เฮ8 … มือซน..
อ่าน: 3799ภาพนี้เอามาฝากเฮียตึ๋ง…..
อย่าคิดมาก ก็แค่รูปปั้น…อิอิ
(เป็นรูปปั้นเด็กที่น้ำพุร้อนกระบี่)
ภาพนี้เอามาฝากเฮียตึ๋ง…..
อย่าคิดมาก ก็แค่รูปปั้น…อิอิ
(เป็นรูปปั้นเด็กที่น้ำพุร้อนกระบี่)
เฮ…ญาติลานเดินทางกลับถึงบ้านกันเกือบหมดแล้ว
เหลือแต่เรา…ยังอยู่ที่ตรังอยู่เลย
คืนที่สองที่เราอยู่เมือง เชียงรุ่ง หรือ เชียงรุ้ง หรือ สิบสองพันนา หรือสิบสองปันนา ล้านแต่เป็นชื่อเมืองเดียวกันที่เราคุ้นเคย และหรือเคยได้ยินมา แต่มีอีกชื่อหนึ่งที่เป็นชื่อเมืองนี้ ซึ่งผมไม่คุ้นชินเลย คือชื่อพาราณสี ในเอกสารบริษัททัวร์ให้คำว่า พารานาสี(เขียนผิดขออภัยด้วยนะครับ) คืนนั้นเราไปดูการแสดงพื้นเมืองของสิบสองปันนา เขาเรียกชุดนี้ว่า ม็องบาลานาซี(พารานาสี) หลายท่านบอกว่า ภูเก็ตแฟนตาเซียของเราเด็ดกว่า เนื่องจากผมยังไม่ได้ดู ภูเก็ตแฟนตาเซีย จึงไม่ทราบว่าเป็นเช่นไร เพื่อนที่ไปด้วยก็บอกว่า ของเราดีกว่า ผมก็ต้องเชื่อเพื่อนไว้ก่อน
อย่างไรก็ตามก็จะเอารูปการแสดงนี้มาให้ดุกัน เป็นน้ำจิ้มก่อนนะครับ
รูปนี้ไม่ได้ตั้งใจให้เป็นแบบนี้นะครับ แบบว่ามันได้มาเอง ผมชอบก็เลยเอามาให้ดูกันครับ
สำหรับภาพนี้สัญญากับเฮียตึ๋ง และอาเหลียงว่าจะเอามาให้ดู ก็ได้จริงๆ
เอ้าเอามาฝากแล้วเด้อ อิอิ
ส่วนตัวมีประสบการณ์เรื่องนี้ที่ดีดี เมื่อหลายปีก่อนครอบครัวเราตัดสินใจไปเที่ยวนครวัดสามคนพ่อแม่ลูก โดยบริษัททัวร์คนไทยโฆษณาซะเลย ชื่อสวัสดีทัวร์ของ มจ.ศุภดิศ ดิศกุล (หากสะกดผิดขออภัยด้วยครับ) เข้าใจว่าท่านสิ้นไปแล้ว มัคคุเทศก์ที่นำเราไปนั้นเป็นผู้ที่จบมาจากศิลปากร โห…คุณเอ๋ย เก่งชะมัด ถามอะไรตอบได้หมด พร้อมขยายความยาวเหยียด สาระทุกแห่งที่เราไปชมอิ่มกับข้อมูล จนมัคคุเทศก์เขมรเองเดินตามและจดบันทึกข้อมูลไปด้วย..!!
บังเอิญคณะที่เราติดไปด้วยครั้งนั้นเป็นอดีตท่านผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย และเจ้าหน้าที่ระดับสูง เช่นคุณประสาร ไตรรัตน์วรกุล เข้าใจว่าปัจจุบันเป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธ.กสิกรไทย ถ้าข้อมูลผิดพลาดขออภัยด้วย เมื่อสิ้นสุดทริป เรารวบรวมเงินให้มัคคุเทศก์ท่านนั้นเป็นจำนวนมากทีเดียว…(ขอบคุณข้อมูลจากคอนครับ)
เที่ยวนี้ ผมไม่ได้คาดหวังมัคคุเทศก์ของบริษัทที่พาเราไปทัวร์จีน ดูเขายังเด็ก แต่อัธยาศัยดีมาก บริการดีเยี่ยม แต่ข้อมูลต่างๆด้อยไป และการจัดการต่างๆก็สอบผ่าน
เมื่อเข้าเมืองจีน มัคคุเทศก์คนนี้ก็มารับช่วงต่อ ชื่อไทยว่า “ชัย” สาวๆที่ไปด้วยก็กรี๊ด เพราะหน้าตาออกไปทางเกาหลี ที่เป็นเทรนของปัจจุบัน ผมแปลกใจที่ภาษาไทยของเขาคล่องมากๆ สอบถามได้ความว่าเขาเรียนมหาวิทยาลัยที่ปักกิ่งด้านภาษา แล้วไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จบออกมาก็มาเป็นมัคคุเทศก์
ได้ความหละ….ผมถือโอกาสว่าเราเป็นรุ่นพี่ของเขา…เขาเองก็ยอมรับ และแซวกันไปมาตลอดทริป พวกเราทุกคนประทับใจ “จีนพูดไทย” เพราะแม้ว่าเขาจะถือว่าการสื่อสารไม่ติดขัด แต่สำเนียงที่คนจีนออกเสียงคำไทยบางคำ การใช้สรรพนาม พวกเราก็ขำกลิ้ง เช่น แพทย์ศาสตร์ เป็นเพศศาสตร์ ฯลฯ การให้บริการเป็นเยี่ยม ทำตัวง่ายๆ เข้ากันได้ดี ทำให้บรรยากาศการท่องเที่ยว แม้เราจะดูว่าบางแห่งที่ไปชมไม่สมราคาคุย แต่พวกเราก็ไม่โวยวาย เพราะอัธยาศัยเขานี่เอง
พวกเราเป็นกรี๊ด สลบ เมื่อคณะทัวร์ไทยกลุ่มอื่นที่ไปเที่ยวคู่ขนานกับเราทุกที่ทุกแห่งนั้น มีมัคคุเทศก์หน้าตาอย่างที่เห็น เธอพูดไทยได้ดี แต่ดีไม่เท่า ชัย แต่หน้าตาเธอช่วยได้มาก ทีมเราแหย่เธอจนอายไปหลายครั้ง แต่ก็ทำให้เธอดูมีความสุข สนุกไปด้วย และหลายครั้งก็เข้ามาเล่นด้วย จนทีมเรา แซวหนักๆกับชัยว่า ขอเปลี่ยนมัคคุเทศก์กันกับกลุ่มคนไทยกลุ่มนั้น เป็นที่เฮกันตลอดเวลา… เธอชื่อน้องหญิง เป็นไทลื้อโดยกำเนิด และเข้ามาเรียนภาษาไทยที่ราชมงคลประทุมธานี 8 เดือน กำลังศึกษาปีที่ 3 ที่มหาวิทยาลัยสิบสองปันนานี้
สาวหน้าตาเหมือนน้องเบิร์ดท่านนี้ เป็นมัคคุเทศก์กลุ่มเดียวกับหญิง พูดไทยคล่องแคล่วเช่นเดียวกัน แต่เธอไม่ได้ถูกกลุ่มเราแซวเล่น
สาวไทลื้อท่านนี้ซิ…ประจำอยู่ที่หมู่บ้านไทยลื้อ เพี่อต้อนรับแขกนักท่องเที่ยวอย่างเดียว พูดไทยเด็ดขาดนัก ศัพท์แสงต่างๆ เล่นเอาเราตลึงและก๊ากกกกันตลอด เธอทำหน้าที่โฆษณาขายมีดที่มีคุณสมบัติพิเศษต่างๆมากมาย คุณพ่อเธอเป็นลาว แม่เป็นไทลื้อ จึงเว้าลาวและภาษาคำเมืองเหนือของไทยได้คล่อง เธอใช้ศัพท์เรียกผู้ชายว่า “อ้ายบ่าวตัวดี” และที่ขำกลิ้ง เธอพูดคำว่า “ควาย” เป็นภาษาลาวหรืออีสานของไทยนี่แหละ ที่ทีมเราก๊ากกจนกลิ้ง…
น้องแอน คือชื่อของเธอ เป็นไทลื้อ มาเรียนภาษาไทยที่วิทยาลัยบัณฑิตเอเชียที่ขอนแก่น โถโถโถ สถาบันแห่งนี้ห่างจากบ้านผมแค่ร้อยเมตรเอง…. เธอทำหน้าที่ชงชาสาธิตให้นักท่องเที่ยวชิม และขายชาชนิดต่างๆ เราอดไม่ได้ที่จะอุดหนุนเธอ ภาษาไทยที่เธอใช้นั้น ไม่ผิดกับคนไทยที่พูดเลย แถมหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส ลูกเล่นพราวแพรว หนุ่มคนไหนไปตอแยเธอ ระวังเธอสวนกลับ…
มัคคุเทศก์ เป็นหน้าต่างของประเทศ นักท่องเที่ยวจะประทับใจหรือผิดหวังคนที่ทำหน้าที่นี้มีส่วนสำคัญยิ่งนัก… สิบสองปันนา สร้างคนรุ่นใหม่มาทำหน้าที่นี้ได้ดีมาก ชื่นชม จนกลบความไม่สมราคาของแหล่งท่องเที่ยวบางแห่งไปหมดสิ้นเลย
ผมว่านะครับ…
เราเดินทางจากขอนแก่นไปเชียงของด้วยรถตู้เจ้าประจำ รู้ใจกันจนเป็นเพื่อนสนิทไปแล้ว เพราะใช้บริการกันบ่อย หรือกล่าวอีกทีคือเราเป็นลูกค้าใหญ่ที่สุด.. อย่างที่เกริ่นไว้ในลานเจ๊าะแจ๊ะว่าคนข้างกายผมเกือบไม่ได้ไปแล้วเพราะเธออาเจียนเสียจนไม่มีอะไรจะออกมาจากพุงแล้ว.. ทั้งนี้เพราะการขับรถบนพื้นที่ภูเขาที่วนไปวนมา เลี้ยวซ้าย ขวาตลอดเวลา ยิ่งหากคนขับรถคนไหนไม่นิ่มพอ เดี๋ยวเบรก กึกกัก เลี้ยวแบบเหวี่ยง อย่างนี้เสร็จ คนเมารถทนไม่ไหว.. แต่ปัจจัยสำคัญหนึ่งของคนเมารถก็คือ ร่างกายพักผ่อนไม่พอ..
เมื่อเราข้ามฝั่งลาว ก็นั่งรถตู้ของบริษัทลาว 2 คัน ถนน หนทางยิ่งแย่กว่าบ้านเรา และถนนโค้งไปมาตามไหล่ภูเขามากกว่าฝั่งไทย แต่โชคดีที่เป็นเวลากลางวัน คุณสุภาพสตรีหลายคนไม่เมาเพราะมองเห็นข้างทาง เธอว่าเช่นนั้น แต่เมื่อเข้าดินแดนจีนเราก็เปลี่ยนเป็นรถมินิบัสขนาดกลางตามภาพ
เส้นทางถนนก็คล้ายบ้านเราคือมักจะผ่าเข้าไปกลางหมู่บ้านและเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ และการที่โค้งไปมาจำนวนมากๆนั้นมีผลต่อเนื่องหลายประการ นี่ผมก็เพิ่งสังเกตนะครับ
เมื่อข้ามฝั่งประเทศจีนเพื่อเดินทางไปเมืองเชียงรุ้งนั้น มันช่างตรงข้ามเสียจริงๆ แม้ว่าจะเป็นเขตภูเขาแต่การก่อสร้างถนนนั้น กว้างกว่าฝั่งลาวและฝั่งไทย ถนนเป็นเส้นตรงแม้จะผ่านเขตภูเขาก็พยายามให้เป็นเส้นตรงมากที่สุด
เมื่อผ่านภูเขาก็เจาะอุโมงค์ใหญ่โต รถบรรทุกขนาดใหญ่ขับสวนกันอย่างสบาย จำนวนอุโมงค์จากด่าน จีน-ลาวไปเมืองเชียงรุ้งนั้นมีจำนวนมากถึง 27 แห่งมีความยาวต่างกันตั้งแต่ไม่ถึง 100 เมตรจนยาวถึง 4 กิโลเมตรเศษ จำนวนอุโมงค์นี้ไกด์เอามาทายเราช่วงขากลับเพื่อสนุกสนานและให้รางวัลเล็กๆน้อยๆ
เมื่อถนนต้องผ่านที่ต่ำก็ทำสะพานหลายแห่ง ยาวๆก็มี สั้นๆก็มี นี่เองที่ทำให้การเดินทางส่วนใหญ่เป็นเส้นตรง และแม้รถจะทำความเร็วได้ แต่เขาก็ขับไม่เกิน 80 กม.ต่อชม. ทำให้เกิดการประหยัดเชื้อเพลิงมาก
การที่ไม่ต้องปีนภูเขาแบบถนนในประเทศไทย ก็ทำให้ประหยัดและลดการสิ้นเปลืองของเครื่องยนต์ ลดอุบัติเหตุ
การที่ทำอุโมงค์ ช่วยให้เกิดระยะทางที่สั้นลง ก่อให้เกิดการประหยัด ปลอดภัยกว่า ลดการสิ้นเปลืองพลังงาน
แม้ว่าการลงทุนจะสูงกว่าในช่วงการก่อสร้าง แต่ในระยะยาวแล้วจะประหยัดกว่า
ผมจึงเห็นด้วยในการทำอุโมงค์และสะพาน ดีกว่าการสร้างถนนเลาะไปตามไหล่เขาแบบโค้งไปมา
เฮ่อ..แตกต่างกันที่ระบบคิดหรือเปล่า..หรือว่าอย่างอื่น..
ไม่ลำดับเรื่องที่ไปเที่ยวสิบสองปันนา อยากเขียนอะไรก็เขียน อิอิ กลัวลืม..
เรื่องแรกเป็นสิ่งที่พบในวันสุดท้ายที่เดินทางกลับ เป็นเรื่องที่ไม่อยากจะพบ ฮึ คนไทยทำกันได้…
ตลอดการเดินทางของเราราบรื่น และสนุกสนาน หัวเราะกันรถแทบแตกเพราะทั้งหมดเป็นเพื่อนร่วมงานของคนข้างกายและสนิทสนมกันมาก เราพบไกด์ไทยที่ดี ไกด์จีนยิ่งดี ก็เป็นความสุข พุดจาเย้าแหย่กันให้ครื้นเครง
วันเดินทางกลับเราก็ต้องรายงานตัวที่ด่านชายแดนจีน-ลาวตามปกติ วันที่เราเดินทางเข้าประเทศจีนเราต้องยืนเข้าคิวคอยนานเป็นชั่วโมง เพราะมีนักท่องเที่ยวคนไทยไปมากมายหลายชุด หลายบริษัท และพนักงานนายด่านจีนแม้เป็นคนหนุ่มสาวก็เอาจริงจังต่อการตรวจเอกกสารอย่างมาก แต่ละคนใช้เวลานาน และมีบางคนต้องคัดออกเพราะมีเอกสารบางอย่างไม่ชัดเจน คนนั้นก็เอะอะพอหอมปากหอมคอ ต่อว่าว่ามาเที่ยวตั้งหลายครั้งไม่เห็นมีอะไรทำไมเที่ยวนี้จึงติดขัด ดูเหมือนเจ้าหน้าที่จีนตอบว่า ก็มาบ่อยนี่แหละสงสัย….
วันเดินทางกลับเราเห็นคนไทยเข้าแถวรอการตรวจอยู่ก่อนแล้วหนึ่งแถว ล้วนเป็นผู้สูงอายุ ไกด์จีนของเราก็แนะนำให้เราเอาเอกสารแสดงต่างๆออกมาตรวจสอบการเขียนว่าครบถ้วนไหม แล้วให้สอดเข้าไปที่หน้านั้นหน้านี้ เพื่อความรวดเร็วในการตรวจ แล้วไกด์ก็เข้าไปเจรจากับเจ้าหน้าที่ ตม. แล้วเราก็เข้ายื่นเอกสารตรวจทีละคนตามลำดับที่จัดไว้แล้ว
ระหว่างนั้นเราสังเกตเห็นกลุ่มคนไทยอีกกลุ่มหนึ่งที่มาก่อนเราไม่ขยับแถวเลย ยืนตรงไหนก็ตรงนั้น หน้าตาดูว่ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น เมื่อพวกเราผ่านการตรวจเสร็จโดยไม่มีสิ่งใดต้องติดขัด จึงเดินเข้าไปไต่ถามคุณลุงคุณป้าเหล่านั้นว่าทำไมยืนตั้งนานจึงไม่เข้าไปตรวจสักที
ได้คำตอบว่า ไกด์จีนหนีไปแล้ว อ้าว…….ตายหละ เกิดอะไรขึ้น??????
ไกด์จีนของเราจึงเข้าไปเจรจากับ ตม.แล้วได้ความมาว่า เกิดปัญหาขึ้นระหว่างบริษัททัวร์ของไทยที่จัดทัวร์กลุ่มนี้มาประเทศจีน ไม่ดำเนินการตามข้อตกลงกับบริษัททัวร์จีนที่รับช่วงต่อในประเทศจีน คือไม่จ่ายเงินถึงสามครั้งแล้ว รวมเป็นเงิน 5 แสนบาท บริษัททัวร์จีนจึงดัดหลังโดยไม่จัดการการผ่านด่านให้ ยึดพาสปอร์ตลูกทัวร์คนไทยทุกคนไว้ จนกว่าบริษัทไทยที่กรุงเทพฯจะโอนเงินเข้าบัญชีที่เมืองจีนจึงจะดำเนินการต่อให้ เอาลูกทัวร์เป็นประกัน…. ทั้งๆที่ลูกทัวร์ไม่รู้เรื่องอะไรเลย
พวกเราได้ทราบเรื่องดังนั้นแล้วก็ตกใจ เข้าไปแสดงความเห็นใจและปรึกษาหารือว่าจะมีส่วนช่วยอะไรได้บ้าง
โถโถโถ….คุณลุงคุณป้าต้องมาโดนลอยแพอย่างนี้จะแก้ปัญหาอย่างไร ได้.. พูดจีนก็ไม่ได้ พูดอังกฤษก็ไม่ได้ จะติดต่อใครก็ไม่ได้..
ดูเป็นเรื่องเกินความสามารถของเราเพราะเป็นเรื่องของผู้มีหน้าที่เฉพาะจะเข้ามาจัดการ และนี่เป็นเรื่องระหว่างประเทศ ระหว่างบริษัททัวร์ นอกจากเราจะลุ้นให้ไกด์จีนของเราไปสอบถาม ตม.จีนว่าดูลู่ทางแล้วจะเป็นอย่างไร ได้คำตอบว่าทางทัวร์จีนกำลังติดต่อกับทัวร์ไทยที่กรุงเทพฯให้รีบจัดการเงิน และดูท่าทีว่าจะเป็นไปได้ แต่ใช้เวลาสักหน่อย…. ซึ่งจริงๆเราก็ไม่ทราบว่าจะลงเอยอย่างไร…
เราบอกกับคุณลุงคุณป้าว่า เรากำลังเดินทางกลับเมืองไทย จะฝากอะไรให้โทรหาทางบ้านก็บอกเราจะจัดการให้
แต่ทั้งหมดก็เชื่อว่าจะลงเอยด้วยดี จึงไม่อยากรบกวนอะไร…
บริษัททัวร์ไทยที่มีปัญหานี้ชื่ออะไร ดูชื่อได้ที่หมวกของคุณลุงนี้นะครับ
ไกด์แนะนำว่า หากเกิดกรณีแบบนี้ ให้ทำดังต่อไปนี้
หนึ่ง ติดต่อสถานทูต หรือสถานกงสุลให้ทราบเพื่อเข้ามาจัดการ และ
สองเมื่อกลับเมืองไทยให้ไปแจ้งความต่อตำรวจแล้วเอาหลักฐานไปแจ้ง ททท.เพื่อทำการลบบัญชีบริษัททัวร์นี้ออกจากใบอนุญาตประกอบการ..
เราจากมาด้วยความห่วงใยพี่น้องไทย..
ดู ดู๋ ดู ดู ดู ทำไมคนไทยถึงทำกันได้…
คำเตือนการไปเที่ยวจีนสิบสองปันนา
-อย่าไปช่วงสงกรานต์….เพราะคนไปเดินทางกันมากเกินที่จะรับได้…
-ตรวจสอบบริษัททัวร์ให้แน่ใจว่าไม่มีปัญหา
-เลือกไกด์ที่มีประสบการณ์ เพราะทราบว่าบางคนเพิ่งฝึกหัด เราก็จะไม่ได้อรรถรสของเรื่องราวสองข้างทาง หรือสถานที่ที่เราไปดู ไปเที่ยว เพราะเราฟังภาษาจีนไม่ออกน่ะซี…
ผมเอาเรื่องพี่เปี๊ยกมาเขียนหน่อย..
พี่เปี๊ยกไม่มีรายได้อะไร เพราะไม่มีงานประจำอย่างเราๆท่านๆ…แล้วมีชีวิตอยู่อย่างไร..?
ก็น้องๆที่แวะเวียนไปหาพี่เปี๊ยกก็ช่วยสนับสนุนกันตามกำลังบ้าง..
การเชิญพี่เปี๊ยกเป็นที่ปรึกษางานโน่นนี่ก็พอมีค่าตอบแทนบ้าง ซึ่งก็ไม่แน่นอน..
ดูการใช้ชีวิตของพี่เปี๊ยกแล้วทุกท่านคงเดาออกนะครับว่าเรียบง่ายเสียจน..
ในคราวที่น้องๆรวบรวมบทความของพี่เปี๊ยกรวมเล่มเรื่องวัฒนธรรมชุมชนนั้น
ก็มอบให้พี่มาจำนวนหนึ่งเพื่อให้ไปจำหน่ายเอาเอง ได้เงินมาก็เป็นของพี่เปี๊ยกเอง
การมาสวนป่าคราวนี้ก็เช่นกัน….พี่เปี๊ยกบอกผมว่า บู๊ด..เอาหนังสือไปขายบ้างได้ไหม..
ผมก็ว่าได้ เดี๋ยวผมจัดการให้พี่เอาหนังสือมาให้ผม..
น้องๆที่ขอนแก่นก็รวบรวมหนังสือให้ได้มานิดหน่อยเพราะไม่ได้เตรียมตัวมาก่อน..
น้องขจิต และน้องมะเดี่ยว ช่วยจัดการให้..
หลังการพูดเสร็จ หนังสือขายหมดเกลี้ยงเลย.. ไม่พอเสียด้วยซ้ำไปเพราะหลวงพี่ติ๊กสนใจก็หมดเสียแล้ว
ผมบอกหลวงพี่ว่าผมจะเอาไปถวายเองที่วัดสระเกศ
เพราะวันจันทร์ผมมีประชุมที่กรุงเทพฯจะหาเวลาแวะไปกราบท่าน
ช่วงที่ทุกคนเดินทางไปทานอาหารกลางวัน มีบางท่านมาซื้อหนังสือจากเดี่ยวจนหมดนั้น ต่างก็ยื่นหนังสือให้พี่เปี๊ยกเซนต์
แต่พี่เปี๊ยกให้มากกว่าลายเซ็น คือเขียนกลอนให้ด้วย
พี่จะมองหน้าท่านนั้นแล้วซักถามเรื่องส่วนตัวสักสองสามคำถาม
จากนั้นก็ตั้งสติ แล้วก็ “จารบทกลอน” สดๆลงไป…
เมื่อถึงคราวคุณสุภาพสตรีท่านที่ยืนตรงกลางเอาหนังสือให้พี่เปี๊ยกจาร
ใช้เวลาไม่นานนัก…
เมื่อเสร็จเธอก็รับมาแล้วก็อ่าน..อ่าน..ให้เพื่อนฟังด้วย..
เมื่ออ่านจบ เธอน้ำตาไหลออกมาครับ จนเธอต้องลุกเดินออกไป..
คุณสุภาพบุรุษท่านที่ยืนข้างกายนั้น เดินตามไปพร้อมกับน้ำตาไหลรินออกมาด้วย..
อยากทราบว่าบทกลอนบทนั้นว่าอย่างไร..
ขอให้ท่านไปถามสุภาพสตรีท่านนั้นเถิดครับ….
ผมเชื่อว่าเธอยินดีที่จะกล่าวถึงครับ…..
เวลาท่านขับรถเดินทางคนเดียวท่านทำอะไร?
เปิดเทปฟังเพลงโปรดซิ บางท่านคงจะบอกเช่นนี้…
ผมก็ทำครับ อาศัยเทคโนโลยีทางเสียงฟังเพลงสารพัดประเภท ชนิด..
บางครั้งก็ซื้อเทปวิชาการต่างๆมาฟัง ที่นักธุรกิจ “เอาวิชาการยัดใส่กล่อง” ขาย.. ส่วนมากก็เป็นความรู้ทางการบริหารจัดการองค์กรทางธุรกิจ หรือเรื่องราวต่างๆทางการพัฒนาระบบธุรกิจ บางท่านธรรมะ ธรรมโม ก็เอาเทปพระอาจารย์ต่างๆมาฟังกัน…
ผมฟังเพลงทุกประเภทตั้งแต่ลูกทุ่งยันคลาสสิค และเพลงเพื่อชีวิต แต่ที่เพลงวัยรุ่นมักไม่ค่อยเข้าหู… ตรงข้ามออกจะหนวกหูเอาซะด้วย
มาช่วงหลังนี้ เดินทางโดยการขับรถคนเดียวนั้นผมจะหันไปเปิดวิทยุ AM ซึ่งเกือบลืมไปแล้วว่ามันมีวิทยุ AM อยู่ในโลกนี้ด้วย บางท่านอาจจะลืมไปจริงๆก็ได้ โดยเฉพาะเด็กรุ่นใหม่ที่มีแต่แสวงหาสิ่งที่ทันสมัยที่สุดเข้ามาบริโภค ซึ่งเข้าทางนักประกอบการธุรกิจ
ผมลองเปิดวิทยุ AM พบว่าที่อีสานนั้นส่วนใหญ่ก็จะเป็นวิทยุ FM ส่วน AM นั้นมีน้อยกว่ากันหลายเท่าตัว รายการก็เป็นเพลงพื้นบ้านผสมการโฆษณาสินค้าอีกประเภทหนึ่ง ซึ่งนักธุรกิจเขาคงทำการศึกษาตลาดมาก่อนแล้วว่า ใครคือกลุ่มคนที่ฟัง AM …
เปิดวิทยุ AM ฟังไปฟังมา ผมชอบหลายรายการทั้งในภาคกลางวันและกลางคืน
มีรายการเพลงลูกทุ่งรายการหนึ่งของสถานีวิทยุที่ขอนแก่น ผู้ดำเนินการพูดภาษาถิ่นอย่างรื่นไหลและมีลูกเล่นแพรวพราว มีแฟนรายการมากมายโทรมาไม่ขาดสาย แต่ที่แปลกที่สุด (ในโลก) ที่แฟนเพลง Phone in เข้ามานั้นเป็นสตรีและมีอายุเกือบทั้งสิ้น ผมสังเกตคำต่างๆที่ผู้ดำเนินรายการใช้ และสาระที่พูดคุยกัน มีการชัดชวนกันไปทำบุญร่วมกันตามฮีตคองของท้องถิ่น และที่ผมประทับใจคือรายการนี้จะคัดเพลงเปิดเฉพาะ ไม่ใช่ตามใจผู้โทรศัพท์มาขอฟัง อย่างนี้ละมั๊งที่ผมจึงไม่ได้ยินเสียงวัยรุ่นเลย
รายการนี้ไม่เอาเพลงที่ยั่วยุกามรมณ์เปิด หรือประเภทสองแง่สองง่าม หรือส่อไปในทางที่จะสร้างค่านิยมใหม่ให้ผิดศีลผิดธรรม….ผู้ดำเนินรายการกล่าวว่า รายการนี้ขอปฏิบัติเช่นนี้ เขาบอกว่ารับไม่ได้กับเนื้อหาเพลงที่เป็นแนวนั้น ตรงข้ามจะคัดเพลงเก่าๆ ออกจะโบราณ ที่มีสาระ คติ และแนะนำให้สร้างสิ่งดีดี โดยเฉพาะหลักการดำรงชีวิตที่ดีร่วมกัน ซึ่งสาระแบบนี้เพลงสมัยใหม่ไม่ค่อยมี มิน่าเล่าจึงมีแม่ยกติดกันจมเลย…
อีกรายการที่ผมชอบมากๆ เป็นเวลากลางคืน ดูเหมือนจะเป็นของโรงพยาบาลอภัยภูเบศที่ปราจีนบุรี ผู้ดำเนินรายการจะคุยกับคุณหมอที่มีตำแหน่งสูงทางการบริหาร และเปิด Phone in ให้แก่ผู้ฟังทั่วประเทศ ซึ่งก็มีผู้โทรเข้าไปมากมาย ต่างเล่าอาการเจ็บป่วยและต้องการคำแนะนำเบื้องต้นจากคุณหมอแบบสดๆ
ผมเรียนรู้ไปด้วย หลายเรื่องก็ตรงกับปรากฏการณ์ทางร่างกายที่ผมเผชิญอยู่ บางอย่างก็ใกล้เคียง แต่ทั้งหมดนั้นคุณหมอจะแนะนำเรื่องสมุนไพรพื้นบ้านก่อนที่จะเข้าหายาแผนตะวันตก คุณหมอพูดถึงความเสี่ยงต่างๆในการดำเนินชีวิตในปัจจุบันที่แตกต่างจากสังคมโบราณ และคนโบราณดูแล รักษาสุขภาพกันอย่างไร เป็นความรู้ที่ง่าย เข้าใจง่าย ทุกคนสามารถนำไปใช้ได้..ดีจังเลย..
รายการธรรมะ โดยพระอาจารย์หลายสำนักจะออกอากาศทั้งสดทั้งเทป ท่านได้เอาข้อมูลทางธรรมะมาอธิบายง่ายๆให้ผู้ฟังได้ฟังเป็นการเตือนสติ ให้ปุถุชนอย่าได้ตั้งอยู่บนความประมาท โดยเฉพาะพระบางองค์ มีลูกเล่นยิ่งกว่าพระพยอมในสมัยแรกๆอีก ทางเหนืออาจจะเรียก “ตุ๊จก” ที่ไปเทศน์ที่ไหน ผู้เฒ่าผู้แก่หิ้วเชี่ยนหมากไปนั่งฟังกันยังกะไปดูลำตัด หัวเราะกันฉี่แตกก็เคยพบมาแล้ว….
อีกหลายรายการครับที่ดีดี..หากท่านอยากเปลี่ยนแปลงบรรยากาศการเดินทาง ท่านลองหมุนคลื่นวิทยุ AM บ้างซิครับ
ท่านอาจจะกลายเป็นแฟนคลับไปเลยก็ได้ อิอิ.