รากเหง้า…2
อ่าน: 5356ผมเอาบางตอนของการคุยกับพ่อคืนวันนั้นมาแสดง
———–
พ่อ: นามสกุลของย่าคือ กุลมา … ตอนพ่ออายุ 6 ขวบเศษ ย้ายบ้าน.. เหตุที่ย้ายเพราะแพ(คนสมัยก่อนบางส่วนอาศัยเรือนแพ..บางทราย) ย่าถูกโจรปล้นเป็นครั้งที่สอง… คืนนั้นเวลาตีสองเศษๆ ใครๆก็ได้ยิน สมัยโน้นชาวบ้านเรามีอาวุธไม่ค่อยดี เตี่ยไปอยู่แพ เห็นผิดสังเกต ก็เตรียมปืนกันคนละกระบอก มีปืนแก๊ป ปืนคาบศิลา และปืนปัสสะตัน ปืนนี้นับว่าเยี่ยมแล้วในสมัยนั้น ผลที่สุดเอาจริงเอาจังเข้า ปืนก็ยิงไม่ออกสักกระบอกเดียว…
พ่อ: โจร 7 คนมาปล้น เรามีแพอยู่ 4 หลังเชี่อมต่อกัน ในแพก็มี ย่าตุ้ย ก๋งเริก อาแต้ม แพอีกหลังก็มี อาเทียม อาถมกับลูกๆ ต่างหนีเอาตัวรอดไปได้หมด ย่าอิ่มของเรานอนล่อที่สุดริมแผงกั้นมีซี่เหล็กและผ้าม่านกั้นถกขึ้นไปได้ น้ำแรงจัด โจรมันเอาเรือมาก็ปะทะแพโครมคราม ย่าอิ่มตื่นตกใจก็เอะอะขึ้น โจรเข้าคว้าแขนย่า แกสะบัดหลุด หนีออกทางหลังแพครัวกระโดดน้ำหนีไปได้หวุดหวิด ก๋งคลานขึ้นฝั่งได้ ไอ้พวกโจรเข้าในแพไม่ได้เป็นนานจึงเข้าไป มันใช้ขวานจาม “กำปั่น” อยู่เป็นชั่วโมง ก็เปิดได้ เอาของในกำปั่นไปหมด สารพัดเงินทอง เพชรนิลจินดา ข้าวของมีค่ามันเอาไปหมด ย่าตุ้ยมีเงินทองมาก ใครๆก็เรียกกันว่า “ยายตุ้ยแพเอียง” ก็เงินทองมากมาย หนักจนแพเอียง กำปั่นใหญ่มีใบเดียวแต่หีบเหล็กมีเยอะหลายสิบใบ..
พ่อ: ..ย่าโกรธกับก๋ง เลยเอาพ่อกับอาชินหนีก๋งไปอยู่กับญาติที่นครชัยศรี นครปฐม สมัยนั้นต้องนั่งเรือไปกรุงเทพฯก่อน มีเรือกลไฟของบริษัทพิทักษ์พานิช คือเรือเขียว กับบริษัทสยามสตีมเบกเกท คือเรือแดง เจ้าของเรือแดงเป็นฝรั่งชาติเดนมาร์ค เข้ามาขอสัมปทาน ส่วนเรือเขียวเป็นของคนไทย อยู่ผักไห่ ชื่อ ขุนพิทักษ์ เป็นคหบดีร่ำรวยมาก มีที่ดินไร่นาสาโทเยอะแยะ มีกิจการเรือกลไฟรับส่งคนโดยสารจากกรุงเทพฯถึง อ.วิเศษชัยชาญ..
พ่อ: ไปอยู่นครชัยศรีเป็นแรมเดือน เตี่ยไปซื้อปืนเมาเซอร์สามกระบอกที่กรุงเทพฯ แล้วเลยไปรับย่ากลับบ้าน เมื่อเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เตี่ยก็ชวนพ่อไปเที่ยววัดมหาธาตุ พ่อไม่ได้คิดอะไร คิดว่าไปเที่ยวกันเท่านั้น ไปถึงวัดมหาธาตุก็ไปคณะที่ 24 แทนที่จะไปเที่ยว เตี่ยกลับเอาพ่อไปฝากพระอาจารย์เรื่อง ซึ่งเป็นญาติกัน เตี่ยตั้งใจจะให้เรียนหนังสือที่วัดมหาธาตุนี้ พ่อดีใจที่จะได้เรียน แต่ใจหนึ่งก็คิดถึงแม่คิดถึงน้อง เตี่ยกลับไปแล้ว พ่อก็ร้องให้จะกลับ ดิ้นพลาดๆ พระอาจารย์ก็ตีซะจนหยุดร้อง.. คืนนั้นทั้งคืนไม่ได้นอน เพราะคิดถึงแม่ คิดถึงน้อง ตี 4 เช้ามืด เรือจะออกจากท่า เปิดหวูด โอย…มันโหย หวน ใจจะขาดรอน รอน เชียวเอ๋ย นานเข้าก็จางไป จนอาจารย์เห็นว่าเราเชื่องแน่ก็เลยพาเราไปตัดเสื้อผ้า เพื่อเข้าโรงเรียน…
พ่อ: สมัยพ่อเรียนนั้นยังไม่มีกระดานชนวนเลย ใช้กระดานไม้มะกอก หรือกระดานไม้สักอย่างดี เอาดินหม้อผสมน้ำข้าว หรือผสมน้ำมันยาง ทาให้เป็นสีดำ แล้วใช้ดินสอพองปั้นเป็นแท่งยาวๆเป็นดินสอเขียน แล้วก็ไม่ได้อ่านเป็น กอ ขอ คอ ฅอ งอ อย่างปัจจุบัน สมัยนั้นอ่าน กอ ข้อ ขอ ค่อ คอ งอ, จอ ฉอ ช่อ เชาะ ยอ, ดอ ตอ ถ่อ ท่อ เทาะ นอ มีตำราเรียนเร็ว มีประถมกอกา มีมูลบทบรรพกิจ คนเขียนหนังสือสมัยโน้น เอาอักษรทั้ง 24 ตัว ผสมสระทั้งหมด เรียกว่า แจกลูก แล้วไปเรียนตัวสะกด แม่กม แม่กก แม่กด แม่กบ…แม่เกย พ่ออ่านได้ถึงแม่เกย เกย ไก กาย กาว กิว กีว กึว กืว กุว กูว เกว เกว แกว แกว…..
พ่อ: สมัยนั้นเรียนกับพระท่านสอนเป็นธรรมทาน ไม่มีสินจ้างรางวัล ไม่มีเงินเดือน เครื่องแบบนักเรียนวัดมหาธาตุสมัยนั้นโก้หรูมาก คล้ายๆนักเรียนวชิราวุธปัจจุบัน เสื้อห้าตะเข็บ กางเกงฟอร์มสีดำยาวคลุมเข้า หมวกฟางถัก หัวตัด ทรงปีกแข็ง อยู่วัดมีกติกาว่า เช้าขึ้นมาต้องปัดกวาดเช็ดถูกุฏิ คอยจัดอาหารให้พระอาจารย์ คอยรับบาตรมาจัดให้ท่าน ประเคน เป็นกิจวัตร พระกรุงเทพฯสมัยนั้นบางวันอัตคัด บางวันได้ข้าวทัพพีเดียวไม่พอฉันท์ ต้องหุงข้าว สมัยนั้นไม่ว่าผู้ดีหรือชาวบ้านต้องมีหม้อ 2 แบบเท่านั้นคือ หม้อดิน กับหม้อทองเหลือง… หม้อดินหุงข้าวไม่มีหู ทรงคอชะลูด ปากบาน มีฝาครอบ เวลาข้าวสุกน้ำเดือดต้องยกลงวางที่ “เสวียน” ถักด้วยหวายมีหูโค้งเข้าหากันถึงปากหม้อพอดี หาผ้าเทินฝาหม้อแล้วก็เอียงหม้อเช็ดเอาน้ำข้าวออก หาก “ฝาละมี” เลื่อน ข้าวร่วง ข้าวหกก็ถูกดุ หากทำเป็นครั้งที่สองที่สามก็โดนเฆี่ยน
ครั้งหนึ่งพ่อทำจานแตกใบหนึ่ง เป็นจานที่พระใช้ฉันท์ จะเอาไปเก็บเข้าที่ หลุดมือตกแตก เราก็รีบจะไปเรียน พระอาจารย์เห็นก็วิ่งมาฉุดเข้ากุฏิลั่นกลอนเลย เหลียววซ้ายขวาไม่มีอะไร เห็นสากกะเบือ แกก็คว้าเอามาห้ำตั้งแต่หลังมือเรื่อยไปถึงข้อศอก แล้วห้ำลงมา จากแขนซ้ายไปแขนขวา พ่อร้องสุดชีวิต แกก็ไม่หยุด จนเจ้าคณะต้องพังกุฏิเข้ามาช่วย.. พ่อไม่ได้ไปโรงเรียนสามวัน.. ต่อมาแม่มารับกลับวิเศษชัยชาญ ไปเรียนต่อที่นั่นโดยไปอาศัยบ้านเสมียนสรรพากร แม่บ้านสมัยนั้นติดการพนัน พวกเมียข้าราชการเล่นการพนันกันมาก หยอดบ่อ ทอยกอง ไพ่ตองบ้างละ.. พ่อไปจบ ม. 3 ที่จังหวัดอ่างทอง…
——-
การคุยกับพ่อแม่ หรือแม้ผู้เฒ่าผู้แก่ทั่วไปนั้น เราได้อะไรมากมายจริงๆครับ เราเห็นประวัติศาสตร์สมัยนั้น เห็นวิถีชีวิต สังคม วัฒนธรรม ระบบการเรียน การสั่งสอนนอกจากความรู้ สิ่งหนึ่งที่ผมคิดว่าได้มากๆ คือ การสัมผัสรากเหง้าอันเป็นชีวิตของผู้เล่า ยิ่งเป็นบุพการีเราด้วยแล้ว เนื้อหาสาระ อารมณ์ ความรู้สึกมันมีพลังอย่างมาก รับรู้ได้ สัมผัสได้ ซึ่งบรรยากาศเช่นนั้นมันได้สร้างความสำเหนียก ความสำนึกแก่เราโดยอัตโนมัติ…
ด้วยเหตุฉะนี้เอง ผมจึงชอบใจที่อัยการชาวเกาะ เขียนบันทึกสอนลูก…ตลอดไปถึงสาระในหน้าที่การงาน ที่น้อยคนจะเข้าถึงสาระละเอียดเช่นนั้น
ในวาระที่พ่อครูบาฯในฐานะเป็นคนเก่า เล่าความหลัง ถือว่าจะเป็นบันทึกของยุคสมัย ของหนุ่มอีสานคนหนึ่ง ผมว่าจะสะท้อนเรื่องราวต่างๆทำให้เราเข้าใจอีสานอีกมุมหนึ่งได้ดีทีเดียว นักประวัติศาสตร์ถือว่านี่เป็นประวัติศาสตร์บอกเล่าชนิดหนึ่งซึ่งมีคุณค่า
สังคมเราพัฒนาไปแต่ข้างหน้า ผมก็คิดว่าเราสมควรที่จะก้าวไปข้างหน้า แต่การก้าวไปข้างหน้านั้นหากมีรากเหง้าเหล่านี้ติดสมองบ้างแล้ว สังคมคงชั่งน้ำหนักออกว่า สังคมไทยที่มีขั้วชนบทกับเมือง ที่เราจำลองภาพมานี้นั้น ความทันสมัยที่เหมาะสมกับบ้านเราจะอยู่ตรงไหนจึงจะพอดี ลงตัวกับบ้านเรา มิใช่ก้าวไปข้างหน้าเพราะต้องการให้ทันสมัย หรือให้ทัดเทียมต่างประเทศ โดยไม่พิจารณาให้อยู่บนรากของสังคมไทยเลย
ถ้าเราเอาแต่มุ่งไปข้างหน้าแบบสุดโต่ง ย่ิอมจะสร้างช่องว่างของความเป็นคนไทย ชนบทกับเมือง เกษตรกรกับธุรกิจ ช่องว่างนี้จะถ่างออกมากขึ้น หลักการปกครองบ้านเมืองนั้นถือว่าปรากฏการณ์นี้เป็นอันตราย
นับได้ว่า เจ้าเป็นไผ เป็นส่วนย่อย เล็กๆ ที่จารึกรากเหง้าสังคมไทยทั่วทุกภาคเอาไว้บ้างแล้ว….