กลับตาลปัตร (๖)

2 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 1 May 2011 เวลา 3:09 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1274

ในยุคอินเทอร์เนตนี้เป็นการง่ายมากที่จะขอขมาลาโทษกันก่อนบวชต่อเพื่อนร่วมงาน ผู้เขียน (พศ. ๒๕๔๒) ได้ทำการส่งไปรษณีย์ทางคอมพิวเตอร์ (อีเมล์) ไปยังเพื่อนร่วมงาน เขียนฉบับเดียวส่งกระจายเป็นลูกโซ่ไปถึงได้ทุกคน….ขอบคุณเทคโนโลยีฝรั่ง!!

ส่วนญาติผู้ใหญ่ที่อยู่บ้านนอกก็ใช้วิธีออกเดินสายด้วยตนเอง คือหลังจากทำพิธีโกนหัว ห่มผ้าขาวขลิบทองที่เหมือนครุยรับปริญญาของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (องค์กรมหารวย) แล้ว ก็ถือดอกไม้ ธูปเทียน ใส่พานไปขอขมาลาโทษต่อผู้หลักผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือ ต้องนับว่านี่เป็นประเพณีที่ดีมากจริงๆ เป็นอุบายที่จะทำให้ได้ประโยชน์ในทุกฝ่าย คนที่เคยถือโทษโกรธกันก็ให้อภัยต่อกันได้ในคราวนี้ พระก็จะได้ไม่ต้องพะวง สามารถปฏิบัติธรรมได้อย่างดี ฆราวาสก็พลอยได้บุญไปกับอานิสงส์แห่งการให้อภัยทาน ให้โอกาสแก่ผู้ประสงค์จะสร้างบารมีในพระพุทธศาสนา เพราะหากไม่อโหสิกรรมต่อกันนาคก็ไม่อาจจะบวชเป็นพระได้ และที่น่ารักอีกอย่างสำหรับนาคก็คือ (อะแฮ่ม) ผู้ให้อโหสิกรรมนั้นส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ ที่พ่อนาคเคารพนับถืออยู่แล้ว ไม่มีอะไรจะต้องอโหสิกันสักเท่าไรหรอก เมื่ออโหสิกันพอเป็นพิธีแล้ว ท่านก็มักจะอดไม่ได้ที่จะต้องขอร่วมทำบุญด้วยใบแดงๆบ้าง ใบม่วงๆบ้าง เขียวหม่นๆบ้าง ตามแต่กำลังศรัทธา ทำให้พ่อนาคอดคิดติดตลกเล่นไม่ได้ว่า ถ้าหากถูกพิษIMF เล่นงานหนักๆ ต่อไปนี่อาจลองบวชสึก บวชสึก ไปเรื่อยๆ ขออโหสิกรรม ที่โน่นที ที่นั่นที ก็น่าจะพอดำรงชีวิตอยู่ได้ทีเดียว

ผู้เขียนเป็นคนที่มักไม่ค่อยยึดติดในรูปแบบแต่มักชอบเค้นเอาแต่เนื้อหามาแต่ไหนแต่ไร(ซึ่งมักจะเป็นการสวนกระแสวัฒนธรรมแบบไทยๆ) ในการบวชของตนเองก็เช่นกัน ได้พยายามตัดพิธีกรรมลงให้เหลือน้อยที่สุดเท่าที่จะมากได้ เช่นการขานนาคในคืนก่อนการบวช ได้ขอร้องแม่ว่าขอให้งด ได้วิเคราะห์ดูแล้วว่าข้อดีของการขานนาคก็มีอยู่เช่น การสรรเสริญบุญคุณของแม่ ว่ากันว่าหมอขานนาคที่เก่งๆนั้นสามารถเรียกน้ำตาให้นองหน้าพ่อนาคได้ทั้งคืน เขาจะขานเป็นทำนองอ้อยสร้อยพรรณาถึงความอดทนเหนื่อยยากเจ็บปวดของแม่ที่ต้องอุ้มท้อง คลอด และเลี้ยงดูเช็ดเยี่ยวเช็ดขี้เรามา แต่กว่าจะพรรณาหมด ก็ต้องควักเงินจ่ายค่าขานนาคมากโข เช่น เขาอาจขานว่าแม่ต้องแพ้ท้องอยากกินมะยมเปรี้ยวแต่เงินก็หมดลงพอดีจึงไม่มีเงินจะไปหาซื้อมะยม ญาติโยมก็ต้องเอาเงินให้หมอนาค(เพื่อไปซื้อมะยมดอง) ตอนจะคลอดก็ต้องเสียค่ารถ ค่าโรงพยาบาล ค่าหยูกยาไปตลอดทาง กว่าจะเลี้ยงโตจนมีอายุครบได้บวชเรียน ก็ต้องเสียเงินไปเยอะ (ไม่งั้นหมอไม่ยอมขานต่อ) หมอขานนาคที่เก่งๆก็คงจะได้เงินโขอยู่

นั่นอาจจะเรียกได้ว่าเป็นข้อดีของการขานนาค เพราะทำให้พ่อนาคได้มีจิตใจหวนรำลึกถึงพระคุณในอดีตของพ่อแม่ได้เหมือนกัน และยังทำให้ญาติโยมได้มีโอกาสมาพบปะร่ำลา ขอขมาลาโทษกันก่อนบวช แต่นั่นก็กลับกลายเป็นจุดอ่อนของการทำพิธีขานนาคไปได้ เพราะการมาพบปะกันของกลุ่มคนไทยเรานั้นมักนิยมทำกรรมสองอย่างเสมอ คือ กินเหล้า กับ เล่นไพ่ ผู้เขียนเล็งเห็นโทษข้อนี้ของการจัดงานขานนาค ประกอบกับเราเองก็บวชตอนแก่ พระคุณของพ่อแม่ก็ซาบซึ้งเป็นล้นพ้นพอเพียงอยู่แล้วโดยไม่ต้องให้หมอนาคมาขานให้ฟังหรอก จึงขอให้งดการขานนาคเพราะเกรงว่าจะได้บาปมากกว่าบุญในการที่จะมาถือบวชนี้

ในเช้าวันบวชก็มีญาติผู้ใหญ่ที่ได้รับเชิญมาสัก ๑๐ คนเห็นจะได้ ไม่ต้องการให้เชิญคนมาเป็นสักขีพยานทั้งอำเภอเหมือนที่โยมแม่ท่านต้องการ แต่กลับต้องการให้มีกลองยาวตีแห่รอบโบสถ์สักสามรอบเพราะเห็นว่ามันเป็นพิธีที่พอไปวัดไปวาได้ มีติดสนุกไร้มลพิษสักเล็กน้อยน่าจะเป็นการดี แต่โยมแม่ไม่เข้าใจความประสงค์ของพ่อนาค ก็เลยไม่ได้ว่าจ้างวงกลองยาวไว้ล่วงหน้า ก็เลยแห่นาครอบโบสถ์กันแห้งๆ บรรดาผู้แก่เฒ่าท่านคงจะนึกเปรี้ยวปาก ท่านก็โห่ฮิ้วกันขึ้นมาเองอย่างสนุกสนาน แถมมีการตามด้วยการทำเสียงเลียนแบบฆ้องกลองและมีการร่ายรำไปด้วยอย่างสนุกสนาน อ้อ..มีเพื่อนคณาจารย์ที่ทราบข่าวทางอีเมล์มาร่วมงานบวชด้วยหนึ่งคันรถ มีอาจารย์ฝรั่งมาร่วมพนมมือแต้อยู่ด้วยคน น่ารักดี

พิธีกรรมในการบวชก็คงจะเป็นไปตามธรรมเนียม มีการวันทาเสมา(การแสดงความเคารพพระอุโบสถ) การถามอันตรายิกธรรม(การสอบถามว่าเป็นผู้มีคุณสมบัติครบถ้วนหรือไม่) การขอนิสสัย(ขออยู่ในโอวาทของพระอุปัชฌาย์) การบอกบาตรจีวร(พระอุปัชฌาย์มอบบาตรและจีวรซึ่งถือเป็นของสำคัญมาก ให้เป็นปัจจัยในการดำรงชีวิตพระ) บาตรนั้นพระบางรูปท่านให้ฉายาว่า “หม้อทิพย์” เพราะสามารถดลบันดาลอาหารมาให้ประทังชีวิตได้ ส่วนการถามอันตรายิกธรรมนั้นน่าสนใจมากเพราะมีการถามแปลกๆ เช่น “ท่านเป็นนาคหรือเปล่า” ซึ่งต้องตอบว่า “เปล่าครับ” แน่นอนว่า ต้องสปี๊คบาลี โดยตลอด และคำถามอีกสองสามอย่างคล้ายๆกันนี้ เล่ากันว่าสมัยก่อนมีพวกนาคปลอมตัวมาขอบวช จึงให้ถามคำถามนี้กันไว้ก่อน แต่ก็แปลกที่ว่าก่อนบวชพระต้องมีการบวชนาคกันก่อน การบวชนาคนี้คิดว่าน่าจะมีความเป็นมาอะไรสักอย่างหนึ่งเกี่ยวโยงกับการถามอันตรายิกธรรมข้อนี้ด้วย จำได้ว่าเคยอ่านเจอที่ไหนสักแห่งเมื่อนานมาแล้วเกี่ยวกับเรื่องนี้เสียด้วย (แต่ตอนนี้ลืมแล่ว ขี้เกียจไปค้นอีกด้วย)

ก็เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ตั้งแต่โตเข้าโรงเรียนมัธยมมา ที่ได้นุ่งโสร่ง(สบง)และเหนือสิ่งอื่นใดไม่ได้ใส่กางเกงลิงตามวัฒนธรรมฝรั่ง มันให้รู้สึกโล่งอิสระเบาสบายเสียนี่กระไร ทราบจากพระพี่เลี้ยงว่าเวลาจะลุกจะนั่งต้องสำรวมระวัง มิฉะนั้นอาจจะเปิดหวอให้ญาติโยมเห็นได้ (โดยเฉพาะสีกาบางคนก็ชอบแอบดูพระอยู่แล้วด้วย) การนุ่งสบงอย่างถูกต้อง มีการพับนอกพับในก็ช่วยป้องกันได้ระดับหนึ่ง แต่ก็ยังต้องสำรวมระวังอยู่ดี โชคดีที่ผู้เขียนเติบโตขึ้นมาในชนบทที่ได้ทันเห็นพวกผู้หญิงเขานุ่งโสร่งกัน พอจะจำได้ว่าเวลาลุกนั่งพวกผู้หญิงเหล่านั้นเขาต้องเอามือคอยช่วยประคองผ้าไม่ให้ผ้ามันเปิด ก็เลยจำเอามาใช้บ้าง ถึงตอนนี้เลยเป็นการง่าย ไม่ต้องให้ใครสอนก็สามารถลุกนั่ง และนั่งยองๆได้อย่างไม่ต้องกลัวหวอเปิด

พูดถึงการนุ่งกางเกงลิง ผู้เขียนเคยได้อ่านบทความภาษาอังกฤษเมื่อนานมาแล้วว่ามีผลข้างเคียงที่อาจทำให้ผู้ชายบางคนเป็นหมันได้ เนื่องจากลิงมันรัดปิ๊มป่อมเสียแน่น ทำให้อุณหภูมิสูงขึ้นจนอาจถึงระดับที่ทำให้เกิดการผิดพลาดของการผลิตน้ำเชื้อได้ ทำให้เกิดเป็นหมันดังว่า เพราะฉะนั้นผู้หญิงคนไหนอยากได้ลูกเร็วก็ขอให้เลือกแต่งงานกับทิดสึกใหม่เถิด รับรองว่าเปิดปุ๊บติดปั๊บแน่ๆ

แต่อย่าไปยั่วยวนให้พระท่านสึกโดยที่ท่านไม่ได้สึกตามวาระเสียล่ะ มันจะเป็นบาปหนักโข เพราะเท่ากับเป็นการช่วยทำลายบั่นทอนศาสนา


กลับตาลปัตร (๕)

2 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 1 May 2011 เวลา 3:01 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1821

เมื่อบวชเข้าไปเป็นพระแล้ว ได้รับทราบว่าคนที่เข้ามาบวชนั้น มีจุดประสงค์หลากหลาย ถึงกับมีคำกลอนเขียนเสียดสีไว้มากมายหลายรูปแบบ เช่น: บวชตามประเพณี บวชหนีสงสาร บวชผลาญข้าวสุก บวชสนุกตามเพื่อน บวชเลื่อนลอย บวชคอยงาน (บวชหนีสงสารน่าจะดูดีที่สุดนะครับ สงสาร นั้นหมายถึงสังสารวัฎฎ์ นะครับ ไม่ใช่สงสารเพราะอกหักหลักลอย)

ไอ้บวชสนุกตามเพื่อนี่มันมีจริงๆนะครับ โดยมากพอลูกคนรวยบวชมักจะมีลูกคนจนบวชตามมาเป็นเพื่อนด้วย เพื่อมารับใช้ สมัยผมหนุ่มๆก็มีเพื่อนๆพากันบวชตามเพื่อนที่บวชตามประเพณี เพื่อไปเพื่อนเล่นหัวกัน เย็นวันหนึ่งผมไปเยี่ยมปรากฏว่าท่าน (มัน) ตั้งวงถกจีวรเตะตะกร้อกันสบายใจเฉิบ เจอผมก็ตะโกนเรียกมึงกูให้ไปร่วมเดาะกันเหมือนก่อนบวช คิดแล้วก็ทั้งขำทั้งสมเพชเวทนา กลอนเสียดสีบางเวอร์ชันก็ว่า บวชอกหัก หลักลอย คอยงาน ผลาญข้าวสุก สนุกตามเพื่อน

ไอ้ผมก็ชอบเล่นคำกลอนอยู่กะเขาเหมือนกัน เลยลองนึกคำคล้องจองมาอธิบายพระประเภทต่างๆ ดูบ้าง เช่น พระนั่ง พระนอน พระสอน พระสวด พระอวด พระเสก พระเลข พระสร้าง (นั่งในที่นี้คือ นั่งสมาธินะครับ) ส่วนพระนอนนั้นมีมากจริงๆ ฉันเช้า ฉันเพล เสร็จก็หนังตาหย่อนกันเป็นทิวแถว พระเลขนั้นหมายถึงใบ้หวยน่ะครับ พระสร้างนี้ก็สร้างกันจัง (หวังพัดยศเป็นหลัก)

แล้วก็ยังมี วัดสร้าง วัดสอน วัดสวด วัดสงบ (อันนี้ปรับเสริมมาจากคำของท่านพุทธทาสครับ) และสุดท้ายขอแถมคือ พระประเภท “เอาแต่เผาผี ดีแต่ก่อสร้าง อ้างแต่คำสอน นอนกันเงียบฉี่ ดีแต่บอกบุญ” เอ้า..ใครจะหาว่าสาวไส้ให้(สี)กากินก็ไม่ว่ากันเด๊อ บอกแล้วว่าจะว่ากันตามจริงตามที่ได้พบได้เห็น โดยมีเจตนาดีเป็นที่ตั้ง


กลับตาลปัตร (๔)

2 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 1 May 2011 เวลา 2:56 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1220

หัสเดิมเริ่มแรกทีเดียวก็เมื่อประมาณปีพ.ศ. ๒๕๓๕ ขณะที่ผู้เขียนทำงานอยู่ต่างประเทศ ได้เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวพักร้อนเยี่ยมญาติในประเทศไทย และได้มีโอกาสเข้าไปกราบนมัสการท่านพุทธทาสภิกขุ ที่สวนโมกข์ฯ จังหวัดสุราษฎ์ธานี ท่านถามห้วนๆว่า “มาทำไม” ก็ตอบท่านว่า “กระผมมาพักผ่อนครับ” ท่านก็ตอบกลับว่า “การพักผ่อนด้วยธรรมะเป็นการพักผ่อนที่ดีที่สุด” ผู้เขียนได้นำคำพูดของท่านมาวิเคราะห์อยู่นานก็เห็นจริงด้วยอย่างมาก

เราท่านมักนิยมไปพักผ่อนกันตามชายทะเลบ้าง เดินป่าทางท่องเที่ยวบ้าง กินเหล้ากินข้าวฟังเพลงกันตามร้านอาหารหรูบ้าง แต่หากลองวิเคราะห์ดูให้ดีแล้วจะเห็นได้ว่าการทำเช่นนั้นเป็นความเหน็ดเหนื่อยยิ่งเสียกว่าการทำงานที่เราท่านต้องการจะหนีเพื่อไปพักผ่อนแต่ในทีแรกเสียอีก ที่ว่าเหนื่อยนั้นออกจะฟังยากสักหน่อย ถ้าจะเอากันให้จะจะก็ต้องเคาะว่ามันเป็นความเหน็ดเหนื่อยทางวิญญาณ เพราะการไปท่องเที่ยวกินเต้นดื่มนั้นมันเป็นการเพิ่มกิเลสตัณหาทั้งนั้น ทำให้ต้องแบกกิเลสตัณหามากขึ้น วิญญาณจึงต้องแบกของหนักมากขึ้น ก็ต้องเหนื่อยมากขึ้นเป็นของธรรมดา สู้การมาลดกิเลสด้วยการพักผ่อนด้วยธรรมะจะดีกว่า เบาตัวดี!

หลังจากที่เรียนและทำงานอยู่ในสหรัฐอเมริกาเกือบ 18 ปี ผู้เขียนตัดสินใจเดินทางกลับมาทำงานในประเทศไทย พอทำงานไปได้สักสามปี มันช่างเป็นสามปีที่เหน็ดเหนื่อยทั้งทางร่างกายและจิตใจอย่างสุดจะบรรยาย ใครที่ไม่เคยเป็นอาจารย์สอนในมหาวิทยาลัยเปิดใหม่ที่เน้นคุณภาพ แต่มีสัดส่วนอาจารย์ต่อนักศึกษาประมาณ ๑๐๐ ต่อ ๑ (ในยุคแรกราวพศ. 2538 ยังขาดแคลนคณาจารย์มาก แต่ปัจจุบันดีขึ้นมากแล้ว) ก็คงจะไม่ตระหนักว่าความเหน็ดเหนื่อยทำนองนี้มันเป็นอย่างไร การสอนระบบสามภาคการศึกษาทำให้ไม่มีเวลาเหลือสำหรับทำอะไร ไหนจะงานบริหาร และช่วยบริหาร ไหนจะงานจรจิปาถะเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานของมหาวิทยาลัยใหม่ ไหนจะงานวิจัยที่จะต้องเร่งลุยให้เติบโตอย่างรวดเร็ว เก้าลอเก้าจนขี้เกียจท้าวความ ตลอดสามปีไม่เคยได้มีเวลาขอลาหยุดพักร้อนแม้แต่วันเดียว ไปทำงานตลอดอาทิตย์ละเจ็ดวันไม่เคยบิดพริ้ว เมื่อคิดได้ดังนั้นจึงตัดสินใจขอลาบวชเพื่อพักผ่อนสักสามเดือน ต้องขอฝากขอบพระคุณท่านเจ้านายทุกระดับชั้นที่ได้เมตตาอนุญาตให้ลาได้

ส่วนเหตุผลรองๆลงไปที่ลาบวชสามเดือนก็มีอยู่ เช่นการยึดถือประเพณีที่ว่าบวชทดแทนพระคุณพ่อแม่นั้นก็คิดอยู่ ผู้เขียนเห็นว่าเป็นความเชื่อด้านประเพณีที่ดีมาก ใคร่จะหาว่าคร่ำครึก็ตาม เดี๋ยวนี้แค่ทดแทนพระคุณพ่อแม่ด้วยการสูบบุหรี่แทนการสูบยาบ้า พ่อแม่ก็ดูจะเป็นปลื้มเอามากๆเสียแล้ว อย่างน้อยที่สุดประเพณีอย่างนี้ก็เป็นอุบายที่ดีที่จะทำให้มีคนเข้ามาบวชมาก

สามเดือนที่บวชนั้นหากปฏิบัติอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยก็พอจะได้ของดีติดตัวไปอยู่ ทำให้สังคมมีแต่คนดีที่”ได้บวชได้เรียน”มาแล้ว มีแต่ “พี่ทิด” กันเต็มบ้านเต็มเมือง (คำว่า “ทิด” สงสัยจะมาจากคำว่า “บัณฑิต” ซึ่งแปลว่า ผู้มีปัญญา นั่นเอง) และอย่างกลางๆก็ทำให้พ่อแม่ได้มีจิตใจอิ่มเอิบในบุญ ก็เป็นสิ่งที่ดีมากในตัวของมันเองอยู่แล้ว หากชาติหน้ามีจริงดังว่า พ่อแม่ก็จะพลอยได้อานิสงส์เป็นอเนกอนันต์ไปด้วยตามคติความเชื่อ

ต้องยอมรับว่ามูลเหตุอีกอันหนึ่งที่อยากบวชคือ”นึกสนุก”อยากลองบวชดู อยากเข้าไปสัมผัสกับชีวิตความเป็นอยู่แบบพระพระด้วยตนเองดูสักที โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้ตระหนักว่า พระไทยเป็นวิถีชีวิตที่เก่าแก่ที่สุดในโลกก็ยิ่งทำให้ดูน่าเข้าไปสัมผัสมากยิ่งขึ้น และก็ไม่ผิดหวังครับ ได้ลิ้มลองชีวิตชาวพระมาในหลากหลายรูปแบบ เช่น ได้สัมผัสชีวิตอย่างพระบ้าน อย่างพระป่าในรูปแบบ อย่างพระป่านอกรูปแบบ และอย่างพระธุดงค์ ในตอนแรกที่บวชไม่เคยได้มีความคิดมาก่อนว่าจะนำเรื่องราวมาเขียนหนังสือ มันเกิดขึ้นมาเองในภายหลังที่บวชแล้ว

ก็ต้องขอปวารณาตนเองไว้ตรงนี้เสียเลยว่า จะนำเสนอข้อมูลและแนวคิดอย่างเป็นกลางที่สุด อะไรดีก็ว่าดี เลวก็ว่าเลวว่างั้นเถอะ คิดถูกคิดผิดเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องมาวิพากษ์วิจารณ์กันในภายหลัง แต่โดยหลักใหญ่ใจความแล้วไม่ว่าจะวิพากษ์ถูกหรือผิดก็โดยความตั้งใจดีเป็นหลัก เพื่อต้องการให้คนไทยได้เข้าใจศาสนาและเข้าใจพระได้ดีขึ้น ไม่ใช่ว่าจะเอาแต่ด่า หรือเอาแต่ชมงมงายถ่ายเดียว


กลับตาลปัตร (๓)

1 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 1 May 2011 เวลา 2:47 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1145

ขานนาค

เป็นที่ทราบกันดีว่าในช่วงประมาณ ๖๐ ปีที่ผ่านมานี้สังคมไทยได้รับเอาอารยธรรมตะวันตกเข้ามาถือปฏิบัติเป็นจำนวนมาก ทั้งโดยความสมัครใจและที่ถูกบังคับ ทั้งโดยตรงและโดยปริยาย ที่สำคัญและเป็นรากเหง้าจริงๆน่าจะเป็นระบอบประชาธิปไตยที่นัยว่าเป็นระบอบที่ให้เสรีภาพมากกว่าระบอบดั้งเดิมของเรา

แต่ก็เป็นที่น่าสังเกตว่าในหลายๆประเด็นเรากลับมีเสรีภาพน้อยลง เช่นเมื่อก่อนชายไทยเคยถอดเสื้อ ถอดรองเท้า เดินเหิรเข้านอกออกในได้อย่างเสรี แต่ปัจจุบันนี้กลับเป็นตรงกันข้าม สถานที่เป็นจำนวนมากห้ามเข้าซึ่งคนเท้าเปล่าและคนไม่สวมเสื้อ และเราต้องถูกบังคับโดยปริยายให้ใส่เสื้อผ้าหนาเตอะ เอาผ้าราคาแพงที่ไร้ประโยชน์มาผูกคอไว้ ซึ่งทำให้อากาศที่ร้อนจนไตร้าวอยู่แล้วต้องร้อนยิ่งขึ้นเป็นทวีคูณ จึงต้องหาเครื่องทำความเย็นมาทำให้เย็นขึ้น (ซึ่งทำให้บรรยากาศโลกโดยรวมร้อนขึ้นกว่าปกติตามกฎข้อที่สองของเทอร์โมไดนามิกส์) เราต้องถูกบังคับโดยปริยายให้ใส่กางเกงลิงแบบฝรั่ง (ผลพวงของการใส่กางเกงและกระโปรงแบบฝรั่ง) ต้องใส่เสื้อยกทรง ต้องใส่รองเท้า ถุงเท้าอันอบอ้าว ต้องทายากลบกลิ่นขี้เต่า ต้อง ฯลฯ

ในท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมการดำรงชีวิตตามกระแสโลภาภิวัฒ์ที่นำกระบวนโดยสังคมคนรวยของโลก ยังมีกลุ่มบุคคลไทยกลุ่มหนึ่งที่ยังยืนหยัดยึดมั่นอยู่กับวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมที่ได้ถือปฏิบัติกันมาแล้วเป็นเวลากว่า ๒๕๐๐ ปี อย่างเหนียวแน่น กลุ่มบุคคลนั้นคือกลุ่มบุคคลที่เราเรียกกันว่า “พระ”

เมื่อพูดถึงพระ เราทุกคนก็จะนึกเห็นภาพคนหัวโล้นห่มผ้าเหลืองอุ้มบาตรถือตาลปัตร เป็นต้น (และก้อ อะแฮ่ม…สีกา) น้อยคนที่จะคิดไปได้ไกลถึงว่า วัฒนธรรมของพระไทยเรานั้น(ที่เราเรียกกันว่าพระนิกาย”เถรวาท”)เป็นวัฒนธรรมที่ได้ถือปฏิบัติกันอย่างต่อเนื่องไม่ขาดตอนที่เก่าแก่ที่สุดในโลก วัฒนธรรมของพระเถรวาทของไทยเรา จึงถือได้ว่าเป็นประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ถ้าจะดัดจริตฝรั่งจ๋ากันก็ต้องว่าเป็น Living history ยังไงยังงั้น องค์การสหประชาชาติน่าจะขึ้นทะเบียนเป็น มรดกโลก World’s Heritage ด้วยซ้ำไป :-) เพราะพระไทยนั้นเป็นทั้งวัตถุโบราณและวัฒนธรรมโบราณที่หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว จึงน่าจะนับได้ว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์อย่างหนึ่งของโลก

เป็นเรื่องน่าขันว่าขณะนี้เรากำลังบ้าอนุรักษ์(ตามคตินิยมของฝรั่ง) เช่น อนุรักษ์ธรรมชาติ อนุรักษ์สิ่งแวดล้อม อนุรักษ์วัฒนธรรม อนุรักษ์วัดและโบราณสถาน(เปลือกนอกของวัฒนธรรม) แต่ไม่เห็นมีใครพูดถึงการอนุรักษ์พระและวัฒนธรรมของพระกันบ้างเลย ทั้งที่สิ่งนี้จะว่าไปแล้วก็ต้องนับว่าเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นที่สุดและมีค่าสูงสุดของประเทศไทย (และของโลกก็ว่าได้)
ตรงกันข้าม..เราทั้งหลายกำลังช่วยกันทำลายพระอย่างเมามัน เริ่มตั้งแต่พ่อแม่ที่ไม่นิยมให้ลูกหลานบวชเรียนเพื่อสืบพระศาสนาอย่างในสมัยก่อน สมัยก่อนลูกคนรวย คนเป็นเจ้าพระยานาหมื่น แม้แต่เชื้อพระวงศ์ชั้นสูง จะออกบวชเรียนแบบไม่ยอมสึกเป็นจำนวนมาก ซึ่งการทำเช่นนี้เป็นการอนุรักษ์พระอย่างดีที่สุด

ปัจจุบันนี้คนฉลาดและคนรวยมักหันหลังให้วัด ด้วยเห็นว่าเป็นของคร่ำครึ ไม่ทันสมัย จึงหันไปเป็นหมอ เป็นวิศวกร นักวิทยาศาสตร์ และนักเก็งกำไรตลาดหุ้นกันหมด ปล่อยให้พวกคนโง่ๆ และหรือ คนจนๆ ทำหน้าที่อนุรักษ์พระ (เพื่อให้พวกคนรวยๆ ฉลาดๆ ไว้กราบไหว้ :-)) ส่วนคนจนนั้นเล่า ก็ใช่ว่าจะอยากเป็นพระกันสักเท่าใดดอก เพราะต่างก็ไม่อาจจะต้านทานกระแสโลภาภิวัฒน์ได้ยิ่งกว่าคนรวยเสียอีก การที่ออกบวชนั้นส่วนใหญ่เท่าที่ได้สัมผัสมากล้าพูดว่า ๙๙% บวชด้วยความโลภเป็นที่ตั้ง (อาจเป็นความโลภส่วนตน หรือ ความโลภของพ่อแม่ผู้ปกครองก็สุดแล้วแต่) เพราะการบวชนั้นเป็นบันไดไปสู่ลาภสักการะนานับประการ

คนที่เข้ามาบวชเป็นพระเพื่อ “สืบพระศาสนา” ในปัจจุบันนี้ ๙๙ เปอร์เซ็นจึงเป็นคนจนที่หมดหดทางไป จึงไม่เป็นการแปลกอันใดเลยที่”ศาสนา” ในวันนี้จะเสื่อมอย่างที่เราท่านก็เห็นๆกันอยู่ เรามักพูดกันว่าศาสนาเสื่อม แต่จริงๆแล้วศาสนา (ซึ่งน่าจะหมายถึงพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า) ไม่มีวันเสื่อม คุณภาพของบุคคลที่ทำหน้าที่สืบศาสนาต่างหากที่เสื่อม ก็จะไม่ให้เสื่อมได้อย่างไรถ้าบุคลากรปฏิบัติงานมีแต่คนจนที่ด้อยการศึกษาเสียตั้ง ๙๙ เปอร์เซ็นต์เช่นนี้

ไม่เชื่อก็ลองเอาคนพวกนี้ไปเป็นกรรมการบริหารบริษัทมหาชนใดก็ได้ดูสิ โดยให้มีสัดส่วนสัก ๙๙% บริษัทใดทำเช่นนี้ก็คงจะถึงแก่กาลกิริยาเจ๊งบ๊งอย่างแน่นอน ศาสนาเสียอีกที่ยังพอประคองตัวอยู่ได้แม้จะมีบุคลากรที่ด้อยคุณภาพอย่างมากเช่นนี้ ดังนั้น แทนที่จะรุมจิกด่าพระว่าไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ เราน่าจะชมพระที่ยังประคอง(บริษัท)พุทธศาสนา(มหาชน) อันเก่าแก่ที่สุดในโลกนี้ไว้ให้เราได้ภาคภูมิใจกันได้จนทุกวันนี้ ยังไงๆท่านก็ยังสามารถรักษาเหง้าเถาตอของศาสนาให้พอมีชีวิตอยู่ได้ ท่ามกลางคู่แข่งขันต่างๆ(ศาสนาต่างๆ)ที่มีทั้งกำลังคนและกำลังทรัพย์ สักวันหนึ่งหากได้แดดได้ฝนดีๆมีการบำรุงดินให้ปุ๋ยดีๆ ก็อาจจะผลิดอกออกผลเบ่งบานและให้ร่มเงาแก่สังคมได้อย่างทรงประสิทธิภาพอีกครั้งก็เป็นได้ หรืออาจเป็นที่พักพิงแก่สังคมโลกยามล่มสลายด้วยน้ำหนักแห่งความโลภสะสมที่ได้กระทำมาแต่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมก็เป็นได้

สิ่งสำคัญที่ทำให้ศาสนาทรงอยู่ได้จนวันนี้ก็คือพระนั่นเอง แต่เป็นพระส่วนน้อยมากจำนวน ๑% ที่เหลือ ถึงแม้ว่าพระเหล่านี้จะจับพลัดจับผลูบวชเข้ามาแบบไม่ได้ตั้งใจบวชเพื่อสืบศาสนาอย่างแท้จริง แต่บางท่านคงจะได้สั่งสมบุญบารมีไว้บ้างแต่ปางก่อน จึงทำให้ท่านได้ซาบซึ้งในรสพระธรรม ทำการศึกษาพระธรรมอย่างจริงจังจนแตกฉานทั้งทางด้านปริยัติ(ทฤษฎี)และทางด้านปฏิบัติ พระจำนวนน้อยเหล่านี้แหละที่ทรงศาสนาไว้ได้ นี่ขนาดพระดีจำนวนน้อยมากยังทำได้เช่นนี้ ถ้าหากว่าพระทั้งประเทศจำนวนกว่าสามแสนรูปเป็นพระดีทั้งหมด ศาสนาจะรุ่งเรืองมากขนาดไหนหนอ

การที่ผู้เขียนคิดอยากอุปสมบทก็มีมูลเหตุหลายประการด้วยกัน แต่ที่สำคัญที่สุดน่าจะเป็นความต้องการที่จะพักผ่อน ท่านผู้อ่านคงคิดว่าผู้เขียนมีจิตวิปลาสไปแล้วที่คิดว่าการบวชพระเป็นการพักผ่อน จึงต้องขอท้าวความกันเสียหน่อย

(โปรดอ่านต่อตอนต่อไป)


กลับตาลปัตร (๒)

2 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 1 May 2011 เวลา 2:43 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1122

คำอุทิศ (แบบกลับตาลปัตร)

หากหนังสือเล่มนี้จะมีข้อผิดพลาด บกพร่อง ใดๆ ข้าพเจ้าขอน้อมอุทิศความผิดพลาดเหล่านั้น ให้แก่ท่านอุปัชฌาย์บุรพาจารย์ทั้งหลาย ที่สอนสั่งข้าพเจ้ามายังไม่ดีพอ ทำให้ข้าพเจ้าต้องมาทำผิดพลาดให้เป็นที่อับอายขายหน้าปวงประชาในหนังสือเล่มนี้ (คิดว่าท่านอุปัชฌาย์และบุรพาจารย์ท่านเป็นผู้เปี่ยมด้วยเมตตาจิตและต้องการปกป้องศิษย์เสมอ ท่านน่าจะเต็มใจรับผิดแทนลูกศิษย์นะครับ ได้บุญแรงดีด้วยครับ ) แต่หากหนังสือเล่มนี้จะมีความดีอยู่บ้าง แม้เพียงน้อยนิด ข้าพเจ้าขอน้อมรับด้วยความยินดี (ท้ายที่สุดข้าพเจ้าก็ต้องอุทิศความดีงามทั้งหมดให้แก่อุปัชฌาย์บุรพาจารย์ทั้งหลายอยู่ดี ตามทำเนียมของชาววัด ที่ต้องอุทิศส่วนกุศลให้คนอื่นหมด ภายหลังการทำวัตร)


กลับตาลปัตร (๑)

2 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 1 May 2011 เวลา 2:40 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1440

กลับตาลปัตร

เรื่องตลก ปนเศร้า เคล้าธรรมะ
ที่พบปะ คราวบวช นอกพรรษา
นำมาเว้า เม้าท์ให้ฟัง ด้วยหวังว่า
จะช่วยเสริม ชีวา ให้หายเพลีย

กว่าหนึ่งร้อย หน้าหนา มากสาระ
สมควรจะ สละทุน อุดหนุนเสีย
ดีกว่าไป กินดื่มเต้น เห็นแล้วเพลีย
ซื้อหลวงเฮีย’s bookได้บุญ เกื้อหนุนเอยฯ

กลับตาลปัตร

โลกวันนี้ (พศ. ๒๕๔๒) กำลังถูกขับเคลื่อนด้วยพลังแห่งความโลภสากล ที่ใคร่ขอขนานนามว่าเป็นระบบ โล”ภา”ภิวัฒน์ ทั้งนี้เพราะมีความโลภของคนและบริษัทยักษ์ใหญ่ของโลกเป็นพลังในการขับเคลื่อนระบบทั้งโดยตรงและโดยอ้อม เพื่อให้คนทั้งหลายหลงใหลได้ปลื้มไปกับความเจริญ ความร่ำรวย อยู่ดีกินดี จนเกินพอดี

คำสำคัญคือ “เกินพอดี” จึงเท่ากับว่าเราโกงเอาส่วนเกินจากธรรมชาติแวดล้อมมาเป็นของส่วนตัวของเรา แม้จะคิดทึกทักเข้าข้างตัวเองว่าทำมาหากินโดยสุจริตก็ตามเถิด ก็ความโลภมันย่อมทำให้เราคิดและทำเข้าข้างตัวเองได้เสมอ ไม่มีสัตว์สกุลใดในโลกที่รู้จักสะสมส่วนเกิน นอกจากสัตว์ประเสริฐสกุลมนุษย์ของเรานี้ และน้ำหนักของส่วนเกินมวลรวมที่มนุษย์ร่วมกันสะสมไว้นี้ เชื่อว่าสักวันหนึ่งมันจะมากจนโครงสร้างของสังคมโลกแบกรับไม่ไหว จะพังถล่มล้มทับเราตายกันหมดแน่นอน

ไม่น่าเชื่อว่าคนคนหนึ่งจะเก่งกาจ ฉลาด ถึงขนาดสะสมความร่ำรวยได้มากเท่าคนทั้งประเทศขนาดกลางหนึ่งประเทศ เราต่างพากันสรรเสริญความเก่งของคนๆนั้น และหาทางจะทำให้ประเทศของเราแข่งขันได้ในเวทีโลกแบบนั้นบ้าง โดยหาได้ศึกษาให้ถ่องแท้แบบครบวงจรไม่ว่าเส้นชัยของการแข่งขันก็คือเส้นตายของมนุษยโลกนั่นเอง

การจะต่อสู้กับกระแสแห่งความโลภสากลได้นั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องคิดแบบกลับตาลปัตร ต้องสวนกระแส ต้องย้อนศร ต้องถอยหลังเข้าคลอง จึงจะสามารถต้านกระแสโลภาภิวัฒน์ให้อ่อนกำลังลงได้ ทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มต้นอยู่ที่การกล้าคิดก่อนเสมอ ที่กระแสโลภาภิวัฒน์เกิดขึ้นและเจริญมาได้ก็เพราะการกล้าคิดของนักแสวงหาไม่กี่คนที่เป็นต้นเชื้อที่แพร่ระบาดออกไป การที่มันจะดับลงได้ก็ต้องเกิดกระบวนการต้านกลับในลักษณะเดียวกัน

บทความและบทกลอนสัพเพเหระที่ที่จะนำเสนอต่อไปนี้ ส่วนหนึ่งผู้เขียนได้เขียนไว้ตั้งแต่คราวออกบวช ๓ เดือน เมื่อปีพศ. ๒๕๔๒ ผนวกกับบทความอื่นๆที่เกียวข้องที่เขียนภายหลังและก่อนหน้านั้น จุดประสงค์ดั้งเดิมก็เพื่อบันทึกเหตุการณ์ด้านสังคมศาสนาในยุคนี้ของประเทศไทยไว้ให้คนรุ่นหลังได้ศึกษา ในแนวแบบเรื่องเล่า แต่ตอนหลังได้ขยายวัตถุประสงค์ออกไปเพื่อแลกเปลี่ยนแนวคิดแบบกลับตาลปัตรกับท่านผู้อ่าน เพื่อกระตุ้นให้ฉุกคิด วิจารณ์ระบบโลภาภิวัฒน์ของโลก ซึ่งผู้เขียนก็เป็นอีกคนหนึ่งที่เห็นว่ามันกำลังนำพาโลกไปสู่ความฉิบหาย บางครั้งผู้เขียนเกิดอารมณ์ก็จะสอดแทรกความคึกคะนองด้านภาษาเข้ามาบ้าง หากเกิดความหรรษาบ้างก็ถือว่าเป็นของกำนัลที่ให้แก่กัน แต่หากได้ความเครียดผู้เขียนก็กราบขออภัยไว้ ณ ที่นี้

เพื่อป้องกันอุบัติเหตุ โปรดคาดเข็มขัดรัดใจก่อนอ่าน และขออวยพรให้ท่านผู้อ่านจงอ่านบทความทั้งหลายจบทุกบท โดยสวัสดิภาพเทอญ

เป็นไก่ยืนอันดับโหล่ ดีกว่าเป็นไก่ย่างชนะเลิศ


เขื่อนกักความคิด

3 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 1 May 2011 เวลา 12:42 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1245

คนไทยเรานี้แปลก ประเทศทั้งประเทศแสนสกปรก ขยะมูลฝอยเต็มบ้านเมือง คลองก็เน่า ถนนก็สกปรก สายไฟฟ้ารุงรัง สถาปัตยกรรมริมถนนดูไม่ได้ ระเกะระกะไปหมด

แต่พอมาถึงเรื่องมลภาวะจากโรงไฟฟ้า ไทยเราต้องสะอาดที่สุดในโลก นิวเคลียร์ก็ไม่เอา ถ่านหินก็ไม่เอา เขื่อนก็ไม่เอา แต่ว่าใช้ไฟฟ้ากันเป็นว่าเล่น คือจะเอาแต่สบายแต่ไม่ยอมลำบาก นี่คือไทยแท้จริง

ในขณะที่อเมริกาเขาเลิกใช้แก๊สธรรมชาติแล้ว หันมาใช้ถ่านหินเป็นหลักในการผลิตไฟฟ้า ทั้งที่แก๊สสะอาดกว่าถ่านหินมาก แต่เขาถนอมแก๊สเอาไว้ให้ลูกหลานได้ใช้ในครัวเรือน เช่น หุงต้ม และการทำความอบอุ่นในหน้าหนาว (ประวิงเวลาไว้จนกว่าจะค้นพบเทคโนโลยีใหม่)

แต่ของเรารวยจัด ใช้แก๊สธรรมชาติเป็นหลักในการผลิตไฟฟ้า เท่ากับว่าเราทำตัวเป็นรวยกว่าเมกันเสียอีก เพราะการใช้แก๊สนั้นมันสะอาดกว่าก็จริงแต่มันแพง และมันตัดตอนอนาคตลูกหลานของเราที่จะไม่มีแก๊สใช้หุงต้มในครัวเรือน (ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ)

ผมเห็นว่าเขื่อนน่ะเลวน้อยที่สุดแล้วเมื่อเทียบกับทางเลือกอื่น เพราะมีข้อดีมาก มีข้อเสียน้อย แต่จะสร้างเขื่อนทีไรก็มีคนออกมาเดินขบวนต่อต้านจนพับฐานไปทุกที (ทั้งที่พวกนี้ก็ใช้ไฟฟ้ากันทุกคน…เช่นดูละครน้ำเน่า เข้าเน็ต รีดผ้า ไฟนีออน ตู้เย็น พัดลม แอร์ ปิ้งหนมปัง)

สัตว์บางชนิดเช่น ตัวบีเวอร์ (beaver) ก็สร้างเขื่อนเพื่อกักน้ำ ทำไมไม่ไปเดินขบวนต่อต้านสัตว์พวกนี้กันบ้างเล่าครับ

ผมเห็นว่าในประเทศไทยเรายังมีพื้นที่ดีๆ ที่จะสร้างเขื่อนได้อีกหลายแห่ง เช่น หุบเขาจากแม่สะเรียงลงมาถึง โอบหลวง (อ. ฮอด) เพราะเป็นเขาสูงกั้นทั้งสองด้าน มีแม่น้ำสายใหญ่ไหลผ่าน (แม่น้ำแม่แจ่ม) การสร้างจะเสียพื้นที่น้อยมาก แถมได้ความสูงน้ำมาก (ได้ไฟแรง)

แถวอุตรดิถก็ดี ทางใต้ก็มีทำเลแบบนี้หลายแห่ง แต่ตอนนี้กฟผ.ไทยเราถอดใจหมดแล้ว ไม่มีใครกล้าคิดเรื่องสร้างเขื่อนเลย หันมาใช้แก๊สธรรมชาติกันหมด ก็มันง่ายดี คนด่าน้อย

ผมเอาไปวิจารณ์จนผู้บริหารเขาเห็นด้วย เป็นผลให้วางแผนจะสร้างโรงงานถ่านหินมากหลายใน 15 ปีนี้


ไก่จิกเด็กตายบนปากโอ่ง

3 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 1 May 2011 เวลา 12:03 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2329

การสอนให้ท่องจำอักษรสูง-กลาง-ต่ำของไทยเรา ผมว่ามันค่อนข้างไม่สร้างสรรค์ เช่น อักษรกลาง สอนให้ท่องจำกันแต่เพียงว่า…

ไก่จิกเด็กตายบนปากโอ่ง

ซึ่งไร้ความหมาย ว่าไปแล้วก็มีความหมายอยู่ แต่กลายเป็นความหมายที่ไม่ดีนัก .. ที่ออกไปทางรุนแรงเสียอีก ไม่ได้ช่วยเสริมสร้างจินตนาการเชิงสร้างสรรค์อะไรให้แก่เด็กๆของเราเลย (ไก่บ้าอะไรจะจิกเด็กตายได้ แถมตายบนปากโอ่งเสียอีก อะไรมันจะคิดและยอมรับอย่างกว้างขวางกันได้ถึงปานนั้น …เฮ้อ สังคมไทยของเรา)

ผมลองคิดดูเมื่อประมาณ 10 กว่าปีมาแล้ว ได้วลีเพื่อการจดจำใหม่ดังนี้ครับ

กรรมจะดีต้องไปเอาบุญ

(หมายเหตุ…คนอีสานโบราณ ใช้คำว่า เอาบุญ แทนคำว่า ทำบุญ)

ซึ่งครบทุกตัวอักษร และยังได้คติสอนใจอีกด้วย การสอนเด็กของเรา ต้องเอาทุกทาง รวมทั้งการสอดแทรก “บุญ” หรือ การทำดี โดยอ้อมเช่นนี้

ส่วนอักษรต่ำนั้น ของเก่าคือ…งูใหญ่นอนอยู่ริมวัดโมฬีโลกย์ (หรืออะไรทำนองนี้ ตอนผมเด็กๆ ไม่เคยได้ยิน แสดงว่าคงเป็นวลีที่เกิดขึ้นใหม่) ซึ่งอักษรก็ไม่ครบอีกต่างหาก ผมจึงมาเสริมให้ครบถ้วนสมบูรณ์มากขึ้นดังนี้….

….คนไทยวันนี้ ชอบฮัมร้องเล่นเพลงธรรมะ..ซึ่งแม้พระยังงง

สำหรับอักษรสูง ยังไม่เคยได้ยินวลีจำที่สอนกัน นอกจาก “สาวสวยใส่เสื้อสีแสด” ซึ่งมันเป็นตัว ส ทั้งนั้น จึงขอเสนอดังนี้ครับ….

…ฉันเฝ้าถนอมสังขารผุๆ สุดแสนเหม็น ให้หอมเสมอ

ความจริง รมว. กท.ศึกษาน่าจะจัดประกวดคำกลอนสอนจำเรื่องพยัญชนะทั้งสามระดับ …ดีกว่าจ้างประกวดชื่อหมีแพน”บ้า”

สำหรับอักษร ก ถึง ฮ นั้นท่องกันยากมาก เพราะมีสร้อยยาวเกินไปหลังแต่ละอักษร แล้วยังมีหลายรูปแบบอีกด้วย ผมเลยตัดให้สั้น แล้วแต่งให้จำง่าย เป็นกลอน และใส่ทำนองเป็นเพลงด้วย ลองเอาไปสอนลูกตัวเองดูเมื่อ 10 ปีก่อน ร้องให้ลูกฟังสองสามครั้งเท่านั้น เขาจำได้หมดเลย ดังนี้

ไก่ไข่ขวดควายฅนฆัง งูจานฉิ่งช้างโซ่
ฌอกระเชอ หญิงชฎา ปฏักฐอฐานมณโฑผู้เฒ่า

เณรเด็กเต่าถุงทหาร ธงหนูใบไม้ปลา
ผึ้งฝอฝา พานฟอฟันสำเภา

ม้ายักษ์เรือลิงวอแหวน ศาลาฤาษีเสือ
หอหีบ จุฬาอออ่าง นกฮูกตาโต

ว้า…มันอ่านดูไม่ดีเลย แต่ถ้าได้ฟังทำนองที่อัดเข้าไป จะฟังได้ดีพอควร (สุดแล้วแต่รดสะนิยม)

ที่สำคัญคือเด็กจำได้หมด อย่างรวดเร็ว แม้แต่ผมเองทุกวันนี้ ก็ใช้ประโยชน์บ่อยมาก เช่น ในการเปิดพจนานุกรม จำไม่ได้ว่าอักษรอะไรมาก่อนหลังอะไร ดังนั้น ผมก็จะร้องเพลงนี้ ใช้เวลาเพียงประมาณ 20 วิ ก็ได้ลำดับที่ต้องการแล้ว แต่ถ้าไปท่อง กอเอ๋ยกอไก่ …..ฮอนกฮูกตาโต๊ ก็จำได้ไม่หวาดไม่ไหว


Changing Obama

2 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 1 May 2011 เวลา 5:30 am ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1189

กระแส “change” ของประธานาธิบดีโอบามาแห่ง usa กำลังก้องระบาดไปทั่วโลก แต่ผมค่อนข้างระแวงว่านี่จะเป็นเพียง วาทะกรรมอันว่างเปล่าทางการเมือง เท่านั้น (empty political rhetoric) มันฟังดูดี ดูขลัง แต่ผมสังสัยว่านายโอบามาจะเปลี่ยนอะไรได้ในระบอบ “ประชาธิปไตย” ที่อยู่ใต้อำนาจเงินเช่นนี้ และเมื่อเปลี่ยนแล้วโลกนี้(ไม่ใช่เฉพาะอเมริกา) จะดีขึ้นอย่างไร (ขึ้นอยู่กับว่า นายโอบามานิยามความดีว่าคืออะไร)

ประการแรกทีเดียว ผมถามว่านายโอบามาจะ “เปลี่ยน” การเมืองอเมริกันได้ไหม ที่ต้องใช้เงินมหาศาลในการก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งประธานาธิบดี เพราะระบบเงินนำหน้านี้ทำให้นักการเมืองเป็นหนี้บุญคุณนักธุรกิจที่บริจาคเงินมหาศาลในการรณรงค์หาเสียงของนักการเมือง ซึ่งนายโอบามาก็รู้ดีว่าที่ก้าวเข้ามาสู่ตำแหน่งนี้ได้เขาเองก็ต้องใช้เงินหลายร้อยล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนนางคลินตันต้องยอมแพ้ เพราะหาเงินสู้นายโอบามาไม่ได้ และย้งต้องเป็นหนี้มหาศาลอีกด้วยจากการลงทุนหาเสียงเลือกตั้ง

ผลพวงของการเมืองรูปแบบนี้ทำให้ปธด. Usa ต้องทำตามคำเรียกร้องของนักธุรกิจ โดยเฉพาะในด้านที่เกี่ยวข้องกับการค้าต่างประเทศ ทำให้อเมริกาต้องเอาเปรียบชาติอื่นเสมอๆ

เปลี่ยนที่สอง: ความ “อยู่ดีกินดี” จนเกินพอดีของชาวสหรัฐอเมริกา กำลังช่วยทำลายโลกใบนี้อย่างบ้าคลั่ง นายโอบามากล้า”เปลี่ยน” ไหม โดยประกาศว่าภายใต้การนำของเขา 4 ปี เขาจะช่วยโลกด้วยการเปลี่ยนปรับรายได้คนอเมริกันให้รวยน้อยลง สัก 2 เท่าก็พอ พร้อมเป็นผู้นำชวนยุโรป ญี่ปุ่น ให้เข้าร่วมสนธิสัญญา “รวยน้อยลง” ให้หมด

เปลี่ยนที่สาม: เลิกทำตัวเป็นผู้นำโลกเสียทีได้ไหม คบกับประเทศต่างๆ ฉันท์มิตรที่เท่าเทียมกัน เลิกใช้ “ผลประโยชน์อเมริกัน” เป็นเงื่อนไขอันดับแรกในการร่วมกิจกรรมกับต่างประเทศได้ไหม


แก้เศรษฐกิจในความคิดของผม (๒)

3 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 1 May 2011 เวลา 5:26 am ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1673

การแก้ปัญหาเศรษฐกิจด้วยการขึ้นค่าแรง (ตอนที่2)

เขียนเมื่อวันที่ … พศ. ๒๕๕๓

ฟังดูเหมือนกับว่าเป็นเรื่องเพี้ยน แต่ผมเชื่อว่าการขึ้นค่าแรงจะช่วยแก้ปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำของประเทศไทยได้ เนื่องเพราะระดับค่าจ้างแรงงานของไทยเรายังต่ำกว่าจุดดีที่สุดอยู่ถึงประมาณ 3 เท่า ซึ่งเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้ประเทศไม่เจริญทางเศรษฐกิจมานานแล้ว อย่างไรก็ดีเนื่องจากมีหลายปัจจัยที่ซับซ้อนจึงต้องกระทำแบบแยบยลสักหน่อย

ก่อนอื่นผมขอทำความเข้าใจก่อนว่าค่าแรงและราคาสินค้านั้นมันมีจุดดีที่สุดเสมอ ถ้าถูกหรือแพงเกินไปกิจการค้า การผลิต จะไม่ดี เช่น ถ้าสินค้าราคาหนึ่งและค่าแรงถูกที่สุด (คือเป็นศูนย์ไปเลย) พ่อค้าอาจชอบใจ แต่ถามว่าแล้วใครเขาจะเอาเงินที่ไหนมาซื้อสินค้าคุณ เพราะลูกค้าของคุณก็คือลูกจ้างของบริษัทอื่นนั่นเอง (รวมทั้งบริษัทคุณเองด้วย) ดังนั้นค่าแรงที่ถูกเกินไปไม่ได้เป็นผลดีต่อนายทุนเลย เป็นผลร้ายเสียอีกด้วย

ที่ว่ามานั้นเป็นกรณีปกติทั่วไปในสากลโลก แต่ประเทศไทยไม่ใช่กรณีปกติ เนื่องเพราะรายได้ประชาชาติเรา (GDP) 70% เป็นของนักลงทุนต่างชาติ และอีก 70% ของ 30% ที่เหลือ (คือ 20%) เป็นของคนไทย 15 ตระกูล ที่ส่วนใหญ่ก็หากินอยู่กับนักลงทุนต่างชาตินั่นแหละ ที่เหลือ 10% เป็นของคนไทยทั้งประเทศที่ได้มาจากการเป็นลูกจ้างในโรงงานอุตสาหกรรมและผลผลิตการเกษตร โดยน่าจะพอคาดเดาได้ว่า 5% มาจากการขายแรงงาน อีก 5% มาจากสินค้าเกษตร

ในประเทศที่พัฒนาแล้ว ค่าจ้างแรงงานจะมีมูลค่าประมาณ 30% ของ GDP ถ้าตัวเลขที่ผมประมาณการมานี้ไม่ผิดมากนักแสดงว่าของเราต่ำกว่าเขาถึง 6 เท่า (นี่ว่าในสัดส่วนร้อยละแต่ถ้าเทียบแบบเงินค่าแรงสุทธิต่อหัวของเราจะต่ำกว่าสหรัฐถึงประมาณ 15 เท่า) ดังนั้นการขึ้นค่าแรงงานสัก 3 เท่าจะกลายเป็นรายได้ประมาณ 13.6% ของ GDP เท่านั้นเอง ที่จริงควรขึ้น 6 เท่าเพื่อให้ได้ 30% จะดีที่สุด แต่ผมเชื่อว่า 3 เท่าเหมาะแล้วเพราะ GDP ของเรามันเพี้ยนมากเกินไปเนื่องจากเป็นของคนต่างชาติมากถึง 70% ถือเป็นกรณีอปกติที่นักเศรษฐศาสตร์ทั่วโลกเองก็คงไม่เคยพบปัญหาเช่นนี้มาก่อน

ยุทธศาสตร์ในการขึ้นค่าแรงผมเสนอดังนี้ครับ

1) ในกิจการของนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาผลิตเพื่อส่งออกเป็นหลัก ให้ขึ้นค่าแรง 3 เท่าทันที (สวัสดิการด้วย) แน่นอนว่าพวกเขาจะโอดครวญและขู่ว่าจะถอนทุน แต่เราอย่าไปกลัวครับ เพราะพวกนี้ลงทุนแล้วไม่ได้ถอนง่ายๆ อีกทั้งพวกนี้รวยกำไรมหาศาลมานานแล้ว ทั้งกำไรค่าแรงที่แสนถูก ค่าการลดหย่อนภาษีทุกรูปแบบ ค่าลงทุนต่ำ(โดยเฉพาะด้านการกำจัดมลภาวะ) พวกนี้อาจอ้างว่าจะขาดทุนซึ่งเป็นการอ้างที่โกหก เช่น รถยนต์โตโยต้าจากไทยไปขาย usa ราคาเท่ากับที่ผลิตใน usa คุณภาพก็เท่ากัน ถามว่าทำไมรถผลิตใน usa ขายได้ทั้งที่ค่าแรงแพงกว่าไทย 20 เท่า นี่เราขึ้นแค่ 3 เท่าก็ยังถูกกว่าในเมกาอีก 5 เท่าเชียวนะ จะขาดทุนได้อย่างไร นอกจากขาดทุนกำไรเล็กน้อยเท่านั้น ถ้าเขากดดันมากๆ อาจลดหย่อยภาษีให้เขาสักเล็กน้อยพอให้เขาขาดทุนกำไรน้อยลง อีกทั้งไม่ต้องกลัวพวกนี้ถอนทุนไปลงที่เวียตนามจีนหรอกครับ กลับจะเป็นผลดีเสียอีก เพราะเราต้องการแรงงานกลับไปสร้างอุตสาหกรรมท้องถิ่นของเราอยู่แล้ว (โปรดอ่านประเด็นนี้ในข้อต่อไป)

2) สำหรับผู้ประกอบการไทยที่ส่งออกขายต่างประเทศเป็นหลัก ตรงนี้จะทำให้ขายสู้สินค้าจากจีน อินโด อินเดีย ไม่ได้ จำเป็นต้องให้การช่วยเหลือ ด้วยการลดหย่อนภาษีสินค้าขาออก และ อื่นๆ เพื่อชดเชย เป็นเวลา 10 ปี เพื่อให้ปรับตัว เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต (ค่าแรงเพิ่ม 3 เท่าประสิทธิภาพก็ควรเพิ่มด้วย) ภาษีที่เก็บได้น้อยลง จะไปเพิ่มเอาที่ภาษี vat ของสินค้าอื่นๆ เนื่องจากปชช.มีรายได้เพิ่มก็จะบริโภคเพิ่มขึ้น

3) ผู้ประกอบการไทยที่ขายสินค้าในไทย ไม่ต้องช่วยเหลืออะไรเลย พวกนี้จะจ่ายค่าแรงเพิ่ม แต่ก็จะขายสินค้าได้เพิ่มขึ้นด้วย กำไรสุทธิจะมากกว่าเดิมเสียอีก รัฐจะเก็บภาษีได้มากขึ้นอีกด้วย ทั้งภาษีเงินได้ส่วนบุคคล และภาษีการค้า

สรุปคือ การขึ้นค่าแรง 3 เท่า คือการแก้วิกฤตเศรษฐกิจทีง่ายทีสุด แต่รัฐต้องเหนื่อยในการให้ความรู้กับนักธุรกิจสักหน่อย

สวัสดีครับ



Main: 0.18425297737122 sec
Sidebar: 0.0080509185791016 sec