มาร่วมประเพณีกันไหม?

1 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 13 June 2011 เวลา 11:04 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1155

คำสองคำนี้ คือ ประเวณี กับประเพณี นั้น ผมสงสัยมานานแล้ว เปิดพจนานุกรมหนาเตอะเพื่อหาร่องรอย ก็หาไม่เจอ

 

ผมเลยต้องคิดเอาเองว่า สองคำนี้เป็นคำเดียวกัน เพราะเทียบเคียงได้ว่า พ กับ ว มักเป็นสิ่งเดียว (ไวพจน์?) กันเสมอ เช่น วิจิตร= พิจิตร วัชร=พัชร=เพชร วิเศษ=พิเศษ วิษณุ=พิษณุ วัฒนา=พัฒนา สุวรรณ=สุพรรณ วิชัย=พิชัย ไพโรจน์=วิโรจน์ (อันหลังนี้เพราะ สระ อิ กับ สระ ไอ ก็ เป็นสิ่งเดียวกันอีกด้วย เช่น วิจิตร=ไพจิตร วิศาล=ไพศาล)

 

แต่ประเวณี กับ ประเพณี เนี่ย ทำไม ความหมายมันต่างกันมาก

 

หรือว่าแท้จริงแล้วไม่ต่างเลย เพราะการร่วมประเวณี เป็น ประเพณีที่สำคัญที่สุดของมวลมนุษยชาติ


เรื่องเหม็นๆ

4 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 13 June 2011 เวลา 10:46 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2207

สำนวนและสุภาษิตไทย ที่เกี่ยวกับ “ขี้” มีมาก แต่บางอันไม่เข้าใจที่มาที่ไปจริงๆ เช่น

 

กำขี้ดีกว่ากำตด

…ความหมายคือการกำขี้ยังได้อะไรติดไม้ติดมือมาบ้าง ดีกว่ากำตดไม่ได้อะไรเลย….แต่ทำไมถึงเอาเปรียบกันแบบนี้ กำขี้มันเปรอะมือเหม็นหึ่ง เอาไปขายก็ไม่ได้ ไม่มีใครซื้อ มันจะดีกว่ากำตดได้อย่างไร เพราะขายไม่ได้เหมือนกันและไม่เปรอะ ไม่เปลืองน้ำล้างมือ

 

อย่าเห็นขี้ดีกว่าไส้

….ความหมายคืออย่าไปเห็นคนอื่นดีกว่าญาติมิตร (คิดว่าเป็นแบบนี้) แต่ทำไมต้องอุปมาเป็นขี้กะไส้ด้วย ไม่รู้ว่าขี้ไส้คน หรือ ขี้ไส้สัตว์ เช่น ไส้หมู ไส้วัว ที่เอาปรุงเป็นอาหาร

 

เข็ดขี้อ่อนขี้แก่….เข็ดอย่างมาก ไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว…แต่ทำไมต้องอุปมากับขี้อ่อนขี้แก่ด้วย

 

ขี้ใหม่หมาหอม

ฝนตกขี้หมูไหล คนจัญไรมาพบกัน …ขี้หมูนั้นก็เหม็น(จัญไร)อยู่หรอก แต่ฝนนี่ซิ่ มันจัญไรตรงไหน

กินบนเรือนขี้รดหลังคา

ไม้สั้นอย่าไปรันขี้

 

นึกออกแค่นี้ ท่านใดนึกหรือคิดสำนวนขี้ๆได้เพิ่มเติมกว่านี้ก็ช่วยโพสต์บอกกันเด๊อ ยิ่งในสถานภาพการเมืองแบบนี้อาจทำให้คิดสำนวนขี้ๆได้มากขึ้น (บรรยากาศเป็นใจ :-))

 


ระบบอุปถัมป์กับสังคมและการเมืองไทย (โต้นายจักรภพ)

2 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 13 June 2011 เวลา 10:18 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1326

ระบบอุปถัมป์กับสังคมและการเมืองไทย (โต้นายจักรภพ)

 

เมื่อประมาณ พศ. ๒๕๕๑ สมาคมนักข่าวต่างประเทศเชิญนายจักรภพ เพ็ญแขไปพูดเรื่องทำนองนี้ ซึ่งผมรู้จักฝรั่งดีพอควรจึงเดาใจนักข่าวได้ว่าเขาต้องการให้พูดเกี่ยวกับระบบการเมืองไทยในตัวของมันเอง ไม่ได้มีเจตนาจะโยงไปยังสถาบันอะไรเลย แต่เดาว่านายจักรภพเห็นช่องโหว่ตรงนี้ก็เลยสอดแทรกเชื่อมโยงไปจนได้ โดยโยงไปถึงปฐมกษัตริย์แห่งสุโขทัยนั่นเทียว

 

เรื่องระบบอุปถัมป์ในระบบการเมืองและราชการไทยนั้นตัวผมเอง (ซึ่งเป็นวิศวกร) ก็ได้ขบคิดเป็นการบ้านเล่นๆมานานแล้ว แน่นอนว่ามันเกี่ยวพันกับอดีตของไทยด้วย รวมไปถึงระบบกษัตริย์ด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่อย่าลืมว่าทุกประเทศในโลกนี้รวมทั้งประเทศในยุโรปต่างก็อยู่ในอำนาจของกษัตริย์มาก่อนด้วยกันทั้งสิ้น ซึ่งกษัตริย์ทุกพระองค์ต่างก็ต้องอุปถัมป์ขุนนางด้วยกันทั้งนั้น ก็แล้วทำไมระบบอุปถัมป์จึงไม่รุนแรงในระบบการเมืองของฝรั่งยุโรปด้วยเล่า ดังนั้นระบบกษัตริย์จึงไม่น่าใช่เหตุผลหลักของต้นกำเนิดแห่งระบบอุปถัมป์

 

ผมมีความเห็นว่าเรื่องนี้น่าจะเกี่ยวโยงกับลักษณะนิสัยพื้นฐานประจำเผ่าพันธุ์คนไทยและคนเอเชียที่ไม่กินเนื้อกินนมเป็นหลักเลยก็ว่าได้ คนพวกนี้จะกินข้าวกินปลาเป็นหลัก คือ ไทย พม่า เขมร ญวน จีน ญี่ปุ่น เกาหลี อินโด ฟิลิปินส์ จะเห็นว่าชนเผ่าเหล่านี้มีลักษณะเป็นสังคมอุปถัมป์เหมือนกันหมด ไม่มีนิสัยเป็นปัจเจกชนนิยม (individualism) แบบชาวตะวันตก

 

มีความเป็นไปได้ว่านิสัยนี้มีต้นกำเนิดมาจากอาหาร (ตามพังเพยฝรั่งที่ว่า you are what you eat) ไม่โดยตรงก็อ้อม แต่นั่นมันไกลเกินไป เอาไว้ให้เป็นหน้าที่ของนักวิจัยวิจารณ์ด้านมานุษยวิทยาท่านค้นคว้ากันต่อไปก็แล้วกัน แต่ที่เห็นๆคือพวกเผ่าพันธุ์เอเชียดังกล่าวนี้ได้พัฒนาสังคมขึ้นมาแบบรวมหมู่รวมกลุ่ม โดยมีผู้นำที่เข้มแข็งเป็นศูนย์กลางของสังคมมาแสนนานแล้ว จะทำงานอะไรก็นิยมทำเป็นกลุ่ม ไม่ทำเดี่ยว แม้แต่เกี่ยวข้าว สร้างบ้าน ก็ช่วยกันทำทั้งหมู่บ้าน แต่ฝรั่งไม่มีนิสัยทำงานรวมหมู่แบบนี้  ส่วนการเลี้ยงลูกของเราก็ประคบประหงมกันมาก ไม่สอนให้เขากล้าหาญทำอะไรด้วยตัวเอง ผิดกับฝรั่งที่เลี้ยงลูกแบบปล่อย แม้การกินข้าวของเรายังกินร่วมกันเป็นวง ใช้สำรับกับข้าวร่วมกัน ส่วนฝรั่งแยกกิน จานใครจานมัน ไม่เกี่ยวกัน มันยังมีประเด็นอื่นอีกมากที่ผมได้คิดไว้ แล้ววันหลังจะเอามาเล่าต่อนะครับ

 

ในความเห็นผม สิ่งละอันพันละน้อยของเราที่ต่างจากฝรั่งดังที่กล่าวมานี่แหละคือปฐมเหตุของระบบอุปถัมป์  เพราะมันค่อยๆหล่อหลอมให้เราขาดความมั่นใจในตัวเอง ไม่กล้าทำอะไรด้วยลำพังตนเอง ต้องพึ่งพาหมู่เหล่า  ตรงนี้จึงเป็นช่องโหว่ให้ระบบอุปถัมป์เจริญงอกงามขึ้นมาได้ เพราะระบบอุปถัมป์คือการที่ผู้มีอำนาจใช้อำนาจบงการทั้งโดยตรงและโดยอ้อมให้ผู้ที่ขาดความมั่นใจในตนเองกระทำโน่นกระทำนี่แทนตน โดยมีผลประโยชน์ร่วมกันนั่นเอง ส่วนฝรั่งเขามักทำอะไรด้วยตนเอง เดี่ยวๆ มาตลอด ตั้งแต่เด็กๆเล็กๆด้วยซ้ำ จึงหล่อหลอมให้พวกเขามีความกล้าฉายเดี่ยวมากกว่าเรา จึงไม่ต้องการให้ใครมาอุปถัมป์

 

ระบบอุปถัมป์ไม่จำเป็นต้องเป็นระบบที่เลวเสมอไป และระบบไม่อุปถัมป์แบบฝรั่งก็ใช่ว่าจะดีเสมอไป ดังจะเห็นได้ว่าระบบฝรั่งก็เอารัดเอาเปรียบคนอ่อนแอมาก ออกมาล่าอาณานิคมในอดีตสร้างความเดือดร้อนไปทั่วโลกแม้จนบัดนี้ก็ยังไม่เลิกนิสัยนี้ ส่วนระบบอุปถัมป์นั้นถ้าผู้ให้การอุปถัมป์เป็นผู้มีธรรมมันจะเป็นระบบที่ดีมากด้วยซ้ำไป ซึ่งในอดีตสังคมเราก็เป็นแบบนั้นเสียโดยมาก ไพร่ฟ้าจึงหน้าไส(เป็นส่วนมาก)

 

ผมไม่เชื่อว่าระบบอุปถัมป์จะหมดไปจากประเทศไทยในหนึ่งพันปีจากนี้ไป ผมจึงพยายามเขียนบทความเสมอว่า เราต้องสร้างระบบประชาธิปไตยแบบใหม่เป็นของเราเองที่ต่างจากระบบฝรั่ง ทั้งนี้เพราะลักษณะนิสัยพื้นฐานเราต่างจากเขามาก ถ้าไปเอาระบบวันแมนวันโหวตแบบเขามาใช้เราไปไม่รอดหรอกครับ การซื้อเสียงเลือกตั้งก็เชื่อมโยงกับระบบอุปถัมป์นี่เอง ดังนั้นเราต้องสร้างระบบให้สามารถใช้จุดแข็งของระบบอุปถัมป์ให้เป็นคุณต่อประชาธิปไตยให้ได้ ดังที่ผมได้เขียนไว้บ้างแล้วในเรื่อง “ประชาธิปไตยภูมิปัญญาไทย” (ชื่อเรื่องอาจตรงกันสิ่งที่อาจารย์ธีรยุทธ บุญมี ก็ได้พูดไว้ แต่เนื้อหาคงต่างกัน และของผมคิดและเขียนไว้ก่อนนั้นนานมาแล้ว)

 

ก่อนลอกฝรั่งคนไทยต้องรู้จักกำพืดของตนเอง ไม่ใช่อึกอักก็แบบนายจักรภพ ที่ง่าวไปหาว่าระบบฝรั่ง (ไม่อุปถัมป์) ดีกว่าระบบอุปถัมป์ ดูญี่ปุ่นซิ อุปถัมป์ยิ่งกว่าเราเสียอีกกระมัง ทำไมเจริญกว่าฝรั่งได้

 

…คนถางทาง


เผด็จการโดยธรรม ดีกว่าประชาธิปไตยโดยทุน

ไม่มีความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 13 June 2011 เวลา 10:10 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1355

เผด็จการโดยธรรม ดีกว่าประชาธิปไตยโดยทุน

 

เพราะปชต.โดยทุน มันไม่ใช่ประชาธิปไตย แต่เป็น ธนาธิปไตย ที่ใช้เงินซื้อเสียงเข้ามา ไม่ซื้อโดยตรงก็อ้อม  อย่าว่าแต่ในประเทศไทย แม้ประเทศเจริญแล้ว เช่นสหรัฐอเมริกาก็ธนาธิปไตยทั้งนั้น การหาเสียงเลือกตั้งต้องใช้เงินเป็นพันล้านเหรียญ นโยบายต่างๆที่หาเสียงก็ประชานิยมประจำ เช่น จะลดภาษี

 

แต่ถ้าเป็นเผด็จการโดยธรรม โดยความถูกต้อง มันก็เป็นประชาธิปไตยในตัวของมันเอง ไม่ต้องไปเปลืองเงินเลือกตั้งด้วยซ้ำไป เพราะผู้นำที่มีธรรมนั้นก่อนจะตัดสินใจทำอะไร ก็จะปรึกษาคนรอบข้าง รอบคอบ ไปหมด คำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวมเป็นหลัก เช่น พระพุทธเจ้าทรงปกครองสงฆ์แบบเผด็จการทั้งสิ้น ไม่เคยมีการเลือกตั้ง ออกกฎหมาย 227 ข้อออกมา ก็ออกโดยพระองค์เพียงผู้เดียว ไม่เคยผ่านสภาสงฆ์อะไรเลย ก็ยังเป็นกฎหมายที่ยังดีงาม ถูกต้อง เหนือกาลสมัยอยู่จนทุกวันนี้

 

ในความเห็นผม เมืองไทยเรา แม้เจริญแค่ไหนก็ไม่มีวันเป็นประชาธิปไตยแท้ ที่ไม่ถูกครอบโดยธนาธิปไตย ไปได้หรอกครับ ผมจึงเห็นว่าระบบอะไรก็ได้ขอเพียงหลักประกันว่าจะได้ผู้บริหารที่เก่ง ดี มีคุณธรรม แม้เป็นเผด็จการผมก็ยอม


โรงสีผู้น่าสงสาร…ถูกชาวนาและรัฐบาลเอาเปรียบ

1 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 12 June 2011 เวลา 9:30 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1294

ศักิดิ “นา” สามานย์ข้ามชาติ 

 

ช่วงสองสามวันที่ผ่านมานี้ (๒๒ พค. ๕๑) มีข่าวหนาหูว่า นายทุนไทยผู้เห่อเหิมไปชวนนายทุนแขกผู้ร่ำรวยจากการขายน้ำมันให้มาลงทุนด้านการข้าวในประเทศไทย

 

ถึงขนาดจะให้เป็นการทำนาสัญญาจ้างเหมากันเป็นไร่ไปเลย เช่น ไร่ละ ๕๐๐๐ บาท  ซึ่งหลายฝ่ายได้ออกมาต่อโต้ว่า มันเป็นการขายจิตวิญญาณแห่งชาติ  (ซึ่งผมเห็นด้วย)

 

….ไม่น่าเชื่อว่าคนเรามันจะหน้าเงินกันได้ปานนี้ มันคิดได้แต่เพียงว่าจะหา”เงิน”ให้ประเทศ (โดยกรูขอกินหัวคิวด้วยคน) ไม่ว่ารสนิยมในการหาเงินนั้นมันจะต่ำต้อยปานใดก็ตาม มันคิดว่าคนส่วนใหญ่ต้องพลอยเห็นดีเห็นงามไปด้วยเป็นแน่ โชคดีที่คนไทยเรายังมีจิตวิญญาณที่แกร่งพอควรในเรื่องนี้

 

คิดไปแล้วก็ให้รู้สึกสมเพทเวทนา ที่เมืองเราเป็นเมืองข้าว ซึ่งเป็นเพียงไม่กี่สิ่งที่ทำให้ทั่วโลกชื่นชมเมืองเรา แต่เราเองกลับไม่เห็นคุณค่า ปล่อยปะละเลย ปู้ยี่ปู้ยำ ทำทองไม่รู้ร้อนมาตลอด

 

โดยเฉพาะในช่วงปี 2543-2549 นับเป็นยุควิกฤตที่สุดของธุรกิจการทำนา เพราะนักการเมืองที่ครองอำนาจเล็งเห็นประโยชน์มหาศาลในธุรกิจค้าข้าว จึงรุกเงียบด้วยกฎระเบียยบที่เอื้อพวกพ้องเพื่อหวังยึดครองผูกขาดธุรกิจนี้ ทำให้กิจการโรงสี ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทย  (มีประมาณ 40,000 โรง) เกิดอาการง่อนแง่น ล้มตายกันระนาวทั่วประเทศ

 

อนิจจา…เรื่องใหญ่โตบนความเป็นความตายของชาติในระดับนี้แต่สื่อสารมวลชนต่างเงียบฉี่ ไม่มีใครประโคมข่าว ปล่อยให้บริษัทค้าข้าวนอมินีตั้งขึ้นมาผูกขาดการซื้อขายข้าวบนกฎเกณฑ์อัปยศที่รัฐบาลคอยเอื้ออยู่เบื้องหลัง จนโรงสีต้องล้มระนาวเพราะสู้ต่อการขาดทุนไม่ได้ ต้องปิดตัวกันเป็นทิวแถว เพราะสู้กลโกลเชิงนโยบายของพวกเขาไม่ไหว

 

โรงสี….เฮ้ย…ใครจะไปสงสารและสนใจพวกมัน ก็ไอ้พวกนี้ไม่ใช่หรือที่มันขูดรีดชาวนา ทำนาบนหลังคนมานานจนร่ำรวยกันเป็นแถว

 

นั่นคือความรู้สึกพื้นฐานของคนไทยทั่วไปเมื่อพูดถึงโรงสี และนี่คือสาเหตุหนึ่งที่ไม่มีสื่อไหนสนใจเมื่อโรงสีถูกรังแกจากรัฐบาล (สงสัยโรงสีไม่ใช่ประชาชน ถูกรัฐบาลรังแกก็สมน้ำหน้ามันเสียอีก)

 

เรื่องโรงสีขูดรีดชาวนานั้นมันเป็นความจริงเพียงครึ่งเดียว ส่วนชาวนาขูดรีดโรงสีด้วยการปลอมปนต่างๆนาๆ ไม่เคยมีใครพูดถึง และโรงสีลงทุนมากกว่าชาวนา 100 เท่า เสี่ยงกว่า 100 เท่า เขาก็ควรมีรายได้มากกว่า 100 เท่าตามสัดส่วน การลงทุน แล้วมันผิดตรงไหน

 

 ยามขาดทุน เขาก็ขาดทุนมากกว่า 100 เท่าด้วย แต่ประเด็นหลังนี้ไม่ค่อยมีใครสงสาร

 

ถามว่า..ถ้าโรงสีล่มหมดทั่วประเทศอะไรจะเกิดขึ้น ก็จะมีนายทุนผูกขาดซื้อข้าวเปลือก (แบบแฟรนไชส์) เพียงเจ้าเดียวในประเทศ ซึ่งเขาจะกดราคาอย่างไรก็ได้ และชาวนานั่นแหละจะเดือดร้อนที่สุด

 

แต่ถ้ามีโรงสีมาก โรงสีเสรี เช่นทีผ่านมา กลไกตลาดจะบังคับเองว่า ราคาข้าวจะยุติธรรม ใครที่ไม่ได้คลุกคลีกับโรงสีจะไม่รู้หรอกว่าการทำธุรกิจโรงสีลำบากแค่ไหน ต้องง้อชาวนาแค่ไหน ต้องวิ่งรถออกไปหาซื้อข้าว ข้ามอำเภอ ข้ามจังหวัด เรื่องพวกนี้ไม่เป็นข่าว ที่เป็นข่าวคือโรงสีขูดรีดชาวนาเท่านั้น

 

ผมรู้จักเจ้าของโรงสีรายใหญ่รายหนึ่ง เพิ่งปิดโรงสีที่ทำมาแต่รุ่นพ่อนับได้  80 ปีแล้ว ที่ปิดเพราะเจ๊งในช่วงรัฐบาล 2543-49 ที่พยายามทำลายกลไกโรงสีทุกทาง เพื่อให้พรรคพวกเขาเข้ามาสวมแทนโดยการออกนโยบายเอื้อต่อบริษัทรายใหญ่ที่ค้าข้าวระดับประเทศและโลก 

 

เขาเจ๊งในไทย แต่กลับได้รับการทาบทามจากรัฐบาลประเทศหนึ่งในอาฟริกา ให้ไปทำนาในประเทศของเขา โดยจะยกทีดินให้ฟรีๆเป็นแสนไร่ในการนี้ เพราะประเทศนี้คนเขาทำนาไม่เป็น

 

คิดไปแล้วน่าอนาถ คนไทยเราเก่งกาจเรื่องข้าวมาแต่โบราณ แต่กลับต้องเจ๊ง ไม่สามารถธุรกิจในประเทศไทยเราได้ จนต้องไปทำนาให้ต่างประเทศ ส่วนรัฐบาลไทยเรากลับจะไปเอาต่างประเทศให้มาเป็นนายทาส เป็นศักดิ”นา” ยุคทุนสามานย์ เพื่อให้คนไทยเราเป็นทาสทำนาเพื่อสร้างความร่ำรวยให้พวกเขาเหล่านั้น

 

โดยพวกมันขอกินหัวคิวสักเม็ดสองเม็ดก็พอแล้ว  ฤามันจะถึงคราวสิ้นชาติกันคราวนี้

 

…คนถางทาง

 

 


ด้นไปในแผ่นดิน (๔)..ตัวแลนเต็มตึก

ไม่มีความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 12 June 2011 เวลา 5:16 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1158

ไปเที่ยวช่องเม็ก..อุบลฯ..ประตูผ่านแดนไทยลาว

 

ผมไปช่องเม็กเที่ยวนี้ พศ. ๒๕๕๑ นับเป็นครั้งที่สามแล้วสิ สองครั้งแรกก็ประทับใจดีอยู่หรอก เพราะเข้าง่ายออกง่าย เสียเงิน 20 บาทซื้อตั๋วจากป้อมยามลาว ก็เข้าได้แล้ว แต่มาคราวนี้เหตุการณ์กลับกลายเป็นอื่น ซึ่งเดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง

 

ก่อนบ่น ขอท้าวความสองครั้งแรกที่ไปเที่ยวให้ฟังซะก่อน ครั้งแรกเข้าไปประมาณ 5 ปีมาแล้ว ครั้งที่สองก็สามปีมาแล้ว  เข้าไปก็ไม่มีอะไรหรอก เพียงเพื่อให้ได้ชื่อว่าได้ “ไปต่างประเทศ” ไม่มีตึกรามบ้านช่องอะไรเลย มีแต่ป่าเขาให้มองเห็นอยู่ไกลโพ้น และมีร้านค้าเพิงหมาแหงนเรียงรายเพื่อรอนักท่องเที่ยว ความยาวแผงสักประมาณ 200 เมตรเห็นจะได้ แต่นี่แหละที่เราอยากมาดู ไม่ใช่ว่าอยากมาดูบ้านเมืองอะไรหรอก เราอยากมาดูอะไรที่ป่าๆต่างหาก

 

ที่สนุกก็คือ แผงพวกนี้มีสินค้าป่าแปลก ๆ ที่มาจากป่าอันอุดมของทางฝั่งลาวมาวางขายมากมาย เช่น เนื้อแลนสดๆ (แลนเป็นสัตว์เลื้อยคลานตระกูลเดียวกับเอี้ยตะกวดบ้านเรา แต่ลำตัวจะออกเขียวๆ) เขาเล่นตัดเอาหัวแลนมาห้อยโชว์ด้วยเหมือนเขียงหมูบ้านเราเอาหัวหมูมาห้อยโชว์ฉะนั้น เห็นแล้วสยอง แต่เนื้อแลนนี่ดูไปดูมาก็น่าเจี้ยะอยู่หรอก เพราะลักษณะเนียนแดงดีมาก ไม่เป็นเส้นหยาบๆเหมือนเนื้อวัวควาย  ปูภูเขาก็มีมาวางไต่ขอบกระด้งอยู่ราคาโลละแพงทีเดียว (200 หรือไงเนี่ย ชักลืมไปแล้ว) ผักแปลกๆก็มีหลาย หน้าฝนก็จะมีเห็ดแปลกๆมากมาย ดูและถ่ายรูปกันสนุกไป

 

เดินดูสัก 1 ชม. ก็หมด ก็กลับไทย แต่ฝั่งไทยเราสิคึกคักกว่ามาก ตลาดใหญ่กว่าฝั่งโน้น 100 เท่า นักท่องเที่ยวและประชาชนทั้งสองฝั่งนับพันเดินหาซื้อสินค้าอันหลากหลายจากทั้งสองฝั่งกันให้ยั้วเยี้ยไปหมด เศรษฐกิจสะพัดพอสมควรที่เดียว เสียแต่ว่าสกปรก ฝุ่น ขยะ เต็มไปหมด (ธรรมดา ..ทำใจซะแล้ว กับสถานท่องเที่ยวระดับรากหญ้าของไทยเรา)

 

ครั้งที่สามที่ผมเพิ่งไปกลับมาหยกๆเมื่อปลายเดือนมค. นี้สภาพการณ์เปลี่ยนไปหลาย มีการสร้างด่านตรวจคนเข้าออกเมืองของไทยเราเองเสียอลังการ งบก่อสร้างคะเนว่าไม่น้อยกว่า 50 ล้านบาท และการจะเข้าลาวต้องไปทำเอกสารอีกแห่งที่ที่ทำการตรงท่ารถเมล์ ลองเข้าไปดูโอ้โฮ จากที่เมื่อก่อนเดินเข้าได้เลย ไม่ต้องขออนุญาตทางไทย เดี๋ยวนี้ต้องกรอกเอกสาร 3 หน้า ต้องมีรูปถ่าย ค่าธรรมเนียม และเข้าคิวยาว เพียงเพื่อที่จะไปดูหัวแลน และเห็ดป่า….โอ๊ยยังงี้บ่เอาดอก

 

ออกมาจากอาคาร เห็นนักท่องเที่ยวคนนึง ก็เลยถามเขาว่าฝั่งโน้นมีอะไรดีบ้างไหม (เพราะเราไม่ได้มา 3 ปีแล้ว) เขาบอกว่า ไม่ทราบ เพราะยังไม่ได้เข้าไป และก็คงไม่เข้าไปหรอก เพราะทนการทำเอกสารออกประเทศไม่ไหว (อ้าว..หัวอกเดียวกัน)

 

จากนั้นผมไปเดินเที่ยวในตลาดช่องเม็กฝั่งไทย โอย..ทำไมมันซบเซาลงกว่า 3 ปีก่อนสัก 100 เท่าเห็นจะได้ เงียบหงอยจ๋อยเลย 100 เท่านะครับ ไม่ได้พิมพ์ผิด ถามพ่อค้ารายหนึ่งแกก็ให้การว่า ตั้งแต่ทางการไทยเข้มงวดเรื่องการผ่านแดน นักท่องเที่ยวก็หดหายไปเรื่อยๆ อย่างนี้แหละ

 

ผมมารำพึงว่าอย่างนี้อีกหน่อยพ่อค้าแม่ขายก็คงอพยพหนี กลายเป็นเมืองร้างในที่สุด ปล่อยให้อาคาร 50 ล้านอันแสนโก้หรู ให้เป็นที่อยู่อาศัยของเอี้ยแลนตะกวดต่อไป ส่วนพ่อค้าแม่ขายที่สร้างรายได้ให้ประเทศเพื่อมาเสียภาษีสร้างอาคารนี้ ต้องหลบหนีไปอยู่ที่อื่น

 

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…….(อะไรดีเอ่ย)

 

หมายเหตุ….ท่านใดอยากได้ชื่อว่าไปต่างประเทศ และยังมีหมู่บ้านลาวให้เดินเที่ยวอีกด้วย (ดีกว่าช่องเม็กซะอีก) โดยไม่ต้องทำใบผ่านแดนให้ยุ่งยาก (และไม่ต้องเผชิญหน้ากับขรก. หน้าบูด)  ให้ไปข้ามที่ อ. โขงเจียมนะครับ (ดินแดนพระอาทิตย์อุทัยของไทยเรา …ตะวันออกสุด) ซึ่งห่างจากช่องเม็กอีก 25 โลเท่านั้น แต่ต้องเสียค่าเหมาเรือข้ามโขงราคาสัก 300 เห็นจะได้…จุ๊ๆ รู้แล้วเงียบไว้นะครับ เดี๋ยวรัฐบาลไทยตามไปสร้างอาคารหรูรอรับอีก


ด้นไปในแผ่นดิน (๓)..อาหารญวณ

1 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 12 June 2011 เวลา 5:09 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1312

อาหารเช้าที่อุบล ไม่ได้เตรียมการณ์ไว้ล่วงหน้า แต่นิสัยเราชอบลองอะไรแปลกๆไปเรื่อย พอดีมีร้านอาหารเวียตนามอยู่ตรงข้ามโรงแรม ก็เลยไปฉลองศรัทธาด้วยก๋วยเตี๋ยวญวนและไข่กระทะ ก๋วยเตี๋ยวญวนนี้บางคนก็เรียกว่าก๋วยจั้บญวนเพราะลักษณะของเส้นและน้ำจะออกข้นๆ ส่วนเส้นจะมีลักษณะผอมยาวเหนียว เหมือนเส้นขนมจีน บางที่ก็เรียกอาหารจานนี้กันว่า เส้นเปียก ของอย่างเดียวกันมีสามชื่อเข้าไปแล้วนะเนี่ย สุดแล้วแต่จังหวัด

 

ผมลองสังเกตดูน้ำซุปนั้นตอนแรกก็ไม่ข้นหรอก ที่มาข้นเป็นเพราะน้ำจากเส้นเปียกนี่เอง สำหรับเส้นถามคนขายว่าทำมาจากอะไร เขาก็ไม่รู้เพราะอ้างว่าไปรับซื้อเขามาอีกต่อ พร้อมเอาถุงใส่เส้นที่แช่แข็งไว้มาให้ดู (นี่แหละคนไทยและ เอ้อ ญวนด้วย ช่างไม่สนใจใฝ่รู้อะไรเอาเสียเลย ทั้งที่เป็นของที่ขายอยู่ทุกวันมานานเป็นสิบปี อย่างนี้แหละชาติถึงไม่เจริญกับเขาสักที) แต่เราคะเนว่าน่าจะทำมาจากแป้งข้าวจ้าวผสมกับแป้งมัน เพราะสี่กลิ่นรสและสัมผัสมันบอกอย่างนั้น

 

สำหรับมื้อนี้ ไม่ผิดหวัง อร่อยมาก รสชาติก๋วยเตี๋ยวญวนก็สุดแต่จะปรุงกัน ส่วนใหญ่เราก็จะปรุงแบบก๋วยเตี๋ยวไทยนั่นแหละ ส่วนผสมของก๋วยเตี๋ยวก็คล้ายไทยเพียงแต่มีหมูยอหั่นใส่ลอยหน้ามาพอให้ได้กลิ่นอายญวน สำหรับชามที่ผมสั่งเขาใส่ผักตั้งโอ๋ปนมาด้วย ก็ได้สรรพรสไปอีกแบบ  อ้อ..ก๋วยเตี๋ยวญวนที่เรียกว่า เฝอ นั้นเส้นที่ใช้เป็นเส้นก๋วยเตี๋ยว ไม่ใช่เส้นเปียกแบบนี้

 

ส่วนไข่กระทะนั้นเท่าที่เคยกินมามีทั้งไข่เจียวและไข่ดาว แต่พอสั่งไข่กระทะที่ไรไม่เห็นคนขายเขาถามเลยว่าเอาเจียวหรือดาว ก็สุดแต่เขาจะให้ คราวนี้เราได้ไข่ดาวสองฟอง เป็นดาวเหลวเสียด้วย ที่ขาดไม่ได้ก็คือหมูยอหั่นเส้นโรยหน้ามาตามฟอร์มอาหารเวียต กินไปก็หวั่นหวัดนกไป แต่ความเสียดายเงินผนวกความตะกระมันรุนแรงกว่าก็เลยฟาดเสียหมดกระทะ

 

คันปากอยากรู้ก็เลยถามแม่ค้าในระหว่างคิดเงินว่า เราสังเกตว่าประเทศเวียตนามปลูกข้าวมาก แสดงว่าข้าวเป็นอาหารหลักของคนเวียตนาม แต่ทำไมอาหารเวียตที่มาขายในไทย (และที่อื่นทั่วโลก) ไม่เห็นมีอาหารที่เป็นข้าวเลย แม่ค้าบอกว่าแม่นแล้วอาหารหลักเวียตนามส่วนใหญ่เป็นข้าวเจ้า แต่ที่เอามาขายนี้เป็นอาหารว่างเท่านั้น เอามาหลอกคนไทยเล่นๆไปงั้นเอง (ตามที่ผมคาดการณ์ไว้ไม่ผิดเพื้ยน) สืบความต่อไปได้ว่าอาหารเวียตนามที่กินกับข้าวนั้นไม่หลากหลายเลยมีต้มหมูสามชั้นเป็นหลัก (งั้นซิ่ถึงเอามาออกโรงขายไม่ได้) แม่ค้าบอกว่ากำลังคิดจะเพิ่มเมนูอาหารให้มีข้าวและกับแบบพื้นบ้านเวียตนามจริงๆด้วย

 

คิดมานานแล้วว่าคำว่า “ญวน” นี้มีที่มาอย่างไรก็คิดไม่ออกสักที ส่วนคำว่า “แกว” นั้นยิ่งไปกันใหญ่ เคยถามเพื่อนเวียตนามในเมกาว่าเขาเรียกเผ่าพันธุ์เขาว่าอย่างไรในสำเนียงเวียตนาม ได้เสียงว่า “หงึกเหง็ว” ประมาณนั้น ทำให้ผมคิดโยงไปมา ชะรอยว่า แกว  ก็เพี้ยนมาเป็น เหง็ว นั่นเอง

ส่วนญวนนั้นท่านใดรู้โปรดช่วยเฉลยด้วยครับ


ด้นไปในแผ่นดิน (๒)…ปลาน้ำมูนหลากหลายกว่าน้ำโขง

1 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 12 June 2011 เวลา 5:06 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1195

ด้นไปในแผ่นดิน (๒)

 

คืนแรกผมไปนอนที่อุบลราชธานี เมืองดอกบัว (แต่มองหาดอกบัวไม่เจอสักดอก)

 

เมืองนี้มาเป็นครั้งที่สี่เห็นจะได้ เมืองที่หลวงพ่อชามาตั้งรกรากประกาศศาสนาที่แพร่ไปทั่วโลก มาครั้งแรกก็เพื่อกราบหลวงพ่อเมื่อสักนานมากแล้ว ที่ได้พบคือหลวงพ่อในสภาพที่หมดสภาพ ลูกศิษย์เข็นรถเข็นที่ท่านนั่งคอพับมาให้กราบ เสมือนหนึ่งท่านจะมาสอนอย่างเป็นรูปธรรมว่า “สังขารไม่เที่ยง ขนาดอาตมายังเดี้ยงได้แบบนี้ แล้วสูเจ้ากิเลสหนาเป็นปื้นจะเหลืออะไร ดังนั้น จงดำรงชีวิตต่อไปด้วยความไม่ประมาทเถิด”

 

อ.วารินชำราบ และ อ.เมืองอุบล เป็นเมืองแฝด ที่กั้นไว้ด้วยสะพานข้ามแม่น้ำมูน ดูเหมือนว่าวารินจะใหญ่กว่าเมืองอุบลเสียอีก โดยเฉพาะตลาดเช้าที่ตัวเราชื่นชอบ ตลาดสดวารินใหญ่สะอาดกว่าอุบลประมาณ 3 เท่าเห็นจะได้ ส่วนความหลากหลายทางอาหารการกินนั้นวารินกินขาด มาคราวนี้เลยบายพาสตลาดเช้าอุบลไปทีวารินดีกว่า

 

ไม่ผิดหวังครับ…มีปลาจากแม่น้ำมูนมาวางขายให้ยลโฉมและถ่ายรูปมากมายหลายพันธุ์ เช่น ปลาเบี้ยว (กลางเรียกคางเบือน) น้ำเงิน เนื้ออ่อน (สามพี่น้องท้องเดียวกัน)  คัง แข้ โจก (ตะโกก) แปบ หมู สร้อยนกเขา กด กระสูบขีด กระสูบจุด ขะแหยง ถ่ายรูปติดแฟลตแสงกระจายวูบวาบเสียจนเรียกคนดูได้เป็นฝูง แม่ค้าก็แสนใจดี ยกปลาขึ้นชูให้เราถ่ายแบบยิ้มแย้มแจ่มใส นี่ถ้าเป็นในกทม. เราคงโดนด่าหาว่าไปแย่งเวลาค้าขายไปแล้วสิ

 

สำหรับปลาขนาดยาว (แต่ไม่ใหญ่) ก็มีให้น่าพิศวงคือ กราย ตองลาย สลาด (สามพี่น้องตระกูลทอดมัน) ยาวเป็นสองศอก น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก นับว่าปลามูนเราหลากหลายกว่าปลาแม้น้ำโขงเสียอีก ที่ร้านอาหารตามแพริมโขงมักเอามาหลอกขายให้นักท่องเที่ยวจากกทม. ในบริบทของต้มยำ ผัดฉ่า ลวกจิ้มรูปแบบต่างๆ ซึ่งโดยแท้แล้วกลายเป็นปลาเลี้ยงในกระชังจากแถวปทุมธานีนี่เอง

 

นอกจากนี้ยังมีเขียดเป็นๆ กระโดดหยองแหยงอยู่ริมขอบกระด้ง ที่จับมาจากนา คนซื้อรายหนึ่งยืนยันด้วยความภูมิใจที่ได้มีส่วนร่วมวิจารณ์ว่าเป็นเขียดนาจริงๆ …ฮ่วย  ใครมันจะแหวกแนวขนาดเลี้ยงเขียดต้วเล็กๆเท่าหัวนิ้วก้อยขายก็คงต้องให้รางวัลนวัตกรรมการทำบาปกันบ้างหละ เพราะกินแต่ละมื้อต้องทำบาปต้มเขียดเป็นๆกันหลายสิบต้ว สู้กินสันในวัวสักชิ้นยังฆ่าชีวิตไปเพียง 0.01 ตัวเท่านั้นเอง บาปน้อยกว่ากันเยอะเลยนะ

 

ส่วนผักพื้นบ้านก็ตามฟอร์มอีสานยุคโลกาวิบัติ  หาได้แสนยาก แม้แต่พื้นๆอีสาน เช่น สายบัว กระจอง สันตะวา ผักหนาม   หน่อโจด กูด ก็ไม่โผล่มาให้เห็น

 

สำหรับโปรตีนคนยากพื้นบ้านมาตรฐานอีสานก็พอมีให้เห็น เช่น ไข่มดแดง ไข่แม่เป้ง แมลงแมงต่างๆ ทั้งที่ทอดมาแล้วและที่กำลังไต่ขอบกระด้งยั้วเยี้ย

 

อนิจจังวัตตะสังขารา ชาติหน้าขอท่านสัตว์ทั้งหลาย ทั้งที่ไหลได้ ว่ายได้ และเลื้อยคลานได้ จงชาญฉลาด อย่าได้เกิดมาเป็นคนเลยนะท่าน โดยเฉพาะเกิดเป็นคนไทยภายใต้รัฐบาลสิงสาราสัตว์ที่ไร้จิตสำนึกยิ่งกว่าผักพื้นบ้านเสียอีก


การเมืองภาคประชาชน

ไม่มีความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 12 June 2011 เวลา 5:00 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1090

สิ่งหนึ่งที่ผมได้ยินจนจะอาเจียรแล้วคือ ที่ว่า “ระบอบประชาธิปไตยที่ดีนั้นภาคประชาชนต้องเข้มแข็ง” (ส่วนใหญ่มาจากปากของนักวิชาการด้านรัฐศาสตร์)

ซึ่งหมายความว่า ประชาชนตาดำๆ ทำมาหากินหลังขดหลังแข็ง เพื่อหาภาษีมาบำรุงประเทศ เวลาพักผ่อนก็ไม่ค่อยมีกะเขา ยังไม่พอ ยังต้องมาออกแรงเย้วๆ อยู่ริมถนนรนแคม หามรุ่งหามค่ำ ปวดขี้ ปวดเยี่ยว ปวดตด หลบแก๊สน้ำตา กระสุนยาง (และจริง) ของตำรวจปราบจลาจล  เพื่อทำงานภาคประชาชน เพื่อคานอำนาจกับรัฐบาลชั่วๆอีก อย่างนั้นหรือ

 

ทำไม…เราไม่ยอมเหนื่อย (และฉลาด) เสียครั้งเดียว เพื่อสร้างระบอบประชาธิปไตยที่ประกันได้ว่า จะได้คนเก่งคนดีมีคุณธรรม ขึ้นไปบริหารบ้านเมืองเสียแต่แรก จะได้ไม่ต้องมางี่เง่า เหนื่อยหน่าย เสี่ยงภัย ทำการเมืองภาคประชาชน ให้ยุ่งยาก

 

ที่ผ่านมาผมได้พยายามคิดค้น ประชาธิปไตยทางเลือก ที่ยังคงเป็นปชต. เต็มรูป และประกันได้ว่าจะได้คนเก่งที่สุด ดีทีสุด เข้าไปบริหารประเทศ ไม่มีธุรกิจการเมือง ไม่มีการซื้อเสียง ซึ่งผมได้นำเสนอแบบย่นย่อไว้ไว้บ้างแล้ว เพียงแต่ว่ามันคิดโดยคนไทยโนเนมแบบผม ไม่ได้ตามก้นฝรั่ง มันคงเป็นไปได้ยากที่จะเกิดขึ้นได้จริงในสังคมไทย

 

ช่วง คมช ครองอำนาจ ผมส่งอีเมล์ข้อเสนอปชต.ทางเลือกไปถึงผู้มีอำนาจและมีปัญญาหลายคน (ไม่รู้ถึงมือพวกท่านมากน้อยเพียงใด)  ในช่วงแรกๆ ได้ยินว่ามีการพูดถึง นายกคนนอก ตามแนวทางที่ผมเสนออยู่เหมือนกัน แต่พอพูดออกมาประดา “นักวิชาเกิน” ก็ค้านกันยกใหญ่ คงเป็นเพราะว่า มันแหวกแนวคิดฝรั่ง ที่พวกท่านบูชากันหนักหนา ซึ่งแน่นอนประดานักธุรกิจการเมืองก็ช่วยเสริมกันใหญ่ เพราะถ้านายกคนนอกเมือไร “พวกมัน” ก็หมดทางหากินกับธุรกิจการเมืองเมื่อนั้น

 

ใครจะว่าผมเต่าล้านปีก็ยอม แต่ใจผมอยากให้เกิดการปฏิวัติอีกสักครั้ง แล้ว เอ้า…จะว่ายกหางตัวเองก็ยอม  เอาผมไปเป็นประธานร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ดูที ผมรับรองว่าจะสร้างระบอบประชาธิปไตยภูมิปัญญาไทยแบบใหม่ แบบที่ภาคประชาชนหมดห่วง นอนคลุมโปงอยู่กับบ้านได้เลย ไม่เชื่อลองดู

 

..สองเกิด ใจเต็ม (๒๕๕๑)


ด้นไปในแผ่นดิน (๑)…ผักไทยที่หายไป

ไม่มีความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 12 June 2011 เวลา 4:52 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1437

เพิ่งกลับมาจากเดินทางไกลรอบไทย มีเรื่องเล่าให้ฟังมากมาย (1)

 

ผมหายหน้าไป 8 วันเดินทางรอบประเทศตอนบนคือ อุบลฯ นครพนม แพร่ เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ตาก นครสวรรค์ หลังจากไม่ได้ทำแบบนี้เสีย  1 ปี

 

ทุกคืนที่นอนตามหัวเมืองต่างจังหวัดผมจะถือเป็นกิจวัตรว่า ตอนเช้าตื่นขึ้นมาต้กบาตรพระ (ถวายปัจจัยเป็นหลักเพราะเห็นว่าท่านมีข้าวปลาอาหารเกินพอแล้ว) จากนั้นก็ไปชมตลาดเช้า ช่วงสิบปี่ที่ผ่านมา ผมเฝ้าสังเกตมาเป็นลำดับทุกครั้งที่ออกตะเวณรอบประเทศปีละครั้ง สภาพตลาดเช้าบ้านนอกเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ที่เห็นชัดคือผักบ้านนอกหายไปมาก มีผักคนเมืองเข้ามาแทนที่

 

10 ปีก่อนยังเห็นผักพื้นบ้านแปลกๆ มากมายวางขายรายเรียงเต็มไปหมด แต่ พศ. ๒๕๕๑ นี้ แม้ผักพื้นบ้านพื้นๆ เช่น ผักตำลึง ผักบุ้งนา ติ้ว แต้ว ผักแว่น บัวบก ก็หาดูได้แสนยาก อย่าว่าแต่ ไข่ผำ หรือ สาหร่าย (เทา หรือ ไก) เลย ถามหาจนทั่ว ทั้งตลาดเช้าตลาดเย็น ก็หาไม่พบ มีแต่คะน้า ผักกาดขาว บอคคอลลี่ ผักบุ้งจีน กระหล่ำปี กวางตุ้ง เป็นหลัก

 

ส่วนผลไม้ก็เช่นกัน ผลไม้ท้องถิ่นที่เคยมาวางขายมากมายหลายหลาก ก็หาไม่ได้เลย มีผลไม้ชาวเมือง และ เมืองนอก ไม่กี่ประเภทมาแทนที่ (ส้ม องุ่น แอปเปิ้ล แก้วมังกร มีมากที่สุด)

 

ในภาพรวม ดูเหมือนว่าการดำรงชีวิตของคนไทย ทั้งในกรุง หัวเมืองและชนบท ในปัจจุบันนี้ก็มีความหลากหลายลดน้อยลงกว่าในอดีตเมื่อสัก 20 ปีมาก คนส่วนใหญ่เช้ามาก็ไปทำงานรับเงินเดือน หรือ ค่าจ้าง ตกเย็นย่ำค่ำมืดก็กลับเข้าบ้านดูโทรทัศน์ กินนอน ตื่น ทำงานหาเงิน(เดือนและค่าจ้าง) วนเวียนอยู่อย่างนี้ ชั่วตาปีสีตาชาติ

 

การดำรงชีวิตของคนไทยกับพืชผักผลไม้ไทยทำไมมันช่างพ้องจองกันเช่นนี้

 

…สองเกิด ใจเต็ม (๒๕๕๑)



Main: 0.15497708320618 sec
Sidebar: 0.013051986694336 sec