Welcome HUG Team
อ่าน: 1612
ขอต้อนรับ
HUG Team
ที่กำลังเข้ามาในลานครับ
วุ้ย หนาวจริงวุ้ย….
ใครมีเสื้อเก่าๆหนาๆ แบ่งมั่งฮี…
มันหนาววววววว กองไฟก็ไม่มี
หากเป็นหมาผู้ดี คงอยู่ในบ้านอุ่นๆ มีเสื้อสวยๆใส่หล่ะซี
ตูเป็นหมาชนบท เลยหนาวมากหน่อย..
โฮ้ง โฮ้ง..
อภิปรายในสภานั่นมีใครหนาวเหมือนตูบ้างหนอ
หรือแค่ปาหี่ สามสี่วัน พอเป็นพิธี…
โฮ้ง โฮ้ง..
——–
จากหมาวัดบ้านนอก เมืองปากซัน
วันที่ 13 เดินทางไปเวียงจัน เหงื่อโซกเลย แค่ผ่านไปวันเดียว ฝนประปราย เมฆครึ้มท้องฟ้า วันนี้หนาวมากมีลมด้วย ทุกคนที่มาประชุมร่วมกับชาวบ้านต่างเอาเสื้อกันหนาวมาใส่ แต่หลายคนคาดไม่ถึงว่าจะเย็นลงมากมาย จนสั่น
เพื่อนร่วมงานและผมทนไม่ไหวไปแกะกระเป๋าเอาเสื้อมาใส่ซ้อนทับแม้จะเป็นแขนสั้นก็ตาม เพราะไม่ได้เตรียมมา
เราใช้ศาลาวัดเป็นสถานที่ประชุม ซึ่งเป็นปกติของงานชนบท การใช้ศาลาวัดมีผลดีหลายประการ เช่น ได้ใกล้ชิดศาสนา ได้มีโอกาสกราบพระสงฆ์ พระพุทธรูป ได้ทำบุญ สถานที่ทำให้เราสงบปากสงบใจมากกว่าปกติ และไม่จำเป็นต้องไปสร้างศาลากลางบ้านสิ้นเปลืองงบประมาณ ใช้ศาลาวัดให้เกิดประโยชน์สูงสุด นั่นดีแล้ว สถานที่กว้างขวาง สถานที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย เช่น เสื่อ น้ำดื่ม โต๊ะ เก้าอี้ กระแสไฟฟ้า ห้องน้ำห้องส้วมหากมีคนไปประชุมมาก วัดก็พร้อม วัดร่มรื่น เป็นบรรยากาศที่เอื้ออำนวยการพูดจากัน
หลวงปู่อายุท่านเลย 90 ไปแน่ๆ ยังเดินไหวแม้หลังโก่ง หลังจากท่านฉันท์มื้อเช้าแล้วก็เดินกลับกุฏิท่าน เราประชุมจนถึงเวลาที่ท่านต้องฉันท์เพล มีข้าราชการท่านหนึ่งยกโตกอาหารไปถวายท่าน ท่านไม่รับ บอกให้เอากลับไปให้คนที่มาประชุมกินกัน ท่านฉันท์มื้อเดียว
หลังจากประชุมเสร็จ ทุกคนก็กินอาหารกลางวันที่ศาลาวัด สถานที่ประชุมนั่น ซึ่งพร้อมที่จะดัดแปลงเป็นห้องอาหารใหญ่ได้ทันที…
วัดเป็น Multipurpose place มีความหมายทางทุนทางสังคมยิ่งนักอีกด้วย
540316 : วัดโพสีทองไซยาราม บ้านปากสา เมืองปากกะดิ่ง แขวงบริคัมไซ ลาว
วันนี้มีเอกอัคราชทูตอินเดียประจำลาว และผู้แทน UNDP
เข้าร่วมการทำ Public consultation ด้วย
มีรองเจ้าแขวงรองเจ้าเมือง และผู้หลักผู้ใหญ่ของเมืองปากซัน
เข้าร่วมหลายท่าน ลาวนั้นพิธีการมากมายไม่แพ้พี่ไทย
กว่าจะเข้าเรื่องโอ้โลมกันยาวเหยียด
เมื่อเสร็จสิ้นก่อนไปกินข้าวแวะหาผลไม้ลาวทานซะหน่อย
ผมนั้นวันวัน ซัดผลไม้มาก เพราะชอบ และชอบ
รถแวะมาที่ตลาดสด ปากซัน ตรงร้านแผงลอยขายผลไม้ที่เขาจัดเป็นโซนไว้
ทีมงานเลือกส้มไปหลายกิโล
ถามว่าเป็นส้มมาจากไหน แม่ค้าสาวบอกว่ามาจากไทย
งั้นถามอีก ผลไม้ทั้งหมดนี้มาจากไหน แม่ค้าตอบว่า มาจากไทยค่ะ
ยกเว้นแอปเปิลที่มาจากจีน…
เวียงจันค่ำคืนนี้ ผู้คนบางตา
แม่ค้าบอกขายของไม่ค่อยได้
ไม่รู้ว่าผู้คนไปหนใด
หรือเก็บตัวเก็บใจอยู่แต่เรือน
น้ำตาพ่อไลซึมออกมาแบบไม่รู้สึกตัว
ทำไมเขาเรียกสิ่งเหล่านี้ว่าความเจริญหรือ เขาเรียกสิ่งเหล่านี้ว่าความก้าวหน้าหรือ.. พ่อไลเปรยออกมาต่อหน้าเราด้วยความผิดหวัง เสียใจ ลึกๆเป็นความเจ็บปวด
บ้านนอกเรานั้นอยู่กันแบบมีระบบชุมชนเป็นบรรทัดฐานกำกับที่เราเรียกวัฒนธรรม คุณค่าของชุมชนท้องทุ่ง ที่คนในเมืองเรียกเราว่า ความล้าหลัง ต่ำต้อย ขาดแคลน และเอาเราไปตั้งงบประมาณมากมายมหาศาลต่อปี
แม่เฒ่าหิ้วตะกร้าใส่ของจุกจิกไปนอนที่วัดเมื่อวันพระมาถึง ไปนอนทุกวันศีลใหญ่ ร่วมกับผู้เฒ่าบ้านอื่นๆ พื้นฐานก็เป็นการสมาทานชีวิตช่วงสุดท้ายให้เข้าใกล้ธรรมมากที่สุด งานบุญข้าวสาก งานเข้าพรรษา ออกพรรษา เพื่อนบ้านมากันเต็มศาลาวัด งานสามค่ำเดือนสาม เราก็ทำขวัญให้วัวให้ควาย เอามูลมันไปใส่นา ผู้ข้อต่อแขนพ่อใหญ่แม่ใหญ่ตระกูลใครตระกูลมัน ยกเว้นเป็นดองกัน หรือเคารพรักกันสนิทแน่นต่างก็มากราบ อวยพรให้แก่กันและกัน มา”กินข้าวร่วมชามกินน้ำร่วมขัน” เอามื้อเอาแรงกัน.. บ้านเหนือบ้านใต้โอนอ่อนต่อกัน นานๆจะมีคนแผลงๆเป็นนักเลงโคบ้าง ผิดธรรมนองคลองธรรมบ้าง แต่เมื่อผู้เฒ่าเอ่ยปาก ต่างก็ก้มกราบเคารพยอมต่อท่าน
หลังวัดมีถนนเข้ามาแล้ว ข้างวัดเขามาเจาะบ่อบาดาล เอาน้ำมาทำระบบประปา บ้านโน้นเขามาตั้งอนามัยชุมชน มีพยาบาลมาประจำอยู่ ไฟฟ้าเข้ามา อะไรต่อมิอะไรเข้ามาในหมู่บ้านเรามากมาย ผิดไปจากเดิมๆ ต่างตื่นเต้นที่มีรถแปลกวิ่งเข้ามาขายของ เอาสินค้าแปลกๆเข้ามาด้วย
การประชุมผู้ปกครองที่โรงเรียนวัด ครูใหญ่สนับสนุนให้พ่อแม่ส่งลูกเรียนสูงๆ จะได้มีอนาคต ให้มีเงินเดือนกิน พ่อแม่จะได้ฝากผีฝากไข้ได้บ้าง บ้านเหนือบ้านใต้ต่างแข่งขันกันส่งลูกไปเรียนในอำเภอ ในเมือง….
ลูกสาวคนสุดท้องอยู่กะแม่ เลี้ยงดูพ่อแม่ ให้พี่พี่เขาไปเรียนนะ เขาร่ำเรียนเผื่อจะได้มาอุ้มชูพวกเราได้บ้าง
บางเดือนพ่อแม่ต้องวิ่งขอยืมเงินเขาไปทั่วเพื่อส่งให้ลูกได้เรียนสูงขึ้น มันก็เก่งพอตัวนะ เรียนไปกะเขาได้
หลายปีผ่านไป หมู่บ้านเปลี่ยนไปมากมาย ร้านค้าเล็กๆในบ้านมีสินค้าจากข้างนอกวางขายเต็มไปหมด เป็นถุงสีสันสวยๆ พ่อแม่แก่เฒ่าลงไปมากแล้ว ได้ลูกสาวคนเล็กที่เสียสละอยู่ช่วยดูแลพ่อเฒ่าแม่เฒ่า เจ็บไข้ได้ป่วยก็ลูกหล้านี่แหละ หนักเอาเบาสู้ตามประสาชนบทเรา
นับวันก็เป็นไม้ไกล่ฝั่ง พ่อแม่ก็ใตร่ตรองแล้วจึงจัดสรรมรดกให้ลูกแต่ละคนละคน ตามความเห็นพ้องกันของพ่อและแม่ ตามธรรมเนียมปฏิบัติ ลูกหล้าอยู่ดูแลพ่อแม่ก็ได้รับที่ดินและตัวบ้านมากกว่าคนอื่นหน่อย เมื่อออกเหย้าออกเรือนมันก็ยังดูแลปฏิบัติพัดวีเหมือนเดิม
เจ้าลูกคนที่เรียนในเมืองจบแล้วมันก็ไม่ได้กลับเข้ามา มันมีงานทำในเมืองนานๆก็เข้ามา เยี่ยมซะที แต่มาคราวนี้มันทำสิ่งผิดหวังแก่พ่อแม่มาก เมื่อมันรู้ว่าพ่อแม่แบ่งมรดกให้แล้ว มันได้น้อยกว่าคนอื่น มันก็โกรธ เมื่อคุยกันกับพี่กับน้องไม่รู้เรื่อง มันก็ยิ่งโกรธหาว่าพ่อแม่แบ่งที่ดินให้มันน้อยเกินไป
พ่อไลน้ำตาไหลออกมา พูดแบบไม่เต็มคำพูด…
มันเรียนจบกฎหมาย…มันบอกมันจะฟ้องพ่อแม่พี่น้อง หาว่าแบ่งมรดกไม่เท่าเทียมกัน มันเป็นลูกคนหนึ่งมันมีสิทธิที่จะได้ที่ดินมากกว่านี้…
ลูกมีความรู้ทางกฎหมายพ่อแม่ภูมิใจที่เสียสละทั้งชีวิตส่งเสียเอง น้องๆ พี่ๆ เขาไม่ได้เรียน เขาดูแลพ่อแม่ และเขาก็มีส่วนอย่างมากที่ทำนาทำไร่ได้เงินมาก็ส่งเสียเอง..
เองมีความรู้ แต่เองไม่มีคุณธรรม ไม่มีศีลธรรม
ชีวิตเองที่หลุดออกจากบ้านไปนั้น อะไรมันหล่อหลอมจิตใจเองให้เป็นอย่างนี้…
…….
กว่าที่เราจะสงบสติอารมณ์ด้านลึกได้ มือที่เรายื่นไปจับมือพ่อไลนั้นสั่นไปหมด..
ไทยเป็นครัวโลก..? ฟังดูดี
อาชีพเกษตรกรทำนาลดลง ลูกหลานไม่ทำนา….?
ส่งลูกให้เรียนหนังสือ เพื่อให้เป็นเจ้าคน นายคน…?
ทุนทางสังคมจางหายไป ….?
เด็กรุ่นใหม่ ไม่เข้าใจ ต่อไม่ติด คุยกันไม่รู้เรื่องกับคนรุ่นเก่า..?
พ่อไล เป็นชาวบ้านธรรมดาที่มีอาชีพทำนาและเติบโตมาในยุคพัฒนา วิถีชีวิตปรับเปลี่ยนไปมากมายจากรุ่นพ่อแม่ การทำนาสมัยใหม่เอาพันธุ์ข้าวใหม่เข้ามา ใช้ปุ๋ยวิทยาศาสตร์ มีรถไถนา รถดำนา รถเก็บเกี่ยว..นี่คือการเปลี่ยนแปลงกระบวนการผลิตจากเดิมที่เลี้ยงวัวควาย เอามูลวัวควาย มีสถานที่เลี้ยงควาย มีวัฒนธรรม ประเพณีที่เกี่ยวกับกระบวนการผลิตเหล่านี้ ก็จางหายไป คนรุ่นใหม่ ไม่เข้าใจ สัมผัสไม่ได้ เข้าไม่ถึงคุณค่า ตรงข้าม ดูหมิ่นดูแคลน …ไปเลย
ทำไมลูกหลานถึงไม่เดินเข้ามาสืบต่ออาชีพเกษตร ทำนาทำสวนเหมือนพ่อแม่…?
คุณเอ้ย….พ่อแม่ส่งลูกไปเรียนวิทยาลัยเกษตร เข้าคณะเกษตรศาสตร์ของมหาวิทยาลัยต่างๆ มีสักหนึ่งเปอร์เซ็นต์ไหมที่เมื่อศึกษาจบแล้วกลับไปทำนาทำสวนโดยใช้ความรู้นั้นๆไปพัฒนาอาชีพเกษตร ทั้งหมดไปทำราชการ เข้าทำงานกับบริษัทธุรกิจ หรือไม่ก็ทำอะไรที่ไม่เกี่ยวกับวิชาชีพนั้นเลย..
ทำไม..?
คุณ..ข้าราชการนั้นแสนสบาย มีหลักประกัน มีเงินเดือนกิน สิ้นเดือนก็ได้เงิน และเงินเดือนก็ขึ้นไปเรื่อยๆ ออกสนามก็มีเบี้ยเลี้ยง ไปไหนๆก็มีค่าที่พัก มีรถรับส่ง ไม่ต้องเติมน้ำมัน ไม่ต้องควักกระเป๋าซ่อมแซมรถ เจ็บป่วยก็มีสวัสดิการดูแลดีกว่า หลักประกันแบบนี้ คุณว่ามันต่างจากอาชีพเกษตรกรอย่างไรล่ะ
มันตรงข้ามเลยใช่ไหม ทำนาทำสวน สารพัดจะเสี่ยงตั้งแต่เริ่มปลูกจนจบกระบวนการคือตลาด ราคาสินค้า เจ็บป่วยก็ได้รับการรักษาแบบยาพื้นๆ อยากได้ยาดีดีต้องจ่ายเอง ไม่มีเงินเดือน ไปไหนมาไหนก็ควักกระเป๋าเอง..มันเทียบกันไม่ได้เลย..แล้วชีวิตจะเลือกอะไรล่ะ
ไอ้ความรู้ที่ข้าราชการเอามาแนะนำน่ะ เขาเคยทำมากับมือบ้างไหม ก็เป็นข้อมูลมือสอง มือสาม มือสี่ ที่ไม่มีประสบการณ์ตรงมาเลย
การศึกษา มันสร้างหุ่นยนต์ มันไม่ได้สร้างคน
ระบบสังคมใหม่มันหล่อหลอมจิตใจที่แตกสลายให้กับลูกหลานของเราภายใต้สีสันของความทันสมัย ความก้าวหน้า ….
ไม่ได้ปฏิเสธ สิ่งใหม่ๆหลอกนะ แต่หากไร้ราก ไร้ฐาน เองก็คือมนุษย์ที่ฟุ้งลอยไปกับ ลมเป่าของระบบทุน ระบบธุรกิจที่ฟุ้ง ฟูมฟาย กับสินค้าใหม่ๆของเขา ที่เกินความจำเป็นที่วิถีเจ้า
ลองพิจารณากล่องกระดาษสวยงามกล่องนั้นซิ ใครเห็นก็ต้องอยากได้มาเป็นเจ้าของอยากกินขนมข้างในเพราะกล่องมันสวย ทั้งสีทั้งลาย ทั้งการออกแบบ แต่เมื่อกลับเอาไปที่บ้าน เจ้ากินขนมข้างในแล้ว ก็รู้สึกว่า ก็งั้นๆ แค่รู้รสและไปเล่าให้เพื่อนๆฟังว่า ได้กินมาแล้ว กล่องกระดาษสวยๆก็ทิ้งลงถังขยะอย่างไร้ความหมาย กว่าจะมาเป็นกล่องโรงงานใช้ต้นไม้ไปกี่ต้น ใช้พลังงาน ใช้ทรัพยากรต่างไปเท่าไหร่ มันต่างจาก ขนมโบราณที่ห่อใบตองเพียงแค่สิ่งห่อหุ้มเท่านั้นเอง ใบตองที่ทิ้งไป กับกล่องกระดาษที่ทิ้งลงถังขยะไปนั้น ความหมายต่อสังคม ต่อโลกต่างกันมากมายทีเดียว
ระบบสังคมดึงเราไปทางไหนกัน…
อาชีพเกษตรกรมันจะเหลืออะไร เมื่อช่องว่างระหว่างเกษตรกรกับรัฐบาลนั้นมีพ่อค้าเข้ามาแทรกตรงกลาง และเป็นตัวจริงที่กำกับวิถีการเกษตร…
แล้วรัฐก็ผลักใสเกษตรกรด้วยคำว่า “จงพึ่งตนเอง” ป่าวประกาศทางออกของชีวิตว่า เกษตรกรทั้งหลายจงพึ่งตนเอง แต่เขาเหล่านั้นก็เดินต่อไปตามเส้นทางความทันสมัย ความก้าวหน้า การบริโภคเกินความจำเป็นแห่งชีวิต อาหารหนึ่งคำก่อนเข้าปาก ผ่านธุรกิจมาหลายประเภท ที่ลอยละล่องไปบนระบบประชาธิปไตยเสรี ที่คนกลุ่มหนึ่งเรียกร้องให้ปลดปล่อยสังคมไปยืนที่ตรงนั้น แต่ความเป็นจริงประชาธิปไตยเสรีนั้นเป็นเพียงภาพลวงตา เพราะคำว่าเสรีนั้นคือเสรีบนความแตกต่างของอำนาจของทุน ทุนคือโอกาส แล้วมัน…เสรีแบบมึงได้เปรียบนี่หว่า..
พ่อไล..ส่ายหน้า พร้อมกับมองหน้าเรา
สังคมนี้สะสมความแตกต่าง ความแตกต่างคือพลังงานอย่างหนึ่ง มันเป็นพลังงานของความขัดแย้งและนำไปสู่รอบใหม่ของการเปลี่ยนแปลง มันเป็น Social cycle เพียงแต่มีใครมา organize มันเท่านั้น พลังนั้นย่อมไม่ต่างจาก Tsunami แล้วทุกอย่างราบเป็นหน้ากลอง
มนุษย์จะเกิดสติขึ้นมาอีกครั้งก่อนที่จะหลงใหลไปในวงจรใหม่ รอบใหม่ และเป็นรอบแล้วรอบเล่าท่ามกลางการป่าวประกาศธรรมของศาสนา ที่ทุกวันมนุษย์ได้ยินแต่ไม่สำนึก
พ่อไลยื่นมะละกอสุกสองสามลูกมาให้ อาจารย์เอาไปกิน หลังบ้านปลูกไว้เหลือกิน…
นึกถึงพ่อครูบาและแม่หวี ที่ช่องว่างหลังรถไม่มีที่เหลือเพราะเต็มไปด้วยผลผลิตจากสวนป่าที่ขนเอาไปฝากลูกหลานคนโน้นคนนี้…
ขณะที่ท้องผมอิ่มเพราะอาหารจากสวนป่า….
รอยหยักบนหน้าผมมีร่องลึกมากขึ้น… เพราะคำพูดของพ่อไล..ชาวบ้านธรรมดา
เอารูปยามเช้าที่เวียงจันมาดูต่างหน้าก็แล้วกันนะครับ
อย่าตกใจว่า ฟ้าเวียงจันทำไมเป็นสีม่วง
อย่าตกใจว่าผมเป็นกลุ่มคนสีม่วง
แม้จะจบ มช. ที่ใช่สีม่วงเป็นสีของมหาวิทยาลัย
แต่ไม่เกี่ยวกันเลย
อยากย้อมสีรูปเล่นเท่านั้น อิอิ
อีฉันมันคนจน คนโบราณ เติบโตมากับวัฒนธรรมข้าวเหนียว
อีฉันไม่รู้เรื่องวัฒนธรรมสมัยนี้ร๊อก
มองตาอีฉั้นซี มองใบหน้าอีฉั๊นซี ว่าฉันผ่านอะไรมาบ้าง
คุณเอ้ยยย อีกไม่กี่วันฉันก็ลาโลกไปแล้ว
ทำไมสังคมเอาแต่เดินหน้า ไม่มองย้อนหลังไปบ้าง
คนไม่มีฐานรากน่ะ ไปไม่รอดนะคุณเอ้ยย
เจ้าดอก Jacaranda หรือ “ศรีตรัง” นี้ เคยเอามาอวดบ้างแล้ว
อดไม่ได้ที่จะเอามาอีก เพราะเขากำลังบานอยู่หน้าบ้านขอนแก่น
คุณแม่(ยาย) หอบหิ้วมาจากเมืองตรัง เพราะเป็นคนตรัง
ลูกๆกี่คนกี่คนไปตั้งรกรากที่ไหนก็จะหอบเอา
ศรีตรังไปปลูกให้ เหมือนประกาศว่า บ้านนี้คนตรังนะ อะไรทำนองนั้น
เหมือนดอกผักบุ้ง แต่เป็นสีม่วงอ่อนๆ กลีบดอกก็บอบบางมากๆ
หล่นเต็มโคนต้นสวยไปอีกแบบ
ต้นที่บ้านไม่สวยเท่ารูปที่แสดงด้านล่างนี้นะครับ
ที่อาฟริกา เคนยา ที่คนข้างกายไปมานั้นบอกว่า มีเต็มเมืองไปหมด สวยซะ
ที่บ้านมีสองต้น ซ้ายขวาหน้าบ้าน แต่ต้นขวามือของบ้านถูกช่างซ่อมบ้านตัดไปโดยไม่เข้าใจ เลยตายไปซะ โอย ผมถูกคนข้างๆบ่นซะต้องปิดหู
เอารูปมา ดูกัน ยามที่มานอน นครเวียงจันทบุรีศรีศัตนาคนหุตอุตมราชธานี อิอิ
นี่คือชื่อเต็มของนครเวียงจัน ครับ
http://board.goosiam.com/html/0104425.html
(ขอคุณภาพจาก internet)
ก่อนจะขอเวลาไปทุ่มให้กับงานเขียนที่รีบเร่ง ขอแวบมาหยอดงานเมื่อคืนหน่อย HUG school นั้นผมผ่านไป-มาตลอดเพราะตั้งอยู่บนถนนมิตรภาพสายหลักของเมืองขอนแก่น เยื้องๆ รพ.ศรีนครินทร์ ท่านผู้เป็นเจ้าของก็เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในขอนแก่นและเมืองไทย คือคุณหมอวันชัย วัฒนศัพท์ เจ้าของสถาบันสันติศึกษา เคียงคู่กับ สถาบันพระปกเกล้า และมีบทบาทในการแก้ไขความขัดแย้งเมืองไทยมาหลายงานทั้งเบื้องหน้าเบื้องหลัง
โดยส่วนตัว คุณหมอเองก็เคยเป็นบอร์ดของสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยขอนแก่นซึ่งครั้งหนึ่งผมเป็นตัวแทน NGO เข้าไปนั่งเป็นกรรมการอยู่ด้วย และสถาบันแห่งนี้คนข้างกายผมทำงานอยู่ที่นั่น และเมื่อครั้งที่คุณหมอไปตั้งโรงเรียน KKVS ที่เป็น Bilingual school ลูกสาวผมก็ไปเรียนที่นั่น และบ่อยครั้งที่เปิดฟังรายการวิทยุที่คุณหมอจัดรายการ ที่เอาข่าวสาร แนวคิดต่างๆมาคุยให้ฟัง
มาอีกทีเมื่อ ออต เข้ามาร่วมมือกับ Hug school แล้วเอาสาระมา Post ลงที่ลาน ก็ได้ติดตามมาตลอด แต่ไม่เคยย่างก้าวเข้ามาที่นี่เลย..
ทึ่งกับคนหนุ่มสาวที่รวมตัวกันทำอะไรที่มีสาระแก่อนาคตของประเทศ เช่น HUG school ผมเองถ้าเป็นน้องอึ่ง ครูอารามและน้องหมอน้อยจากลำพูนก็ต้องมาเยี่ยมแน่นอน ได้คุยกับพ่อครูว่า เป็นโรงเรียนที่แหวกกรอบเดิมๆของโรงเรียนออกมาอย่างน่าติดตามยิ่งนัก
ยังไม่ขอลงรายละเอียดและแนวความคิดเห็นส่วนตัวต่อทีมคนหนุ่มสาวเหล่านี้นะครับ
เพียงขอแหย่หัวเรื่องไว้ก่อน เพราะต้องจบงานเขียน พรุ่งนี้ต้องเดินทางไปลาว กลับจากลาวหากเคลียร์งานเสร็จก็จะกลับมาเขียนต่อครับ
แต่อยากตั้งประเด็นไว้ก่อนว่า
พ่อครูบาฯท่านเป็นโรคปากเปื่อย ที่รักษาไม่หาย เพราะบ่นถึงระบบการศึกษาไทยมานาน แล้วปรากฏการณ์ในสังคมที่เกิดมาจากเด็กวัยรุ่นก็ยังมีให้เห็นตลอดมา ระบบมันสิ้นหวังแล้วหรือ
ความจริงผมมีฐานเรื่องเหล่านี้มาบ้างเพราะเรียนจบมาทางการศึกษาโดยตรง แต่ไปใช้ความรู้ทาง Informal Education มาโดยตลอดเสียมากกว่า
น่าเฝ้ามอง Hug school และมงคลวิทยาจริงๆ โรคปากเปื่อยของพ่อครูท่าจะรักษาหายแล้วหละ อิอิ..
แต่ก่อนทุกวันศุกร์ผมจะขับรถจากมุกดาหารกลับบ้านขอนแก่น
เป็นความสุขหลังพวงมาลัย คือ เปิดวิทยุ AM ฟังเพลงที่เลยยุคสมัยไปแล้ว
เปิดข่าวสารเพื่อนบ้าน และเหลือบมองเมฆบนท้องฟ้า
หากตรงไหนสวยงามก็จะหยุดรถ
แล้วคว้ากล้องตัวโปรดมาเก็บภาพนั้นทันที
จากการเป็นคนหนึ่งที่ชอบถ่ายรูปเมฆ
ก็นึกรำคาญเสาไฟข้างถนนทุกทีที่เห็นรูปเมฆสวยๆ
เพราะถ่ายรูปแล้วติดเสาไฟ สายไฟรุงรังไปหมด
หากเลือกได้ก็พยายามขับรถไปในเส้นทางที่มีพื้นที่โล่ง
เช่นไร่ข้าวโพด ไร่อ้อย ฯลฯ
หากมาจากมุกดาหาร-กุฉินารายณ์
ก็สามารถตรงไป อ.สมเด็จ ต่อไปกาฬสินธุ์ ขอนแก่นได้
บางครั้งผมเลือกเส้นทางกุฉินารายณ์ไปโพนทอง เพราะเหตุผลข้างต้น
แล้วผมก็ได้รูปชุดนี้มา แปลกดี สวยดีครับ
ชุดนี้จอดรถที่ไร่อ้อย วิ่งเข้าไปกลางไร่อ้อยเพื่อหนีสิ่งกีดขวาง
แล้วก็เก็บการก่อเกิดเมฆชุดนี้มา
แล้วผมก็เอาไป post ใน FB ชมรมรักมวลเมฆตั้งแต่เดือน 8 ปี 53
เมื่อวานนี้ ดร.บัญชา ธนบุญสมบัติโทรมาหาขณะอยู่ที่ HUG school
ว่าขอรายละเอียดเรื่องรูปหน่อย วารสารสารคดี
เลือกรูปจากชมรมไป 30 รูปเอาไปทำ บทความ ของผมดูจะติดไป 2 รูป
ความจริง บรรณาธิการเมล์มาขอ 4 รูป แต่ผมไม่มีเวลาค้นให้
เพราะเร่งเขียนรายงานเมืองลาวอยู่ครับ
นี่ก็จ่อคอหอยเข้ามาแล้ว
——-
…เล่าให้ฟังเล่นๆครับ…
เฮ้…..พวกเราลงมาเลย มาเล่นน้ำกานนนนนน
ได้ข่าวว่า เขาไปสปากัน บางคนไปนอนให้สาวๆโป๊ะโคลนจากภูเขาไฟ
เฮ่อ…จะสู้สปาโคลนของเราได้ เร้อออ….
เย้ เย้ สนุกที่ซู๊ดเลย เย้….เย้…..
นานมาแล้วไปซื้อไม้ดอกประเภทเลื้อย
เอามาปลูกริมรั้วเพื่อให้เขาเลื้อยพันรั้ว
และออดดอกให้เราชื่นชม
หนึ่งในนั้นคือเจ้าดอกสีม่วงสวยนี่
ไม่ได้เห็นมานานแล้ว ชอบที่องค์ประกอบดอกเขาแปลก
ดอกสีม่วงเข้มวงในกลางดอกใหญ่นั้น
เขาออกมาทีหลังแล้วหลุดร่วงก่อน
เทพเจ้าองค์ใดหนอ ปั้นแต่งเจ้ามาให้ชื่นชม
เป็นดอกไม้ประจำคณะศึกษาศาสตร์ มช.
“เจ้าพวงคราม”
ยังหมกอยู่กับตัวอักษร ที่บรรยายงานที่ทำ
4 โครงการที่มีความแตกต่างกัน 3 แบบ
อยู่ต่างประเทศเสีย 3 โครงการ
ต้องเปลี่ยน Mode ความคิด จากโครงการหนึ่ง ไปอีกโครงการหนึ่ง
ขุดความรู้รอบด้านมาใช้ แต่มักไม่ได้อย่างใจ
แต่ก็ดีขึ้น แต่ตาก็แฉะมากขึ้น อิอิ..
ส่งอักษรมาเยี่ยมเยือน เด้อครับ..
คนสรรหาไม้ดอกมาปลูก เพื่อเชยชมยามดอกไม้บาน
เขาบานแล้วก็ร่วงโรยหล่นหลุดจากขั้ว
คนแก่หง่อมคนหนึ่ง คนดูแลมากกว่าหนึ่งคน
นั่งรอคอยลูกหลานมาจากเมือง
นานเต็มที ที่เขาไม่ได้มาหา
เพราะภาระรุงรังมัดเขาไว้ แม่เฒ่าเข้าใจ…
เพราะชีวิตเดินไปบนสายพานของระบบ
ความอบอุ่นวันวานแบบชนบทมันผ่านไปแล้ว
แม่เฒ่า นั่งสายตาเหม่อลอยไปไกลสุด
ดอกไม้ดอกนี้รอเวลาหลุดจากขั้ว……..
คนที่รักน้องหมา น่าจะหาเวลาดูหนังเรื่อง Hajiko หรือ Hachiko
กำลังฉายอยู่ที่ HBO A12 หรือ D43 เวลา 19:20
นำแสดงโดย Richard Gere
**เรื่องของฮาจิโกะ** สุนัขผู้ซื่อสัตย์
Hachiko Monogatari
ย่านชิบูยะ ในประเทศญี่ปุ่น มีรูปหล่อสุนัขตัวหนึ่ง ชาวญี่ปุ่นหลายคนรู้จักมันเป็นอย่างดี มันตัวแทนให้ระลึกถึงความรัก และมิตรภาพระหว่างคนกับสุนัข
เจ้าฮาจิโกะ (Hachikō) สุนัขพันธุ์อากิตะ (Akita)
อ่านเรื่องราวได้ที่
http://www.thailandsusu.com/webboard/index.php?topic=117723.0
นานๆดูหนังดี ดูแล้วคนที่บ้าน ขี้มูกโป่งไม่หยุดเลย
(ขอบคุณรูป เรื่องจาก internet)
มีสมาชิกหลายท่าน เสนอให้จัดเฮ 8 หรือ เฮที่เท่าไหร่แล้วเนี้ย เท่าที่ทราบ อ.แป๋ว ป้าหวาน ป้าแดง และอีกหลายท่าน
ผมเห็นด้วยครับ
ต้องขอบคุณ อ.แป๋ว ป้าหวาน ป้าแดง มากๆนะครับที่เคาะกระดิ่งมาหลายครั้งแล้วใน FB ผมก็เสียมารยาทไม่ได้ตอบสนองป้าหวานเท่าที่ควร ขออภัยอีกทีนะครับ ผมกำลังอยู่ในหัวเลี้ยวหัวต่อของงานเก่ายังไม่ขาด งานใหม่กำลังโถมเข้ามา บางงานก็หนักอึ้ง และยังไม่มีตารางที่แน่นอนลงตัว เช่น บางทีสั่งด่วนมาว่า อีกสองวันไปไชยบุรีนะ อีก สองวันไปเวียงจันนะ เลยต้องเตรียมพร้อมตลอด กว่าจะลงตัวคงอีกสองสามเดือนน่ะครับ
เลยไม่กล้ารับปาก และไม่กล้าเดินออกหน้าเรื่องการจัดงานเฮ นะครับ
ช่วงนี้เป็นช่วงฤดูหนาว อากาศดี หากมีวันหยุดหลายวันเหมาะสมก็น่าจะจองวันล่วงหน้าจัดเฮกันอีกก็ดีนะครับ จะเอาตามที่ป้าหวานเสนอไว้ หรือที่ท่านอื่นๆเสนอไว้ก็ลองเคาะโต๊ะ ส่งเสียงกันก็ดีนะครับ
หนึ่งในนี้แว่วมาว่า ป้าแดงเสนอตัวอยากจัดที่หนองคายบ้าง ผมก็สนับสนุนครับ หนองคายมีสถานที่เยอะมากที่เหมาะจะจัด มีสถานที่เที่ยว พักผ่อน อาหารอร่อย ทิวทัศน์งาม คนก็งามด้วย อิอิ
อยากมาส่งเสียงอีกครั้งตามหลังป้าหวาน ป้าแดง อ.แป๋ว และอีกหลายคนว่าจัด เฮ 8 เหอะ
รักนะ จุ๊บๆ (อย่าเพิ่งอ๊วกซะก่อนล่ะ)
แม้ว่างานจะล้นมือ คนข้างกายก็มานอนสัมผัสความหนาวที่เชียงราย ตามงานวิจัยของเธอ ผมก็ต้องลงมากรุงเทพฯด่วน ร่วมงาน มุทิตาจิต 78 ปี อคิน รพีพัฒน์ ที่หอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ สวนรถไฟ จตุจักร กรุงเทพฯ เพราะท่านอาจารย์อคินนั้นเป็นที่เคารพรักของพวกเราเพราะท่าน “เป็นเจ้าที่ทำตัวเป็นไพร่” คนข้างกายผมก็เข้ามารับราชการกับท่านอาจารย์ครั้งแรกหลังจากจบที่ ISS ฮอลแลนด์ ซึ่งมีคนไทยหลายคนจบที่นั่น
หอจดหมายเหตุอยู่ตรงไหนก็ลองดูแผนที่ หรือดูไม่ออกก็เข้าไปที่ http://www.bia.or.th/ น่าสนใจมากครับ คนข้างกายบ่นเสมอว่า กรุงเทพฯมีข้อดีอย่างหนึ่ง มีสถาบันดีดีอยู่เยอะ มีงานแสดงดีดี บ่อย คนต่างจังหวัดไม่ค่อยมีโอกาสเช่นนั้น
ผมขอยังไม่กล่าวถึงงานเสวนาในงานมุทิตาจิต อาจารย์อคินนะครับ อยากแนะนำหยาบๆถึงหอจดหมายเหตุที่มีคุณค่าแห่งนี้ เชิญท่านที่สนใจ มากรุงเทพฯไม่รู้จะไปไหน มาที่นี่ครับ พาลูกหลานเข้ากรุงเทพฯก็อย่าไปเดินห้างอย่างเดียวนะครับ มาสัมผัสพุทธธรรมและศิลปะที่มีรากมาจากธรรมมากมาย ลงฝีแปลงโดยศิลปินสยามนามอุโฆษ หลายท่าน รวมทั้งท่านอาจารย์ผ่อง เซ่งกิ่ง แห่งอาศรมรุ่งอรุณที่ผมรักใคร่ท่านมาก
ผมไปงานก่อนเวลาจึงพบท่านอาจารย์ผ่อง ที่ผมไม่พบท่านมานานแล้ว เลยขอกอดท่านให้หนำใจกับความคิดถึง จริงๆท่านเป็นคนใต้ เป็นอาจารย์ที่ศิลปากร ทางด้านงานวาดรูป แล้วออกจากราชการมาทำงานเป็น NGO บ้านนอกที่ขอนแก่น มาช่วยท่าน อ.อคิน ทำหนังสือหลายเล่ม โดยท่านวาดรูปให้ หลังจากนั้นท่านก็ถือสันโดษไปปลูกกระต๊อปอยู่ในหมู่บ้าน พักใหญ่ ท่านจึงรู้ว่า แม้ว่าท่านจะรักชนบท รักชาวบ้าน แต่งานของท่านนั้นไม่เหมาะกับที่ที่อยู่ หากไปอยู่ในที่ที่เหมาะสมท่านจะทำงานได้มากกว่า จึงมาช่วยสอนหนังสือที่ มข.อีกครั้ง แล้วก็ลงกรุงเทพฯมาทำอาศรมตั้งแต่แรก
ขณะที่งานยังไม่เริ่มท่านก็ดึงมือผมไปดูงานของท่าน แล้วเล่าให้ฟังว่า หอจดหมายเหตุแห่งนี้ต้องการให้มีงานศิลปะมาประกอบตัวอาคาร โดยกลุ่มศิลปิน โดยให้วาดอะไรก็ได้ที่มีฐานมาจากธรรม แล้วศิลปินทั้งหมดก็เดินทางไปกราบท่าน ป.ปยุตโต ฟังท่านให้ธรรม แล้วศิลปินก็จำใส่หัวไปจินตนาการงานของตัวเองขึ้นมา อ.ผ่อง ก็ได้รูปที่เห็นนี้จำนวน 4 ภาพ อีกภาพหนึ่งไปติดไว้อีกแห่งหนึ่ง งานชิ้นนี้ต้องการแสดงธรรม ของธรรมชาติ ห้า ห้า ห้า คนบาปหนาอย่างผมฟังท่านไม่กระดิก รู้แต่ว่า ท่านใช้ความรู้ของศิลปินโบราณมาวาดรูปนี้คือใช้ เม็ดมะขาม ดินสอพอง แป้งฝุ่น และดินหม้อ แม้จะเสพศิลปะไม่กระดิกอย่างผม แต่ก็ทึ่งในความพยายามของท่าน
ดูซิครับแต่ละภาพมหึมา สวยงาม ยากที่ผมจะจินตนาการได้ว่า มนุษย์นี่ช่างสร้างสรรค์และประณีตจริงๆ งานแบบนี้หากไม่ได้ใช้พลังข้างในแล้ว อ.ผ่องกล่าวว่างานไม่เสร็จแน่นอน ทำงานแบบลงสีแปลงแรกสุดกับสีแปลงสุดท้ายนั้น ให้อยู่ในเรื่องเดียวกัน น้ำหนักฝีแปลง ความอ่อนช้อย สีสัน ฯลฯ ผมเองสัมผัสมหาศิลปินอย่างท่าน ถวัลย์ ดัชนีมาแล้ว พอเข้าใจพลังข้างในของศิลปินกลุ่มนี้
หากท่านมีโอกาสไปสถานที่แห่งนี้อย่าพลาดเดินขึ้นไปชั้นสองนะครับมีภาพหนึ่งที่สุดของที่สุดคือภาพนี้ครับ
เป็นภาพท่าน ป.ปยุตโต ท่านนายแพทย์บัญชา พงษ์พานิช กรรมการและเลขานุการมูลนิธิหอจดหมายเหตุพาทุกคนมาชมภาพนี้ ในภาพมีท่าน อ.อคิน รพีพัฒน์ อ.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง อ.อมรา พงศาพิชญ์ ประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ มาชมด้วย ท่านเดาซิว่ารูปนี้ใช้สีอะไรวาดรูป อ.ผ่องทนไม่ไหวเดินเข้ามาอธิบายเองว่า เป็นรูปที่มีอารมณ์ของท่าน ป.ปยุตโตจริงๆ ใช่เลย
ผมจำไม่ได้ว่าศิลปินที่วาดรูปนี้คือท่านใด แต่ฟังชัดหูว่า เป็นรูปเดียวในประเทศไทยตอนนี้ที่ใช้ สีที่ใช้คือ “ดินเหนียว” วาดรูปนี้ อ.ผ่องกล่าวว่า ศิลปินท่านนี้ตระเวนไปทั่วประเทศเพื่อหาดินเหนียวที่มีคุณสมบัติเฉพาะ และสีสันต่างๆกัน เอามาสร้างรูปที่วิเศษสุดรูปนี้ จริงแล้วคือความรู้ดั้งเดิมของคนโบราณของบ้านเรา ไม่ใช่เอาเทคนิคนี้มาจากต่างประเทศนะครับ
ห้องหนังสือใหญ่โตของหอจดหมายเหตุ ท่านเดินหาหนังสือที่พอใจแล้วก็จ่ายเงินเอง ตามขั้นตอนที่เขาเขียนอธิบายไว้ ไม่มีใครมานั่งรับเงิน
มีมุมเล็กๆเป็นร้านอาหาร ที่ เขาเอาข้าวใส่ถุงพลาสติก ใส่ตะกร้า เอากับข้าวใส่ถุงพลาสติกแล้วใส่ตะกร้า มีจาน มีช้อน ใครอยากซื้อก็มาเดินเลือกเอาไปนั่งกิน จ่ายเงินเอง กินแล้วล้างจานด้วยนะ
มีสตรีสูงอายุหลายท่านเป็นพนักงาน เดินเอาผ้าชุบน้ำเช็ดราวบันใด เช็ดตรงโน้น ตรงนี้ เอาฝุ่นออกไป เป็นงานที่น่ารักมาก ท่านอุทิศเวลามาทำงานให้กับสถานที่แห่งนี้ ผมเชื่อว่าท่านไม่ได้ค่าจ้างแต่อย่างใด ท่านมาทำบุญเพื่อทุกท่านที่เดินเข้ามาแห่งนี้
ผมรักสถานที่แห่งนี้จริงๆ มีห้องกว้างใหญ่ที่เปิดด้านที่มองไปเห็นสวนรถไฟ ผ่านหนองน้ำ งามจริงๆ เหมาะที่จะจัดเสวนาธรรม หรือทำ workshop เกี่ยวกับสมาธิ ฝึกจิต อะไรทำนองนี้ และก็มีโปรแกรมแบบนี้ทุกวันหยุดด้วย
บางท่านเคยไปมาแล้ว
ส่วนผมมาเป็นครั้งแรก
อิจฉาคนกรุงเทพฯ จริงๆครับ
ผมทิ้งค้างเรื่องอุบัติเหตุที่แขวงไชยบุรีไว้อีกตอน เพราะ งานยุ่ง ผ่านอุบัติเหตุรถลงข้างทางไปแล้ว ก็ตกใจกันพอสมควร ดีที่เจ้านายมาประสพเองย่อมคิดไปถึงทีมงานที่ใช้ชีวิตในสนามตลอดเวลาว่ามีความเสี่ยงต่อเรื่องอุบัติเหตุมากกว่าหลายเท่านัก เพราะไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะพลาด ก็ต้องพึงระมัดระวังและเตรียมพร้อมตลอดเวลา โดยเฉพาะยานพาหนะที่เราใช้กันเป็นประจำ
วันที่ 2 ที่ไชยบุรี ประชุมกันแต่เช้า แลกเปลี่ยนกันถึงงาน ปัญหาอุปสรรค เดินทางไปดูพื้นที่ แล้วก็ไปทานอาหารเที่ยงในเมืองไชยบุรี แล้วเดินทางกลับหลวงพระบาง เพราะเจ้านายทั้งสองคนต้องเดินทางเข้ากรุงเทพฯเที่ยวบินเย็น คราวนี้ยุบเอาผมไปนั่งรถ Everest คันที่เกิดอุบัติเหตุเมื่อวานร่วมกับเจ้านาย เพราะรถ Vigo ต้องทำงานต่อที่ไชยบุรี ผมนั่งหน้าคู่กับพนักงานขับรถ
ท่านผู้แทน ชอ..ขอให้ใช้เส้นทางเดิมตอนออกจากเมืองไชยบุรี เพราะต้องการดูการก่อสร้างถนนว่าทำไปถึงไหนแล้ว สภาพเป็นอย่างไร แล้วก็ไปบรรจบถนนสายหลักตรงด่านเก็บเงินของท้องถิ่น ถนนทั้งสายจากไชยบุรีไปหลวงพระบางนั้นเป็นลูกรัง และกรวด เมื่อไม่มีฝนตกถนนแห้ง ฝุ่นก็เริ่มมี
ข้ามแม่น้ำโขงด้วยเรือเฟอรี่ ผ่านเมืองนาน แล้วก็ขึ้น “ภูสแกน” ที่ถนนลาดยางขึ้นดอยไม่กี่กิโลเมตร พนักงานขับรถคุยกับผมว่า ภูสแกนแต่ก่อนที่ยังไม่ได้ลาดยางนั้น มีอุบัติเหตุเอาชีวิตคนไปมากมายนับร้อยนับพัน เขาว่างั้น ในทัศนะผมคิดว่าหากรถมีสภาพที่ไม่สมบูรณ์ และประมาท ก็เกิดอันตรายได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะช่วงลงจากยอดดอย จะวิ่งเร็ว ทางโค้งเยอะ เบรกไม่ดี ถนนลื่น หลับใน มีสิทธิ์เกิดอุบัติเหตุได้ตลอดเวลา
มีรถบรรทุก ปิกอัพ รถโดยสาร เก๋ง แม้มอเตอร์ไซด์สวนทางมาบ้าง ที่วิ่งตามกันก็มี แต่ไม่หนาแน่น รถวิ่งขึ้นดอยทางสูงชันข้างหน้าไปเรื่อยๆ แต่แล้ว…..
ขณะที่เรากำลังจะแซงรถคันหนึ่ง สังเกตรถของเราไม่วิ่งขึ้นไป มันช้าลง ช้าลง อย่างผิดปกติ พนักงานขับรถลองเปลี่ยนเกียร์ แม้จะเป็นแบบ ออโต ทันใดนั้นพนักงานขับรถก็บอกว่า “เข้าเกียร์ไม่ได้ครับ ไม่ทราบรถเป็นอะไร” เหยียบเครื่องเร่ง แต่รถไม่วิ่งและแล้วที่กระโปรงรถก็มีควันดำทะมึน ส่งกลิ่นเหม็นน้ำมัน
“
พนักงานขับรถเบรกรถ แล้วค่อยๆถอยหลังเข้าข้างทางอย่างช้าๆ ขณะที่ควันออกจากหน้ารถโขมงไปหมด เมื่อรถจอดสนิท ทุกคนรีบลงมา พนักงานขับรถเปิดฝากระโปรงรถดู พบว่ามีน้ำมันอะไรสักอย่างกระเด็นเต็มห้องเครื่องไปหมด
ที่พื้นถนนมีน้ำมันหกราดเป็นทางยาว ซึ่งอันตรายเพราะมันลื่น.. ไม่นานนักมีรถมอเตอร์ไซด์ชาวบ้านวิ่งขึ้นดอยไป เราไม่ทันคิดป้องกันอะไร มอเตอร์ไซด์คันนั้นก็ไปเหยียบน้ำมันเข้า ล้มลงทันที เท่านั้นเอง พวกเราต้องคอยวิ่งไปโบกรถให้ระมัดระวัง หลีกน้ำมันที่กองบนพื้นถนนนั้น ผมหักกิ่งไปปิด พอให้รู้ว่า ไม่ควรวิ่งทับตรงนี้
พนักงานขับรถคลำหาสาเหตุจนพบว่า สายท่อน้ำมันเกียร์หลุดทำให้น้ำมันไหลออกแล้วโดนเครื่องที่กำลังหมุนสาดใส่ทั่วห้องเครื่อง …. ต่างคนต่างคิดไปนานา ประการแรก จะแก้ปัญหารถคันนี้อย่างไร จะทำอย่างไรจึงจะเดินทางไปสนามบินได้ทัน เพราะเจ้านายต้องเข้ากรุงเทพฯ…
เจ้านายโทรบอกเจ้าของรถ Vigo บอกให้ทราบแล้วให้เอาช่างขึ้นมาซ่อมโดยด่วน แล้วโทรหาเพื่อนรักที่เป็นผู้กว้างขวางของลาว ขอร้องบอกให้เจ้าเมืองนานส่งรถมารับผู้โดยสารไปขึ้นเครื่องบินที่หลวงพระบางด่วน แล้วก็เดินไปเดินมา โทรสั่งการอะไรอีกหลายอย่าง รถบรรทุกจีนผ่านลงเขามาหลายคันอย่างช้าๆ เหยียบน้ำมัน แต่ไม่มีปัญหาสำหรับรถใหญ่ ดีซะอีกที่ทำให้น้ำมันกองนั้นหมดสภาพอันตรายลงไปทุกครั้งที่ล้อรถเหยียบผ่าน..
ขณะที่เราคอยการแก้ปัญหา คือ รถช่างมาซ่อม รถจากเจ้าเมืองนานมารับไปส่งหลวงพระบาง ก็ยังไม่มา เวลาก็ผ่านไป คำนวณระยะทาง เวลา และโอกาสที่จะทันเครื่องบินดูจะลดลงไปเรื่อยๆ เจ้านายโทรเข้ากรุงเทพฯสั่งการให้เลขา open เที่ยวบินหลวงพระบาง-กรุงเทพฯ และสั่งซื้อตั๋ว หลวงพระบาง-เวียงจัน เวียงจัน-กรุงเทพฯ ไม่นานเท่าไหร่ เลขาก็โทรตอบมาว่าเรียบร้อย…โฮ เราอยู่กลางป่ากลางดอยที่เมืองนาน ประเทศลาว สามารถสื่อสารสั่งการทุกอย่างได้หมด…นี่คืออำนาจของการสื่อสารไร้ขอบเขต
ในระหว่างรอนั่นเองผมก็เดินสำรวจพื้นที่ว่ามีต้นอะไรบ้าง มีอะไรข้างทาง เห็นเศษขยะก็ถ่ายรูปมาให้ดูว่า บนดอยสูงกลางป่าเมืองนาน ไชยบุรี มีสิ่งเหล่านี้อยู่จากน้ำมือมนุษย์ ซึ่งเป็นอันตรายต่อสัตว์ป่า สมัยทำงานที่ห้วยขาแข้ง เจ้าหน้าที่ป่าไม้เล่าให้ฟังว่านักท่องเที่ยวเอาปลากระป๋องไปกิน เปิดฝากินแล้วทิ้งกระป่องไว้ สัตว์ป่ามากิน เกิดติดจมูก ทำอย่างไรก็ไม่ออก จนเสียชีวิต..โธ่ ตายเพราะกระป่องปลากระป่อง…
พักใหญ่ๆ รถจากเจ้าเมืองนานก็มาเป็นปิกอัพสองตอน ฝุ่นเต็มไปหมดเลย เราเอากระเป๋าใส่กระบะด้านหลังแล้วก็นั่ง ผู้แทน ชอ.. สั่งคนขับรถว่า รีบไปสนามบินหลวงพระบาง เพราะมีคนจะลงกรุงเทพฯ เท่านั้นเอง ปิกอัพคันฝุ่นเต็มรถก็ห้อตะบึงตามคำสั่ง จนรู้สึกว่า อันตรายเกินไป ที่รีบไปสนามบินเพราะหากทันก็ไปตามกำหนดการเดิม หากไม่ทันก็ใช้ทางเลือกที่สองคือนั่งเครื่องไปลงที่เวียงจัน แล้วต่อจากเวียงจันเข้ากรุงเทพฯ
ระหว่างทางทุกคนพูดว่า ทำไมถึงเกิดอุบัติเหตุขึ้นอีกกับรถคันเดิม สันนิฐานว่า ช่วงเมื่อวานที่เกิดอุบัติเหตุนั้น ท้องรถคงไปครูดกับกองดิน และต้นไม้ กิ่งไม้ โดยพนักงานขับรถไม่เอ๊ะใจ ไม่ตรวจสอบให้ถ้วนถี่ แค่เอารถไปล้างให้สะอาด เท่านั้นเอง …นี่คือบทเรียน ต่างนึกไปว่า หากไม่ใช่สายน้ำมันเกียร์ แต่เป็นสายน้ำมันเบรกล่ะ…. โอ…ไม่อยากนึกเลย…..เจ้านายผู้ชายนั่น คนในเล่ากันว่ากำลังมีสิทธิ์ขึ้นเป็นผู้บริหารสูงสุด ท่านประธานปัจจุบันกำลังจะวางมือ… สำหรับผมนั้นแม้ตัวใหญ่ แต่ก็แค่เบี้ยที่หยิบเดินเท่านั้นเอง…
เราถึงหลวงพระบางเห็นคนโดยสารเดินขึ้นเครื่อง ก็คิดว่าทัน รีบลงไปแสดงตนว่าต้องการไปเที่ยวนี้ด้วย เจ้าหน้าที่การบินลาวบอกว่า ปิดรับผู้โดยสารแล้ว….
รถคันเดียวกันเกิดอุบัติสองครั้งในสองวันติดต่อกัน…
เจ้านายทั้งสองสามคนคือผู้บริหารระดับสูงของบริษัท..
เป็นอีกบทเรียนหนึ่งในชีวิตทำงานชนบท…