ก็อยากให้เห็น…อยากให้รักนี่
ก่อนเข้าห้องเรียนของครูออตเล็กน้อย แม่หวีก็กลับมาถึงสวนป่าพอดี แม่หวีเลื่อนการเดินทางให้ฉันสำเร็จสมคำว่า “แม่หวีซะอย่าง” ที่พ่อครูชมค่ะ เห็นเวลาที่เลื่อนเดินทางแล้วร้องโอ้โหในใจ ตีหนึ่งเชียวรึ เวลานี้ดึกโขจนรบกวนคนไปส่งมากไปหรือเปล่าเริ่มไม่สบายใจ
ออกปากถามแม่หวีตรงๆด้วยความไม่สบายใจ แม่หวียิ้มให้แล้วออกปากบอกว่า ไม่เป็นไร หวีไปส่งได้อยู่แล้ว ขอบคุณจริงๆค่ะกับคำตอบ แต่ฉันก็ไม่สบายใจอยู่ดีค่ะ
รับรู้เวลาเดินทางใหม่แล้วโทษตัวเองค่ะ รู้สึกตัวเองว่า ไม่ได้เรื่องจริงๆค่ะที่กำหนดเงื่อนไขถึงกรุงเทพฯไม่เกินตี ๕ ไว้ โดยลืมนึกไปว่ามันกลายเป็นข้อกำหนดของเวลาเดินทางออกจากบุรีรัมย์ดึกไปด้วย ก็เลยเป็นผลทำให้แม่หวีลำบากและเหนื่อยในเวลาดึกโดยไม่จำเป็น
คิดเร็วตัดสินใจเร็ว จึงตกลงแก้ตัวใหม่บอกตัวเองว่างั้นตัดสินใจเดินทางออกจากสวนป่าไม่เกิน ๕ ทุ่มก็แล้วกัน แม่หวีจะได้ไม่ต้องขับรถกลับมาสวนป่าดึกเกินไป ไม่ได้คิดว่าคนในกลุ่มเฮจะไปส่ง ไม่ได้ดูถูกน้ำใจค่ะ แต่คิดว่าควรให้พี่น้องได้ใช้เวลาอันมีค่าแบ่งปันและเรียนรู้จากอาจารย์โสรีช์และอยู่แลกเปลี่ยนกับน้องๆกลุ่มมกราให้คุ้มกับเวลาค่ะ
ไม่ควรแบ่งเวลาของใครมาแม้ว่าคนๆนั้นจะเต็มใจมอบให้ เวลาเรียนรู้จาก “ครูของครู” มีค่ายิ่งสำหรับทุกๆคนที่ได้เจอ
ระหว่างที่น้องๆกลุ่มมกรากำลังแยกย้ายกันไปทำการบ้านที่ครูออตให้ไว้ ฉันก็เข้าไปรวบรวมสัมภาระอีกครั้งหนึ่ง ตั้งใจว่าจะเดินไปดูพันธุ์ไม้ยืนต้นในแปลงปลูกเพื่อขอแบ่งปันจากพ่อครูติดมือกลับไปปลูกที่กระบี่ กำลังจะเดินออกไปเพื่อมองหา น้องครูปูเดินสวนมาและส่งข่าวว่า พ่อครูชวนพวกเราไปที่โรงอัดอิฐ ได้ยินชื่อสถานที่แล้วงงๆ ไม่รู้หรอกว่าอยู่ตรงส่วนไหนของสวนป่า เข้าใจไปว่าอยู่ทางด้านซ้ายมือของบ้านด้านเดียวกับกองฟาง
รับคำกับน้องครูปูแล้วก็เดินตามดูว่ามีใครบ้างที่ยังหลงเหลืออยู่ในบ้าน บอกข่าวต่อแล้วก็พาตัวเดินออกมาหน้าบ้าน มองเห็นพี่น้องชาวเฮส่วนหนึ่งเดินลิ่วๆไปทางข้างบ่อปลาพร้อมเก้าอี้บางคนหิ้วตัวหนึ่งบางคนก็แบกสองตัว คุยกันดังขรม อีกด้านหนึ่งก็เห็นพ่อครูเดินนำลิ่วๆ มีน้องสร้อยเดินตามติดพร้อมเก้าอี้หนึ่งตัวไปทางบ้านที่คนหัวโตจำศีล ก็เลยชักงงกับที่ตั้งของโรงอัดอิฐเมื่อเห็นทั้ง ๒ กลุ่มเดินไปคนละเส้นทาง
บรรยากาศระหว่างเดินไปรวมตัวกันตั้งวงคุยในสวน ความร้อนของอากาศก็ไม่เบาบางลงสักเท่าไร แม้แดดจะเริ่มราแสงลง
ตัดสินใจเดินตามไปในทิศที่เห็นพ่อครูเดินนำไป ที่เดินตามไม่ได้คิดว่าพ่อครูเลือกเดินเพราะเป็นทางลัดหรอกค่ะ ก็ทางที่พ่อครูเลือกเดินไปเป็นทางรก มีกิ่งไม้ทิ้งตัวระลงมาตามทางเดินเต็มไปหมด
ที่เดินตามไปเพราะเดาใจว่ามีอะไรที่พ่อครูอยากให้เดินผ่านไปเห็นมากกว่า แล้วก็จริงค่ะ พ่อครูอยากให้พวกเราได้เห็นความงอกงามของไผ่กิมซุงที่คนหัวโตนำมาให้และร่วมดีใจที่หน่อของมันเริ่มแทงยอดจากดินขึ้นมาให้เห็นหลังได้ฝนค่ะ เห็นความรักที่พ่อครูมีต่อต้นไม้และพยายามเชื่อมโยงพวกเราให้ผูกพันและรักต้นไม้อยู่มากมายเลยค่ะ
ทีแรกรับมาว่ามีคุณค่าแบบใจสื่อใจมากแล้ว ยิ่งเห็นมันเติบโตยิ่งใจให้ใจมากขึ้นไปอีก
เมื่อได้เห็นมันแตกหน่อเนื้อใหม่ๆบอกความอยู่รอด ความผูกพันใจยิ่งมากขึ้นมากกว่ามาก…สัมผัสถึงใจของพ่อครูกันบ้างไหม….นี่แหละคือความหมายขององค์รวมที่แท้ที่ฉันได้เห็น
เมื่อเดินไปถึงที่หมายปลายทางจึงได้อ้อ ว่าที่แท้โรงอัดอิฐที่น้องครูปูเรียกขานอยู่ตรงใกล้ๆโรง(ลอง)ผลิตเฟอร์นิเจอร์ของสวนป่านี่เอง ไปถึงก็เห็นคนสวน(ใหม่)ตัวโตๆกำลังถือไม้ด้ามยาวคล้ายๆคราดเกลี่ยหญ้าที่เกลื่อนพื้นไปรวมกองกัน เกลี่ยได้สองสามครั้งไม้คราดกหลุดจากด้ามให้ต้องเล็งตอกกลับเข้าไปใหม่ สายตาที่มองเลตัวเขาออกไปแลเห็นพี่บู๊ดอยู่ห่างไปไม่ไกลอยู่แวบๆ เห็นพ่อครูเดินนำเก้าอี้ไปวางลงแล้วนั่งเอกเขนก เห็นพื้นที่ที่พ่อครูนั่งลงจึงเข้าใจว่าทำไมจึงให้หิ้วเก้าอี้ติดตัวมา
ฉันนะเดินมาตัวเปล่าๆเปลือยๆ (แขนเสื้อและขากางเกง) มาเท่านั้นค่ะ จะวางก้นนั่งคุยจึงไม่มีเก้าอี้หรอกค่ะ ก็ได้อาศัยแรงคนที่เมตตาหิ้วเก้าอี้มาสองตัวขอแบ่งนั่งมั่งแหละค่ะ ก็ขอขอบคุณผู้ที่หิ้วแบกเก้าอี้มาเผื่อแผ่กันนั่งไว้ ณ ที่นี้ด้วยค่ะ
ลงมือกวาด…กวาด…กวาด…จนคราดหลุดจากด้าม….ด้วยความห่วงใยว่าคนที่หิ้วเก้าอี้มาด้วยจะมาใช้พื้นที่ได้ยาก…แต่แป่ว…คราดเก้อซะงั้น…..ก็รับมอบคำขอบคุณจากคนที่ไม่ได้หิ้วเก้าอี้ติดมือมาด้วยที่ช่วยเลื่อนเก้าอี้ออกไปตั้งไว้ให้ได้วางก้นร่วมฟังวงคุยกันนะคะ..นะคะ
ระหว่างนั่งๆแหย่กันไป คุยกันไปด้วยเรื่องสัพเพเหระ เจ้าถั่วดำ สุนัขที่น่ารักและซนยิ่งของน้องออต คงมันเขี้ยวอยากขย้ำอะไรสักอย่าง ก็มาวนเวียนคอยงับพารองเท้าของฉันไปกัดเล่นอยู่หลายรอบ จนกระทั่งมันเริ่มสงบนิ่งและหลับไป เรื่องที่คุยกันอยู่หลายเรื่องของผู้คนที่นั่งเล่นด้วยกันอยู่ก็เริ่มแคบเข้าๆจนเข้าสู่เรื่องของเฮฮาศาสตร์ เมื่อพ่อครูเกริ่นเรื่องนำ พี่บู๊ดก็ตามชวนสนทนาต่อกว้างๆ
เรื่องที่พ่อครูเกริ่นนั้นเป็นเรื่องราวไล่เรียงลำดับและจัดกลุ่มวาระที่พวกเราในกลุ่มเฮฮาศาสตร์ได้พบกัน ฉันฟังได้ว่ามีโยงใยของเรื่องราวผูกพันอยู่กับความรู้สึกต่อเพื่อนพ้องน้องพี่และการสานต่อกิจกรรมให้ยืนนานก็ใช่ จะฟังว่าพ่อครูกำลังปรึกษาก็ใช่ จะฟังว่าพ่อครูห่วงใยความรู้สึกอยากมาร่วมของชาวเฮที่มีจังหวะเวลาไม่ลงตัวกันแล้วมาร่วมไม่ได้ก็ใช่ จะฟังว่าพ่อครูอยากให้มีกระบวนการสานต่อรูปแบบบางรูปแบบที่เคยมีมาก่อนให้มีต่อไปก็ใช่ จะฟังว่าพ่อครูมีความในใจที่อยากชวนให้เดินต่อร่วมกันสานต่อในมุมที่พ่อครูมีฝันอยากชวนเดินไปพร้อมกันก็ใช่ แล้วแต่ว่าใครจะฟังว่าอย่างไร
เมื่อสหบาทามาครบ ๑๐ คู่และเจ้าถั่วดำสงบกับที่ วงสนทนาก็เริ่มกระหึ่ม
ลองสมมติว่าตัวเองนั่งคุยร่วมอยู่ด้วยนะคะ เพื่อช่วยกันออกความเห็นเฉพาะตัวต่อคำชวนของพี่บู๊ดที่ว่า “ช่วยกันมองสถานการณ์ของเฮฮาศาสตร์ปัจจุบันกันหน่อย” ไปด้วยกันค่ะ
เมื่อคำชวนของพี่บู๊ดหลุดออกจากปาก ฉันสัมผัสว่าระดับความผ่อนคลายของคนในวงลดลงกว่าตอนที่คุยเรื่องสัพเพเหระค่ะ จะเป็นเพราะว่าต่างคนต่างใช้ความคิดหรือเปล่าไม่รู้
ไม่น่าเชื่อว่าเมื่อผู้คนอย่างพวกเราใช้ความคิดจะมีผลทอนพลังแห่งความมีชีวาของวงสนทนาของพวกเราเนอะ
จนเมื่อน้าเริ่มเล่าเรื่องตัวเองว่า น้าสัมผัสว่าตัวเองเปลี่ยนแปลงไปมากเมื่อโลกภายในของน้าเปลี่ยนไปอันเนื่องมาจากการได้มีโยงใยผูกพันกันในกลุ่มเฮฮาศาสตร์และการพัฒนาตนของตัวน้าเอง ความผ่อนคลายในวงก็เพิ่มระดับกลับมาสู่คลื่นผ่อนคลายอีกครั้ง
เริ่มมีการแซวกันระหว่างศิษย์พี่ศิษย์น้อง จอมป่วนเริ่มป่วนเล็กๆ บ้างร่วมแลกเปลี่ยนความรู้สึก แลกเปลี่ยนความคิด บ้างร่วมฟัง นิ่งฟัง พร้อมกับการใคร่ครวญติดตามตัวเองไปเงียบๆ บ้างใคร่ครวญแล้วบอกออกมาดังๆ
จะเป็นไปได้มั๊ยว่า….เมื่อ “หัวใจสำคัญ” ของกลุ่มอย่างนี้หายไป….สามารถเป็นเหตุที่ทำให้สมาชิกในกลุ่มบางคน…..พาตัวห่างๆๆๆๆ…จนหายไปจากกลุ่ม
คำขอบคุณได้หลุดจากปากของใครคนหนึ่งในกลุ่มมอบให้น้องครูอึ่ง ฉันเห็นด้วยกับคำขอบคุณ ก็ถ้าไม่มีกิจกรรมอย่างครั้งนี้ก็ไม่มีวาระที่พวกเราชาวเฮฮาศาสตร์จะได้พบกันมากหน้าหลายตาอย่างในวันนี้ นับหัวกันแล้วพวกเรามาทั้งหมดร่วม ๑๐ หัวเชียวค่ะ
หลายคนร่วมแจมความเห็น คนละรอบ ๒ รอบ คราวนี้ฉันรู้สึกแปลกใจอยู่หน่อยที่ได้ฟังน้าพูดหลายรอบ แต่จอมป่วนพูดแค่รอบเดียว ส่วนใหญ่คนที่ร่วมแจมความคิดก็เป็นชาวเฮฮาศาสตร์จากสายเหนือและสายอีสานค่ะ ฉันนั่งฟังติดตามเรียนรู้ความรู้สึกและความคิดในหัวของตัวเองไปด้วยอย่างเงียบๆ ไม่ได้แจมอะไรด้วยเพราะว่ามืดซะก่อนและถึงเวลาควรสลายวงเพื่อให้บรรดาลูกแม่โพสพกลับไปทำกับข้าวมื้อเย็นค่ะ
ระหว่างที่มีคนเตรียมมื้อเย็น คนที่ทำกับข้าวไม่เป็นก็นั่งคุยกันต่อ ชวนกันถอดบทเรียนเรื่องราวของกิจกรรมวันนี้ บางคนมีมุมมองบางมุมที่ฉุกคิดและห่วงใยว่า บรรดาน้องๆกลุ่มมกราจะได้เรียนรู้ไม่คุ้มเวลาและไม่คุ้มกับที่อยากมาเก็บเกี่ยวเรียนรู้จากสวนป่า เป็นความห่วงใยที่เกิดจากใจของพวกเราบางคนที่รู้สึกว่าการใช้เวลาเป็นไปอย่างเฉื่อยแฉะๆและไม่สบายใจกับกระบวนการบางอย่างที่ดำเนินไปก่อนหน้า
บันทึกไว้ในความทรงจำว่า ณ เวลาหนึ่งของฤดูดอกมะขามร่วง เคยมีเหตุการณ์ประทับใจของชีวิตที่ได้เพิ่มความมีชีวาให้ชีวิตแห่งเรา
การตั้งวงคุยครั้งนี้แหละค่ะที่ทำให้เกิดฉายา “หัวหลัก” เรียกหาใครคนหนึ่ง เมื่อมีหัวหลักก็ต้องมีหัวตอเนอะ ซึ่งก็มีอยู่ค่ะ
หัวตอเธอแอบกระซิบกับฉันว่าทำตัวเป็นคอคอยหนุนอยู่เบื้องหลังอย่างอดใจไม่อยู่ในบางเรื่องค่ะ…เรื่องคอกับหัวตอนี่มีความลับที่คุยกันสนุกอยู่ระหว่างหัวตอกับฉันด้วยหละ…ไม่เล่าหรอกค่ะ…ยั่วให้อยากแล้วจากไปดีกว่า…อิอิ
การตั้งวงคุยครั้งนี้แหละที่ฉันได้คำเฉลยของคำถามที่ได้ถามกับน้องครูอึ่งไว้ในตอนเช้าเกี่ยวกับความตั้งใจต่อบทบาทความเป็นครูของอาจารย์โสรีช์ อาจารย์เฉลยตรงกับที่ฉันรู้สึกสะกิดใจเมื่อเช้าค่ะ
การตั้งวงคุยนี้ได้นำไปสู่การเอื้อให้มีเวทีสนทนาระหว่างกลุ่มเฮฮาศาสตร์กับผู้ใหญ่ของบ้านมกราอย่างเป็นทางการ เมื่อหัวหลักรับมอบหน้าที่จากกลุ่มเฮฮาศาสตร์ให้ไปชวนผู้ใหญ่ของกลุ่มมกรามานั่งสนทนาร่วม เรื่องราวที่สนทนากันจึงเป็นการทวนการจัดเวทีของการแลกเปลี่ยนและตกลงรูปแบบของการดำเนินไปเพื่อให้เกิดความลงตัวกับสไตล์ของทั้งผู้ให้และผู้รับใน ๒ กลุ่มสำหรับวันรุ่งขึ้น แล้วครูของครูก็เฉลยว่าได้ให้บทเรียนอย่างไรกับผู้เรียนไปบ้างในวันนี้ค่ะ มองเห็นความเป็นครูของครูกันหรือยังค่ะ
เมื่ออาจารย์แถมให้รู้ว่า ความเอื่อยเฉื่อยทั้งหลายที่เกิดขึ้นตลอดวันนี้ อาจารย์มองเป็นการเรียนรู้ทั้งสิ้นด้วยนั้น ฉันว่าพวกเราหลายคนโล่งใจ ส่วนพ่อครูนั้นไม่ต้องพูดถึงทั้งโล่งใจและดีใจที่ไม่ผิดหวังที่ครูของครูเข้าใจการตัดสินใจยืดหยุ่นการดำเนินกระบวนการโดยดูจังหวะของบรรยากาศและอุณหภูมิให้เอื้อกับผู้เรียนของพ่อครูค่ะ เมื่ออาจารย์จบคำพูดแลกเปลี่ยน พ่อครูเข้ามายืนยิ้มๆและพูดแทรกขึ้นอย่างนี้ค่ะ “จะเรียนทำไมต้องรีบ เรียนให้สนุก ไม่เครียดดีกว่า” พูดแล้วพ่อครูก็เดินจากไป
เดี๋ยวนี้รู้สึกธรรมดาแล้วค่ะกับความไม่ชัดของคำว่า “เฮฮาศาสตร์”……..
ถ้ามีคนมาถามความหมายอีก ก็คงตอบว่า “เฮฮาศาสตร์คือกลุ่มมิตรต่างวัยผู้มีอิสระทางความคิดและสไตล์เฉพาะตัวที่มารวมตัวกันแล้วร่วมทำความดีด้วยกัน ช่วยกันผ่อนปรนความทุกข์ และแบ่งปันความสุขให้กัน เพื่อให้สังคมที่อยู่ร่วมของเราและที่เราอยู่ร่วมทุกหนแห่งเป็นสังคมแห่งสันติในใจเราทุกคน” ค่ะ
หลังจากนั้นก็เติมท้องให้อิ่มกัน คนงานและแม่หวีมอบความผูกพันและห่วงใยให้ผ่านการไปหาพันธุ์ไม้มาบรรจุถุงให้ตามที่ฉันเคยเอ่ยปากไว้ทั้งๆที่เป็นเวลาค่ำมืดมากแล้ว ป้าสอนซึ่งเป็นโรคฮิตเหมือนชาวเฮบางคนจนไม่สามารถเข้ามาทำงานที่สวนป่าได้ก็มอบความผูกพันผ่านของฝากไว้ให้ด้วย เป็นความผูกพันที่ทำให้รู้สึกอบอุ่นฉันญาติมิตรจริงๆค่ะ ขอบคุณคนงานทุกคนและแม่หวีสำหรับน้ำใจที่มีต่อฉัน ขอให้ป้าสอนหายจากอาการโลกหมุนติ้ว…เร็วๆนะคะ เสียดายที่คราวนี้ตั้งใจจะไปเที่ยวบ้านป้า แต่ไม่ได้ไป ยังอยากจะไปอยู่นะคะ
คุยกับหลายๆคนที่เข้ามาเช็คเวลากลับของฉัน บอกการตัดสินใจว่าจะออกจากสวนป่าไม่เกิน ๕ ทุ่มแล้วก็พาตัวไปอาบน้ำเตรียมเดินทาง แพ็คกระเป๋าเป็นครั้งสุดท้ายแล้วพาตัวออกมาที่โถงใหญ่ เดินออกไปอาจารย์โสรีช์เห็นหน้าก็กวักมือเรียกให้ไปนั่งที่เก้าอี้ข้างกายด้วยหน้ายิ้มๆ
กิจกรรมหลังอิ่มท้องมื้อค่ำเป็นการตรวจการบ้านที่ครูออตให้ไว้ค่ะ สัมผัสในภาพรวมว่าน้องๆในกลุ่มมกราส่วนใหญ่เป็นคนที่อยู่ในกรอบนะคะ มีบ้างบางคนที่นอกกรอบอยู่บ้าง น้องๆส่วนใหญ่เป็นคนที่มีจิตใจอ่อนโยนและเข้าถึงธรรมชาติและยังใสๆกันทั้งนั้นค่ะ พี่บู๊ดก็ทำการบ้านส่งครูออตด้วย ภาพที่ถ่ายมาให้ดูพร้อมบทกลอนบอกความในใจที่โยงใยกับธรรมชาติกันทุกคน ใครอยากรู้ว่ามีภาพอะไรบ้าง ขอดูได้ที่พี่ตึ๋งค่ะ
๗ พฤษภาคม ๒๕๕๓
« « Prev : 5555…อย่างนี้ผมก็ทำได้
Next : เกือบได้กลับไปนอนสวนป่าอีกคืน » »
ความคิดเห็นสำหรับ "ก็อยากให้เห็น…อยากให้รักนี่"