Messenger 1

1264 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 11 กันยายน 2011 เวลา 9:00 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 18304

งานที่ปรึกษานั้น ต้องรักษามาตรฐานหลายเรื่อง หนึ่งในนั้นคือตรงต่อเวลา หมายถึงกำหนดการต่างๆนั้นต้องเป็นไปตามแผนงานเปะ เร็วกว่าได้ แต่ช้ากว่าไม่ดี…เสียหาย.. อย่าง Report มีกำหนดส่งแล้วไม่ได้ส่งนี่ บริษัทเสียชื่อ ถูกหยิบยกมาตำหนิได้ไม่รู้จบ สำหรับผู้ว่าจ้าง ยิ่งมีคู่แข่งมาก ก็ยิ่งเป็นจุดอ่อน

ผมไปทำงานบริษัทที่ปรึกษาใหม่ๆก็นึกแปลกใจว่าบริษัทมี “ทีมงานมอเตอร์ไซด์ซิ่ง” เอาไว้ช่วยในกรณีจวนเจียนการส่ง Report ซึ่งในมุมมองผมคิดว่ามันเป็นปกติของการทำงานที่บางครั้งเราควบคุมตัวแปรไม่ได้หมด ทำให้เกิดความล่าช้าขึ้นได้ ยิ่งสังคมกรุงเทพฯรถติด การไปประชุม ไม่ทันก็ต้องอาศัยมอเตอร์ไซด์ ส่งเอกสารแบบจวนเจียนก็อาศัยเด็กมอเตอร์ไซด์ ที่ถึงกับจ้างมาประจำบริการ เราเรียก messenger เรียกง่ายๆว่าเด็กเดินเอกสาร

เคยทราบว่าเอางานรายงานสำคัญไปให้วินาทีสุดท้าย ด้วย Messenger หรือมอเตอร์ไซด์นี่แหละ ที่สามารถซอกแซกบนถนนที่รถติดมหาศาลทันเวลาพอดี… หลายหน่วยงานก็มี messenger ประจำการที่สามารถเติมเต็มงานตรงนี้ได้ เข้าใจว่ามีบริษัทที่ตั้งขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่นี้โดยเฉพาะ โดยที่หน่วยงานไม่ต้องจ้างพนักงานประจำ จะใช้ก็เรียกบริษัทมาทำหน้าที่นี้ โดยเสียค่าใช้จ่ายที่ต่างฝ่ายพึงพอใจ

ช่วงนี้ผมก็เป็น Messenger ครับแต่ไม่ได้ใช้มอเตอร์ไซด์ แต่ใช้รถยนต์ส่วนตัวเพราะไม่ได้วิ่งในกรุงเทพฯ ไปวิ่งรอบนอก ไปหาหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเอาเอกสารไปให้ ขอรับสำเนาที่ลงรับตามทะเบียนรับเอกสารแล้วกลับมายังสำนักงาน

การมาเป็น Messenger ก็ได้เรียนรู้อย่างน้อยที่สุดสองเรื่อง คือ คน กับสถานที่ ผมพยายามพูดไพเราะที่สุด “ครับผม” ทุกคำ เวลาไปพบเจ้าหน้าที่สำนักงานที่รับเอกสารก็ยืนกุมมือเรียบร้อย เพียงหน้าตาแก่ไปกว่าที่ควรจะเป็นเด็กเดินเอกสาร หน่วยงานเขาไม่ถามหรอกครับ เรามาในฐานะนั้น เขาก็คิดว่า “ไอ้หน่วยงานนี้ทำไม messenger แก่จังวะ…แถมพุงใหญ่อีกต่างหาก…อิอิ” บางหน่วยงานก็ดีมาก หากผมเป็นคนให้ดาว ก็จะให้ 4 ถึง 5 ดาว บางหน่วยงานก็…แม่เจ้าประคุณทูนหัวเอ้ย…..สุนัขไม่รับประทานจริงๆ เราก็ปลงซะ..

บางหน่วยงานที่ผมชื่นชมคือ โรงพยาบาล ส่งเสริมสุขภาพประจำตำบล หรือชื่อเดิมคือ อนามัยตำบลจะเดินขึ้นไปต้องถอดรองเท้าขึ้นไป เพราะสถานที่แห่งนี้คือโรงพยาบาลต้องปฏิบัติเสมือนเป็นโรงพยาบาลประจำจังหวัด มีแผนกต่างๆมีเจ้าหน้าที่มากน้อยแล้วแต่ สะอาด มีระบบ หลายแห่งที่ไปพบเขากำลังยุ่งกับงานรับคนป่วย เราเห็นเขาทำงานแล้วก็ชื่นใจ บางแห่งท่าน ผอ.อยู่คนเดียวลูกน้องไปอบรม ประชุมหมด ท่านต้องมารับหนังสือเอง บางแห่งเจ้าหน้าที่มารับเป็นคนที่จบปริญญาโท ด้านสิ่งแวดล้อม ออกจะเป็นสาวประเภทสอง แต่บริการดีมาก

ที่แย่ที่สุดดูจะเป็นที่ว่าการอำเภอ โทรม สกปรก เมื่อเทียบกับ โรงพยาบาลฯตำบลดังกล่าว กองเอกสารรกรุงรังล้นโต๊ะ สาวเจ้าก็คุยกัน หรือไม่ก็ทานอะไรจุ๊บๆจั๊บๆ เมื่อเราไปยื่นหนังสืออธิบายแล้วเขาก็ชี้บอกว่า “ลุงไปนั่งคอยก่อน” อิอิ เออ หน้าตาเราเป็นลุงจริงๆ แต่น้ำเสียงเธอไม่ค่อยรับแขกเท่าไหร่ ระหว่างนั้นมีพ่อค้าขายของกินเดินขึ้นไป ทุกคนก็หันหน้าไปดูสินค้า รวมทั้งเธอที่รับเอกสารเรานั้นด้วย วางเอกสารเราลงแล้วก็ไปสนใจสินค้านั้นๆ…อ้าว….ปล่อยให้ลุง(ผมเอง)นั่งยิ้มแบบสมเพชสภาพที่เกิดต่อหน้า…. ผมปล่อยให้เวลาเป็นของเธอนึกอะไรไปต่างๆนานา เช่น แม่หนูจ๋า ลุงคอยอยู่นะจ๊ะ… ลุงรีบจ่ะ… ยังไปอีกสามสิบแห่ง…. แต่เพียงนึกในใจ ไม่ได้เปล่งวาจาออกมาขัดจังหวะเธอ….ห้า ห้า ห้า

ที่เทศบาล ผมว่าเป็นระบบดีกว่าที่ว่าการอำเภอ เจ้าหน้าที่กระฉับกระเฉงกว่า แค่เดินเข้าไป แม้จะมีคนนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ก็เงยหน้าทักทายว่า มาทำอะไร ต่างก็แนะนำไปตรงนั้นตรงนี้…และก็รีบจัดการให้ เซ็นรับ ปั้มลงวันที่ ในใบสำเนาที่เราไปเตรียมเรียบร้อยนั้น แล้วยื่นกลับให้เรา

สรุปว่าที่ว่าการอำเภอ ห่วยแตกที่สุด ที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลดีที่สุดครับ


หมวกเหล็ก..

8 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 10 กันยายน 2011 เวลา 21:48 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2456

ที่หมวกเหล็กเวลา 15:47 น. วันนี้


“นกกะยาง…เฒ่า”

455 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 9 กันยายน 2011 เวลา 23:26 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 9888

กินโต๊ะ

เห็นภาพนี้แล้วมันเป็นเครื่องชี้วัดอย่างหนึ่งว่า

อาหารของนกมีมาก และไม่มีสารพิษ

ความจริงจำนวนนกกะยางมีมากกว่าที่เห็นสักสามเท่า

แต่ตัดมาเพียงแค่นี้ ผมไม่เห็นฝูงนกกะยางมากแบบนี้นานมาแล้ว

สมัยเด็กๆเห็นบ่อยเพราะเราอยู่ติดทุ่งนา ซึ่งเป็นพื้นที่ในวิถีชีวิตของนกกะยาง

เห็นแล้วนึกถึงอาขยายสมัยเด็ก

นกกะยางย่างเยื้องชำเลืองเดิน…ฯ

ห้า ห้า ห้า และก็นึกถึง ใครหนอ เป็นแบบนี้

….กินของขม …….สาว เล่าความหลัง…

ห้า ห้า ห้า


ดอกอะไร..

155 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 8 กันยายน 2011 เวลา 23:05 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 4209

ต้นอะไร ไม่มีใบ มีแต่ดอก..

ผมลุยไปลำลูกกาเพราะงาน ขับรถตระเวนไปหาเป้าหมาย กลางทุ่งกลางนา สนุกครับ ได้เห็นอีกภาพหนึ่งของวิถีเกษตรริมมหานคร แทนที่จะใช้นาปลูกข้าว ดันมาปลูกหญ้าขาย ไปวันนี้อยากถ่ายรูปใจจะขาด แต่งานก็ต้องรีบเร่งให้ทันเวลา นึกเล่นๆว่า หากมีเวลาเอ่อระเหย อยากขับรถมานั่งชมทุ่งแถวนี้จริงๆ

ขับไปขับมาเห็นต้นไม้ประหลาดต้นนี้ ถูกตัดเหลือแต่ตอ ดันออกดอกพุ่มเบ่อเริ่ม เลยต้องหยุดรถ อดไม่ไหว ถ่ายรูปของแปลกซะหน่อย

ใครรู้ช่วยบอกทีดิ..


เดือนถลุงเงิน

14 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 5 กันยายน 2011 เวลา 1:13 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2920

อย่าคิดว่าผมรวยเละ เลยเอาเดือนนี้ไปถลุงเงินนะ คิดผิด..อิอิ

หลายปีก่อน ผมรับผิดชอบงานด้านฝึกอบรมให้กับเจ้าหน้าที่กรมชลประทาน ในโครงการ พัฒนาระบบชลประทานภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กับ EURO-Consult แผนงานจะต้องจัดการฝึกอบรมระบบการจัดการน้ำชลประทานให้กับ Zoneman ด้วยระบบโปรแกรมใหม่ แต่จัดไม่ได้เพราะโรงแรมในจังหวัดขอนแก่นเต็มหมด มหาสารคามก็เต็ม เลยไปถึงร้อยเอ็ด…?

ช่วงที่ผมทำงานที่มุกดาหาร แรกๆผมเช่าโรงแรมชั้นหนึ่งชื่อมุกดาหารแกรนด์โฮเต็ล ช่วงเดือนนี้โรงแรมแทบจะไล่ผมออกเอาห้องให้แขกพัก เมื่อผมออกจริงๆและย้อนกลับไปทำงานช่วงขยายอายุโครงการ โรงแรมบอกว่า แต่ก่อนให้เช่าเดือนละ 5,000 บาทตอนนี้ขอขึ้นเป็น 20,000 บาท ผมเลยไปพักโรงแรมชั้นสาม หน้าโรงแรมทุกแห่งมีแต่รถทัวร์สองชั้นหรูหรา โอ่โถง แต่คนนั่งข้างใน หน้าตาชาวบ๊านชาวบ้าน

ช่วงที่ผมพอมีเวลาที่ขอนแก่น เย็นๆสัก 5 โมงเย็นก็หิ้วกล้องไปนั่งๆยืนๆดูเมฆ และถ่ายรูปเมฆที่บึงทุ่งสร้าง ซึ่งเป็นบึงบำบัดน้ำเสียของเมืองขอนแก่น และเป็นแก้มลิงช่วงน้ำหลาก ที่นั่นผมมักพบกับเจ้าหน้าที่ชลประทานท่านหนึ่ง บอกว่ามีบ้านอยู่ใกล้ๆเลยขับมอเตอร์ไซด์มาเที่ยวเล่นบ่อย เห็นผมเอาแต่มองท้องฟ้า ถ่ายรูปจึงอยากมาคุยด้วย เพราะเขาเองก็ชอบถ่ายรูป เราสนทนากันหลายต่อหลายเรื่อง และเรื่องหนึ่งก็คือ เขากล่าวว่า…บึงทุ่งสร้างแห่งนี้เป็นที่ถลุงเงินของเทศบาลนครขอนแก่น…เพราะสิ้นปีงบประมาณเงินเหลือ ก็มาลงที่นี่ ขุดๆ ลอกๆ ปลูกต้นไม้เป็นพันๆต้น(แต่ไม่ดูแล ตายมากกว่าครึ่ง..) และอื่นๆ..ฯลฯ

เมื่อสัปดาห์ก่อนผมไปประชุมกับเทศบาลเมืองสนั่นรักษ์ ปทุมธานี คนมาประชุมนิดเดียวบอกว่าผู้นำชุมชนติดศึกษาดูงาน กล่าวอีกทีคือ โปรแกรมซ้อนกัน สัปดาห์ต่อมาก็ไปประชุมที่เทศบาลธัญบุรี ปทุมธานี ก็เช่นกัน มีคนมาไม่ถึง 10% ของเป้าหมายที่วางไว้ จะยกเลิกก็ไม่ได้ จะดันทุรังจัดก็คนน้อยเกินไป แต่เวลาบีบเราว่าจะต้องทำ…

ทั้งหมดทั้งสิ้นที่กล่าวมาก็คือเดือนนี้เป็นเดือนกันยายน ไม่ใช่เดือนเกิดของใครหรอก แต่เป็นเดือนสุดท้ายของปีงบประมาณ เรื่องราวที่เล่ามาทั้งหมดนั้นเกิดขึ้นในเดือน สิงหาคม กันยายนนี่แหละ นานแสนนานมาแล้วเป็นแบบนี้ เดี๋ยวนี้ก็เป็นอยู่ เพราะงบประมาณที่ตั้งไว้ใช้ไม่หมด ก็มายกยอดเอาเดือนสุดท้าย หาเรื่อง ศึกษาดูงาน จัดประชุม สัมมนา สารพัดกิจกรรมที่จะใช้งบประมาณให้หมด มิเช่นนั้นจะส่งผลกระทบไปถึงการพิจารณางบประมาณในปีงบประมาณถัดไป

หลายเรื่องที่จัดก็โอ..อยู่นะ แต่ส่วนมากถลุงเงินมากกว่า

ที่เทศบาลแห่งหนึ่งที่ผมไปประชุม เจ้าหน้าที่วุ่นกับการเตรียมกระเป๋า หมวก เสื้อ ปากกา สมุด สำหรับแจกชาวบ้าน(หัวคะแนน)ที่จะเดินทางไปศึกษาดูงานกันในอีกวันสองวันนี้ด้วยรถบัสปรับอากาศอย่างดี 6 คัน….

ไม่วิเคราะห์ วิแคะอะไรหรอก รู้ๆกันอยู่ นะ


สไบฟ้า..

53 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 3 กันยายน 2011 เวลา 10:25 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1674

ข้าฯผู้เป็นธุลีดิน มิอาจสั่งฟ้าได้…

แต่ข้าฯขอตามเก็บความงามของฟ้า…

ความสวยอยู่ที่สายตากับจินตนาการ

ข้าฯผู้เป็นธุลีดินเห็นสไบปลิวไสวบนท้องฟ้านั่น…

ถูกกิเลสข้าฯ..

ขอให้ข้าฯดื่มด่ำความงามของฟ้าเถิด..

 

สถานที่: Ariya, The Color Premium, BKK


ตัวตนทางการเมือง

24 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 1 กันยายน 2011 เวลา 17:04 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 2798

ประชาชนอย่างเราที่ค่อยๆห่างการเมืองมากขึ้นในแง่การเข้าไปมีส่วนร่วม แต่ความสนใจยังมีตลอด เราเป็นคนเดือนตุลาและย้อนหลังไปสมัยนั้นเราเองก็ไม่เบา เข้าร่วมขบวนการนักศึกษาในทุกเรื่อง แต่เป็นผู้อยู่เบื้องหลังมากกว่าจะยืนอยู่หน้าเวที ความผิดปกติในมหาวิทยาลัยเราก็ลุยมาแล้ว การเมืองระดับประเทศ ปัญหาทางสังคม โดยเฉพาะกรณีชาวนาทางภาคเหนือ เราก็เฉียดตายมาหลายครั้ง

คนหนุ่มไฟแรงมีเพื่อนร่วมงานที่ใจตรงกัน มีฝ่ายสนับสนุน การเรียนเป็นรอง ทำกิจกรรมเป็นเรื่องมาก่อน อิอิ

หากทบทวนย้อนไปก็ยังยืนยันว่าเราคิดถูกแล้ว ทำถูกแล้ว เพียงแต่ความยับยั้งชั่งใจยังไม่มากเท่าไหร่ แต่เราก็มีผู้ใหญ่ให้สติอยู่บ่อยๆ ผลพวงของการทำการเมืองในวัยนักศึกษานั้น หลายคนเพลินมาจนถึงปัจจุบัน เรียนจบแล้วก็เดินสู่เส้นทางการเมืองสนามใหญ่มาตลอด

เมื่ออายุมากขึ้น ภาระทางหน้าที่การงานเปลี่ยนไป บทบาทที่แสดงตรงๆนั้นลดลง แค่ติดตามและแสดงความเห็นบ้าง และเฉียดๆไปเฉียดมาเท่านั้น ไม่ได้กระโดดเข้าไปขลุกเหมือนแต่ก่อน

รัฐบาลอภิสิทธิ์นั้นมีนโยบายดีดีหลายเรื่องแม้ว่าบางเรื่องจะเป็นประชานิยม เรียกว่า เอากะเขาบ้าง…โดยเฉพาะนโยบาย “ประกันราคาข้าว” มีข้อดีข้อด้อย เมื่อมาถึงรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ก็เปลี่ยนมาเป็น “การจำนำข้าว” ซึ่งพยายามขายจุดดีของนโยบายนี้

อย่างผมกล่าวข้างบนคือ มีส่วนดีมีจุดอ่อนทั้งสองนโยบาย แต่ทำไมประชาธิปัตย์ยืนยันประกันราคาข้าว เพื่อไทยยืนยันจำนำข้าว ต่างฝ่ายต่างพูดจุดดีของตัวเองและกลบจุดอ่อน ตรงข้าม ตีนโยบายของการเมืองคู่แข่ง…

ผมมาพิจารณา หากประชาธิปัตย์กลับมาเป็นรัฐบาลอีก ก็ทิ้งการจำนำข้าว กลับมาใช้ประกันข้าว และหากเพื่อไทยกลับมาเป็นรัฐบาลอีกก็ทิ้งประกันราคาข้าวแล้วย้อนกลับมาเอาจำนำราคาข้าว.. มันอะไรกัน นักการเมือง…ประเทศไทยเป็นของนักการเมืองเท่านั้นหรือ…ที่จูงประเทศไทยไปทางโน้นที ทางนี้ที

มิได้กล่าวถึงนโยบายอื่นๆอีก

เป็นไปได้ไหม..ไม่ว่าใคร พรรคไหนมาเป็นรัฐบาล แม้ตัวเองมีนโยบายใหม่ๆมาแต่เป็นเรื่องเดียวกันกับที่พรรคการเมืองอื่นๆทำมาแล้ว ก็นึกถึงชาติ ประชาชนเป็นหลัก โดยการให้หน่วยงานวิชาการเอาประเด็นนั้นๆมาจัด ประชุม เสวนาหาข้อสรุปว่ารูปแบบที่ดีที่สุดอยู่ที่ตรงไหน ….อย่ากลัวเสียหน้า แต่เอาประชาชน ชาติ เป็นหลัก

หากเอาพรรคเป็นหลักเพราะเป็นผู้คิดนโยบายนี้ ก็ยืนยันแม้จะเห็นชัดๆว่ามีจุดอ่อน มีจุดด้อย แต่ก็ดันทุรังเดินต่อไปเพราะหาเสียงมาแล้ว.. เดินติดๆ ขัดๆต่อไปแม้ว่าจะรู้ทั้งรู้

แบบนี้เรียกว่า “ตัวตนทางการเมือง เพื่อพรรค” ไม่ใช่เพื่อชาติเป็นหลักใหญ่ที่สุด

หากไม่ก้าวข้าม ตัวตนทางการเมืองไปได้ สังคมไทยก็ถูลู่ถูกังแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ แล้วอย่ามาพูดเลยว่า ประเทศเพื่อนบ้านก้าวแซงหน้าเราไปแล้ว

ก็เพราะ “ตัวตนทางการเมือง” ของพวกเป็นใหญ่นี่แหละ….


นังแดง 2..

156 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 29 สิงหาคม 2011 เวลา 11:26 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 4067

ต้มขาไก่ใส่ฟัก เราสองคนพ่อลูกซดแต่น้ำกะกินเนื้อฟัก เนื้อขาไก่สองสามชิ้นถูกเขี่ยกองไว้ เพราะเราไม่กิน ผมเองกินมังสะวิรัติแต่เป็นแบบเขี่ย เพราะลดความเข้มงวดลงมาจากเดิมที่นั่งร่วมโต๊ะกับใครไม่ได้ มันแปดเปื้อน ว่างั้น….

ผมติดใจน้ำพริก ที่ซื้อมาจากตลาดและผักต้ม น้ำพริกรสชาติพอดี ไม่เผ็ดมาก เปรี้ยว หวาน มันเค็มลงตัวพอสมควร (แต่สู้แม่บ้านผมไม่ได้ อิอิ) ผมมาอยู่กรุงเทพครบเดือนก็ตระเวนไปตามตลาดโน่นนี่เพื่อทำความรู้จักแหล่งอาหารและอื่นๆ น้ำพริกเจ้านี้นับว่าถูกปากมากกว่าทุกแห่ง ส่วนผักลวกนั้นผมเพิ่งมาพบว่า เขาลวกผักไว้หลายชนิดกองไว้ใครอยากกินอะไรก็เอาที่หนีบ หนีบใส่จานหรือตะกร้าเล็กๆ หรือใส่ถุง จะมากจะน้อยก็กะคะเนเอาเอง แล้วส่งให้แม่ค้า เขาจะประมาณราคาแล้วก็บอกเรา ส่วนมากไม่เกิน 10-15 บาท ถือว่าถูก

ผมกินน้ำพริกทุกมื้อเย็นหากอยู่ที่บ้านของลูกสาว ก็ง่ายดีเพราะแถวนี้ไม่มีร้านมังสะวิรัติ แม้จะสั่งทำได้ แต่ก็สู้น้ำพริกไม่ได้ ก็โตมากับน้ำพริกจนกลิ่นตัวเป็นน้ำพริกไปแล้ว อิอิ อิอิ

ลูกสาวมักไม่มีเวลา ทำงานเช้า เลิกดึก เสาร์ อาทิตย์ก็ไปเรียน ป.โท ผมก็ต้องลงมาดูแลบ้านที่กำลังต่อเติมให้ ทั้งทำงานไปด้วย กินข้าวคนเดียวมาเกือบทุกมื้อ เมื่อวานลูกสาวสอบเสร็จก็มาขลุกอยู่ที่บ้าน อ่านหนังสือ เล่นเกมส์ เล่นคอมพ์อะไรของเขาไป ผมก็ทำงานบ้าง ดูโน่นดูนี่บ้าง คุยกับเพื่อนบ้านใหม่บ้าง…

มื้อเย็นเมื่อวานเราเลยไปซื้ออาหารมากินกันสองคนพ่อลูก ผมมีวัตถุประสงค์สองข้อ ข้อหนึ่งอยากพาลูกไปรู้จักตลาด ที่ต่อไปเธอก็แวะไปซื้ออาหารมากินได้ ไม่ต้องไปกินที่ร้านใดๆให้เปลืองเงิน สองเราจะได้คุยกันบ้าง เพราะมีเรื่องจะคุยกับเธอหลายเรื่อง

อาหารมื้อนั้นผมกินจนพุงกางเพราะเธอไม่ค่อนกิน สาวๆมักกลัวอ้วน ส่วนผมไม่บันยะบันยัง ซัดเต็มสปีด มีพุงว่างแค่ไหนใส่จนแน่นไปหมด อิอิ แต่น้ำพริกก็เหลือผมเก็บใส่กล่องใส่ตู้เย็นไว้ ส่วนผักต้มหมดเกลี้ยง น้ำซูปเหลือติดก้นถ้วย ขาไก่นั้นไม่มีใครกิน ผมนั้นไม่กินอยู่แล้ว แต่ลูกสาวก็ไม่กินไม่ใช่เพราะเธอเป็นมังสะวิรัตินะ แต่เบื่อ… เธอจึงเอาไปทิ้งใส่ถุงขยะ จะเอาให้น้องหมาก็มืดค่ำแล้ว เพื่อไม่ให้เป็นภาระ เอ้า ทิ้งก็ทิ้ง

ถุงขยะใหญ่ขึ้นโขผมก็มัดปากถุง และใส่ไปอีกชั้นหนึ่งกลัวมันแตก แล้วจะเอาไปทิ้งถังขยะ แต่ความไม่พร้อมเพราะบ้านใหม่ ถังขยะยังไม่มี เลยวางไว้หน้าบ้านก่อน

สายวันนี้ผมกลับมาจากส่งลูกไปทำงาน กลับมาบ้านเพื่อทำงานในหน้าที่ที่บ้าน สักครู่ใหญ่ๆ เจ้าหมาแดงเดินมาดมๆที่ถุงขยะดำหน้าบ้าน ผมก็เฉยๆไม่ได้คิดอะไร ทำงานไป ดูมันไป เอนังแดงไม่ไป มันเดินรอบถุงแล้วดมจมูกฟิดๆ ผมก็ไม่ได้สนใจเดี๋ยวมันคงไป เพราะผมใส่ถุงสองชั้น ครู่หนึ่งผมเหลือบไปดูนังแดงอีก มันกำลังกินอะไร…

ผมลุกขึ้นยืนแอบดูในบ้าน นังแดงมันกัดถุงดำมุดเข้าไปคาบอะไรมากินทำให้ถุงขยะแตก ด้วยสัญชาติญาณของคน ผมส่งเสียงไล่มันไป ด้วยคิดเพียงเหตุผลว่า ขยะแตกก็จะทำความสกปรกพื้นถนนหน้าบ้าน ไม่ได้ ไม่สอาด นังแดงไม่ไป ยังกินต่อแต่ทำท่าระวังมากขึ้น ผมจึงเปิดประตูออกไปไล่มัน มันจึงผละออกไปแถมไปยืนรีรออยู่ไกลๆ

ผมเดินไปดูถุงขยะมันถูกนังแดงกัดเอาขาไก่ที่เราทิ้งไปมากิน…. ผมแหงนหน้าไปดูนังแดง มันยังยืนดูผมแบบระวัง โอยท้องมันป่อง นมยานทุกเต้า มันคงมีลูกน้อย มันหิว มันคงมาหาอาหารเพื่อชีวิตของมันและลูกน้อย เพียงมาขอเศษอาหารที่เราทิ้งไป…มันไม่รู้จักความสะอาด สกปรกหรอก แต่มันรู้จักความหิวและสัญชาติญาณการเอาตัวรอด  เดินหาอาหารเพื่อลูก แดงคงมีหลายชีวิตรอนะ….

ผมอึ้งกับการกระทำของผมเอง…ทำไมหนอเราถึงไม่รอบคอบ ความสกปรกมันอยู่ที่เรา สกปรกก็ทำสอาดได้ แต่จิตใจเราซิ สกปรกกว่า หยาบกว่า….ผมตำหนิตัวเองพร้อมกับจะไปหยิบขาไก่ที่เหลืออยู่ที่มีเนื้อเต็มให้นังแดง

แต่นังแดงไม่อยู่แล้ว มันเดินจากไปแล้ว…..


เบื่อ..

155 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 28 สิงหาคม 2011 เวลา 10:54 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2912

เบื่อหน่ายไอ้เมล์เหล่านี้เน๊าะ


15,000 บาท

134 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 27 สิงหาคม 2011 เวลา 22:34 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 3957

ผมนั้นชอบคุยกับคนงาน ร้อยละ 99 มาจากอีสาน มาขับแท็กซี่ มาเป็นช่าง สารพัดช่าง มาเป็นยาม มาเป็นทุกอย่างที่เขาเปิดรับ ผมนั้นมักสอบถามการประกอบอาชีพที่บ้าน ก็ส่วนใหญ่ทำนา ถึงฤดูทำนาก็กลับบ้าน หมดหน้านาก็เข้ามาทำงาน ทั้งผัวทั้งเมียก็มี กินอยู่ง่ายๆ ลุยงานไม่มีกลัวเรื่องความสกปรก เปื้อนต่างๆ ก็เป็นอาชีพเขา ตอนกลางวันกินข้าวแล้วก็งีบนิดหน่อย แล้วลุยต่อ หากผมมีเวลามีจังหวะก็จะซื้อน้ำแข็ง ส้มตำแซบๆมาบริการเขา

เมื่อผมถามว่าใครจะทำนาต่อไปหลังจากรุ่นเขาแล้ว ต่างก็ส่ายหน้า ตอบไม่ได้ และเขาก็เชื่อว่าลูกหลานเขาหากโตขึ้นมาแล้ว อาจมีเพียงร้อยละ 10 ที่ยังทำนาเหมือนพ่อแม่ต่อไป….

ผมทราบมาเป็นปีแล้วว่าที่ทางเหนือ มีการจ้างชาวพม่ามาทำนา จนนักวิชาการหลายท่านเรียกชาวนาว่า “ผู้จัดการนา” และหลายสิบปีสมัยที่ผมทำงานแถบชายแดนไทยสุรินทร์ ทราบว่ามีชาวเขมรจากกัมพูชา มารับจ้างทำนาแถบชายแดนนั้นเหมือนกัน แต่ส่วนใหญ่มีสายสัมพันธ์กันอยู่ เช่น เป็นญาติพี่น้องกัน เป็นเพื่อนกัน เลยเหมือนกับว่า การมาใช้แรงงานแบบนั้นไม่สามารถเรียกเต็มปากว่ามารับจ้างทำนา มันมีความหมายเชิงวัฒนธรรมท้องถิ่นด้วย

เมื่อยุคสมัยการเรียนเพื่อจบออกไปรับราชการ แล้วก้าวมาสู่ยุคธุรกิจ ระบบการศึกษาก็พูดถึงการสร้างคนป้อนระบบธุรกิจ แม้แต่ลูกหลานชาวไร่ชาวนาก็เปิดอาชีวะ เปิดวิทยาลัยเกษตร แต่ทั้งหมดก็มุ่งสู่การทำงานเพื่อเงินเดือน

แม้คนที่ไม่ผ่านระดับอุดมศึกษาก็มุ่งหน้าเข้าเมืองกรุงเพื่อขายแรงงานในระบบอุตสาหกรรมต่างๆ คนแล้วคนเล่า ต่างก็หลุดจากทุ่งนา ไร่สวน สู่ป่าคอนกรีต แม้ว่าค่าใช้จ่ายจะสูง แต่ก็อยากจะดิ้นรนในสภาพนี้ต่อไป ใครมีช่องอย่างไรก็ดิ้นกันไป

เมื่อผมมาทำงานพัฒนาชนบท มีแนวคิดดึงคนกลับมาทำงานไร่นาสืบต่อพ่อแม่ โดยเฉพาะพวกไปขายแรงงานต่างๆ โดยใช้หลายๆวิธีการ เช่น สัมมนาคนกลุ่มพ่อแม่เพื่อสร้างแนวคิดให้เขาไปคุยต่อกับลูกหลาน ทำกิจกรรมกับวัยรุ่น เพิ่มความรู้อาชีพ วิเคราะห์วิถีแรงงานในเมือง และทางออกที่เหมาะสมของชาวชนบท ฯลฯ แต่ก็แค่ได้ทำกิจกรรม ผลสัมฤทธิ์มีแต่ไม่มากที่อยากให้เกิดขึ้น

การเมืองมาเสนอ 15,000 บาทสำหรับปริญญาตรี จ่ายทันทีที่เป็นรัฐบาล..???!!!!

มันน่าจะดีมากๆ ที่นักการเมืองเสนออย่างนั้นเพื่อสร้างแรงจูงใจในการสร้างสิ่งโดนใจแก่ประชาชน แล้วจะได้รับเลือกเป็นรัฐบาล ซึ่งก็ได้ผล เขาได้รับเลือกมามากมายไม่ใช่ประเด็นนี้ประเด็นเดียวแน่นอน แต่มองผิวเผินการขึ้นเงินเดือนให้ผู้มีงานทำนั้นเป็นสิ่งที่ดี ยิ่งยุคข้าวของแพง เงินมีความหมายมาก

ผลกระทบมุมหนึ่งของนโยบายนี้ก็คือ ลูกหลานชาวไร่ชาวนามุ่งหน้าเรียนให้จบปริญญาตรีเพื่อหางานทำที่มีเงินเดือนเดือนละ 15,000 บาท แล้ว แต่ไม่ได้แก้ปัญหาแรงงานภาคการเกษตรที่ขาดแคลน และไม่มีการพูดถึงด้วย นี่คือปัญหาใหญ่ของสังคมไทยที่รอการแก้ไข…

มันไม่ใช่ความผิดที่ลูกหลานชาวนาจะเดินหน้าไปหางานทำ กินเงินเดือน 15,000 นะครับ แต่ดูเหมือนลูกหลานชาวไร่ชาวนาจะหันหน้าเอาความรู้ไปพัฒนาการผลิต ห่างไกลออกไปมากขึ้น


นังแดง..

228 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 25 สิงหาคม 2011 เวลา 1:14 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 3835

เฮ้ย…นังแดง เองไปนอนเล่นทำไม…


ว้ายยยย ดูไม่ได้ นอนแผ่หมดเลย ดูไม่ได้ ไม่ดูดีกว่า…ว๊ากกกก


นี่นังแดง ว่าแล้วยังแผ่หลาอีก…ไม่เอา ข้าไปละ กลับบ้านดีก่า


อี๊ยยยยย สนุกจังเยย….ไม่มีใครมากวนใจ ไม่มีใครมาว่าเรา

แม้ตัวฉันจะแดง แต่ฉันก็ไม่ใช่หมาเสื้อแดงนะ จาบอกให้…. เอ๋ง เอ๋ง…


ได้โปรดเถอะ..

132 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 24 สิงหาคม 2011 เวลา 20:31 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 3532

เมื่อเช้าประมาณ 6.45 น. ผมขับรถผ่านหน้าวัดแห่งหนึ่ง และข้างวัดเป็นโรงเรียนขนาดใหญ่ ช่วงเวลานั้นมีพระรูปหนึ่งกำลังเดินกลับวัดหลังจากออกบิณฑบาตเช้าแล้ว ก็เดินสวนทางกับกลุ่มนักเรียนชายหญิงที่เดินไปโรงเรียน

ภาพที่ผมเห็นนั้น ผมรู้สึกผิดหวังมากๆ การจราจรบนถนนบังคับให้ผมต้องกระดื๊บๆรถไปข้างหน้าเรื่อยๆ แต่การผิดหวังนั้นไม่ใช่เพราะรถติดแต่เช้า แต่ผมเห็นสีหน้าพระท่านดูเหนื่อยหน่ายต่อความประพฤติของเด็กนักเรียนที่สวนทางกับท่าน เพราะ

  • ไม่มีการหลีกทางเข้าไปแอบข้างๆพร้อมนั่งลงพนมมือให้พระคุณเจ้าเดินได้สะดวกกลับวัด
  • นอกจากไม่ทำดังข้อแรกแล้วยังไม่สนใจว่านั่นคือพระ เขาเหล่านั้นเดินแทบชนพระ จนพระหยุดเดินและทำท่าเซจะลงสู่ถนนที่รถติดยาวเหยียด

ผมย้อนไปเมื่อเด็กๆผมเรียนหนังสือที่วัดกำแพง ที่มีพ่อเป็นครูใหญ่ ปกครองเด็กด้วยไม้เรียว สมัยนั้น หากเดินสวนพระเด็กๆก็จะหลบข้างทางนั่งลงพร้อมยกมือไหว้พระ พระท่านเดินผ่านไปพร้อมให้ศีลให้พรลูกหลาน โดยเฉพาะหากเด็กนักเรียนเป็นผู้หญิงก็ห่างออกไปไกลเลยอย่างต่ำ 1 เมตรโดยประมาณ

ภาพเหล่านั้นคือการแสดงความเคารพ ให้เกียรติท่านผู้ทรงศีล ซึ่งครูและพ่อแม่เป็นผู้สั่งสอน แนะนำให้ทำดังกล่าว และเด็กทุกคนก็ทำตามตลอดมาจนโต แก่เฒ่าก็จะยกมือท่วมหัวเมื่อพระท่านเดินผ่าน

คุณค่าของพระนั้นสังคมชนบทสมัยก่อนยกให้อยู่ในที่สูง ด้วยความเคารพ ศรัทธา พ่อแม่สอนลูกหลานมาอย่างนั้น เด็กๆไม่ห่างวัด เล่นที่วัด ไปทำบุญกับพ่อแม่ ไปเที่ยวงานศพที่วัด ไปจัดงานประเพณีชุมชนที่วัด ไปประชุมกันที่วัด ไปพูดคุยกับพระที่วัด…. ศาสนาจึงอยู่คู่จิตใจคนชนบท หรือคนในสังคมอดีต

โรงเรียนชิงความเป็นเลิศทางวิชาการ เน้นไปสอบโอลิมปิค แต่จะวิ่งชนพระที่ออกบิณฑบาตตอนเช้า คุณค่าของชีวิตไปอยู่ที่ความสำเร็จของการได้รางวัล ละเลย ห่างหายไปจากคุณค่าทางวัฒนธรรมดั้งเดิมของเรา ศาสนาไปอยู่ไกลจากชีวิต พระสวนทางมาก็เป็นแค่ชีวิตหนึ่งเท่านั้นไม่ได้มีคุณค่าเทียบเท่าแต่ก่อนแล้ว

ผมเชื่อว่าทุกท่านก็เคยเห็นภาพเหล่ามาแล้ว

ผมคิดไปไกลว่าอนาคต คำว่า พ่อ แม่ ความผูกพันระหว่างพ่อ แม่ นั้นมันจะห่างหายไปอยู่ตรงไหน เหมือนกับที่เพื่อนที่ใช้ชีวิตในอเมริกาท่านหนึ่งเล่าให้ฟังว่า ..ฝรั่งผู้ลูกจากบ้านไปนานคิดถึงพ่อแม่ ก็ขับรถไปหา พ่อลูกดีใจก็ไปนั่งคุยกัน ระหว่างคุยพ่อก็ไปชงกาแฟมาให้เพื่อนั่งคุยกันนานๆ เมื่อสิ้นสุด ลูกชายควักกระเป๋าหยิบเหรียญขึ้นมาแล้ววางไว้ใกล้ถ้วยกาแฟพร้อมบอกพ่อว่า ลูกคิดถึงพ่อจึงมาหา แต่ลูกมีเวลาน้อย ต้องขอตัวกลับ และนี่คือค่ากาแฟที่พ่อชงให้เมื่อต้นชั่วโมง…….

ได้โปรดเถอะ….อย่าให้สังคมไทยก้าวไปถึงตรงนั้นเลย….

ได้โปรดเถอะ…ผมไม่อยากอ่านข่าวว่าเด็กนักเรียนหญิงเดินชนพระที่วัดขณะกลับจากบิณฑบาต


พ่อแสน ผู้เฝ้าเรียนรู้ธรรมชาติตัวจริง..

111 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 22 สิงหาคม 2011 เวลา 23:18 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 3654

วันก่อนที่ผมตั้งประเด็นเล็กๆว่า ต้นหมากเม่าข้างบ้านออกผลสุกเต็มต้น แล้วก็มีนกมากิน มีกะรอกมากิน ปริมาณผลสุกมันมากมาย ทำไมทั้งนกและกะรอกจึงไม่ลงมือกินที่นี่จนอิ่มแล้วกลับรังไปนอนตีพุง มันกลับบินไปต้นอื่น ไปหากินที่อื่นต่อไป….ทำไม…

ข้าว กข 6 ที่ชาวบ้านปลูก เมื่อใช้พันธุ์ที่สืบต่อกันเป็นปีที่สาม พอเข้าปีที่ 4 จึงต้องเปลี่ยนเอาข้าวพันธุ์อื่นมาปลูกสลับกัน…..ทำไม…

ทำไมคนเราจึงกินอาหารหลายอย่าง ทำไมไม่กินไข่เจียวอย่าเดียวตลอดชีวิต… เบื่อตาย..ห่..

แล้วทำไมต้นไม้ที่ปลูกเป็นสวนชนิดเดียว เช่นสวนยางพารา สวนนั่นสวนนี่ เมื่อดูแลไปหลายปีเข้า ต้นยางก็ไม่แข็งแรง …. สวนไม้อื่นก็เช่นกัน

พ่อแสน วงษ์กะโซ่ แห่งดงหลวงบอกว่า ไม่ได้หรอก ดูไม้ในป่าทึบนั้นสิ ต้นไม้งาม ไม่มีตาย ไม่มีโรคภัย แข็งแรง พ่อแสนบอกว่า เพราะมันมีพืชหลายชนิดขึ้นผสมกันไป ใบไม้ที่ล่วงลงมาเมื่อเขาย่อยสลายกลับคืนสู่ดิน
ก็เป็นอาหารซึ่งกันและกัน

นั่นคือระบบธรรมชาติ แต่มนุษย์ อ้างวิชาการให้จัดเป็นสวนสวยงาม ปลูกให้เป็นแถว ระยะแถว ระยะต้น ต้องเท่านั้นเท่านี้ มันไม่ใช่ ลองเอายางพาราเทียบคุณภาพกันซิว่ายางพาราในสวนสวยงามกับยางพาราที่ปล่อยให้ขึ้นในป่ารกนั้นต่างกันอย่างไร

พ่อแสนสรุปจาการเข้าถึงธรรม แห่งธรรมชาติว่า ต้องปลูกพืชผสมผสานปนกันไป หรืออย่าไปทำลายพืชธรรมชาติที่มันขึ้นมาเอง พ่อแสนเฝ้าวิเคราะห์ว่า นักวิชาการบอกว่า ใบไม้เมื่อล่วงหล่นสู่พื้นดิน เขาจะย่อยสลายเป็นปุ๋ยแก่ตัวเองและแก่พืชอื่นๆที่อยู่ในบริเวณนั้น

ใบมะขาม มีสรรพคุณทางยาแบบหนึ่ง ใบว่านสาวหลง ก็มีคุณทางสมุนไพรอีกแบบหนึ่ง นั่นแสดงว่า ใบไม้แต่ละชนิดมีคุณค่าที่แตกต่างกันไป เมื่อมันเปื่อยยุ่ยก็สร้างให้ดินอุดมสารพัดแร่ธาตุ นกไม่กินเมล็ดพืชชนิดเดียวแล้วกลับบ้าน เมื่อกะรอกไม่กินหมากเม่าให้พุงกางแล้วกลับไปรัง
มนุษย์ก็แสวงหาของกินหลายๆแบบ ต้นไม้ก็ต้องการอาหาร ปุ๋ย ธรรมชาติหลายๆแบบ ต่างเสริมแก่กันและกัน

นี่เองพ่อแสนจึงปลูกป่าครอบครัวมีสารพัดชนิด มีทางแหวกให้เดิน ลูกๆหรือใครๆอย่ามาถางให้เตียนโล่งนะ พ่อแสนไม่เอา

พวกวิ่งตามยางพาราก็ปล่อยเขาไปเถอะ พวกวิ่งตามกฤษณาก็ปล่อยเขาไปเถอะ เดี๋ยวก็วกกลับมาหาเราหรอก เพราะมันไปไม่รอดหรอกแบบนั้นน่ะ

เมื่อคืนไปพบพ่อแสนที่โรงแรมกลางกรุงเทพฯ พ่อแสนมาร่วมประชุมสรุปผลการประเมินโครงการ จึงได้คุยกัน หนึ่งในนั้นก็คือเรื่องที่บันทึกข้างบนนี้แหละ

ทราบว่าผลงานพ่อแสนที่เฝ้าสร้างป่าครอบครัวของตัวเองมาจากผืนดินที่แปนเอิดเติด (แปลว่าโล่งเตียน) จากการปลูกมันสำปะหลังจนมาเป็นป่านั้น ได้รับโล่ไปแล้ว สองแห่ง นี่ อาจารย์ ดร.อุษา แห่ง ม.มหาสารคาม เจ้าแม่สิ่งแวดล้อมเชิงวัฒนธรรม ประทับใจพ่อแสนมากที่สุดแห่งที่สุด บอกเดินทางไปพบชาวบ้านมามากมาย ทำไมพ่อแสนมาซุกตัวอยู่ดงหลวงนี่ได้ ว่าแล้วก็จะพานักวิชาการหลายประเทศมาดูงานและคุยกับพ่อแสนปลายเดือนหน้านี้..ที่ดงหลวง


 


หลังฝนตก คุณทำอะไร..

110 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 14 สิงหาคม 2011 เวลา 22:22 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 3409

หลังฝนตกวันนี้ สัตว์เพื่อนร่วมโลกทำอะไรกันบ้าง


หลุมบ่อแห่งวิถี..

123 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 14 สิงหาคม 2011 เวลา 10:27 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 4590

ขณะที่หนุ่มสาวรุ่นใหม่ในเมืองนั่งในห้องแอร์เย็นฉ่ำ เล่นโปรแกรมใหม่ในคอมพิวเตอร์ที่กำลังฮือฮา ยามเที่ยงเขาขับรถที่แต่งเริดไปทานอาหารตามร้านดัง กลับมาทำงานต่อในห้องแอร์ที่ทำความเย็นรอรับ เจ้าของกิจการทราบว่าบรรยากาศที่เย็นฉ่ำจะช่วยให้ประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานสูงมากขึ้น

เครื่องมือสื่อสารสารพัดชนิดช่วยให้งานในหน้าที่ของเขาก้าวหน้า สิ้นปีเขาได้รับการเสนอเลื่อนขั้นมีรายได้มากขึ้น เขาไปผ่อนบ้านราคาสามล้านขึ้น ติดแอร์ทุกห้อง อุปกรณ์ไฮเทค เครื่องมือเครื่องใช้ในบ้านถูกสั่งมาจากร้านใหญ่มีชื่อเสียง ล้วนใช้ไฟฟ้าทั้งสิ้น

เช้าตื่นแสนยากเย็นเพราะเกือบทุกคืนเขามีนัดสังสรรค์กับเพื่อน และหลายครั้งเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจ เขาเผชิญรถติดตามซอย สี่แยก และถนนใหญ่ที่ใครๆก็มุ่งหน้ามาใช้เส้นนั้น แม้ว่าเขาจะผ่านช่วงเวลารถตืดไปแล้ว แต่พื้นที่ตรงนั้นคนอื่นๆก็เข้ามาแทนที่

กลางคืนยามนั่งเครื่องไปทำหน้าที่ผ่านเมืองใหญ่ มันเหมือนสวรรค์ เพราะมันสว่างไปทั้งพื้นที่สุดลูกตา ไฟฟ้ามหาศาลถูกบริโภคไปโดยเพื่อประสงค์ความสะดวกสบายและวัตถุประสงค์อื่นๆของมนุษย์ ไฟฟ้ามีความสำคัญเท่ากับข้าวสำหรับคนเมือง เช่น..นั้นหรือ….

หมู่บ้านห่างไกลออกไปหลายร้อยกิโลเมตร ชาวบ้านรอฟ้าฝนที่แห้งแล้งมานาน เขาบอกว่า หากสัปดาห์นี้ฝนไม่มา ปีนี้ก็จะไม่ได้ข้าวกิน เพราะต้นข้าวจะตายหมด แต่แล้วเมื่อคืนฟ้าก็รั่ว ฝนเทลงมามหาศาล เกินพอดี น้ำฝนท่วมทุ่งนาที่เมื่อวานยังแห้งผาก…ไม่รู้จะอธิบายอย่างไรดี.. ครอบครัวนั่งกินข้าวด้วยใจที่เหม่อลอยต่างคิดว่า แล้วจะทำอย่างไรต่อไป..


สายวันนั้น ลูกชายลูกสาวพ่อเฒ่าก็จัดเสื้อผาใส่กระเป๋านั่งรถโดยสารมุ่งหน้าเข้ากรุงเทพฯ หางานรับจ้างก่อสร้างทำ ไปเผชิญโชควันข้างหน้า แม้ว่าจะพบอะไรก็ตาม แต่ข้างหลังมันหมดหวังเสียแล้ว…..

ระหว่างนั่งรถนั้น หนุ่มบ้านนอกดูทีวีในรถเขาออกข่าวว่า มีชาวบ้าน นักวิชาการรวมตัวกันต่อต้านการสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ หรือเขื่อน เพราะมันไปกระทบสิ่งแวดล้อม สารพัดจะก่อเกิดปัญหาตามที่เขาอธิบาย หนุ่มท้องนาคิดไปไม่ออกว่ามันเป็นอย่างไร แต่สิ่งตรงหน้าเขาคือแก้ปัญหาปากท้องที่กำลังเผชิญต่อหน้า…..

คนเมืองต้องการไฟฟ้า

ชาวนาต้องการน้ำที่พอดีกับการปลูกข้าว พืชผัก

นักวิชาการป่าวประกาศเรื่องสิ่งแวดล้อม โลกร้อน ..ฯลฯ….

เรื่องนั้น เรื่องนี้ กลุ่มนั้น กลุ่มนี้

นักการเมืองก็มาประกาศขายฝัน หยิบโยนเศษประโยชน์มาให้ แต่เขานั้นคว้าพุงปลามันชิ้นใหญ่ไปอย่างแอบแฝง เนียนสนิท…..

ความขัดแย้งครั้งใหญ่รออยู่ข้างหน้า….

เลือดทาแผ่นดินอีกกี่ครั้ง ….

วันนี้ผมยังเคาะแป้นคอมพิวเตอร์ต่อไป ตามใจที่สั่งมา…

ชีวิตก็ต้องก้าวต่อไป…..เพียงหลักคิดของเราและการกระทำของเราอยู่ตรงไหน ส่วนไหนของทั้งหมด….

บ่อยครั้งที่ผมเหม่อลอยไปบนท้องฟ้า มองหาก้อนเมฆที่จะบอกรหัสนัยของการแก้ปัญหาเหล่านี้…อิอิ


คิดถึงแม่สาคร..

134 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 12 สิงหาคม 2011 เวลา 9:40 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2449

 

ทุกครั้งที่เดินทางไปเยี่ยมแม่ตามวาระอันเหมาะสม และเมื่อผมกราบลาแม่เพื่อเดินทางกลับบ้านขอนแก่น แม่จะดึงแขนผมไปหอมฟอดใหญ่ แล้วบอกว่า

……”แม่คิดถึงลูกนะ มีเวลาก็มาเยี่ยมแม่นะ”……..

วันนี้ไม่มีแม่ดึงแขนผมไปหอมอีกแล้ว

แม่สาครจากเราไปแล้ว แต่เราก็รักแม่ และ

คิดถึงแม่ไม่เสื่อมคลาย ครับ


ซักผ้า

147 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 11 สิงหาคม 2011 เวลา 19:28 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 4860

ผมไม่ได้ลงมือซักเสื้อผ้าเองมานานมาก จนลืมไปว่าเมื่อไหร่ มาตอนนี้ต้องซักเองเพราะบ้านลูกสาวมีแต่ตัวห้อง อุปกรณ์ทั้งหลายยังไม่มี เพราะต้องติดตั้งสิ่งจำเป็นอย่างอื่นก่อน จะหอบเอาไปจ้างร้านซักรีดก็เสียดายเงิน เราทำได้นี่นา สมัยเด็กๆเราทำมากับมือจนโต

ตั้งแต่มีเครื่องซักผ้ามานี่ เราก็ไม่ได้ทำงานแบบเด็กๆเลย เครื่องซักผ้ายี่ห้อนี้ก็ดีจริงๆ ซื้อมาตั้งแต่ลูกสาวยังเป็นเด็กเล็กๆ จนโตทำงานแล้ว เครื่องซักผ้าก็ยังทำงาน เราก็เสียค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าผงซักฟอกและค่าพนักงานบริษัทมาตรวจสอบเครื่องเป็นระยะ มันดีมากจนลูกสาวไม่สนใจยี่ห้ออื่นเลย

นึกถึงสมัยก่อนที่เราเป็นเด็กบ้านนอก หมู่บ้านไม่มีระบบประปา น้ำดื่มก็ใช้น้ำฝนที่รองเอาใส่ตุ่มไว้ ส่วนน้ำใช้ก็อาศัยน้ำคลองจากแม่น้ำน้อย ที่แยกจากแม่น้ำเจ้าพระยา ผ่าน อ.โพธิ์ทอง อ.วิเศษชัยชาญ อ.ผักไห่ .. ผ่านวัดสี่ร้อยของท่านขุนรองปลัดชู ที่กำลังฮือฮาอยู่

น้ำจากแม่น้ำน้อยนี้ สมัยก่อนสะอาด หรือกล่าวอีกทีคือ ไม่ปนเปื้อนสิ่งมลพิษทั้งหลาย เพราะการเกษตรสมัยก่อนไม่ใช้ปุ๋ยเคมี ยาปราบศัตรูพืช และอื่นๆ คุณภาพน้ำจึงดีกว่าสมัยนี้ บางปีฝนแล้งน้ำฝนที่เก็บไว้ไม่พอกิน ก็ใช้น้ำคลองที่แหละ

ครอบครัวใหญ่อย่างบ้านผมนั้น ต้องเตรียมน้ำดื่มไว้ตลอดปี โดยเฉพาะช่วงทำนา ต้องมีน้ำพร้อมดื่มพร้อมใช้ หากใช้น้ำคลองทดแทนน้ำฝนที่หมดก่อน ก็ใช้วิธีง่ายๆคือ หาบน้ำใส่ตุ่มให้เต็ม เอาสารส้มมาแกว่ง การแกว่งก็มีวิธี คือ สารส้มเป็นก้อนใหญ่ เราก็เอามือจับแล้วจุ่มลงในตุ่มน้ำที่หาบมาใส่จนเต็มนั้น แล้วแกว่งวน จะทวนเข็ม หรือตามเข็มนาฬิกาก็แล้วแต่ถนัด แกว่งน้อยไปก็จะไม่ทำให้น้ำใส แกว่งนานเกินไปน้ำก็จะเปรี้ยว

ใส่ผงคลอลีน ที่มีคุณสมบัติฆ่าเชื้อต่างๆในน้ำนั้น ใส่น้อยไปก็อาจจะไม่มีผลทางทำให้คุณภาพน้ำปลอดภัย ใส่มากไปก็มีกลิ่นฉุน ดื่มไม่ได้ ทิ้งไว้ข้ามวันข้ามคืน หรือหลายวัน น้ำในตุ่มนั้นก็พร้อมดื่ม โดยการเปิดฝาตุ่มออกมาดมกลิ่นคลอลีนว่าหมดไปหรือยัง

น้ำในตุ่มที่เราแกว่งสารส้มนั้น คุณสมบัติของสารส้มจะทำให้สารแขวนลอยมีความหนักมากขึ้นตกลงก้นตุ่มเราเรียกตะกอน จะมากน้อยก็แล้วแต่ปริมาณการแขวนลอยของคุณน้ำดิบ เมื่อตกตะกอน ก็ต้องระมัดระวังในการตักน้ำมิให้กระเทือนมากนัก เพราะตะกอนก็จะฟุ้งขึ้นมาทำให้น้ำนั้นไม่ใส

ชนบททั่วไปนั้น มีจำนวนมากที่ไม่ได้ใช้สารส้มแกว่งน้ำให้สะอาดก่อนซักผ้า แน่นอนเสื้อผ้านักเรียนนั้นก็ไม่ขาวใสเหมือนปัจจุบัน ยิ่งซักยิ่งเปลี่ยนสี อิอิ…

ช่วงวันหยุดเราจะหอบเสื้อกางเกงที่ใช้แล้วกองใหญ่มาซัก หลังจากตักน้ำดิบเต็มตุ่ม เอาสารส้มแกว่งให้ใสแล้วทิ้งไว้พักใหญ่ๆสารแขวนลอนตกตะกอนหมดแล้วเรามีเทคนิค ง่ายๆเอาตะกอนออกจากก้นตุ่มด้วยใช้ท่อพลาสติกมาทำกาลักน้ำแล้วใช้มือบังคับปลายข้างที่อยู่ในตุ่มให้ดูดตะกอนออกไปจนหมด เราก็เหลือน้ำสะอาดในตุ่มพร้อมตักใช้ซักผ้ากองใหญ่ได้โดยไม่กังวนว่าตะกอนจะฟุ้งขึ้นมา…

แต่วันนี้ผมซักผ้าจากระบบน้ำประปา ขยี้ตามใจต้องการ ไม่มีกระบวนการแบบอดีตอีกแล้ว…


ฮีต คอง ตายแล้ว..

124 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 6 สิงหาคม 2011 เวลา 15:01 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 3439

เมื่อคืนมีโอกาสไปดูหนังกับลูกสาว นานหลายปีเต็มทีที่เราไม่ได้ทำกิจกรรมนี้ ทั้งที่ผมเฉยๆและเสียดายเวลามากกว่า แต่ก็ยอมเพราะอยากให้เวลากับเธอ และการนั่งดูหนังด้วยกัน พ่อลูก ก็ดูดี เป็นความรู้สึกที่ดี ระหว่างคอยเวลา เราไปนั่งทานกาแฟโปรดกัน เธอก็เล่าชีวิตประจำวันให้ฟัง ช่วงหนึ่งเธอตั้งประเด็นขึ้นว่า ทำไมเดี๋ยวนี้ผู้ชายไม่เสียสละที่นั่งในรถสาธารณะให้สตรี หรือผู้สูงอายุ ปล่อยให้สตรีที่นั่งติดกันทำหน้าที่นั้น ผู้ชายกลับไปสนใจเล่นมือถือ ก้มหน้าทำเป็นทำงานยุ่งไปหมด แม้คุณยายที่เธอเสียสละที่นั่งให้ก็พูดกับเธอว่า ยายก็รู้สึกว่า ผู้ชายทำไมไม่มีน้ำใจให้ผู้สูงอายุกันแล้ว บ่อยครั้งมากที่สตรีเป็นผู้ทำหน้าที่นั่นเอง…

เราวิเคราะห์กันไปต่างๆนานา แต่ก็ชมเธอว่า ลูกทำดีแล้ว ถูกแล้ว ขอให้ทำต่อไป

แต่เมื่อใดที่เธอขับรถเอง ผมนั่ง ดูเหมือนว่าเธอจะเสียอารมณ์มากเลย เพราะรถกรุงเทพฯตัดหน้า แซงขวา แซงซ้าย เพื่อย้ายเลน ขอไปเลนนี้ เธอก็โอเคแต่เมื่อใดที่ผิดกติกามากไปเธอจะหงุดหงิดทันที ห้า ห้า ห้า เธอยังปรับสภาพเป็นคนแบ้งคอกเกี้ยนไม่ได้เต็มตัวอ่ะ….

——–

เวลาผมนั่งแท็กซี่กลับที่พัก คงเหมือนหลายท่านที่ชอบคุยกับคนขับ มีหลายเหตุผลครับ เช่น อยากทราบว่ามาจากอีสานจังหวัดไหน มานานหรือยัง ทำไมต้องมา กลับไปทำนาไหม หรือ วกเข้ามาเรื่องการเมืองเป็นการวัดคามคิดเห็นประชาชนส่วนหนึ่งกลุ่มเล็กๆ ว่าเขาคิดอย่างไรกับเหลือง กับแดง กับอภิสิทธิ์ ยิ่งลักษณ์ และแกนนำแดงแกนนำเหลืองทั้งหลาย

หลากหลายครับคำตอบที่ได้ ทั้งตรงใจผม และขัดแย้งสุดๆ แต่เราก็เก็บความรู้สึกนึกคิดไว้ เพื่อขอความเห็นต่างๆต่อไปอีก เมื่อคืนวานผมพบเด็กหนุ่มขับแท๊กซี หน้าตาดีมาก ผมนั่งจากหน้าบริษัทจะไป NCA คุยไปมา เป็นนักศึกษาปริญญาตรี จบแล้ว ทำงานแล้ว แต่อยากหารายได้พิเศษ ช่วยพ่อแม่ เป็นคนเชียงใหม่ อยากจะทำสักพัก เก็บเงินแล้วจะกลับไปเชียงใหม่ ไม่อยากอยู่กรุงเทพฯ… ผมชื่นชมเขาที่มีความตั้งใจดีเช่นนั้น

อีกวันหนึ่งนั่งจาก NCA กลับบ้านพัก ได้เด็กหนุ่มอุบล ชอบฟุตบอลเป็นชีวิตจิตใจว่างั้น เป็นนักฟุตบอลด้วย ว่างจากฟุตบอลก็มาขับแท็กซี่ หาเงินเก็บ อยากกลับไปบ้านสร้างอู่ซ่อมรถ เพราะตัวเองสนใจและมีประสบการณ์เรื่องนี้มาหลายปี มั่นใจว่าจะทำได้ เพราะรถแท็กซี่คันที่ขับก็ซื้อเอง ผ่อนเอง ซ่อมเอง เขาเป็นเด็กรุ่นใหม่ที่เติบโตมาภายใต้การเปลี่ยนแปลงสังคมจากชุมชนดั้งเดิมเป็นสมัยใหม่ จะเรียกเปลี่ยนจากยุคร้านชำเป็น 711 ก็ได้ แม้ว่าจะกลับไปช่วยทำนาทำไร่บ้าง แต่ส่วนใหญ่อยู่กรุงเทพฯ

เราคุยกันเพลินถึงเรื่องสถานที่ เรื่องโน้นเรื่องนี้ ผมก็อยากทดสอบเด็กรุ่นนี้ว่ารู้เรื่องวัฒนธรรม ประเพณีมากน้อยแค่ไหน ผมยิงคำถามเปรี้ยงไปเลยว่า “เจ้าฮู้จัก ฮีต คอง บ่” เด็กหนุ่มมองหน้าผมผ่านกระจกมองหลัง แล้วก็อ้ำอึ้งว่า เอ มันอยู่ใสน้อ… ผมแอบยิ้ม เพราะเข้าใจดีว่า เด็กหนุ่มคงนึกถึงว่าเป็นชื่อสถานที่ และก็แสดงว่าเขาไม่รู้จักวัฒนธรรมอีสานเรื่อง ฮีต คอง

ไม่ใช่ความผิดของเขาหรอก เป็นความบกพร่องของสังคมพัฒนาที่ทิ้งของดีเดิมของเราไปเอาแต่ของใหม่ๆมาใส่หัว ดูซิ เด็กคนนี้รู้จักทีมฟุตบอลดังของโลกทั้งหมด ระบุชื่อนักฟุตบอลดังๆได้เกือบทุกคน แต่รากเหง้าตัวเอง คือ ฮีต คองนั้น สลายหายไปแล้ว ไม่เหลือติดก้นสมองไว้เลย

หากเรายอมรับว่า ฮีต คองคือทุนทางสังคม คือแรงเกาะเกี่ยวของสังคม คือรากฐานสำคัญของชุมชน หรือของดีมาแต่โบราณ การห่างหายไปกับยุคสมัยนั้น คือคำถามใหม่ของนักการเมือง นักบริหาร นักพัฒนา และครูบา อาจารย์ รวมไปถึงทุกคนที่เป็นคนไทย….??

ความจริงของเก่าจางหายไปมันอาจจะพอรับได้ หากสิ่งที่มาใหม่ดีกว่า แต่นี่มันไม่ใช่ ใช่ไหมครับ ของใหม่มีแต่ปัจเจกนิยม หรือ Individualism ที่คุณค่าทางสังคมหายไปมากมาย เช่น น้ำใจ ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กัน การเคารพในผู้อื่น การให้ทาน ฯลฯ….เหล่านี้ล้วนเป็นคำสอนใน ฮีต คองทั้งนั้น คุณค่านี้สังคมสั่งสมคุณค่านี้มานานเพราะรู้ว่านี่คือหลักการอยู่ร่วมกัน…

แล้วคนสมัยใหม่ไม่มีกฎ กติกาแห่งการอยู่ร่วมกันหรือ มีครับ กฎหมายก็ใช่ แต่มันมีการละเมิดแบบข้าใหญ่ ลูกข้าทำเหตุให้รถคว่ำมีคนตายหลายคน ล้วนเป็นผู้มีความรู้ แต่สืบสวนไปมา ลูกสาวข้าไม่ผิด

ความคับแค้นใจ มันสะสมเป็นออมสิน ดูคนเข้าป่าสมัยก่อนซิ เพราะคับแค้นการกระทำของคนของรัฐจำนวนหนึ่ง เมื่อสะสมถึงที่สุด สังคมก็ระเบิด เหมือนฟืนที่ถูกน้ำมันชโลม แค่ใครเอาเศษไฟไปโยนใส่ มันก็พรึบออกมาทันที

หากสังคมสมัยใหม่ ไม่มีแรงเกาะเกี่ยวทางสังคมดีดี สังคมนั้นเป็นสังคมอันตราย….

จะไปเดินหาซื้อ ฮีต คองที่ Future Park นั้นไม่มีขายนะครับ


Future Park

345 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 6 สิงหาคม 2011 เวลา 11:42 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 4811

ผมนั่งรถ NCA มากรุงเทพฯ หากสังเกตสองข้างทางก็มีสิ่งน่าคิดหลายประการ เรื่องหนึ่งที่ดูจะไม่มีอะไร ปกติธรรมดา แต่ผมคิดว่าไม่ธรรมดา

ทุกครั้งรถ NCA จะจอดเปลี่ยนพนักงานขับรถที่ลำตะคอง ซึ่งบริษัทเตรียมสถานที่ไว้ น่าชมเชยที่รักษามาตรฐานความปลอดภัยไว้ เมื่อเปลี่ยนพนักงานขับก็ทำให้คนที่ทำหน้าที่กุมชีวิตผู้โดยสาร นั้นสดใส พร้อมที่จะทำงาน ประสาทตื่นตัว เป็นสิ่งที่ดี ขอชื่นชม NCA

รถจะมาจอดอีกครั้งที่วังน้อย ตรงนั้นจะมีตู้เจ้าหน้าที่เล็กๆ พนักงานรถจะวิ่งเอาใบอะไรไม่ทราบไปให้พนักงานคนนั้นปั้มตรา แล้วก็วิ่งขึ้นรถไปต่อ เห็นหลายคันก็ทำเช่นนั้น ระหว่างทางผู้โดยสารจะลงตรงไหนก็บอกล่วงหน้า แต่เมื่อเข้ารังสิตแล้วจะจอดไปเรื่อยๆไม่ได้ เขามีจุดจอดประจำเท่านั้น เช่นที่ Future รังสิต ผมมาทุกครั้งรถก็มาจอดทุกครั้ง และก็มีคนลงทุกครั้ง

มาครั้งนี้มีคนลงสี่ห้าคน แต่แล้วผมสังเกตเห็นบางอย่างผิดปกติ

เนื่องจากมีรถโดยสารต่างจังหวัดต้องมาจอดตรงนี้ทุกคัน เพื่อให้ผู้โดยสารลง ตรงนั้นเป็นสะพานลอยหลายสายทำให้ใต้สะพานมีร่มเงา กลายเป็นแหล่งการค้า ร้านเล็กๆมาเปิดขายสินค้า และมีโต๊ะขายตั๋วรถที่รอผู้โดยสารจะเดินทางต่ออีกมากมายหลายสาย มีตำรวจจราจรสามท่านนั่งบนอานรถมอร์เตอร์ไซด์ เมื่อเห็นมีผู้โดยสารลงจากรถต่างจังหวัด ตำรวจทั้งสามท่านก็ลุกและเดินไปที่กลุ่มผู้โดยสารที่ลงจากรถและหมายตาเอาไว้

ผมเดาในใจว่า คงเป็นการตรวจแรงงานต่างด้าว ก็จริงๆด้วย ตำรวจแยกแยะผู้โดยสารออกว่า หน้าตาแบบนี้เป็นคนไทย แบบนั้นเป็นคนต่างด้าว ตำรวจชี้ไปที่สามคน ชายสองหญิงหนึ่งให้เดินเข้าไปหา แล้วพูดอะไรสองสามคำ ชายสองคนทำท่าประหม่า เขินๆและดูก็รู้ว่าขาดความมั่นใจ เขาล้วงไปในกระเป๋ากางเกงเอาสมุดเล็กๆออกมาให้ตำรวจ ใช่แล้วครับ Passport คงจะเป็นแรงงานเขมร…

ตำรวจเรียกผู้หญิงมาและขอดูหนังสือเดินทางด้วย แล้วก็เรียกให้ไปอีกมุมหนึ่งของเสาตอหม้อสะพานลอย พูดคุยอะไรกันไม่ทราบ พอดีรถผมก็เดินทางต่อไปทันที…จึงไม่ทราบว่ามีอะไรเกิดขึ้นอีกหลังจากนั้น

ผมนึกถึงตอนที่ผมทำงานที่มุกดาหารก็ทราบว่าที่สถานีขนส่งจังหวัดจะเป็นสถานที่ที่ตำรวจชอบไปนั่งประจำที่นั่นทั้งตำรวจจราจรและไม่ใช่จราจร ก็เพราะว่ามุกดาหารเป็นเมืองติดต่อกับแขวงสะหวันนะเขตซึ่งเป็นแขวงใหญ่ที่สุดของลาว มีแรงงานลาวข้ามมาทำงานฝั่งไทยมากมาย และที่สถานีรถเป็นจุดที่สามารถตรวจสอบได้ว่าวันๆหนึ่งมีแรงงานจำนวนเท่าไหร่ เดินทางเข้าและออกประเทศไทย แม้ว่าจะไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ตาม

และเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นที่ตรงนี้ เพราะ แรงงานหลายคนไม่ได้ข้ามมาตามปกติ แรงงานบางคนหนังสือผ่านแดนหมดอายุ บางคนมีคดีติดตัว บางคนมาทำงานผิดประเภท บางคนทำงานผิดกฎหมาย….. ตำรวจจึงชอบที่จะมาสำรวจตรวจตรา และ Take advantages ไถเงิน ในกรณีที่มีบางอย่างไม่เรียบร้อย ผมทราบจากเพื่อนที่เป็นนายตำรวจที่นั่นกล่าวว่าบางทีเราทราบว่าตำรวจบังคับหลับนอนกับสตรีชาวลาวแทนค่าปรับ ค่ารีดไถด้วยซ้ำไป ตำรวจด้วยกันเองก็จับได้….

ตำรวจดีดีมีมากมายครับ พี่ภรรยาผมก็เป็นอดีตนายตำรวจรับผิดชอบรับส่งเสด็จช่วงที่พี่เขาอยู่เชียงใหม่ แต่ก็อยู่ได้ไม่นานเพราะไปขัดกับนายใหญ่เข้า คนใต้ ตายได้หยามไม่ได้ จึงต้องเนรเทศตัวเองออกจากราชการไป…

ผมหวังว่าตำรวจจราจรสามท่านที่ Future นั้นจะปฏิบัติหน้าที่ตรงไปตรงมานะครับ…


 


สองเรา..

138 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 4 สิงหาคม 2011 เวลา 17:00 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 3251

ตัวเอง…พาเค้าไปที่ไหนเนี่ย

อย่าพาไปแถวเมืองกาญจน์นะ เค้ากลัวอ่ะ…



Main: 1.367506980896 sec
Sidebar: 0.27896285057068 sec