แนวคิดการทำเตียงอุ่นแก้หนาว

4 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 21 January 2011 เวลา 4:13 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1834

แนวคิดการทำเตียงอุ่นแก้หนาว

เอาหินมาเผา (อีกแล้ว..อิอิ) แล้วเอาบรรจุใส่กระถางปลูกต้นไม้ดินเผา ที่มีรูเจาะด้านล่าง เอาฝาปิดให้สนิท เช่นฝาไม้ (ไม่ควรใช้ฝาโลหะ) อุดกันรั่วตามขอบกระถางกับฝาปิดด้วยกระดาษนสพ. หรือจะใช้แผ่นกระดาษนสพ. แทนฝาไม้ก็น่าจะสะดวกดีนะครับ เจาะรูที่ฝาแล้วเอาท่อพลาสติกไปเสียบไว้ ยาแนวกันรั่วให้ดีด้วยกระดาษอ่อนเช่น กระดาษชำระ เอากระถางวางไว้ที่พื้นห้องด้านท้ายเตียง ต่อสายยางเข้าไปใต้ผ้าห่ม ยิ่งถ้าใช้ถุงนอนยิ่งดี โดยเจาะรูที่ก้นถุงนอน (ต้องลงทุนหน่อย) แล้วเอาสายยางทิ่มเข้าไปในรูตรงบริเวณเท้า อุดรอยรั่วด้วย

อ้อ..ต้องเอาเศษสตางค์เหรียญบาท รองก้นกระถางด้วยนะครับ เพื่อเปิดช่องให้ลมลอดเข้ารูก้นถังได้ อากาศไปดูดซับความร้อนจาก้อนหิน แล้วลอยไหลไปเข้าท่อ อากาศร้อนย่อมลอยสูงขึ้นตามกฎฟิสิกส์ เมื่อเข้าไปในถุงนอนแล้วมันก็จะไปอุ่นอากาศในถุงให้อุ่นสบาย แล้วซึมออกผ่านรูพรุน หรือ ออกทางปากถุงในที่สุด

ถ้าไม่มีถุงนอน เอาผ้าห่มมาม้วนๆ แล้วเอาพลาสติกห่อทับ หนีบด้วยคลิบหนีบกระดาษขนาดใหญ่ หลายๆตัวตรงรอยต่อผ้าห่ม ก็อาจพอทดแทนถุงนอนได้กระมังครับ

ฝันดีนะครับ ท่านใดทดลองแล้วได้หรือไม่ได้ผลประการใดช่วยแจ้งกันด้วยครับ

ทวิช จิตรสมบูรณ์ (๒๐ มค. ๒๕๕๓)


ก้อนหินแก้หนาว (สำหรับคนจน)

12 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 20 January 2011 เวลา 12:27 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1714

เก้าอี้แก้หนาว

 

วิธีง่ายและราคาถูกในการแก้หน้าหนาวให้เด็ก คนแก่ ที่จนๆตามบ้านนอก ให้ทำอย่างนี้ครับ คือ ให้เอาก้อนหินมาเผาไฟให้ร้อน แล้วเอามาวางไว้ใต้เก้าอี้นั่ง แค่นี้ก็ช่วยได้มากแล้ว เพราะอากาศที่รับความร้อนจากก้อนหินจะลอยตัวสูงขึ้น ทำให้อบอุ่นทั้งร่างกาย

 

ถ้าจะให้ดี ให้เอาเสื้อกันฝนพลาสติกมาสวม แล้วปล่อยชายให้คลุมเก้าอี้ไว้ด้วย เปิดคอเสื้อเล็กน้อยให้อากาศระบายออกได้ จะอุ่นขึ้นมากอีกอักโข (คิดว่านะครับ ..ยังไม่ได้ทดลอง) 

 

ในขณะที่อุ่นอยู่นั้นก็เอาก้อนหินอีกก้อนไปเผาไฟไว้พลาง พอก้อนนี้เย็นก็สลับเอาก้อนร้อนมาแทน ก็อุ่นได้ตลอดเวลา แถมประหยัดฟืนมากกว่าผิงไฟโดยตรงมาก  เพราะฟืนก้อนเล็กๆ หรือแม้แต่เทียน ก็สามารถเผาหินให้ร้อนได้มากแล้ว

 

ห้ามเอาฟืน หรือ ถ่าน หรือ เทียน ไปไว้ใต้เก้าอี้โดยตรงนะ เพราะอากาศที่เผาไหม้จะสกปรก มีมลพิษที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพได้

 

..ทวิช  จิตรสมบูรณ์ (๒๐ มกราคม ๒๕๕๔)


นอนกลางดิน กินกลางทราย ตายกลางนา (ตอนที่ ๑)

1 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 16 January 2011 เวลา 7:48 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1295

นอนกลางดิน กินกลางทราย ตายกลางนา (ตอนที่ ๑)

 

พื้นที่อีสาน “แห้งแล้ง”  (หา..จริงหรือ?) ปลูกอะไรไม่ค่อยงาม จนนักการเมือง “กรรมมารอ” ( กำมะลอ) มันเอาประเด็นนี้ไปหาเสียง ล.ด. กันมากหลาย

 

ก็ปลูกมันสำปะหลังเป็นดีที่สุด เพราะมันฯเป็นพืชฟ้าประทานที่ขึ้นได้งดงามในทุกสภาพดิน ทนแล้งได้ดีที่สุด แม้ในขณะเป็นเบบี๋ การบำรุงรักษาก็ต่ำกว่าพืชทั้งปวง เช่นแมลงไม่กิน (มากนัก ยกเว้นตอนนี้เพลี้ยแป้งมาแล้ว)  แถมสามารถสร้างผลผลิตได้ภายใน 1 ปี  มีวงจรรายได้เร็ว ซึ่งเหมาะสำหรับคนจนระดับรากหญ้า

 

แต่ที่สำคัญ วันนี้เราปลูกมันได้ประมาณ 30 ล้านตัน แต่ 28 ล้านตันส่งออกแบบดิบๆ กก. มันเส้นแห้ง ละ  3-5 บาท ถ้าเราทำวิจัย เพิ่มมูลค่า ด้วยการทำพลาสติกชีวภาพ  (bioplastic) จะได้กก.ละ 250 บาท โดยที่มันเส้นแห้งดิบ  2 กก. ทำพลาสติกได้ 1 กก. เท่ากับว่าเพิ่มมูลค่าได้ 30 เท่า 

 

ผมเคยคำนวณดูแล้ว มันหมายความว่า ถ้าเราเอาทุกกก. ของมันสำปะหลังมาทำพลาสติกชีวภาพ เราจะขายผลผลิตได้เป็นจำนวนเงินประมาณ 2.5 ล้านล้านบาท ซึ่งคิดเป็นประมาณเท่ากับรายได้มวลรวมสัญชาติไทย (gross national product) หรือเท่ากับว่าคนไทยทุกคนโดยเฉลี่ยทั้งประเทศจะรวยขึ้นสองเท่าทันที  (มันต่างจาก GDP นะสิบ่อกไห่ ที่ตัวเลขมันหลอกลวง ที่ส่วนใหญ่ 10 บาท อยุ่ในกระเป๋าต่างชาติเสีย 7 บาท)

 

นี่คิดเพียงแค่ มัน นะ ยังไม่นับยาง ข้าว ซึ่งถ้าเติมสมองเข้าไปอีกหน่อย ก็จะทำให้ไทยเรารวยมหาศาล เสียแต่ว่าคนไทยเราตอนนี้ใจแตกกันหมด คิดได้แต่เรื่องขี้ตามช้าง เห่อเหิม ฟุ้งเฟ้อ ทะเยอยาน  หลงลำพอง เกินตัวกันไปหมด ตั้งแต่รัฐมนตรี ยัน ผู้ใหญ่บ้าน จะไปเห่อกันแต่ทำเรื่องไฮเทค นาโน อีเล็กทรอนิกส์ ทั้งที่เรื่องพวกนี้แข่งขันยาก และแม้แข่งขันได้ตลาดก็อิ่มตัวแล้ว จะไปเจาะตลาดใหม่ก็แสนยาก

 

สำหรับพลาสติกชีวภาพจากหัวมันนั้น ขณะนี้นักวิจัยไทยเรามีเทคโนโลยีสูงที่สุดในโลก แบบครบวงจรอีกต่างหาก (ที่ม.ของผมเองนี่แหละ ม.บ้านนอกที่กินปลาแดกนี่แหละเหวย) ….  แต่หน่วยงานรับผิดชอบของรัฐบาลไทยเรามันเง่า มองไม่เห็น คิดไม่ออก ทั้งที่เอาข้อมูลไปกรอกหูอยู่บ่อยๆ ในขณะที่ฝรั่งฮอลันดามันมาตั้งโรงงานผลิตพลาสติกจากหัวมันในประเทศไทยแล้ว ที่ระยอง ปีละสามแสนตันโน่นแล้ว และในขณะที่ฝรั่งเยอรมันก็มาตามเค้นหาเทคฯจากเราอยู่ทุกวัน

 

น่าคิดว่ารัฐบาลไทยไปกราบฝรั่ง ฝรั่งมากราบเรา (ขอความรู้) ส่วนเราต้องไปกราบรัฐบาล (ขอเศษเงินมาทำวิจัย แต่มันไม่ให้เราสักที เอาแต่ไปดูงานเมืองฝรั่ง แล้วไปกราบฝรั่งอยู่นั่นแหละ) ..มันเป็นวงจรอุบาทว์ที่น่าช่วยกันคิดให้มาก ให้ทันกาล ..ก่อนสิ้นชาติ

 

ที่ฝรั่งเขาเป็นนายเราทุกวันนี้ ไม่ใช่ว่าเพราะเขาฉลาดกว่าเรา แต่เพราะว่าเขาคิดพึ่งตนเองมากกว่าคิดพึ่งคนอื่น โดยเขาจะใช้ความหน่อมแน้มของต่างชาติ ให้เป็นประโยชน์เสมอ  (และประเทศไทยคือหน่อมแน้มประเทศที่ฝรั่งทั่วโลกมองเห็นและตักตวงมานานแล้ว ตั้งแต่ก่อน รศ. ๑๑๒ ยุทธนาวีเกาะช้าง ด้วยซ้ำไป)

 

ถ้ารัฐบาลไทยยังง่าวแบบนี้อีกต่อไป ไม่เกิน 10 ปีจากนี้ไทยเราจะกลายเป็นเกษตราณานิคมให้ฝรั่ง ญี่ปุ่น เกาหลี มันมาแด็กซ์ประเทศเราอีกระลอก

 

..ระลอกที่รากหญ้าไทยต้องทำงานหนัก จนตัวดำ สมองลีบ ยากจน จนต้องขายเสียงช่วงเลือกตั้ง 100-1000 บาทต่อกากบาท  เราต้องทำงานหนักเพื่อสร้างผลผลิตป้อนโรงงานต่างชาติ ซึ่งพวกเขากระดิกเท้าเพิ่มมูลค่า 30 เท่า รวยกันเละไป

 

ที่น่าเจ็บใจคือ คนไทยเราเองก็ทำได้ แต่รัฐบาลง่าวมันไม่ยอมตั้งนโยบาย มันคิดได้อย่างเดียวคือส่งเสริมการลงทุนจากต่างชาติ…เพื่อให้มาเป็นนายเหนือหัวคนไทย

 

..ทวิช จ (๒๕๕๒)


ข้อคิดวันครู ๒๕๕๔

1 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 16 January 2011 เวลา 6:31 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1745

แนวคิดเพื่อปรับใหญ่การศึกษาไทย

 

 

เราถกเรื่องการศึกษากันมามาก แต่สิ่งสำคัญที่สุดที่มักไม่นึกถึงกัน คือการสร้างวัฒนธรรมที่ทำให้คนไทยทุกคนรักและสนุกกับการเรียนรู้

 

ถ้าทำได้เพียงแค่นี้ก็จบ ไม่ต้องมีครู โรงเรียน หรือ มหาวิทยาลัยยังได้ เพราะทุกคนจะขวนขวายหาความรู้ตลอดเวลาด้วยตนเอง ด้วยความสนุกสนาน  ยิ่งถ้ามีโรงเรียน มีครูที่รักการเรียนรู้เป็นตัวช่วยด้วย ก็ยิ่งดีไปใหญ่

 

นักปราชญ์ นักวิชาการที่มีชื่อเสียงจำนวนมากไม่เคยเข้าโรงเรียนด้วยซ้ำไป เช่น ท่าน กรีน (ชาวอังกฤษ) เมื่อเป็นเด็กไม่ได้เข้าโรงเรียน แต่ทำงานในโรงปิ้งขนมปัง โตแล้วก็ไม่ได้เรียนหนังสือ แต่ด้วยใจรักจึงไปหาอ่านเอาเองในห้องสมุดของหมู่บ้าน ตอนตายแล้วจึงไปค้นพบบันทึกด้านคณิตศาสตร์ของท่าน ที่แม้ในขณะนี้สองร้อยปีผ่านมานักศึกษาปริญญาเอกด้านคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ วิศว ยังเรียนเรื่องกรีนฟังก์ชั่นของท่านกันหัวผุ นี่แหละผลของการรักการเรียนรู้ ที่หากทำให้เกิดขึ้นในจิตวิญญาณของคนไทยทุกคนได้ ชาติไทยคงเจริญยิ่งในไม่นาน

 

นิสัยรักการเรียนรู้นี้ควรบ่มเพาะในวัยเด็กระดับอนุบาลและประถมศึกษา แต่ที่ผ่านมาเห็นว่าการศึกษาในระดับนี้ของเราเน้นการการอัดยัดความรู้มากเกินไป จนทำให้เด็กเครียดและน่าเบื่อ ควรตระหนักว่าวัยนี้เป็นวัยที่ใสสะอาด ที่เหมาะต่อการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์  ความรักในศิลปะ ความกล้าคิด กล้าแสดงออก เป็นที่สุด  โดยพัฒนาควบคู่ไปกับวิชาการอย่างสมดุล ต้องทำการเรียนการสอนให้เป็นสิ่งสนุก ไม่น่าเบื่อแบบการอัดความรู้ดังที่ผ่านมา อย่าลืมด้วยว่านิสัยคนไทยเรานั้น รักสนุก…ไม่ได้มีวินัย อดทน แบบญี่ปุ่น เกาหลี จีน สักเท่าใดนัก  ถ้าจะอดทนอะไรได้ก็ต้องมีสนุกปนด้วย เช่น ในการลงแขกเกี่ยวข้าวก็ต้องมีการร้องรำทำเพลงประกอบด้วย

 

ไม่จำเป็นต้องไปเห่อการสอนแบบ “เด็กเป็นศูนย์กลาง” หรอก เพราะมันสิ้นเปลืองมาก เอาครูเป็นศูนย์กลางนี่แหละ ถ้าครูเก่ง มีเมตตาต่อเด็ก และมีกลเม็ดการสอนดี มันก็สนุกได้ แถมเร็วกว่าได้ผลดีกว่าการสอนแบบเด็กศูนย์กลางเสียอีก  

 

ส่วนจริยธรรมและวินัยซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากต่อการพัฒนาสังคมนั้นควรสอนด้วยการสอดแทรกทางอ้อม (เพราะหากสอนอย่างเป็นระบบจะเกิดความเครียดและเกิดแรงต้านได้มาก) ถ้ารอการสอนสิ่งเหล่านี้ไว้จนถึงระดับมัธยมจะสายเกินไปเสียแล้ว เพราะเริ่มเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ที่สารเคมีในสมองเริ่มเปลี่ยนแปลง  ผมเชื่อที่จอร์จ เบอร์นาร์ด ชอว์ (ปราชญ์อเมริกัน) กล่าวว่า “ทุกสิ่งเกี่ยวกับจริยธรรมผมเรียนรู้เมื่อก่อนอายุ 12″

 

สิ่งดีๆที่หยั่งรากลึกในจิตใจของเด็กในวัยนี้จะส่งผลดีต่อสังคมอีกยาวนาน ดังนั้นจึงไม่ควรให้เด็กในวัยนี้มีการสอบไล่เพื่อจัดอันดับแข่งขันกันเหมือนที่ผ่านมา เพราะการแข่งขันกันแต่เยาว์วัยจะทำให้เด็กเครียด..ซึ่งมีผลลบต่อการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์และความสนุกในการเรียนรู้

 

เห็นได้ว่าคนตะวันออก (แม้แต่ญี่ปุ่น) จะขาดความคิดสร้างสรรค์มากกว่าคนตะวันตกเป็นอย่างมาก ซึ่งน่าจะเป็นเพราะสังคมตะวันออกได้อัดความรู้ให้เด็กประถมมากเกินไป และบรรยากาศการเรียนที่ตึงเครียดเกินไป อีกทั้งครูดุ (วางอำนาจ) จนเด็กไม่กล้าแสดงออกเป็นนิสัยติดตัวไปตลอดชีวิต

 

ดังนั้นครูที่สอนชั้นประถมนั้นควรคัดเอาเฉพาะคนใจดี มีเมตตาต่อเด็กเป็นหลัก มากกว่าครูที่เก่งด้านวิชาการ  ในการคัดเลือกครูระดับนี้จึงต้องพิถีพิถัน เช่นต้องสอบสัมภาษณ์มากกว่าการสอบความรู้ มีการทดลองงาน ที่น่าทำคือเอาคนแก่เกษียณอายุที่มีคุณภาพมาฝึกให้เป็นครูสอนเด็กประถม จะเป็นการสืบทอดวัฒนธรรมจากรุ่นสู่รุ่นได้อย่างดีอีกด้วย คนแก่ก็มีงานที่เป็นประโยชน์ทำ ไม่เหงา และคนแก่นั้นมันรักเด็กอยู่แล้วด้วย ทำให้ได้ประโยชน์สังคมหลายต่อ

  

สำหรับในระดับมัธยมสายสามัญนั้น เราเน้นวิชาการที่จะไปเรียนต่อมหาวิทยาลัย ทั้งที่ส่วนใหญ่ 70% จบออกไปทำงานวิชาชีพ จึงนับเป็นการสูญเสียทางการศึกษาอย่างมหาศาล ควรปรับให้มีวิชาเลือกที่เป็นวิชาชีพด้วย..ที่ผู้ที่เน้นจะเรียนต่อมหาวิทยาลัยไม่ต้องเรียน โดยเฉพาะวิชาช่วยบริหารจัดการธุรกิจขนาดย่อม จริงอยู่ได้มีวิทยาลัยอาชีวศึกษาที่เน้นด้านวิชาชีพอยู่แล้ว แต่เนื่องจากนักเรียนที่จบ ม.ต้นนั้นส่วนใหญ่ยังเด็กเกินกว่าที่จะตัดสินใจเลือกเรียนได้ รวมทั้งการบีบคั้นจากครอบครัว ส่วนใหญ่จึงตัดสินใจเรียนม.ปลายสายสามัญไปพลางก่อน

  

ในขณะนี้มีสถาบันการศึกษาระดับปริญญาตรีมากกว่า 100 สถาบันแล้ว ส่งผลให้มีปริมาณบัณฑิตจบออกมามากเกินความต้องการของสังคม ส่งผลให้เกิดปรากฏการณ์ที่บุคคลมีวุฒิการศึกษาสูงกว่างานที่ทำ เช่น เลขานุการส่วนใหญ่จะจบปริญญาตรี หลายคนจบโทด้วยซ้ำ

 

ข้อเสียที่วุฒิสูงเกินไปคือ เป็นการใช้ทรัพยากรบุคคลของชาติโดยไม่คุ้มค่า เพราะบุคคลเหล่านี้ต้องเสียเวลาเรียนและเวลา”ทำมาหากิน”เพิ่มขึ้นอีก 4 ปี   เพื่อศึกษาในระดับปริญญาตรี (เสียเงินแทนที่จะได้เงิน ซึ่งเสียสองต่อ) เพียงเพื่อที่จะจบมาทำงานที่ต้องการวุฒิระดับมัธยม 6 เท่านั้น ถือเป็นการสูญเสียทางเศรษฐกิจชาติอีกทางหนึ่ง ในสหรัฐอเมริกาบุคลากรระดับนี้จะจบเพียง ม. 6 เป็นส่วนใหญ่

  

การศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา (ปริญญาโท เอก) ถือเป็นขุมปัญญาที่สำคัญของชาติ เห็นว่าที่ผ่านมากว่า 100 ปี เราได้ส่งนักศึกษาไปเรียนต่างประเทศมามากแล้ว จนมีปริมาณและคุณภาพของนักวิชาการในทุกแขนงวิชาการเกินพอในระดับมวลวิกฤตแล้ว

 

จากนี้ไปเราน่าจะ”สร้าง” วิชาการขึ้นใช้เองในประเทศแทนการไป “เสพ” วิชาการจากต่างประเทศเหมือนเช่นที่ผ่านมา เพราะยิ่งเสพมากเท่าใดวิชาการภายในของเราก็จะยิ่งอ่อนลงมากเท่านั้น ไม่สามารถยืนอยู่บนขาตัวเองได้สักที (แถมยังเสียดุลการชำระเงินอีกปีละหลายหมื่นล้านบาทอีกด้วย)

 

ประเทศรัสเซีย ญี่ปุ่น และเกาหลี นั้นได้สร้างชาติด้วยการส่งนักศึกษาไปเสพวิชาการจากต่างประเทศเป็นระยะเวลาสัก 30 ปีเท่านั้น จากนั้นก็ลดจำนวนลงมาก แล้วหันไปพัฒนาวิชาการขึ้นใช้เองในประเทศ ทำให้ประเทศเจริญได้อย่างรวดเร็ว ส่วนประเทศไทยส่งไปเรียนตปท.กันมากว่าร้อยปีแล้วก็ยังตั้งตัวไม่ได้สักที และมีแนวโน้มว่าเราจะเสียเงินส่งนศ.ไปเรียนเมืองนอกมากยิ่งขึ้นทุกปีไปอีกแสนนาน

 

รัฐบาลจึงควรมีนโยบายพัฒนาการศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาของชาติอย่างจริงจังเสียที เช่นสนับสนุนโครงการปริญญาเอกกาญจนาภิเษกของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) พร้อมกับมีนโยบายเปลี่ยนค่านิยมนักศึกษาไทยให้หันมาเรียนในประเทศให้มากที่สุด พร้อมนี้ต้องเสริมด้วยนโยบายการวิจัยระดับบัณฑิตศึกษาที่จะเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าไทยให้ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าเกษตรที่ต้องเพิ่มมูลค่าให้ได้สัก 10 เท่าก่อนส่งออกขายในตลาดต่างประเทศ ซึ่งขณะนี้ส่วนใหญ่เราขายเป็นสินค้าดิบที่ราคาถูกมาก

  

ในระดับอาชีวศึกษา ถือเป็นระดับที่น่าเป็นห่วงเพราะจำนวนสถาบันลดลงมากจากการยกระดับขึ้นเป็นมหาวิทยาลัยของสถาบันอาชีวะต่างๆ(ทั้งของรัฐและเอกชน) จึงสามารถคาดการณ์ได้ว่าในอนาคตประเทศไทยจะมีบัณฑิตวุฒิปริญญาตรีมากเกินไป แต่ขาดแคลนช่างฝีมือ โดยเฉพาะถ้าประเทศจะพัฒนาอุตสาหกรรมได้นั้น จะต้องการช่างฝีมือระดับปฏิบัติงานเป็นจำนวนมาก ซึ่งขณะนี้เป็นที่ทราบกันดีว่าประเทศไทยขาดแคลนช่างฝีมือที่มีคุณภาพเป็นอย่างมากในทุกวิชาชีพ (แต่กลับมีผู้จบปริญญาตรีล้นประเทศ) ดังนั้นประเทศจึงต้องการสถาบันอาชีวศึกษาทั้งในเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพมากกว่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้

  

อีกทั้งการศึกษาของพระเณรนั้นน่าเป็นห่วงยิ่ง มีจำนวนมากหลายแสนคนทั่วประเทศ แต่รัฐไม่ค่อยสนใจ ทั้งที่พระเณรเป็นผู้ที่ต้องสอนประชาชนให้เป็นคนดี ยิ่งต้องฉลาดรอบรู้กว่าประชาชนทั่วไปเสียอีก  ไม่ควรปล่อยให้มีการศึกษากันไปตามยถากรรมตามแต่มหาเถรสมาคมเห็นสมควร

 

การศึกษานอกหลักสูตร ตามอัธยาศัย และตลอดชีพ นั้นว่าไปแล้วสำคัญมาก รัฐควรทุ่มงบสร้างโปรแกรมดีๆ ในไทยทีวี ให้คนไทยได้ดู รวมทั้งควรมีวิทยุสาธารณะและโรงเรียนดิจิตอลได้แล้ว ผนวกกับมีนโยบายกระตุ้นให้คนรักการศึกษา การอ่านอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต

 

ครูเป็นปัจจัยสำคัญยิ่งต่อระบบการศึกษา แต่ในขณะนี้ครูอาจารย์ส่วนใหญ่ (ตั้งแต่ระดับประถมถึงมหาวิทยาลัย) มีปัญหาเรื่องการครองชีพมากจนกระทบต่อคุณภาพการศึกษา ครูอาจารย์ส่วนใหญ่มักทำอาชีพเสริมอย่างหนักหน่วง จนอาจกล่าวได้ว่าอาชีพเสริมกลายเป็นอาชีพหลักและการสอนกลายเป็นอาชีพเสริมไปแล้ว ทำให้ครูไม่มีเวลาอุทิศให้กับการสอนและการวิจัยมากเท่าที่ควร ปัญหานี้มีสาเหตุจาก 1. เงินเดือนครูน้อยเกินไป  และหรือ 2. ครูมีทัศนคติในการครองชีพในระดับสูงเกินไป

 

รัฐบาลควรเร่งแก้ไขปัญหานี้อย่างยั่งยืนนอกเหนือไปจากการคิดทำกันแต่เพียงการปลดหนี้ครู (ให้พ้นตัว)  จากนั้นสร้างครูให้เป็นคนที่รักการเรียนรู้เป็นกลุ่มแรก ไม่ใช่รักแต่การสร้างรายได้เสริมตลอดชีพเช่นทุกวันนี้

 

..ทวิช จิตรสมบูรณ์ (๑๖ สค. ๕๓)


เจ๊กกระโดด..ไทยกระแดะ(กินแต่ข้าวนุ่ม)

4 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 16 January 2011 เวลา 5:13 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1781

เจ๊กกระโดด

คุณแม่ผมทำนาเป็นแต่ไม่เก่งนัก เพราะท่านเกิดมาในตระกูลที่ร่ำรวยพอดู มีข้า “ทาส” บริวารนับสิบ แม่เล่าว่าพอเลิกทาสแล้ว ทาสไม่ยอมไปไหนสมัครใจอยู่เป็นทาสต่อไป นี่แสดงว่าระบบทาสของเราคงไม่ใช่ระบบเลวร้ายนักหรอก และทาสนี่แหละคือเรี่ยวแรงหลักในการทำนา จนแม่ผมไม่ต้องทำมากนัก ที่ไปทำนาก็เพราะนึกสนุกเป็นส่วนใหญ่

 

แม่เล่าให้ฟังว่าในอดีตมีข้าวพันธุ์หนึ่งชื่อว่า “เจ๊กกระโดด” ท่านบอกว่ามันไม่อร่อย แข็งๆ เม็ดใหญ่ๆ แม้แต่พวกคนจีน (ที่คนไทยในอดีตนิยมเรียกว่าเจ๊ก) ที่ยากจน หอบเสื่อผืนหมอนใบเข้ามาอยู่ใหม่ๆ ยังกระโดดหนี (และสุดท้ายครอบครัวของคุณแม่ซึ่งเป็นไทยแท้มีพี่น้องหญิงสี่คน ก็แต่งงานกับเจ๊กหมดเลย มีทั้งไหหลำ แคะ แต้จิ๋ว กวางตุ้ง ครบหมดทุกก๊กก็ว่าได้ จนทำให้ผมเป็นลูกครึ่งเจ๊กอยู่จนทุกวันนี้ )

 

ผมได้ฟังชื่อข้าวโลดโผนจนเผ่าพันธุ์พ่อผมเองยังกระโดดแล้วก็ทำให้อยากลองกินมาก แต่คิดว่าคงสูญพันธุ์ไปหมดแล้ว เพราะตอนนี้มีข้าวเพื่อการค้าอยู่ไม่กี่พันธุ์เท่านั้นเอง ทั้งที่ในอดีตเรามีข้าวหลายร้อยพันธุ์  เผอิญผมไปเจอชื่อพันธุ์ข้าวในวารสารเทคโนฯชาวบ้าน (เครือมติชน) เลยตัดเอามาฝากกันอ่านครับ:

(เป็นพันธุ์ข้าวที่สำรวจไว้เฉพาะภาคกลาง เมื่อ 40 ปีมาแล้ว)

 

พันธุ์ข้าวที่ชาวนานิยมใช้เพาะปลูก 23 พันธุ์แรก ได้แก่ พันธุ์ขาวตาแห้ง ขาวเศรษฐี พวง (มีหลายชนิด เช่น พวงจอก พวงหางจอก พวงเงิน พวงทอง ฯลฯ) สามรวง ขาวกอเดียว ก้อนแก้ว ขาวห้าร้อย ขาวมะลิ หลวงประทาน ขาวพวง ขาวสะอาด นางเขียว นางมล ปิ่นแก้ว ขาวเมล็ดเล็ก เล็บมือนาง ก้นจุด เทวดา ห้ารวง เจ๊กเชย พวงนาค ทองมาเอง และมะลิทอง

พันธุ์ข้าวที่ชาวนานิยมใช้มากที่สุด (คิดเป็นเปอร์เซ็นต์) ได้แก่ ขาวตาแห้ง ก้อนแก้ว นางมล สามรวง และขาวกอเดียว แต่หากคิดเป็นพื้นที่เพาะปลูกสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ ขาวตาแห้ง ขาวเศรษฐี ขาวพวง สามรวง และขาวกอเดียว

ข้าวพันธุ์อื่น (นอกเหนือจาก 23 พันธุ์ ที่เอ่ยชื่อมาแล้ว) ได้แก่ ข้าวพันธุ์ก้นดำ ก้นแดง ก้นใหญ่ กอเดียว กอเดียวเบา กอเดียวหนัก เกษตร ค. เก้ารวง กาบแดง กาบเขียว กะโหลก กลางปี กระจุดหนัก ก้อนทอง กอกลาง แก่นจันทร์ เกวียนหัก กาบหมาก เกสร กำหมาก เขียวหอม เขียวเบา เขียวหนัก เขียวทุ่ง ขี้ตมขาว ขำเล็กเตี้ย เขียวเม็ดเล็ก เขียว เขาดี แขกเบา เขี้ยวงู ขอนแก่น ไข่แมงดา ขนาย เขียวนกกระลิง ไข่จิ้งหรีด ขาวกระบี่ ขาวก้นจุด ขาวกอ ขาวโกต ขาวแก้ว ขาวกีต้า ขาวกลางปีหลวง ขาวเกษตร ขาวกำจร ขาวกระโทก ขาวกด ขาวกุหลาบ ขาวขจร ขาวขี้ตบ ขาวขัดเบา ขาวโคก ขาวคัด ขาวคุด ขาวคลองสิบ ขาวงอ ขาวงาช้าง ขาวเจ็กแก้ว ขาวจำปา ขาวชีต้า ขาวดี ขาวดง ขาวตาหลั่ง ขาวตาหุย ขาวตาผุด ขาวตาเล็ก ขาวตาสี ขาวตาปาน ขาวตาอู๋ ขาวตาหง ขาวตาโม้ ขาวตาพุฒ ขาวตาเพชร ขาวตาปิ่น ขาวตายิ้ม ขาวตราสังข์ ขาวตะวันขึ้น ขาวทับทิม ขาวทดลอง ขาวทองรากชาย ขาวนางมล ขาวน้ำผึ้ง ขาวนาวา ขาวนาแขก ขาวนางเข็ม ขาวเหนียว ขาวน้ำมนต์ ขาวนางชม ขาวนวล ขาวบุญมา ขาวบางกะปิ ขาวบัวทอง ขาวนางกระ ขาวบางเขน ขาวใบศรี ขาวบางเตย ขาวประกวด ขาวป้อม ขาวประเสริฐ ขาวปากกระบอก ขาวปลาไหล ขาวปลุกเสก ขาวปอ ขาวปิ่นแก้ว ขาวปากยัง ขาวป่า ขาวเปลือกบาง ขาวปุ้น ขาวปากหม้อ ขาวป่วน ขาวฝุ่น ขาวพัฒนา ขาวพลายงาม ขาวพวงทอง ขาวพวงเบา ขาวพราหมณ์ ขาวพยอม ขาวพรต ขาวโพธิ์ ขาวเม็ดยาว ขาวแม้ว ขาวเม็ดเล็กเตี้ย ขาวเม็ดแตง ขาวมงคล ขาวมะลิหนัก ขาวมะลิเบา ขาวมะลิพวง ขาวเมืองกรุง ขาวม้าแขก ขาวยายง้อย ขาวยายแก้ว ขาวยายมูล ขาวรวงยาว ขาวไร่ ขาวรวง ขาวรวงเดียว ขาวรังสิต ขาวลาว ขาวราชวัตร ขาวโหร่ง ขาวเหลือง ขาวหลง ขาวลูกค้า ขาวหลวง ขาวละออ ขาวละยอง ขาวลอย ขาวลอยมา ขาวลอดช่อง (ไม่ใช่ลอดช่อง) ขาวเหลืองกะโหลก ขาววัด ขาวสุพรรณ ขาวสูง ขาวสมุทร ขาวสวน ขาวสายบัว ขาวสร้อยพร้าว ขาวแสวง ขาวสมยัง ขาวส่งเค็ม ขาวสะโด ขาวเสมอ ขาวใหญ่ ขาวหอมลำไย ขาวหล่ม ขาวหาง ขาวหอมทอง ขาวหินกอง ขาวหอมือเคียว (หอ-มือ-เคียว ชื่อชอบกลดี) ขาวหอม ขาวอากาศ ขาว ขาวอุทัย ขาวอัปสร และขาวอำไพ

งาช้าง เจ็ดรวง จำปาหนัก จำปา จำปาจีน จำปาทอง จำปาขาว จะนึง จำปาศักดิ์ จำปากลาง จำปาดะ จำปาเป๋ จุกมอญ เจ็กเฮง เจ็กสี เจ็กสะกิด เจ็กกวาดน้อย เจ็กกระโดด เจ้าดอก เจ้าสงวน เจ้าพาน จำวัด จ้าวน้อย จ้าวเสวย จะแดงน้อย ช่อพยอม ช่อมะม่วง ช่อมะกอก ช้างลาก ช่อฟ้า ชมเชย ชุใบหนัก ซังเหนียว ซังเหลือง ซ่อนใบ ดออีปุ่น ดอกมะลิ ดาบหัก ดอกขะนาก ดอกดู๋ ดอเซ ดอปี ดำเห็น ดำป่าสัก ตาโสม ตาแก้ว ตาอ่อง ตะเภาล่ม ตะพาบ ตาเฉื่อย ตะเภาแก้ว ตาเจียน แตงกวา ใต้ใน เถากู้ ทองรากชาย ทองรากทราย ทองจำวัด ทองตามี ทองงาม หินทอง ทูลฉลอง น้ำผึ้ง นกกะริงเบา เนินเขียว นครภัณฑ์ น้ำค้าง นาสวน นางกลอง นางหงษ์ นางอาย นางสมบุญ นางงาม บุญมา เบาสุพรรณ บางเขน บางปะกง บางโพธิทอง บางกระเบียน บางตะเคียน บางมูลนาค บางตะกุย บางญวน และบางสะแก

บ้านโนน บ้านโพด บ้านคลอง บุญตา บุญเกิด บุญมี บุนนาค เบาขาว เบื่อน้ำ ใบลด ประดู่ยืน แปดรวง ปิ่นทอง ป้อม ป่าดอง ผลมะเฟือง พวงหางจอก พวงหนัก พวงจอก พูนสรวง พันธุ์เกษตร แพลอย พวงมาลัย พวงฉลอง พระยาชม พวงเงิน พวงทอง พวงหางหมู พระยาดอน พระปฐม แพร่ พ่อใหญ่ พวงแก้ว พันเม็ด พระยาหนอง โพธิทอง พวงเงินหนัก พวงเงินเบา พิมพ์สวรรค์ พวงพยอม เฟืองเหลือง ญี่ปุ่น เมืองเลย แม่ล้างญวน (น่าจะเป็น “แม่ร้างญวน”) เม็ดเล็กเตี้ย เม็ดยาว มะลิวัลย์ มะลิกลาง มะลิซ้อน มะลิเลื้อย แม่หม้าย แม่หม้ายอกแตก เม็ดข้าว มะก้วน ยักคิ้วรวง รวงยาว รวงเดียว แรกนาขวัญ รวงใหญ่ รักซ้อน ลูกนก หล่มหนัก เล็กร้าง แหลมไผ่ แลกนาขวัญ (อาจจะเป็นพันธุ์เดียวกับ “แรกนาขวัญ” ก็ได้) ลอยสำเภา ลูกผึ้ง หลวงแจก ล้อยุ้ง แหลมในสี ลอย ล้นครก หลวงหวาย ลากชาย ลืมแกง เหลืองประทิว เหลืองใหญ่ เหลืองกลาง เหลืองทอง เหลืองอ่อน เหลืองหอม เหลืองขมิ้น เหลืองเตี้ย เหลือง เหลืองพวง เหลืองระแหง เหลืองก้นจุด เหลืองกระบ้าง เหลืองเกษตร เหลืองกอเดียว เหลืองโกฐ เหลืองข้าวรวง เหลืองควายล่า เหลืองตาบึ้ง เหลืองตาครัว เหลืองตาพลวง เหลืองทองเผา เหลืองทองย้อย เหลืองที่หนึ่ง เหลืองทราย เหลืองนาขวัญ เหลืองนวลแตง เหลืองน้ำเค็ม เหลืองบางแก้ว เหลืองเบา เหลืองบิด เหลืองปากนก เหลืองพันธุ์ทอง เหลืองพม่า เหลืองพรหม เหลืองไฟลาน เหลืองมะฟง เหลืองระแหงเบา เหลืองไร่ เหลืองหลง เหลืองหลวง เหลืองลาย เหลืองลพบุรี และเหลืองอารี

แววนกยูง สามกะพ้อ สะแกดึง สวนใหญ่ สองรวงเบา สร้อยข้าว สองทะนาน สามรวงตัด สี่รวง สร้อยดง สายบัว สีชมพู สุพรรณรวงทอง สองรวงหนัก สาวกอ เสือลาก สีนวล สองรวง สะพานหนอง ศรีอุทัย ฟ้ามือ สาล สวะลอย สร้อยขิง หอมทอง หอม หอมมะลิ หอมน้ำผึ้ง หอมละออ หางเหน นางนกยูง หางหมา หกรวง ห้ารวง หินซ้อน หอมใหญ่ หนักเหนือ ห้าเซียน หอมสวน หางจอก หมกกล้วย มังคุด มะดิน มกตาล มาลออง มิ่งขวัญ มะน้ำ ข้าวก้นจุด ข้าวกู้หนี้ ข้าวเกษตร ข้าวกลอง ข้าวกลางปีหลวง ข้าวแก้ว ข้าวขาว ข้าวขาวสะอาด ข้าวเขียว ข้าวขาวหลวง ข้าวข้อมือหัก ข้าวคัด ข้าวโค้ง ข้าวดู้ดี้ ข้าวตกหลิน ข้าวทิพย์ ข้าวที่หนึ่ง ข้าวนาเมือง ข้าวนาสวน ข้าวน้ำค้าง ข้าวนครชัยศรี ข้าวเหนียวดำ ข้าวเหนียว ข้าวเหนียวนวลแตง ข้าวเหนียวสาวน้อย ข้าวเหนียวซาวนึ่ง ข้าวเหนียวเหลือง ข้าวเหนียวทองคัด ข้าวเหนียวกาบอ้อย ข้าวเหนียวหล่ม ข้าวเหนียวกระดูกช้าง ข้าวเหนียวก้านพลู ข้าวเหนียวญี่ปุ่น ข้าวเหนียวจังหวัดเลย ข้าวเหนียวหล่มสัก ข้าวเหนียวมโนราห์ ข้าวเหนียวพันธุ์นาสวน ข้าวเหนียวกระเบียงร้อน ข้าวเหนียวดอกจาน ข้าวเหนียวกลางปี ข้าวเหนียวหัวหมาก ข้าวเหนียวปากลัด ข้าวเหนียวแดงวัว

ข้าวใบสี ข้าวเบา ข้าวเบาที่หนึ่ง ข้าวใบรอบ ข้าวบ้านนา ข้าวป้อม ข้าวพวงเบา ข้าวพวงหนัก ข้าวฟางลอย ข้าวแม้ว ข้าวเม็ดเล็ก ข้าวเมืองกาญจน์ ข้าวไร่ ข้าวรอดหนี้ ข้าวล่า ข้าวล้นยุ้ง ข้าวลอย ข้าวลอยเหลือง ข้าวลอยบุญมา ข้าวสามเดือน ข้าวสารี ข้าวสาวงาม ข้าวสี่เดือน ข้าวห้าร้อย ข้าวหางหงษ์ ข้าวหอม ข้าวหลวง ข้าวหนักเหนือ ข้าวเหลืองเตี้ย ข้าวเหลืองน้อย ข้าวเหลืองเบา และข้าวเหลือง

…..โอ้โฮ เหลือเชื่อจริงๆ ว่าบรรพบุรุษเรานิยมความหลากหลายปานนี้ แสดงว่ารสนิยมดี  อ้าว…มีเจ๊กกระโดดอยู่ในรายการกะเขาด้วยนะ

 

แต่ทุกวันนี้หันไปทางไหนมีแต่ หอมมะลิ ซึ่งเป็นข้าวที่ผมไม่ค่อยชอบ เพราะนุ่มเกินไป ส่วนพ่อผมแม้เป็นเจ๊ก (ที่ส่วนใหญ่ชอบกินข้าวต้มนุ่มๆ) แต่พ่อกลับกินแต่ข้าวแข็งๆแบบไทยๆ ถ้าเป็นข้าวนุ่มเหนียวแบบหอมมะลิแล้วท่านกินไม่ได้จริงๆ

 

เมื่อไรร้านอาหารไทยจะมีข้าวพันธุ์ต่างๆให้เลือกกินบ้างหนอ ทุกวันนี้ไปร้านไหนๆ แม้เป็นร้านอาหารชั้นนำราคาแพงก็บังคับให้เรากินข้าวตามแต่ที่เจ้าของร้านชอบกินเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

 

….ทวิช จิตรสมบูรณ์


ถึงเวลาให้มีพระผู้หญิง (ภิกษุณี) ได้แล้ว

ไม่มีความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 16 January 2011 เวลา 4:29 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1021

ถึงเวลาให้มีพระผู้หญิง (ภิกษุณี) ได้แล้ว

 

เหตุผลหลักที่พระผู้ชายนิกายเถรวาท (ของไทยเรา) ใช้เป็นข้ออ้างในการไม่อนุญาตให้มีการบวชภิกษุณีในนิกายเถรวาท คือการยกอ้าง ครุธรรม ๘ ประการ ที่ว่ากันว่าพระพุทธองค์ทรงบัญญัติไว้  เพราะมีปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎก ซึ่งในบทความอันยาวนี้ผมจะชี้ให้เห็นว่าครุธรรม ๘ นี้ไม่ใช่พุทธบัญญัติ แต่เป็นของปลอมที่สอดแทรกเข้ามาภายหลัง เพื่อมุ่งหวังลดทอนสถานะภาพของภิกษุณี

 

ก่อนอื่นต้องเข้าใจท้องเรื่องก่อนว่าพระนางปชาบดีโคตมี (เข้าใจว่าเป็นแม่นมของพระพุทธเจ้า และเป็นน้องสาวของมารดาของพพจ.ด้วย คือเป็นแม่เลี้ยงพพจ. นั่นเอง หลังจากมารดาพระองค์สวรรคตหลังคลอด) มาทูลขอบวช พานางทาสีตามมาด้วย 500 คนหรือไงเนี่ย เดินเท้าเร่ร่อนหลงป่ามานานเป็นปีตามหาพระพุทธเจ้าจนพบ จนเท้าบวมแตกเลือดไหลไปหมด พพจ.ก็ไม่ยอมให้บวชสักที จนพระอานนท์สงสารต้องมาทูลอ้อนวอนให้เหตุผลนานัปการถึงสามครั้ง จนในที่สุดพพจ.ใจอ่อน บอกว่าถ้ายอมรับครุธรรม 8 ได้ก็จะยอมให้บวช  

ครุธรรม 8 บัญญัติไว้ดังนี้
๑. ภิกษุณีอุปสมบทแล้ว ๑๐๐ ปี ต้องกราบไหว้ ลุกรับ ทำอัญชลีกรรม สามีจิกรรม แก่ภิกษุที่อุปสมบทในวันนั้น ธรรมแม้นี้ ภิกษุณีต้องสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ไม่ละเมิดตลอดชีวิต
๒. ภิกษุณีไม่พึงอยู่จำพรรษาในอาวาสที่ไม่มีภิกษุ ธรรมแม้นี้ ภิกษุณีต้องสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ไม่ละเมิดตลอดชีวิต
๓. ภิกษุณีต้องหวังธรรม ๒ ประการ คือ ถามวันอุโบสถ ๑ เข้าไปฟัง คำสั่งสอน ๑ จากภิกษุสงฆ์ทุกกึ่งเดือน ธรรมแม้นี้ ภิกษุณีต้องสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ไม่ละเมิดตลอดชีวิต
๔. ภิกษุณีอยู่จำพรรษาแล้ว ต้องปวารณาในสงฆ์สองฝ่าย โดยสถานทั้ง ๓ คือ โดยได้เห็น โดยได้ยิน หรือโดยรังเกียจ ธรรมแม้นี้ ภิกษุณีต้องสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ไม่ละเมิดตลอดชีวิต
๕. ภิกษุณีต้องธรรมที่หนักแล้ว ต้องประพฤติปักขมานัตในสงฆ์ ๒ ฝ่าย ธรรมแม้นี้ ภิกษุณีต้องสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ไม่ละเมิดตลอดชีวิต
๖. ภิกษุณีต้องแสวงหาอุปสัมปทาในสงฆ์ ๒ ฝ่าย เพื่อสิกขมานาผู้มีสิกขา อันศึกษาแล้ว ในธรรม ๖ ประการครบ ๒ ปีแล้ว ธรรมแม้นี้ ภิกษุณีต้องสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ไม่ละเมิดตลอดชีวิต
๗. ภิกษุณีไม่พึงด่า บริภาษภิกษุ โดยปริยายอย่างใดอย่างหนึ่ง ธรรม แม้นี้ ภิกษุณีต้องสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ไม่ละเมิดตลอดชีวิต
๘. ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ปิดทางไม่ให้ภิกษุณีทั้งหลายสอนภิกษุ เปิดทาง ให้ภิกษุทั้งหลายสอนภิกษุณี ธรรมแม้นี้ ภิกษุณีต้องสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ไม่ละเมิดตลอดชีวิต
ดูกรอานนท์ ก็ถ้าพระนางมหาปชาบดีโคตมี ยอมรับครุธรรม ๘ ประการนี้ ข้อนั้นแหละ จงเป็นอุปสัมปทาของพระนาง ฯ

[๕๑๗] ครั้งนั้น ท่านพระอานนท์เรียนครุธรรม ๘ ประการ ในสำนัก พระผู้มีพระภาค แล้วเข้าไปหาพระนางมหาปชาบดีโคตมี ชี้แจงว่า พระนางโคตมี ถ้าพระนางยอมรับครุธรรม ๘ ประการ ข้อนั้นแหละจักเป็นอุปสัมปทาของพระนาง

พระนางมหาปชาบดีโคตมีกล่าวว่า ข้าแต่ท่านพระอานนท์ ดิฉันยอมรับ ครุธรรม ๘ ประการนี้ ไม่ละเมิดตลอดชีวิต เปรียบเหมือนหญิงสาว หรือชายหนุ่ม ที่ชอบแต่งกาย อาบน้ำสระเกล้าแล้ว ได้พวงอุบล พวงมะลิ หรือพวงลำดวนแล้ว พึงประคองรับด้วยมือทั้งสอง ตั้งไว้เหนือเศียรเกล้าฉะนั้น ฯ  (คัดลอกมาจากพระไตรปิฎก ฉบับ…)

 จากนี้ไป ผมจะชี้ให้เห็นว่าครุธรรม ๘ นี้ไม่ใช่คำตรัสของพระพุทธเจ้า แต่น่าจะเป็นสิ่งที่ปลอมแปลงขึ้นแล้วเอามาแทรกไว้ในภายหลัง ผมใช้หลัก“มหาปเทส” ซึ่งปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎกนั่นแหละเป็นเกณฑ์ในการตัดสิน

 หลักมหาปเทส(ในมหาปรินิพพานสูตร)บอกว่า วิธีตัดสินว่าคำสอนใดถูกหรือผิดนั้นให้ตรวจสอบเทียบเคียงกันกับเนื้อความในคำสอนส่วนอื่นๆที่เป็นส่วนใหญ่ ถ้าลงกันได้ก็แสดงว่าถูก ถ้าลงกันไม่ได้กับส่วนใหญ่ก็แสดงว่าผิด หลักการนี้แสดงให้เห็นพระปัญญาอันเฉียบคมหาที่สุดมิได้ของพระพุทธเจ้า

 ผมจะเอาครุธรรมบางข้อไปเทียบกับเนื้อความอื่นๆในพระไตรปิฎก ซึ่งจะเห็นได้ชัดว่าขัดแย้งกันอย่างไม่อาจประนีประนอมได้ ซึ่งแสดงว่าครุธรรม 8 นั้นผิดแน่นอน มิใช่แต่ผิดตามหลักมหาปเทสเท่านั้นแต่ยังผิดตรรกะตื้นๆและยังไม่สอดคล้องกับพระพุทธจริยาวัตรในการทำงานของพระองค์อีกด้วย

 ผมต้องขออภัยที่ไม่มีเวลากลับไปค้นคว้าและอ้างเล่มอ้างหน้าคัมภีร์ แต่จะว่ากันลุ่นๆตามที่จำได้ ในอดีตผมเคยค้นคว้าไว้ อ้างหน้าอ้างคัมภีร์ได้ แต่ทำต้นฉบับหายไปสัก 6 ปีได้แล้ว (ขณะที่เขียนนี้ พศ. 2548 ) ผมไม่ได้แตกฉานในคัมภีร์แต่ประการใด ค้นคว้าวิเคราะห์เอาลุ่นๆจากพระไตรปิฎกฉบับหลวง ตามตัวหนังสือ และตามท้องเรื่อง ผนวกกับสามัญสำนึกของตนเอง ถ้าผิดก็ขอน้อมรับ ถ้าถูกขออุทิศผลบุญบัณดาลให้เกิดคณะนางภิกษุณีขึ้นในแผ่นดินไทยด้วยเถิด

 อันว่าครุธรรม 8 นี้แม้พิสูจน์ได้เพียงว่าข้อใดข้อหนึ่งมีการปลอมแปลง ก็ต้องถือว่าที่เหลือทั้ง 7 ข้อเป็นโมฆะไปด้วย เพราะข้อที่ถูกปลอมแปลงนั้นอาจเป็นข้อที่กำหนดข้อยกเว้นของอีก 7 ข้อ ไว้ก็เป็นได้ แต่ผมเคยได้พิสูจน์ว่าปลอมแปลงทั้ง 8 ข้อ บัดนี้จะพยายามพิสูจน์ให้มากข้อที่สุด แต่อาจไม่ครบทุกข้อ

 ต่อนี้ไปผมจะใช้หลักมหาปเทสแสดงให้เห็นข้อผิดเพี้ยนของครุธรรม 8

 ข้อที่ 1)  ภิกษุณีอุปสมบทแล้ว ๑๐๐ ปี ต้องกราบไหว้ ลุกรับ ทำอัญชลีกรรม สามีจิกรรม แก่ภิกษุที่อุปสมบทในวันนั้น ธรรมแม้นี้ ภิกษุณีต้องสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ไม่ละเมิดตลอดชีวิต

มีเรื่องเล่าในพระไตรปิฏกว่า (จำหน้าจำคัมภีร์ไม่ได้ แต่ค้นได้ไม่ยากเลย อยู่ในพระวินัย สงสัยว่าจะเป็นหมวดภิกษุณีวิภังค์) หลังจากบวชแล้วพระนางปชบด. ได้เข้าไปทูลขอพระพุทธเจ้าให้สงฆ์ทั้งสองฝ่าย (คือชายหญิง) กราบไหว้กันตามอาวุโสโดยไม่แยกว่าเป็นหญิงชาย เพราะปรากฏว่าพระผู้ชายไม่ยอมไหว้พระผู้หญิงที่แก่พรรษากว่า ….ผมถามว่า พนปชบด. นี่นะ ที่มีศรัทธาแรงกล้า มีขัตติยมานะสูงสุด (จนได้เป็นพระอรหันต์ในภายหลัง) จะกล้าทูลขอสิ่งนี้จากพพจ. ทั้งที่ได้รับเอาครุธรรมข้อที่ 1 ตั้งไว้เหนือเศียรตลอดชีวิตแล้ว ผมว่าไม่มีทางเป็นไปได้เลย

 

เพียงครุธรรมข้อ 1 นี้ก็เข้าข่ายปลอมแปลงเสียแล้ว!!  พอเข้าใจได้ว่าพวกพระผู้ชายที่เป็นพราหมณ์มาก่อนไม่อยากกราบผู้หญิง เพราะยึดเป็นอคติมานานว่าผู้หญิงคือของชั้นต่ำตามคติพราหมณ์ก่อนมาบวช ก็เลยหาทางเอามาแทรกไว้ในครุธรรมโดยอาจลบของเดิมทิ้งไป(อาจทำโดยพละการหรือโดยการสอดไส้ในคราวสังคายนาครั้งใดครั้งหนึ่งก็ได้)  ถ้าผมจำไม่ผิดดูเหมือนว่าเมื่อทูลขอแล้วพพจ.ก็อนุญาตให้กราบไหว้กันตามอาวุโสเสียด้วย ซึ่งยิ่งแสดงว่าครุธรรมข้อนี้ปลอมแปลงแน่นอน เพราะพพจ.คงไม่วันนี้บัญญัติไว้อย่างแล้วพรุ่งนี้ก็ยูเทิร์น 180 องศา

 อีกอย่างการบัญญัติวินัยของพพจ. ไม่ทรงนิยมบัญญัติอะไรไว้ล่วงหน้า แต่จะบัญญัติหลังเกิดปัญหาขึ้นเสมอ แต่ข้อ 1 นี้ บัญญัติล่วงหน้า ซึ่งผิดพทุธจริยาวัตรเป็นอย่างยิ่ง

 

ข้อที่ 2) ภิกษุณีไม่พึงอยู่จำพรรษาในอาวาสที่ไม่มีภิกษุ ธรรมแม้นี้ ภิกษุณีต้องสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ไม่ละเมิดตลอดชีวิต

เรื่องนี้ได้มีเล่าไว้ในพระไตรฯ (พระวินัย) ว่านางภิกษุณีอยู่จำพรรษา(ในช่วงเข้าพรรษา)ในวัดที่มีแต่นางภิกษุณีล้วนๆ แล้วเกิดโจรมาปล้นวัด นางภิกษุณีไม่สามารถสู้โจรได้ พพจ.จึงออกบัญญัติห้ามนางภิกษุณีจำพรรษาลำพัง ต้องมีพระผู้ชายด้วยเพื่อคอยคุ้มครองภัยจากโจร ซึ่งจะเห็นได้ว่าเป็นการบัญญัติขึ้นในภายหลัง หลังจากที่มีนางภิกษุณีเป็นปึกแผ่นแล้ว ไม่ได้บัญญัติไว้ล่วงหน้าในครุธรรมก่อนมีนางภิกษุณี ครุธรรมข้อนี้จึงขัดแย้งกับคัมภีร์อื่นๆ(ตามหลักมหาปเทส) ด้วยเงื่อนเวลาอย่างชัดเจน คือถ้าบัญญัติไว้ล่วงหน้าในครุธรรมแล้วจะไปบัญญัติซ้ำในพระวินัยอีกทำไม นอกจากทรงลืม (ซึ่งคงทำให้พระบารมีของพพจ. เสื่อมลงไปมากทีเดียว เนื่องจากแสดงว่าทรงลืมได้เหมือนปุถุชน) อนึ่งพึงเข้าใจว่าพพจ. มักไม่นิยมบัญญัติข้อห้ามอะไรที่ไม่จำเป็นล่วงหน้า เพราะไม่ทรงเป็นเผด็จการ แต่มักจะบัญญัติข้อห้ามแต่ภายหลังเมื่อเกิดเหตุไม่ดีงามขึ้นแล้วเท่านั้น (ศีล 227 ข้อของพระภิกษุและ 348 ของนางภิกษุณี ส่วนใหญ่ก็บัญญัติภายหลังเกิดเหตุและสังคมติเตียนแล้วทั้งสิ้น)

 

ข้อที่ 3-4-5) ๓. ภิกษุณีต้องหวังธรรม ๒ ประการ คือ ถามวันอุโบสถ ๑ เข้าไปฟัง คำสั่งสอน ๑ จากภิกษุสงฆ์ทุกกึ่งเดือน ธรรมแม้นี้ ภิกษุณีต้องสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ไม่ละเมิดตลอดชีวิต
๔. ภิกษุณีอยู่จำพรรษาแล้ว ต้องปวารณาในสงฆ์สองฝ่าย โดยสถานทั้ง ๓ คือ โดยได้เห็น โดยได้ยิน หรือโดยรังเกียจ ธรรมแม้นี้ ภิกษุณีต้องสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ไม่ละเมิดตลอดชีวิต
๕. ภิกษุณีต้องธรรมที่หนักแล้ว ต้องประพฤติปักขมานัตในสงฆ์ ๒ ฝ่าย ธรรมแม้นี้ ภิกษุณีต้องสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ไม่ละเมิดตลอดชีวิต

 

ถ้าข้อ 2 โมฆะก็จะพลอยทำให้ข้อ 3-4-5 เป็นโมฆะไปด้วย เพราะจะปฏิบัติทั้งสามข้อนี้ไม่ได้ถ้าไปจำพรรษาเฉพาะในวัดที่มีแต่นางภิกษุณีเท่านั้น  ด้วยเหตุผลว่าสมัยโน้นวัดอยู่ห่างไกลกันมาก เดินทางก็ธุรกันดาร ถ้าอยู่ในพรรษาเฉพาะภิกษุณีแล้วต้องไปทำกิจในสงฆ์สองฝ่ายแค่เดินทางก็หมดวันแล้ว แล้วจะกลับไปจำพรรษาที่วัดเดิมไม่ได้ตามกฎของการอยู่พรรษา อนึ่งการเดินไปมานอกสถานที่ยังขัดต่อเจตนารมณ์ของการให้อยู่จำพรรษาอีกด้วย พพจ.ทรงเป็นสัพพัญญู คงไม่บัญญัติกฎที่ปฏิบัติไม่ได้และขัดแย้งกันเองเช่นนี้

 

ข้อที่ ๖) ภิกษุณีต้องแสวงหาอุปสัมปทาในสงฆ์ ๒ ฝ่าย เพื่อสิกขมานาผู้มีสิกขา อันศึกษาแล้ว ในธรรม ๖ ประการครบ ๒ ปีแล้ว ธรรมแม้นี้ ภิกษุณีต้องสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ไม่ละเมิดตลอดชีวิต

ครุธรรมข้อที่ 6 นับว่าเป็นข้อเอกที่คณะสงฆ์ไทยอ้างกันมากเพื่อไม่อนุญาตให้บวชนางภิกษุณี(ภษณ) เพราะถือว่าขณะนี้ไม่มีภษณแล้ว จึงไม่สามารถอุปสมบทภษณ”ในสงฆ์สองฝ่าย” ได้  

 

การบวชในสงฆ์สองฝ่ายหมายความว่าต้องทำพิธีบวชทั้งในสงฆ์ฝ่ายชาย และ ในสงฆ์ฝ่ายหญิงด้วย  ก็ในเมื่อไม่มีสงฆ์ฝ่ายหญิงแล้วจึงอ้างกันว่าไม่สามารถบวชได้ เพราะจะขัดกับบัญญัติข้อนี้ ผมขอวิเคราะห์ข้อนี้ด้วยสามัญสำนึกก่อน ก่อนที่จะไปอ้างท้องเรื่องอื่นๆ

 

            ลองคิดดูเถิด พพจ.ทรงเป็นสัพพัญญูจะมาบัญญัติกฎที่ปฏิบัติไม่ได้ได้อย่างไร คือถ้าบัญญัติกฎข้อนี้ต่อปชบด. ก็หมายความว่าพระนางบวชได้เพียงคนเดียว (โดยพระพุทธเจ้าเอง แบบเอหิภิกขุฯ?) แต่คนต่อๆไปจะบวชไม่ได้เลย เพราะมีสงฆ์ไม่ครบทั้งสองฝ่าย คือยังมีเพียงพระนางคนเดียว ยังไม่ถือว่าเป็นสงฆ์ (ซึ่งต้องมีสามรูปขึ้นไป) 

 

และยังไม่เห็นว่าข้อนี้เป็นธรรมอันหนักอึ้งตรงไหนเลย เป็นแต่เพียงพิธีกรรมที่กระทำครั้งเดียวในชีวิตเท่านั้น นอกจากนี้พพจ.ยังกระทำการที่ขัดต่อบทบัญญัติของพระองค์เองอีกด้วย ที่บอกว่า….ดูกรอานนท์ ก็ถ้าพระนางมหาปชาบดีโคตมี ยอมรับครุธรรม ๘ ประการนี้ ข้อนั้นแหละ จงเป็นอุปสัมปทาของพระนาง ฯ ….คือเมื่อยอมรับปึ๊บก็เป็นภษณปั๊บ แต่ถามว่า …แล้วไม่ละเมิดกฎข้อ 6 ที่เพิ่งทรงบัญญัติหยกๆ ดอกหรือ? พพจ.เป็นสัพพัญญูคงไม่กระทำการใดๆที่ขัดต่อบัญญัติอันหนักของพระองค์เองเป็นแน่

            นอกจากนี้ยังมีเรื่องเล่าในพระไตรปิฎกว่า แรกเริ่มเดิมทีการบวชนางภิษุณีกระทำในสงฆ์ฝ่ายเดียว (คือฝ่ายชาย) (แค่นี้ก็ขัดต่อข้อ 6 แล้ว)  แต่ในการบวชต้องมีการถามอันตรายิกธรรม  เช่น ถามว่า เป็นนาคปลอมตัวมาบวชหรือเปล่า สำหรับหญิงมีการถามเพิ่มด้วยว่า “ท่านกำลังเป็นระดูหรือเปล่า” เพราะกำหนดกันไว้ว่าห้ามบวชตอนเป็นระดู (ไม่รู้ใครกำหนด) การถามเรื่องลับเฉพาะแบบนี้ทำให้นาคหญิงไม่กล้าตอบเพราะเขินอาย ความทราบพพจ.จึงกำหนดว่า จากนี้ไปจะให้ไปถามอันตรายิกธรรมกันในสงฆ์ฝ่ายหญิงก็ได้ เรื่องนี้มีนัยสำคัญ 2 ประการคือ

  • 1) จะบวชนางภิกษุณีในสงฆ์ฝ่ายชายฝ่ายเดียวก็ได้ ถ้านาคหญิงไม่อายที่จะตอบคำถาม คือ การให้บวชสองฝ่ายนั้นอนุโลมให้สำหรับหญิงที่เขินอาย ดังนั้นถ้าไม่เขินอายก็ควรที่จะบวชในสงฆ์ฝ่ายเดียวได้ อันนี้ไม่ใช่ข้อบังคับ แต่เป็นข้ออนุโลมต่างหาก
  • 2) ในตอนแรกบวชในสงฆ์ฝ่ายเดียว ซึ่งแสดงว่าครุธรรมข้อ 6 นั้นน่าจะมา(แอบ)บัญญัติภายหลัง

 

นอกจากนี้ยังมีเรื่องเล่าอีกเกี่ยวกับการบัญญัติให้มีการศึกษาของนางสิกขมนา (แม่ชีฝึกหัด) เป็นเวลา 2 ปี ก่อนจะให้บวช นี่ก็ขัดกับครุธรรมอีก เพราะแสดงว่าเรื่องนางสิกขมนานี้บัญญัติไว้ทีหลังไม่ได้บัญญัติล่วงหน้าไว้ในครุธรรม

 

๗. ภิกษุณีไม่พึงด่า บริภาษภิกษุ โดยปริยายอย่างใดอย่างหนึ่ง ธรรม แม้นี้ ภิกษุณีต้องสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ไม่ละเมิดตลอดชีวิต
๘. ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ปิดทางไม่ให้ภิกษุณีทั้งหลายสอนภิกษุ เปิดทาง ให้ภิกษุทั้งหลายสอนภิกษุณี ธรรมแม้นี้ ภิกษุณีต้องสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ไม่ละเมิดตลอดชีวิต

สำหรับข้อ 7-8 นี้ ผมลืมรายละเอียดจริงๆครับ จำได้ลางๆว่า ได้อ่านเจอเรื่องนี้ในพระไตรปิฎกด้วย คือมีการด่าทอกัน และมีการสอนกัน แล้วก็ทรงมีบัญญัติ (แต่จำไม่ได้ว่าบัญญัติว่ากระไร) รายละเอียดไม่ต้องสนใจก็ได้ ขอให้สนใจแต่เพียงว่าเป็นเรื่องที่เกิดภายหลัง ไม่ได้บัญญัติไว้ล่วงหน้า มันขัดแย้งกันในเงื่อนเวลากับครุธรรมอย่างเด่นชัด โดยเฉพาะสำนวนภาษาในข้อ ๘ นั้นส่อพิรุธชัดเจนว่าเป็นบัญญัติที่มีขึ้นภายหลังจากมีภิกษุณีแล้ว ถ้าบัญญัติก่อนมีภิกษุณีจะต้องไม่ใช้ภาษาแบบนี้ (ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป)

 

 

จุดประสงค์ในการ”สอดไส้”ครั้งสำคัญนี้ก็คงเพื่อกดผู้หญิงให้ต่ำกว่าตน ตามคตินิยมของพวกพราหมณ์ผู้ชายสมันโน้นที่เข้ามาบวชเป็นพระในพุทธศาสนา พวกนี้ยังยึดติดว่าผู้หญิงคือของต่ำช้า ไม่อาจกราบไหว้ได้ ก็คงหาทางปลอมเอาครุธรรมมายัดไส้ไว้  แต่ด้วยความด้อยปัญญาก็ปลอมได้ไม่แนบเนียน มีร่องรอยให้จับผิดได้เต็มเกลื่อนไปหมด

 

คณะสงฆ์ไทยยังจะยืนยันยึดทุกคำในพระไตรปิฏกว่าถูกต้องอีกหรือ ท่านพุทธทาสภิกขุก็เคยกล่าวว่า 60% ของพระไตรปิฎกเป็นเรื่องที่แทรกเข้ามาในภายหลัง ขณะนี้สงฆ์ไทยกำลังเสื่อมมาก ถ้าให้บวชนางภิกษุณีได้ก็น่าจะช่วยพยุงศาสนาไว้ได้นานขึ้น เพราะสมัยนี้ต้องยอมรับว่าผู้หญิงมีศรัทธาแรงกล้าและบริสุทธิ์มากกว่าผู้ชายในการนับถือและปฏิบัติศาสนากิจ

 

ผมเห็นว่าถ้าเรายังยึดครุธรรมว่าเป็นของแท้ ก็ต้องลบเนื้อความในหลายๆคัมภีร์ออกให้หมด เพราะลงกันไม่ได้เลยกับครุธรรม  ถ้ายังคงไว้อย่างนี้ก็จะเป็นการเสื่อมพระยศของพระพุทธเจ้า เพราะเท่ากับเป็นหลักฐานที่แสดงว่าพระองค์ทรงลืมหรือทรงสับสน ไม่ต่างอะไรกับปุถุชน

 

พพจ.ทรงสอนไว้ว่าศาสนาจะสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อครบพุทธบริษัทสี่ คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา แต่ตอนนี้เรามีเพียง 3 ขาเท่านั้นเอง

 

หมายเหตุ การบัญญัติวินัยที่ซ้ำกับครุธรรมนั้นส่วนใหญ่อยู่ในพระไตรปิฎกเล่ม 3 อารามวรรค และ คัพภินีวรรค แสดงให้เห็นว่ามีเรื่องอื้อฉาวเกิดขึ้นก่อนจึงทรงบัญญัติห้าม  แต่ทำไมไปบัญญัติ (ซ้ำซ้อน) ไว้ล่วงหน้าในครุธรรม 8 ก่อนแต่จะเกิดมีภิกษุณีสงฆ์เสียอีก

 

…ทวิช จิตรสมบูรณ์ ( พศ. ๒๕๔๘)


การเกี่ยวนวดอบแห้งข้าวแบบใช้หวีและถุงตาข่าย

2 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 16 January 2011 เวลา 3:45 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1762

การเกี่ยวนวดอบแห้งข้าวแบบใช้หวีและถุงตาข่าย

 

ผมได้เกิดแนวคิดในการเกี่ยวข้าวแบบใช้หวี ไว้นานแล้ว แต่ไม่สะดวกที่จะทำการทดลอง  และยังมีของแถมอื่นอีกด้วย

 

วิธีการคือ เอาถุงผ้ามีรูโปร่ง (ประมาณมุ้งตาห่าง) ห้อยบ่าไว้ ปากถุงทำเป็นขอบแข็ง ถุงนี้ทำเป็นถุงที่ยาวและแคบสักหน่อย

 

เอามือรวบคอรวงข้าวมาเข้าในปากถุง เอา “หวี” มาสางรูดเมล็ดข้าวออกจากรวง ให้ตกลงไปในถุง จนเต็ม ซึ่งจะทำให้เราได้ข้าวเปลือกทันทีโดยไม่ต้องนวดและฝัด  หวีนี้ต้องออกแบบให้พอดีกับขนาดเมล็ดข้าว ไม่ใหญ่หรือเล็กเกินไป

 

จากนั้นเอาถุงไปห้อยตากแดดไว้กับราวไม้ที่ทำขึ้น เพื่อเป็นการอบแห้ง สัก 2-3 วันก็น่าจะแห้งสนิท จากนั้นถ้าเมล็ดข้าวเปลือกยังไม่เป็นเมล็ดดี อาจช่วยฝัดเพิ่มด้วยการเอาถุงฟาดกับเสา หรือเอาสากกระทุ้งถุงที่ห้อยไว้

 

ถ้าทำได้เช่นนี้มันจะลดขั้นตอนและลดการเหนื่อยยากของการเกี่ยวนวดข้าวลงได้มากเลย เพราะปกติต้องเกี่ยวรวงข้าว วางตากแห้งไว้บนตอซัง 3 วัน (ในระหว่างนี้ถ้าฝนหลงฤดูตกมาก็เสียหาย ยังนกหนูมาลงอีกล่ะ) ไปเก็บรวมมัดเป็นฟ่อน หาบมาลาน เอามานวด และเอามาฝัด นี่ว่าตามแบบดั้งเดิมนะครับ ซึ่งเกษตรกรรายย่อยจำนวนมากก็ยังทำแบบนี้อยู่  มันพอเพียงดีด้วย ไม่ต้องไปพึ่งรถเกี่ยวข้าว

 

..ทวิช จิตรสมบูรณ์ (๑๖ มค. ๒๕๕๔)


การทำนาแบบปลูกสลับฟันปลา เพื่อลดการบังแดดและเพิ่มระยะห่าง

ไม่มีความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 16 January 2011 เวลา 3:22 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2066

การทำนาแบบปลูกสลับฟันปลา เพื่อลดการบังแดดและเพิ่มระยะห่าง

 

ผมได้เที่ยวถามชาวนาไปทั่วประเทศว่าการดำนาคำนึ่งถึงทิศทางของแสงแดดบ้างไหม หลายสิบราย มีรายเดียวที่บ้านเชียง จ.อุดรธานี ที่บอกว่าตาเขาเคยสอนให้ปลูกแบบที่ผมได้คิดไว้

 

หลักการคือเราจะลดการบังแดดซึ่งกันและกันของต้นข้าว

 

คือถ้าดวงแดด (พระอาทิตย์..น่าประหลาดใจมากว่าเราไม่มีภาษาไทยใช้เรียกสิ่งนี้) วิ่งออกตก เราก็ปลูกในแนวเหนือใต้ เพียงแต่ว่าในแถวที่ชิดติดกัน เราปลูกต้นข้าวไม่ตรงกันในแนวออกตก แต่ปลูกตรงกึ่งกลางระหว่างสองต้น (คือสลับฟันปลานั่นเอง) ดังนั้นทุกๆ สองแถวต้นข้าวจึงจะตรงกันหนึ่งครั้ง…จบ

 

ผลดีที่น่าจะได้ตามมาคือ

1) การบังแดดระหว่างต้นจะลดลงสองเท่า โดยเฉพาะในช่วงเช้าและช่วงเย็น  ทำให้ข้าวได้แดดมากขึ้น ก็น่าจะโตไวขึ้น

2) ระยะห่างระหว่างต้นข้าวมากขึ้น 12% (ถ้าระยะห่างการปลูกคือ 25 ซม.)  ซึ่งอาจหมายความว่า กอข้าวจะใหญ่ขึ้น ได้ข้าวเปลือกมากขึ้น หรือ หากกอเท่าเดิมก็อาจเพิ่มจำนวนต้นต่อไรได้

 

การปลูกแบบนี้ (ทำได้เฉพาะนาดำ) ไม่ได้ยุ่งยากขึ้นกว่าเดิม โดยเฉพาะถ้าใช้วิธีหยอดหล่นแบบที่ผมได้คิดไว้ ว่าไปแล้วการปลูกต้นอะไรเช่น ลำไย มะม่วง ข้าวโพด ก็ควรทำแบบนี้ไม่ใช่หรือ

 

..ทวิช จิตรสมบูรณ์ (๑๖ มค. ๒๕๕๔)


แนวคิดการทำนาแบบหยอดหล่นเพื่อเหนื่อยน้อยลงแต่ได้ผลดีขึ้น

3 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 16 January 2011 เวลา 2:45 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2427

แนวคิดการทำนาแบบหยอดหล่นเพื่อเหนื่อยน้อยลงแต่ได้ผลดีขึ้น

 

 

การดำนาเป็นกิจกรรมที่เหนื่อยยากมาก (หลังสู้ฟ้า)  ผมจึงได้คิดวิธีทดแทน วิธีใหม่นี้เราจะเตรียมก้อนดินปลูกที่คลุกกับเมล็ดพันธุ์ข้าวไว้ โดยคำนวณให้ได้ก้อนละ 3 เมล็ด เมื่อคลุกดินกับเมล็ดข้าวเข้ากันดีแล้ว (ใส่น้ำให้แฉะด้วย)  ก็ให้เอามาปาดลงบนเบ้าไม้กระดานที่เจาะรู้ไว้เป็นหลุมๆ มากมาย (คล้ายเบ้าทำน้ำตาลก้อน)  ซึ่งหลุมนี้ก็คือก้อนดินที่ต้องคำนวณให้ได้ก้อนละสามเมล็ดข้าวนั้นเอง  หนึ่งแผ่นกระดานอาจมีสัก 200 หลุม หลุมควรทำเป็นทรงกระบอก ลึกสัก 1.5 ซม. ผศ. ประมาณ 1.5 ซม.

 

จากนั้นเคาะเบ้าให้เมล็ดหล่นไปวางไว้บนไม้กระดาน บางๆ โดยเรียงก้อนดินเป็นแถวตอนเรียง 6 จะมีสักกี่แถวก็ได้ แต่ไม้กระดานไม่ควรยาวเกิน 50 ซม. เอาไม้กระดานซ้อนกันเป็นชั้นๆ ขึ้นไปเรื่อยๆ จากนั้นหมักก้อนดินทิ้งไว้ 1 หรือ 2 คืน พอให้รากข้าวงอกเป็นตุ่ม

 

ต่อไปก็เอาไปหยอดในนาที่เตรียมเทือกไว้แล้ว (เทือกคือพื้นนาแฉะที่ปาดเรียบเพื่อรอการหว่าน) วิธีหยอดคือ เอาแผ่นไม้ที่เรียงเม็ดดินไว้มาวางบนแคร่ที่ห้อยคอไว้ (แบบพวกขายลอตเตอรี) วางให้มากที่สุดเท่าที่รับน้ำหนักได้  ถ้าจะวางบนรถเข็นติดสกีก็ยังได้ จากนั้นเอาไม้หยอดมาพาดตามขวาง ไม้หยอดนี้ไม่ใช่อะไร เป็นเพียงไม้ระแนงเรียวๆ ยาวประมาณ 130 ซม.  มีเชือกสีผูกห้อยไว้เป็นที่หมายตา โดยผูกเป็นระยะห่าง 25 ซม. ให้มีการผูก 6 จุด  ควรมีไม้หยอดนี้สัก 3 ไม้ วางขนานกัน ห่างกัน 25 ซม.

 

การหยอดให้เดินหยอด โดยหยอดเม็ดดินลงไปตรงที่ผูกเชือกสีไว้   เม็ดดิน 6 เม็ดที่เรียงไว้บนกระดานก็หยอดได้ 6 หลุมพอดี  เมื่อมีไม้หยอด 3 ไม้ ครั้งหนึ่งก็หยอดได้ 18 หลุม โดยหยิบก้อนดินด้วยมือทั้งสองข้าง หยอดทีสองเม็ดพร้อมกัน ข้างซ้ายข้างขวา ใครฝึกชำนาญแล้วอาจกำเม็ดดินมือละ 3 เม็ด ก็สามารถหยอด 6 เม็ดได้อย่างรวดเร็วมาก  จากนั้นก็เดินไปข้างหน้า  75 ซม. หยอดอีก 18  เม็ด ทำเช่นนี้ไปเรื่อยไปจนหมด การเดินนี้ควรมีเชือกขึงที่ผูกระยะ 75 ซม เป็นเครื่องหมายด้วย จะได้แนวข้าวที่ตรง  ใครแขนยาวอาจหยอดไม้ละ 8 หลุมก็ได้นะ แต่แขนต้องยาว 175 ซม.

 

ข้อดีของวิธีนี้คือ

 

  • 1) สะดวก รวดเร็ว ราคาถูก และไม่เหนื่อยยากมากนัก (ไม่ต้องก้มหน้าดำนา)
  • 2) เม็ดข้าวจะตกจมลงไปลึกประมาณ 1 ซม. จากผิวดิน (จากแรงกระแทกหล่นของเม็ดดิน) ทำให้รากข้าวงอกได้กำลังดี มีรากแข็งแรง (ไม่ตื้นเกินไปแบบนาหว่าน) อีกทั้งรากไม่ต้องถูกกระทบกระเทือนจากการถอนและปักดำ แม้การปูกกล้าแบบต้นเดี่ยวที่เรากำลังไปลอกมาจาก Madagasgar ก็ยังมีการถอน ทำให้กระเทือนราก เมื่อรากแข็งแรง ต้นข้าวก็แข็งแรง ทำให้ทนทานต่อโรคพืชสูงกว่าปกติ
  • 3) ถ้าเราเตรียมดินเม็ดด้วยปุ๋ยที่เข้มข้นด้วย ปุ๋ยจะไม่กระจายไปที่อื่น อยู่ที่บริเวณรากข้าวเท่านั้น ทำให้รากงอกได้ดีและแข็งแรงยิ่งขึ้น
  • 4) น่าจะลดเวลาปลูกข้าวลงได้ เพราะข้าวไม่ต้องเสียเวลาตั้งต้นใหม่จากการบอบช้ำจากการปักดำ
  • 5) รากข้าวจมลึกสม่ำเสมอเท่ากันหมดทุกต้น (สามารถวิจัยว่าจะหยอดสูงเท่าไรจึงจะดีที่สุด) ส่วนการดำนาบางทีดำลึก บางทีดำตื้น

 

ถ้าเราคำนวณให้มี 3 เมล็ดข้าว ใน 1 เม็ดดิน และถ้าอัตราการงอกเป็น 80% เราจะได้การงอกดังนี้ คือ ข้าวงอก 3 ต้น 51.2%, ข้าวงอก 2 ต้น 38.4%,  ข้าวงอกต้นเดียว 9.6%  และข้าวไม่งอกเลย 0.8%  ซึ่งถือว่ายอมรับได้ เพราะข้าวต้นเดียวนั้นอาจแตกกอได้ดีจนมีผลผลิตเท่าเทียมกับ 2 ต้น และ 3 ต้นในที่สุด ส่วนข้าวไม่งอกมีน้อยมาก

 

และอย่าลืมการทำนาชีวภาพ 100% (ไม่ใช้แม้สารชีวภาพ เช่น สะเดา)  ด้วยการเลี้ยงกบ เขียดในนา กบกินแมลงใหญ่ เขียดตัวน้อยๆ กินแมลงเล็ก รวมทั้งเพลี้ยต่างๆ ไม่เหลือหรอ หรือ เหลือเล็กน้อย แต่ยอมรับได้ มูลกบเขียดเป็นปุ๋ยให้นาโดยธรรมชาติ  (กลายเป็นว่าแมลงเป็นมิตรของพืช ไม่ใช่ศัตรูพืชอีกต่อไป) 

 

น้ำในนาก็ใช้เลี้ยงปลาได้หลายสกุล (เลือกกบชนิดที่ไม่กินปลา)  สำหรับหอยปูอาจเลี้ยงปลาไหลให้ช่วยกำจัด  (หรือสัตว์น้ำอื่นๆ ที่กินหอยปู)  อีกทั้งน้ำในนายังอาจสามารถปลูกพืชคลุมน้ำได้อีก ซึ่งถ้าวิจัยให้ดีอาจพบพันธุ์ที่ช่วยเสริมให้ข้าวโตเร็วขึ้นและให้ผลผลิตเพิ่มขึ้นด้วยซ้ำไป  เพราะช่วยตรึงสารลงในดิน (เช่น อาจเป็นผักบุ้ง สันตะวา กระจอง ผักกุ่ม ผักหนาม สาหร่าย ผำ บัดเขียด ผักแว่น ผักใบพาย  ก็เป็นได้ …บรรดาพืชน้ำทั้งหลาย)  อีกทั้งผักพวกนี้ยังอาจช่วยสร้างไรน้ำให้ปลาได้กินอีกด้วย

 

การขจัดวัชพืชในนานั้น ควรวิจัยหาพันธ์สัตว์ที่กินหญ้าทุกชนิด ยกเว้นต้นข้าว พองอกออกมาเป็นต้นอ่อนก็กินหมด อาจเป็นปลาบางสายพันธุ์ หรือ เต่าตัวเล็ก ก็เป็นได้

 

ถ้าทำนาแบบนี้อาจจะได้ผลผลิตสูง ราคาดี (เพราะชีวภาพ) ต้นทุนต่ำ  ทั้งคนปลูกคนกินมีสุขภาพดี  ยังขายปลา ขายกบ ได้อีก กำไรสุทธิน่าจะสูงกว่าทำนาแบบเดิมๆ 3 เท่าได้ แถมเหนื่อยน้อยกว่าอีก 2 เท่า

 

ช่วยกันบอกต่อ หรือ เอาไปทดลอง หรือ เอาไปคิดต่อให้ดียิ่งขึ้นนะครับ เพื่ออนาคตที่ดีของชาวนาไทย

 

ส่วนการใช้มดขจัดเมล็ดวัชพืชก่อนทำนานั้น ผมเชื่อว่าทำได้แน่นอน แต่ต้องการการวิจัยสักหน่อย  นักวิจัยท่านใดทำออกมาได้ ก็จะมีชื่อเสียงมาก (อาจถึงกับได้รางวัลโนเบล)  และเป็นประโยชน์ต่อชาวนาทั่วโลกเป็นอย่างมาก

 

…ทวิช จิตรสมบูรณ์  (๖ ธค. ๕๓)


นางสาวไทยที่ผิวคล้ำและตัวเตี้ย

2 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 15 January 2011 เวลา 8:57 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2133

นางสาวไทยที่ผิวคล้ำและตัวเตี้ย

วันนี้ผมได้อ่านข่าวจาก มติชนออนไลน์ ซึ่งเป็นข่าวที่ตรงกับที่ใจผมได้คิดวิเคราะห์เรื่องนี้ไว้นานประมาณ 30 ปีได้แล้วกระมัง …เรื่องการประกวดนางงาม (นางสาวไทย) ลองอ่านดูนะครับ…..

“”"สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 24 ธ.ค.ว่า นิตยสาร”Elle”ฉบับอินเดีย ประจำเดือนธ.ค. ต้องเผชิญกับกระแสโจมตีภายหลังขึ้นปกของไอชวารา ไร บาคแชน อดีตมิสเวิลด์ และดาราฮอลลีวูด ..ในรูปลักษณ์เป็นนางแบบผิวขาว จากเทคนิคการตกแต่งภาพ… ซึ่งแตกต่างจากผิวจริงของเธอซึ่งเป็นสีน้ำตาลเข้ม “”"

ผมขอยกย่องจิตใจคนอินเดียอย่างสูงสุด ที่ออกมาต่อต้านเรื่องนี้ นี่ถ้าเป็นเมืองไทย เราจะยกย่องหนังสือทุนนิยมนี้เสียอีกที่อุตส่าห์จะทำให้เรา “ขาวขึ้นกว่าเดิม”  (Elle นี้เข้าใจว่าเป็นเจ้าของโดยฝรั่ง ไม่เมกา ก็อังกฤษ แล้วขยายแฟรนไชส์มายังเอเชีย)

ในชีวิตที่อยู่มาจนจะเกษียณในห้าปีนี้แล้วผมเคยดูการถ่ายทอดการประกวดนางสาวไทยประมาณ 0.5 ครั้งเห็นจะได้ (0.4 ครั้งดูเมื่ออายุก่อน 20) ปัจจัยหนึ่งที่ไม่อยากดูเพราะเกิดแรงต่อต้านว่านี่มันประกวดจอมปลอม เพราะเห็นมีแต่คนผิวขาวที่ชนะการประกวด ตัวสูงโย่งอีกต่างหาก ทั้งที่หญิงไทยตามธรรมชาติส่วนใหญ่ ผิวคล้ำและเตี้ยกว่านั้น

นี่แสดงให้เห็นถึงนิสัยคนไทย ที่ไม่มีศักดิ์ศรีในตนเอง เห็นความเป็นตนเองเป็นสิ่งที่ต่ำต้อย เพระมันต่างจาก “ฝรั่ง” ที่ผิวขาว สูง  นี่เป็นปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้ประเทศไทยไม่พัฒนาเท่าที่ควร เพราะขาดความมั่นใจ ภูมิใจในความเป็นตนนั่นเอง

โรคนิยมฝรั่งนี้มันลามมาจากพวกนักวิชาการและคนชั้นสูง สองพวกนี้คิดหรือทำอะไรพวกล่างๆ มันก็ต้องทำตามเป็นของธรรมดา 

ญี่ปุ่น..ที่เคยเจริญสูงสุดมาด้วยศักดิ์ศรีแห่งตน บัดนี้กำลังตกต่ำมาก น่าสังเกตว่าวันนี้วัยรุ่นญี่ปุ่น 70% ได้กระมัง ย้อมผมทอง ..ลองคิดเชื่อมโยงดูสิ …

สมัย 45 ปีก่อนเราเห็นแต่หนังซามูไรญี่ปุ่น จนญี่ปุ่นเจริญสุดๆ มาวันนี้เราเห็นแต่หนังเกาหลีโบราณ แล้วเกาหลีก็เจริญมากๆ ส่วนหนังไทยเราทั้งในอดีตและปัจจุบัน..มีแต่คุณชายแต่งสูต จบนอก..อ้วกกก

…ทวิช จิตรสมบูรณ์ (๑๕ มค. ๕๔)

 



Main: 0.23642992973328 sec
Sidebar: 0.11144518852234 sec