ลดพื้นที่ทำนา..หันมาทำอุตสาหกรรมป่าไม้กันดีกว่า

โดย withwit เมื่อ 9 January 2011 เวลา 10:13 am ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2056

อนาคตประเทศไทย เกาะต้นไม้กินจะดีที่สุด

 

เดินทางไกลเที่ยวนี้ผมใช้เวลา 10 วัน ตระเวนไปตามแนวตะเข็บชายแดนลาว เลียบเลาะไปตามริมฝั่งโขง จากนั้นกระโดดไปเลาะริมแม่เมยจากแม่สะเรียงจนถึงแม่สอด (เส้นทางคดเคี้ยวเปลี่ยวเหงาที่สุดในประเทศไทยก็ว่าได้ หนึ่งชั่วโมงมีรถสวนมาหนึ่งคัน เต็มไปด้วยไทยกระเหรี่ยงตัวเล็กๆ ที่สะพายย่ามแสนน่ารัก)

 

สิ่งที่เห็นเหมือนกันไปหมดริมสองข้างทางสองพันกิโลเมตรที่ขับรถผ่านไปคือเขาหัวโล้นที่ถูกบุกรุกถากถางต่อหน้าต่อตาเจ้าหน้าที่บ้านเมืองที่ขับรถผ่านไปมาทั้งวัน (เช่น นายตำรวจใหญ่ ผู้ว่า นายอำเภอ และนักการเมืองทั้งหลาย) ผมจึงได้เกิดแนวคิดว่าถ้าสามารถเอาพื้นที่หลายล้านไร่เหล่านี้คืนมาได้ แล้วปลูกป่าไม้เนื้อแข็งสัก 10 สกุลสลับกันไป เช่น สัก มะค่า เต็ง รัง ประดู่ พยุง ชิงชัน แดง เราจะได้ป่าไม้เศรษฐกิจขนาดใหญ่มาก ที่สามารถสร้างความร่ำรวยให้ประเทศได้อีกมากโข แถมยังจะกลายเป็นป่าต้นน้ำให้เราได้มีพื้นดินอุดมสมบูรณ์กว่าเดิมอีกด้วย

 

วิธีการคือเราปลูกป่าดังกล่าวเป็นเวลา 20 ปีก่อนที่จะตัดไม้มาใช้ โดยการทะยอยตัดอย่างยั่งยืน สมมุติว่าเราปลูกป่า 10 ล้านไร่ ในแต่ละปีจัดตัดมาใช้เพียง 5 แสนไร่เท่านั้น อีก 9.5 ล้านไร่เป็นพื้นที่ป่าปลูกที่มีอายุจาก 1 ถึง 19 ปี เต็มพื้นที่ ป่าที่ตัดไม้ออกก็ปลูกป่ากลับคืนทันที หรือจะใช้วิธี 20 ต้น ตัด 1 ต้นก็ได้ จะได้ดูเหมือนว่าไม่มีรอยแหว่ง

 

ไม้ 5 แสนไร่ที่ตัดมานี้เราเอามาเพิ่มมูลค่าด้วยการทำเฟอร์นิเจอร์ชั้นดีส่งออกขายในประเทศและทั่วโลก ผมได้ลองคำนวณดูว่าถ้าเนื้อไม้ 1 ลูกบาศก์เมตรขายได้ 1 แสนบาท (อาจดูว่าแพง แต่ผมว่าถูกแล้ว ถ้าเอามาทำเป็นเฟอร์นิเจอร์ชั้นดีอาจได้ถึง 1 ล้านบาทด้วยซ้ำไป) แต่ละปี (5 แสนไร่) จะขายได้ถึงประมาณ 1 ล้านล้านบาทถึง 5 ล้านล้านบาท (อย่าลืมด้วยครับว่าผมได้ประเมินรายได้ประชาสัญชาติไทยจริงๆขณะนี้มีเพียง 1.35 ล้านล้านบาทเท่านั้นเอง ทั้งที่ตัวเลข GDP เรา 9 ล้านล้าน)

 

 ในขณะที่ถ้าเอาที่ดิน 10 ล้านไร่ทั้งหมดมาทำนาจะขายได้เพียงประมาณ 5 หมื่นล้านบาทเท่านั้นเอง  (คิดไร่ละ 5000 บาท และยังไม่หักรายจ่ายค่าปุ๋ยยาฆ่าแมลงที่เข้ากระเป๋าต่างชาติไปอีกตั้งครึ่งค่อน แต่การทำป่าไม้ดังกล่าวมีรายจ่ายน้อยมาก เพราะให้เทวดาดูแลเสียเป็นส่วนใหญ่)

 

อย่างนี้แล้วเราเลิกทำนาเลี้ยงโลกเสียทีดีไหม หันมาปลูกป่าไม้เนื้อแข็งกันดีกว่า เพราะบ้านเรานั้นแดดฝนดี ไม้โตเร็วกว่าเมืองฝรั่ง 10 เท่าเห็นจะได้ 20 ปีก็ได้ต้นขนาดใหญ่ 20 ซม. สูง 10 เมตรแล้ว แต่เราลืมคิดถึงแหล่งรายได้อันงามนี้ของเราไป ไปถางเอามาทำไร่นาเสียหมด ลองคิดดูสิครับโซฟาไม้สักน้ำหนักไม่ถึง 30 กก. ราคา 3 หมื่นสบายๆ (ถ้าออกเมืองนอกก็กลายเป็นแสนไปแล้ว) ตก กก. ละ 1000-3000 บาท มันเป็นรายได้มหาศาลจริงๆ  (ในขณะที่ข้าวเปลือกกก.ละ 10 บาทเท่านั้น)

 

แต่ถ้าจะทำแบบนี้รัฐบาลต้องชาญฉลาดในการวางแผนระยะยาว (ซึ่งอะไรยาวๆนั้นน่าเป็นห่วงเสมอสำหรับรัฐบาลไทย)  ด้วยการผลิตบุคลากรนายช่างไม้ฝีมือดีออกมาให้เต็มประเทศ (ซึ่งขณะนี้หายากมาก ช่างไม้ไทยเราส่วนใหญ่ตอนนี้ฝีมือแย่มาก สู้พม่าไม่ได้ ไม่เชื่อไปดูที่แม่สอด ค่าแรงวันละ 50 บาท แต่ฝีมือดีกว่าช่างไทยวันละ 300 บาทเสียอีก)  อีกทั้งต้องมีนักออกแบบชั้นดีที่รู้ใจลูกค้าต่างชาติอีกด้วย มีการตลาดครบวงจร โดยการส่งออกไปขายนั้นให้ถอดออกเป็นชิ้นๆ  ส่งทางเรือ แล้วเอาไปกระกอบที่ต่างประเทศ โดยเรามีโชว์รูมคนไทยขายเองทั่วโลกไปเลย จะเกิดรายได้ครบวงจรตั้งแต่ปลูก ผลิต จนกระทั่งขาย รวมทั้งรัฐต้องมีแผนการสร้างรายได้ให้เกษตรกรที่หันมาปลูกป่าในระหว่าง 20 ปีนี้ด้วย เช่น ให้เป็นเจ้าหน้าที่ดูแลป่าไม้ของตัวเอง ให้ปลูกพืชผักสวนครัวแซมป่าเพื่อช่วยค่าครองชีพไปด้วย ในขณะเดียวกันก็เอาไปเข้าโรงเรียนช่างไม้เพื่อเตรียมพร้อมผลิตเฟอร์นิเจอร์ ในระหว่างนี้ก็อาจซื้อไม้จากประเทศเพื่อนบ้านและจากป่าของเราเองมาผลิตขายไปพลางก่อน หรือ หัดทำเฟอร์นิเจอร์ไม้เนื้ออ่อนเช่น สะเดา ยูคา กระถินเทพาขายไปพลางก่อนก็ได้

 

ผมเชื่อว่าตลาดโลกมีความต้องการเฟอร์นิเจอร์ไม้มาก ยิ่งพอบอกว่าเป็นไม้สักจะสู้ราคากันไม่อั้นเลย เพราะมันกลายเป็นไม้ในเทพนิยายไปแล้ว (ทั้งที่ก็งั้นๆแหละ ผมชอบไม้แดง ไม้มะค่า พยุง ชิงชันมากกว่า)

 

นอกจากความชุ่มชื้นอุดมสมบูรณ์ร่มเย็นแล้วชาวเกษตรป่ายังสามารถปลูกพืซแซมการปลูกป่าเพิ่มรายได้ได้อีกมาก เช่น มัน กลอย กระบุก กล้วยไม้ ไม้เถาต่างๆที่ชอบแดดรำไร รวมไปถึงไข่มดแดง แย้ กระแต กระรอก นก หนู งู ที่จะเพิ่มจำนวนขึ้นมากมายเข้ามาเป็นอาหารป่าให้ชาวบ้าน

 

ประเทศไทยเราต้องเกาะต้นไม้กินนั่นแหละดีที่สุด จะรวยแบบยั่งยืน แถมอยู่เย็นเป็นสุขกันถ้วนหน้า อย่าให้เขาดูถูกได้อีกว่าแผ่นดินนี้มีดีทุกอย่างยกเว้นมีคนไทยเข้ามาอยู่

 

…ทวิช จิตรสมบูรณ์ ๑๑ พค. ๕๒

 

ปล. ขณะนี้ พย. ๒๕๕๓ ผมได้แนวคิดเพิ่มว่า ไทยเราควรลดพื้นที่ทำนา ไร่ ลงมา เอาให้มีแค่พอกินใช้ในประเทศเท่านั้น แล้วนำพื้นที่ที่เหลือมาปลูกป่าดีกว่า เพราะทำนาได้กำไรสุทธิไร่ละประมาณ 3000 บาทเท่านั้น แต่ถ้าปลูกป่าทำเฟอร์นิเจอร์จะได้ ไร่ละ 1 ล้านบาทต่อปี (คำนวณแล้ว ไม่ว่าปลูกไม้อะไรก็จะได้เท่านี้แหละ ถ้ารู้จักเพิ่มมูลค่าให้ดี)  แถมป่ายังช่วยป้องกันน้ำท่วม และช่วยลดโลกร้อนได้ด้วย  วันนี้ผมอ่านข่าวเศรษฐกิจการเกษตรทีไรก็แสนเศร้าใจที่รัฐบาลไทยคิดได้แต่จะแข่งกับเวียตนามเพื่อส่งออกข้าว..ผมว่าปล่อยให้เขาแซงเราไปเถอะครับ เรื่องแบบนี้ไปแข่งทำไมให้โง่

 

 

« « Prev : วิธีลดการจราจรติดขัดในช่วงเทศกาล

Next : ดื่มน้ำวันละ 8 แก้ว มันมากเกินไป ระวังจะตายไวนะ » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

3 ความคิดเห็น

  • #1 sutthinun ให้ความคิดเห็นเมื่อ 9 January 2011 เวลา 1:49 pm

    เรื่องแข่งโง่ถนัดอยู่แล้ว
    มาเลเซียปล่อยให้เราและประเทศอื่นปลูกยางพารา
    แต่ตัวเองหนีไปปลูกปาล์มน้ำมัน ซึ่งเอาไปทำอะไรได้มากกว่า
    ขาดยางไม่เดือดร้อนเท่าขาดน้ำมันปาล์ม
    วันนี้ประกาศขึ้นราคาพรวดๆ แต่ยางก็ราคาดีมาก แห่ปลูกทั่วโลกอีกหน่อยก็ราคาตก
    เรื่องราคาไม้ยังไม่เป็นไปตามที่คิดเท่าไหร่นัก
    ถ้าตั้งโรงงานประดิษฐกรรมไม่ได้ ต้องส่งโรงงาน
    ที่สตึกมีโรงงานทำไม้อัด (เอาไม้ไปปอกเป็นแผ่นยาวๆทากาว)
    รับซื้อราคาไม้ท่อนยาว1.35 เมตร เส้นผ่าศูนย์กลาง6นิ้ว
    ราคาตันละ 900-1,000 บาท ซึ่่่งถูกมากๆเหมือนได้เปล่า
    โรงงานชิ้นไม้สับก็รับซื้อราคานี้>>>
    ถ้ารัฐเปิดกว้าง (พวกหอยทากก็หมดทางแทะโลม อ้างกฎหมายหากิน ใครจะแก้ไข ทุบหม้อข้าวเถื่อน)
    ถ้าชาวบ้านจะเลื่อยไม้ขายเอง กฎหมายป่าไม้ก็ค้ำคอ เจอลูกพลิกแพงแทงกั๊กเยอะมาก
    มีเปรต/เสือหิว ขอแบ่งเศษสลอน (ยูคาฯต้นใหญ่เลื่อยเป็นไม้เครื่องหน้า 3-5นิ้ว ขายได้ต้นละ30,000บาท)
    (ถ้าเป็นไม้ประดู แดง ยาง หรือกระถินณรงค์จะได้ราคาสูงกว่านี้มาก)
    ตัวกฎหมายป่าไม้เป็นอุปสรรค ไม่มีใครลงทุนปลูกป่า
    รัฐฯเสนอหน้าเรื่องรักป่า ดูแลป่า ไม้หวงห้าม ปิดป่า สุดท้ายเหลือแต่ตอ
    ต้องมาทำการอนุรักษ์ตอไม้แบบพวกหัวหลักหัวตอ
    ถ้ามีใครมาคลี่ปมตรงนี้ ประเทศเราจะไปโลดปลูกไม้กันระเบิดระเบอ
    มีเรื่องน่าคิดน่าทำทั้งนั้น ดีกว่าจะไปงมโข่งกับข้าว-อ้อย-มันฯ-ยักแย่ยักยัน
    (เรื่องช่างฝีมือสำคัญมาก สล่าภาคเหนือไปเอารางหมูเก่าๆมาแกะสลักเป็นนางฟ้าขายเป็นหมื่น)
    มีสล่าใหญ่ที่ลำปางแกะสลักช้าง3เศียร ขาย 300,000 บาท
    เรื่องวงการป่าไม้ยังเล่นตลกอยู่อีกเยอะ
    ขอสนับสนุนแนวคิดนี้

  • #2 bangsai ให้ความคิดเห็นเมื่อ 10 January 2011 เวลา 12:33 am

    การปลูกป่านั้นจำเป็นอย่างยิ่ง เดนมาร์คมีป่าขยายปีละ 2 % นี่หลายสิบปีมาแล้ว และป่าของเขาไม่หลากหลายเท่าบ้านเรา
    การปลูกป่านั้น หากเป็นพื้นที่ป่าแห่งชาติ ควรให้เป็นป่าธรรมชาติดีกว่าในทัศนะผม ส่วนใครจะปลูกสัก ปลูกเต็ง ประดู่ พะยูงนั้น น่าจะเป็นพื้นที่ส่วนบุคคล หากปลูกป่าโดยแบ่งชนิดไม้นั้นเรียกสวนป่า

    ที่ดีกว่าคือไม่ปลุกสวนป่าให้คละกันหมด และปล่อยให้ธรรมชาติของป่ามันเติบโต เช่นมีไม้เรือนล่างเติบโตขึ้นมาสารพัดตามธรรมชาติเขาจริงๆ สิ่งที่ได้มากกว่าเนื้อไม้พะยุง เต็ง สัก ฯลฯ คือ พืชสมุนไพร ต่างๆนานาทั้งที่เคยมีแล้วหายไป และที่มีอยู่แต่เรายังไม่รู้จัก ไม่ได้ค้นคว้าเชิงวิชาการ คุณค่าป่าส่วนนนี้มหาสารมากกว่าคุณค่าของราคาไม้เสียอีก ท่านทราบไหมว่ายาที่รักษามะเร็งนั้นคือสมุนไพรที่มาจากป่า ยามะเร็ง 1 หม้อราคามากกว่าพะยุง 1 ต้นนะครับ หมอยามะเร็งที่ตลาด จังหวัดอ่างทองยืนยันเช่นนั้น

    ส่วนลดพื้นที่ทำนาเอาไปปลูกป่านั้น พื้นที่ทำนากับพื้นที่ปลูกป่านั้นส่วนใหญ่อยู่คนละจุดกันนะครับ ยกเว้นข้าวไร่ ที่ปลูกในที่ดอนหรือบนลอนลูกคลื่นตามภูมิประเทศที่สูง แต่ท่านอาจจะพูดไม่หมด เพราะหากชาวนาครอบครัวหนึ่งมีที่ดินในที่ดอนทั้งสิบไร่ จะให้ไปปลูกป่าหมดแล้วซื้อข้าวกินนั้น วัฒนธรรมการบริโภคของเกษตรกรคงต้องใช้เวลาปรับตัวเรื่องนี้อีกนาน และหากแบ่งพื้นที่ มาทำนา ปลูกป่า มันก็จะได้พื้นที่ที่ปลูกต้นไม้เป็นกระจุกๆ ไม่ต่อเนื่องเป็นผืนใหญ่ นี่เองความคิดลดพื้นที่ทำนาซึ่งมีการพูดถึงในหลายสิบปีก่อนจึงไม่เป็นจริง แต่ที่เป็นจริงคือ คนทำนาลดลง เพราะลูกหลานเกษตรกรหนีอาชีพไปเข้าโรงงานและอื่นๆมากกว่า

    การปลูกป่านั้นจำเป็นมากๆอยู่แล้ว แต่ลดพื้นที่ทำนาไปปลูกป่านั้น อาจจะไม่เป็นจริงครับ แต่โดยธรรมชาติของการเคลื่อนตัวของสังคม คนที่จะยึดอาชีพทำนานั้นลดลงอยู่แล้วครับ
    และหากเราเห็นด้วยกับหลักการพึ่งตนเองตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงนั้น ข้าวเป็นปัจจัยหลักของเกษตรกรที่ต้องทำนาเพื่อบริโภค
    หลักการของท่านดูน่าสนใจ แต่หากไปมองในรายครอบครัวแล้ว ที่มีเงื่อนไขแตกต่างกันมากมาย มองไม่ออกว่าจะเป็นไปได้อย่างไรน่ะครับ
    ขออนุญาติเห็นต่างนะครับ

  • #3 ทวิช จิตรสมบูรณ์ ให้ความคิดเห็นเมื่อ 11 January 2011 เวลา 12:30 pm

    ท่านbangsai ครับ

    ผมเสนอให้ลดนะครับ ไม่ใช่เลิก ทำนา คือทำพอกินในประเทศพอแล้ว (นี่ไงครับพอเพียง ทุกวันนี้เราปลูกเกินพอ แล้วไปแข่งกันขายกับเวียตนาม ตัดราคากันสนุก แข่งกันจนว่างั้นเถอะ)

    ส่วนจะลดอย่างไรเป็นเรื่องรายละเอียดครับ (ความจริงผมคิดรายละเอียดไว้หมดแล้ว แต่ไม่มีเวลาโพสต์ครับ)

    การปลูกป่าก็เช่นกันครับ เป็นเรื่องรายละเอียดว่าจะปลูกอย่างไร ได้ทั้งนั้นแหละครับ แม้แต่ปลูกพืชเชิงเดี่ยวก็ยังดีต่อระบบนิเวศกว่าทำนาครับ (เช่นยางพารา)และดีกว่าปล่อยให้เป็นเขาหัวโล้นแน่นอน


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่


*
To prove you're a person (not a spam script), type the security word shown in the picture. Click on the picture to hear an audio file of the word.
Click to hear an audio file of the anti-spam word


Main: 0.1515748500824 sec
Sidebar: 0.10720205307007 sec