เกือบได้กลับไปนอนสวนป่าอีกคืน
หลังจากครูออตตรวจการบ้าน ก็ถึงคิวพี่ตึ๋ง พี่ตึ๋งเข้ามาแลกเปลี่ยนเรื่องเทคโนโลยีด้านไอทีเล็กน้อยแล้วโยนไมค์ให้อาจารย์โสรีช์ว่าต่อ อาจารย์รับไมค์แล้วกลับส่งต่อให้ฉัน ฉันหันหน้าไปมองอาจารย์เป็นเชิงถาม จะให้พูดจริงอ่ะ ตัดสินใจรับไมค์แล้วพาตัวลงไปนั่งลงข้างหน้าน้องๆกลุ่มมกรา
ไม่ได้เตรียมตัวว่าจะมาเป็นครู มาสวนป่าคราวนี้ตั้งใจแค่มาพบมาเจอน้องพี่ที่อยากเจอนิ รับไมค์มาก็คิดไปพลาง พูดอะไรๆ
พอคิดเร็วก็พูดออกมาเร็วอย่างที่คิด จะพูดอะไรดีอ่ะ ตัดสินใจเร็ว งั้นชวนคุยดีกว่า บอกกับน้องๆว่า คืนนี้ต้องอำลากันแล้ว จะเดินทางกลับไปเรียน ถือว่าตัวเองโชคดีที่ได้มา และได้พบกับครูดี ที่มาแค่อยากมาพบกับน้องครูอึ่งและคนอื่นๆ ขอบคุณน้องอึ่งที่ทำให้พบเรื่องดีๆ
ในความเหมือนมีความต่างและในความต่างมีความเหมือน นี่คือมุมบวกที่ครูสอนให้มองความหลากหลายให้เป็น
บอกขอบคุณอาจารย์ บอกอาจารย์ว่าชื่นชมกับความเป็นครูที่อาจารย์ทำให้เห็นมาตลอด ๒ วัน ตอบแทนคุณด้วยการบอกว่าเรียนรู้อะไร ขอบคุณที่ชี้และย้ำให้มองมุมเหมือน เมื่อเห็นความหลากหลาย
จำได้ว่าชวนให้น้องๆเห็นตัวเองว่าเป็นหมอรักษาสังคม จำได้ว่าพูดแลกเปลี่ยนยาว พูดออกไปสดๆจากความรู้สึกนึกคิดในตอนนั้น จำไม่ได้ว่าพูดอะไรออกไปบ้าง แต่พูดรู้เรื่องนะ
จำได้ว่าชวนน้องๆใ้ห้เห็นความสำคัญของการรู้ทันตัวเอง ชวนให้มองว่าจินตนาการของตนเองนำไปสู่มุมลบหากไม่รู้ทัน ชวนให้มองและใช้จินตนาการในเชิงบวก ให้จินตนาการเป็นเครื่องมือเปิดทางเลือก แล้วก็จบค่ะ
เมื่อคืนไมค์ให้อาจารย์ อาจารย์ก็บอกให้ผู้คนบ้านมกรานั่งล้อมวงรอบๆตัวฉัน แล้วพลันเสียงเพลงที่อบอุ่นก็ดังขึ้นจากปากทุกคน อาจารย์ดีดกีร์ต้าให้จังหวะคลอไปด้วย แวบแรกที่สัมผัสความหมายที่ซ่อนในเพลงฉันน้ำตาซึมค่ะ
อยู่ที่ตัวเราเองให้โอกาสกับตัวเองทำให้วันธรรมดาๆเป็นวันพิเศษที่เพิ่มความมีชีวาให้ตัวเองหรือเปล่าเนอะ…เนอะ…เนอะ..เน้อ
ในตอนนั้นไม่กล้าเงยหน้ามองหน้าใครเลย กลัวน้ำไหลล้นตาออกมาค่ะ รู้ตัวว่าใช้พลังมากปรามไม่ให้น้ำไหลออกตาอยู่พักหนึ่งค่ะ จนกระทั่งมีแว๊บเสียงหนึ่งดังขึ้นมาว่า “รู้อารมณ์ตัวเองหรือเปล่ารู้สึกอย่างไร” ความคิดมาช่วยนำให้สนใจค้นหาอารมณ์ค่ะ เพิ่งเข้าใจว่ามันเป็นความรู้สึกอาวรณ์เมื่อมาเขียนบันทึกนี้แหละค่ะ อารมณ์นี้มักเิกิดเสมอเมื่อถึงเวลาแยกจากพี่น้องชาวเฮ คงเป็นความผูกพันเนอะ
ไม่กล้าเงยหน้าอยู่นาน ยิ่งเงยหน้าขึ้นมาพบรอยยิ้มตรงหน้า ยิ่งรับรู้สัมผัสจับต้องตัวจากผู้คนตรงหน้า ก็รู้ตัวว่าไม่พร้อมที่จะจากไป จนมีเสียงดังขึ้นว่า เฮ้ย ผู้คนตรงหน้าเขากำลังมอบสิ่งมีค่าให้ เป็นยังงี้ได้ไง สติจึงคืนมาแล้วก็กล้าเงยหน้าขึ้นมองทุกๆคน
มองไปรอบตัวก็เห็นผู้คนบ้านมกรา ตั้งอกตั้งใจส่งใจและความวางใจมาให้กับฉัน อุ่นกับพลังชีวิตที่ได้มอบให้จนยิ้มได้ น้องครูอึ่งเข้ามาบอกขอกอดพี่หน่อย อ้อมกอดอุ่นๆประคองกันและกันไว้เนิ่นนาน
รู้สึกว่านั่งเป็นไข่แดงแล้วเห็นหน้าทุกคนไม่ถนัด เขียนที่อยู่ให้น้องเอกแล้ว ฉันก็เบี่ยงตัวไปนั่งใกล้น้องมืด ทีนี้ก็ได้เห็นหน้าของทุกๆคนพร้อมๆกัน นั่งฟังเพลงจนอิ่มอุ่นทีเดียวละค่ะ
ขอบคุณที่ชวนให้ลองเป็นเด็กอีกครั้งนะคะครูออต
เพลงหลายเพลงที่ร้องนั้นไพเราะมาก น้องมืดกระซิบบอกว่า อาจารย์โสรีช์เป็นคนแต่ง เพลงเหล่านี้เป็นสื่อเชื่อมใจร้อยรัดผู้คนในกลุ่มบ้านมกราเข้าด้วยกันจากรุ่นสู่รุ่นเห็นประจักษ์เลยค่ะ
ระหว่างที่เพลงยังไม่จบ ฉันเห็นน้าเดินไปเดินมาพร้อมเป้ที่หลัง แว่วเสียงมาว่าน้าจะกลับแล้วก็งงนะ น้าเปลี่ยนใจจะกลับด้วยกันตั้งกะเมื่อไร ไม่เห็นบอกกัน จนกระทั่งได้ยินแว่วๆว่าิน้าอยากเป็นไข่แดงมั่ง จึงรู้ว่าเป็นมุขอ้อนของน้านี่เอง
เห็นเวลา ๔ ทุ่มแล้ว คิดว่าน่าเดินทางแล้วหละ จึงเริ่มมองหาว่าใครกันแน่ที่จะไปส่ง จนได้ยินว่าคนหัวโตอาสาไปส่ง น้าอึ่งไปด้วย ฉันจึงเข้าไปหยิบกระเป๋าในห้อง เจอป้านายนอนหลับอยู่ ป้านายหูไวได้ยินเสียงประตูเปิดก็ตื่นขึ้น เมื่อป้านายบอกว่าจะไปส่งด้วยก็งงค่ะ งงเพราะมีหลายคนมาบอกว่าจะไปส่งค่ะ
ได้กระเป๋าก็ออกมาบอกลาอาจารย์โสรีช์และกลุ่มบ้านมกรา บอกลาพ่อครู พี่ตึ๋ง และใครอีกหลายคน แล้วเดินมาหน้าบ้านบอกลาแม่หวี ตกลงคนหัวโตใช้สิทธิไปส่ง มีพี่ตึ๋งกับน้าอึ่งไปเป็นเพื่อน เส้นทางวิ่งตอนกลางคืนมืดอยู่มาก แต่สงสัยคนหัวโตขับจนชินทางแล้ว เลยขับสบาย
ระหว่างทางนึกได้ว่าไม่ได้ลาป้าจุ๋ม โทรกลับไปเพื่อบอกลาก็ไม่ได้พูดกัน แต่ก็ได้ลากันเมื่อป้าจุ๋มโทรมาหาก่อนถึงบุรีรัมย์ค่ะ
ถึงสถานีขนส่งบุรีรัมย์เกิน ๕ ทุ่มครึ่ง คนหัวโตจอดรถหน้าบริษัท เอาของลง พาตัวลงแล้วร่ำลาพี่ตึ๋งตามธรรมเนียม
น้าซึ่งรับฝากจากน้องครูปูให้ซื้อตั๋วกลับให้ด้วย เดินไปที่ช่องขายตั๋ว คุยซักถามกันเป็นครู่ ฉันจึงรู้ว่า ที่แท้รถคันว่างที่เห็นจอดอยู่ชานชาลาตอนเลี้ยวรถเข้ามาเป็นคันสุดท้ายที่จะเดินทางเข้ากรุงเทพฯในคืนนี้ เอะใจกับเวลาเดินทางของตัวเอง จึงดึงตั๋วที่อยู่ในกระเป๋าออกมาดู
อ้าววววววววววววววว ตายละ เขาเขียนไว้ว่า ๐.๑๐ น. นี่นา เกือบไปแล้ว เกือบได้กลับไปนอนสวนป่าอีกคืนแล้ว…อิอิ
พอน้ารู้ว่าฉันดูเวลาเดินทางผิดก็หัวเราะชอบใจแซวว่า พี่หมอตั้งใจจะมาให้ไม่ทันหรือเปล่าค่ะนี่ จากนั้นก็ร่ำลากัน แล้ว ๓ คนก็จากไป
มีความลับมาบอกให้ว่า เดี๋ยวนี้คนหัวโตเขาเก่งยอมให้กอดลาแบบไม่ขัดเขินแล้วนะคะ
ขอบคุณกับการดูแลทุกๆเรื่องที่มอบให้…..ทุกคราที่ได้อยู่ใกล้ๆ….รู้สึกถึงความมีชีวาที่ฟื้นขึ้นในตัวค่ะ
ขึ้นรถแล้วก็รีบนอน ถึงกรุงเทพฯเวลาตี ๕ กำลังนอนสบาย ถึงโรงแรมที่พักตี ๕ ครึ่งนอนต่อ ตื่นเมื่อมีคนโทรมาถามว่าจะไปด้วยกันไหม
เข้าไปเรียนที่สถาบันพระปกเกล้าในตอนเช้าก็ได้พบเรื่องราวที่ตื่นตาตื่นใจ หมดชั่วโมงเรียนแล้ว ก็เดินทางต่อกลับบ้าน
ถึงบ้าน ๖ โมงเย็น คุณสามีมารับและบอกว่า หลายชายพาครอบครัวมาเที่ยวบ้านพ่อ เข้าบ้านได้สักครู่ หลานชายก็พาครอบครัวมาหา มีลูกสาวตัวน้อยๆมาด้วย ชื่อน่ารักเชียว “แสนดี”
รู้สึกแก่แฮะเมื่อหลานชายแนะนำให้ลูกสาวเรียกฉันว่าย่า
ก็นับว่าวันนี้เป็นวันธรรมดาที่มีเรื่องพิเศษๆเกิดขึ้นกับตัวเองหลายเรื่องทีเดียวเชียว
ขอบคุณทุกๆคนค่ะที่ช่วยเติมพลังให้
มีความสุขใจและอุ่นใจในระหว่างการมาเยือนสวนป่าครั้งนี้เหมือนทุกครั้งที่ได้มาค่ะ
๗-๘ พฤษภาคม ๒๕๕๓
« « Prev : ก็อยากให้เห็น…อยากให้รักนี่
3 ความคิดเห็น
ผมน่ะแทบตายกับมุกสะพายเป้อยากเป็นไข่แดงครับ
หือ….โดนมุขปังตอสวนกลับหรือเปล่า..เลยแทบตายอ่ะ
วันนั้นป้าจุ๋มก็ใจเย็นเห็นบอกว่ารถออกตี1 และวันนั้นมอมแมมมาก…ป้าจุ๋มก็เลยรีบขึ้นไปอาบน้ำก่อน…เพื่อให้หอมๆจะได้กอดถนัดใจ แต่พออาบน้ำเสร็จลงมา ก็พบว่าคลาดกันนิดเดียวเลยอดกอดเลย ไม่เป็นไรฝากกอดก็ได้น๊ะ ฟังรายการเดินทางแล้วเหนื่อยแทน อย่างไรก็อย่าลืมรักษาสุขภาพด้วยค่ะ