำหนักไม่ถึง 30 กก. ราคา 3 หมื่นสบายๆ (ถ้าออกเมืองนอกก็กลายเป็นแสนไปแล้ว) ตก กก. ละ 1000-3000 บาท มันเป็นรายได้มหาศาลจริงๆ (ในขณะที่ข้าวเปลือกกก.ละ 10 บาทเท่านั้น)
แต่ถ้าจะทำแบบนี้รัฐบาลต้องชาญฉลาดในการวางแผนระยะยาว (ซึ่งอะไรยาวๆนั้นน่าเป็นห่วงเสมอสำหรับรัฐบาลไทย) ด้วยการผลิตบุคลากรนายช่างไม้ฝีมือดีออกมาให้เต็มประเทศ (ซึ่งขณะนี้หายากมาก ช่างไม้ไทยเราส่วนใหญ่ตอนนี้ฝีมือแย่มาก สู้พม่าไม่ได้ ไม่เชื่อไปดูที่แม่สอด ค่าแรงวันละ 50 บาท แต่ฝีมือดีกว่าช่างไทยวันละ 300 บาทเสียอีก) อีกทั้งต้องมีนักออกแบบชั้นดีที่รู้ใจลูกค้าต่างชาติอีกด้วย มีการตลาดครบวงจร โดยการส่งออกไปขายนั้นให้ถอดออกเป็นชิ้นๆ ส่งทางเรือ แล้วเอาไปกระกอบที่ต่างประเทศ โดยเรามีโชว์รูมคนไทยขายเองทั่วโลกไปเลย จะเกิดรายได้ครบวงจรตั้งแต่ปลูก ผลิต จนกระทั่งขาย รวมทั้งรัฐต้องมีแผนการสร้างรายได้ให้เกษตรกรที่หันมาปลูกป่าในระหว่าง 20 ปีนี้ด้วย เช่น ให้เป็นเจ้าหน้าที่ดูแลป่าไม้ของตัวเอง ให้ปลูกพืชผักสวนครัวแซมป่าเพื่อช่วยค่าครองชีพไปด้วย ในขณะเดียวกันก็เอาไปเข้าโรงเรียนช่างไม้เพื่อเตรียมพร้อมผลิตเฟอร์นิเจอร์ ในระหว่างนี้ก็อาจซื้อไม้จากประเทศเพื่อนบ้านและจากป่าของเราเองมาผลิตขายไปพลางก่อน หรือ หัดทำเฟอร์นิเจอร์ไม้เนื้ออ่อนเช่น สะเดา ยูคา กระถินเทพาขายไปพลางก่อนก็ได้
ผมเชื่อว่าตลาดโลกมีความต้องการเฟอร์นิเจอร์ไม้มาก ยิ่งพอบอกว่าเป็นไม้สักจะสู้ราคากันไม่อั้นเลย เพราะมันกลายเป็นไม้ในเทพนิยายไปแล้ว (ทั้งที่ก็งั้นๆแหละ ผมชอบไม้แดง ไม้มะค่า พยุง ชิงชันมากกว่า)
นอกจากความชุ่มชื้นอุดมสมบูรณ์ร่มเย็นแล้วชาวเกษตรป่ายังสามารถปลูกพืซแซมการปลูกป่าเพิ่มรายได้ได้อีกมาก เช่น มัน กลอย กระบุก กล้วยไม้ ไม้เถาต่างๆที่ชอบแดดรำไร รวมไปถึงไข่มดแดง แย้ กระแต กระรอก นก หนู งู ที่จะเพิ่มจำนวนขึ้นมากมายเข้ามาเป็นอาหารป่าให้ชาวบ้าน
ประเทศไทยเราต้องเกาะต้นไม้กินนั่นแหละดีที่สุด จะรวยแบบยั่งยืน แถมอยู่เย็นเป็นสุขกันถ้วนหน้า อย่าให้เขาดูถูกได้อีกว่าแผ่นดินนี้มีดีทุกอย่างยกเว้นมีคนไทยเข้ามาอยู่
…ทวิช จิตรสมบูรณ์ ๑๑ พค. ๕๒
ปล. ขณะนี้ พย. ๒๕๕๓ ผมได้แนวคิดเพิ่มว่า ไทยเราควรลดพื้นที่ทำนา ไร่ ลงมา เอาให้มีแค่พอกินใช้ในประเทศเท่านั้น แล้วนำพื้นที่ที่เหลือมาปลูกป่าดีกว่า เพราะทำนาได้กำไรสุทธิไร่ละประมาณ 3000 บาทเท่านั้น แต่ถ้าปลูกป่าทำเฟอร์นิเจอร์จะได้ ไร่ละ 1 ล้านบาทต่อปี (คำนวณแล้ว ไม่ว่าปลูกไม้อะไรก็จะได้เท่านี้แหละ ถ้ารู้จักเพิ่มมูลค่าให้ดี) แถมป่ายังช่วยป้องกันน้ำท่วม และช่วยลดโลกร้อนได้ด้วย วันนี้ผมอ่านข่าวเศรษฐกิจการเกษตรทีไรก็แสนเศร้าใจที่รัฐบาลไทยคิดได้แต่จะแข่งกับเวียตนามเพื่อส่งออกข้าว..ผมว่าปล่อยให้เขาแซงเราไปเถอะครับ เรื่องแบบนี้ไปแข่งทำไมให้โง่
« « Prev : วิธีลดการจราจรติดขัดในช่วงเทศกาล
Next : ดื่มน้ำวันละ 8 แก้ว มันมากเกินไป ระวังจะตายไวนะ » »
3 ความคิดเห็น
เรื่องแข่งโง่ถนัดอยู่แล้ว
มาเลเซียปล่อยให้เราและประเทศอื่นปลูกยางพารา
แต่ตัวเองหนีไปปลูกปาล์มน้ำมัน ซึ่งเอาไปทำอะไรได้มากกว่า
ขาดยางไม่เดือดร้อนเท่าขาดน้ำมันปาล์ม
วันนี้ประกาศขึ้นราคาพรวดๆ แต่ยางก็ราคาดีมาก แห่ปลูกทั่วโลกอีกหน่อยก็ราคาตก
เรื่องราคาไม้ยังไม่เป็นไปตามที่คิดเท่าไหร่นัก
ถ้าตั้งโรงงานประดิษฐกรรมไม่ได้ ต้องส่งโรงงาน
ที่สตึกมีโรงงานทำไม้อัด (เอาไม้ไปปอกเป็นแผ่นยาวๆทากาว)
รับซื้อราคาไม้ท่อนยาว1.35 เมตร เส้นผ่าศูนย์กลาง6นิ้ว
ราคาตันละ 900-1,000 บาท ซึ่่่งถูกมากๆเหมือนได้เปล่า
โรงงานชิ้นไม้สับก็รับซื้อราคานี้>>>
ถ้ารัฐเปิดกว้าง (พวกหอยทากก็หมดทางแทะโลม อ้างกฎหมายหากิน ใครจะแก้ไข ทุบหม้อข้าวเถื่อน)
ถ้าชาวบ้านจะเลื่อยไม้ขายเอง กฎหมายป่าไม้ก็ค้ำคอ เจอลูกพลิกแพงแทงกั๊กเยอะมาก
มีเปรต/เสือหิว ขอแบ่งเศษสลอน (ยูคาฯต้นใหญ่เลื่อยเป็นไม้เครื่องหน้า 3-5นิ้ว ขายได้ต้นละ30,000บาท)
(ถ้าเป็นไม้ประดู แดง ยาง หรือกระถินณรงค์จะได้ราคาสูงกว่านี้มาก)
ตัวกฎหมายป่าไม้เป็นอุปสรรค ไม่มีใครลงทุนปลูกป่า
รัฐฯเสนอหน้าเรื่องรักป่า ดูแลป่า ไม้หวงห้าม ปิดป่า สุดท้ายเหลือแต่ตอ
ต้องมาทำการอนุรักษ์ตอไม้แบบพวกหัวหลักหัวตอ
ถ้ามีใครมาคลี่ปมตรงนี้ ประเทศเราจะไปโลดปลูกไม้กันระเบิดระเบอ
มีเรื่องน่าคิดน่าทำทั้งนั้น ดีกว่าจะไปงมโข่งกับข้าว-อ้อย-มันฯ-ยักแย่ยักยัน
(เรื่องช่างฝีมือสำคัญมาก สล่าภาคเหนือไปเอารางหมูเก่าๆมาแกะสลักเป็นนางฟ้าขายเป็นหมื่น)
มีสล่าใหญ่ที่ลำปางแกะสลักช้าง3เศียร ขาย 300,000 บาท
เรื่องวงการป่าไม้ยังเล่นตลกอยู่อีกเยอะ
ขอสนับสนุนแนวคิดนี้
การปลูกป่านั้นจำเป็นอย่างยิ่ง เดนมาร์คมีป่าขยายปีละ 2 % นี่หลายสิบปีมาแล้ว และป่าของเขาไม่หลากหลายเท่าบ้านเรา
การปลูกป่านั้น หากเป็นพื้นที่ป่าแห่งชาติ ควรให้เป็นป่าธรรมชาติดีกว่าในทัศนะผม ส่วนใครจะปลูกสัก ปลูกเต็ง ประดู่ พะยูงนั้น น่าจะเป็นพื้นที่ส่วนบุคคล หากปลูกป่าโดยแบ่งชนิดไม้นั้นเรียกสวนป่า
ที่ดีกว่าคือไม่ปลุกสวนป่าให้คละกันหมด และปล่อยให้ธรรมชาติของป่ามันเติบโต เช่นมีไม้เรือนล่างเติบโตขึ้นมาสารพัดตามธรรมชาติเขาจริงๆ สิ่งที่ได้มากกว่าเนื้อไม้พะยุง เต็ง สัก ฯลฯ คือ พืชสมุนไพร ต่างๆนานาทั้งที่เคยมีแล้วหายไป และที่มีอยู่แต่เรายังไม่รู้จัก ไม่ได้ค้นคว้าเชิงวิชาการ คุณค่าป่าส่วนนนี้มหาสารมากกว่าคุณค่าของราคาไม้เสียอีก ท่านทราบไหมว่ายาที่รักษามะเร็งนั้นคือสมุนไพรที่มาจากป่า ยามะเร็ง 1 หม้อราคามากกว่าพะยุง 1 ต้นนะครับ หมอยามะเร็งที่ตลาด จังหวัดอ่างทองยืนยันเช่นนั้น
ส่วนลดพื้นที่ทำนาเอาไปปลูกป่านั้น พื้นที่ทำนากับพื้นที่ปลูกป่านั้นส่วนใหญ่อยู่คนละจุดกันนะครับ ยกเว้นข้าวไร่ ที่ปลูกในที่ดอนหรือบนลอนลูกคลื่นตามภูมิประเทศที่สูง แต่ท่านอาจจะพูดไม่หมด เพราะหากชาวนาครอบครัวหนึ่งมีที่ดินในที่ดอนทั้งสิบไร่ จะให้ไปปลูกป่าหมดแล้วซื้อข้าวกินนั้น วัฒนธรรมการบริโภคของเกษตรกรคงต้องใช้เวลาปรับตัวเรื่องนี้อีกนาน และหากแบ่งพื้นที่ มาทำนา ปลูกป่า มันก็จะได้พื้นที่ที่ปลูกต้นไม้เป็นกระจุกๆ ไม่ต่อเนื่องเป็นผืนใหญ่ นี่เองความคิดลดพื้นที่ทำนาซึ่งมีการพูดถึงในหลายสิบปีก่อนจึงไม่เป็นจริง แต่ที่เป็นจริงคือ คนทำนาลดลง เพราะลูกหลานเกษตรกรหนีอาชีพไปเข้าโรงงานและอื่นๆมากกว่า
การปลูกป่านั้นจำเป็นมากๆอยู่แล้ว แต่ลดพื้นที่ทำนาไปปลูกป่านั้น อาจจะไม่เป็นจริงครับ แต่โดยธรรมชาติของการเคลื่อนตัวของสังคม คนที่จะยึดอาชีพทำนานั้นลดลงอยู่แล้วครับ
และหากเราเห็นด้วยกับหลักการพึ่งตนเองตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงนั้น ข้าวเป็นปัจจัยหลักของเกษตรกรที่ต้องทำนาเพื่อบริโภค
หลักการของท่านดูน่าสนใจ แต่หากไปมองในรายครอบครัวแล้ว ที่มีเงื่อนไขแตกต่างกันมากมาย มองไม่ออกว่าจะเป็นไปได้อย่างไรน่ะครับ
ขออนุญาติเห็นต่างนะครับ
ท่านbangsai ครับ
ผมเสนอให้ลดนะครับ ไม่ใช่เลิก ทำนา คือทำพอกินในประเทศพอแล้ว (นี่ไงครับพอเพียง ทุกวันนี้เราปลูกเกินพอ แล้วไปแข่งกันขายกับเวียตนาม ตัดราคากันสนุก แข่งกันจนว่างั้นเถอะ)
ส่วนจะลดอย่างไรเป็นเรื่องรายละเอียดครับ (ความจริงผมคิดรายละเอียดไว้หมดแล้ว แต่ไม่มีเวลาโพสต์ครับ)
การปลูกป่าก็เช่นกันครับ เป็นเรื่องรายละเอียดว่าจะปลูกอย่างไร ได้ทั้งนั้นแหละครับ แม้แต่ปลูกพืชเชิงเดี่ยวก็ยังดีต่อระบบนิเวศกว่าทำนาครับ (เช่นยางพารา)และดีกว่าปล่อยให้เป็นเขาหัวโล้นแน่นอน