กลับตาลปัตร (๓)

โดย withwit เมื่อ 1 May 2011 เวลา 2:47 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1146

ขานนาค

เป็นที่ทราบกันดีว่าในช่วงประมาณ ๖๐ ปีที่ผ่านมานี้สังคมไทยได้รับเอาอารยธรรมตะวันตกเข้ามาถือปฏิบัติเป็นจำนวนมาก ทั้งโดยความสมัครใจและที่ถูกบังคับ ทั้งโดยตรงและโดยปริยาย ที่สำคัญและเป็นรากเหง้าจริงๆน่าจะเป็นระบอบประชาธิปไตยที่นัยว่าเป็นระบอบที่ให้เสรีภาพมากกว่าระบอบดั้งเดิมของเรา

แต่ก็เป็นที่น่าสังเกตว่าในหลายๆประเด็นเรากลับมีเสรีภาพน้อยลง เช่นเมื่อก่อนชายไทยเคยถอดเสื้อ ถอดรองเท้า เดินเหิรเข้านอกออกในได้อย่างเสรี แต่ปัจจุบันนี้กลับเป็นตรงกันข้าม สถานที่เป็นจำนวนมากห้ามเข้าซึ่งคนเท้าเปล่าและคนไม่สวมเสื้อ และเราต้องถูกบังคับโดยปริยายให้ใส่เสื้อผ้าหนาเตอะ เอาผ้าราคาแพงที่ไร้ประโยชน์มาผูกคอไว้ ซึ่งทำให้อากาศที่ร้อนจนไตร้าวอยู่แล้วต้องร้อนยิ่งขึ้นเป็นทวีคูณ จึงต้องหาเครื่องทำความเย็นมาทำให้เย็นขึ้น (ซึ่งทำให้บรรยากาศโลกโดยรวมร้อนขึ้นกว่าปกติตามกฎข้อที่สองของเทอร์โมไดนามิกส์) เราต้องถูกบังคับโดยปริยายให้ใส่กางเกงลิงแบบฝรั่ง (ผลพวงของการใส่กางเกงและกระโปรงแบบฝรั่ง) ต้องใส่เสื้อยกทรง ต้องใส่รองเท้า ถุงเท้าอันอบอ้าว ต้องทายากลบกลิ่นขี้เต่า ต้อง ฯลฯ

ในท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมการดำรงชีวิตตามกระแสโลภาภิวัฒ์ที่นำกระบวนโดยสังคมคนรวยของโลก ยังมีกลุ่มบุคคลไทยกลุ่มหนึ่งที่ยังยืนหยัดยึดมั่นอยู่กับวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมที่ได้ถือปฏิบัติกันมาแล้วเป็นเวลากว่า ๒๕๐๐ ปี อย่างเหนียวแน่น กลุ่มบุคคลนั้นคือกลุ่มบุคคลที่เราเรียกกันว่า “พระ”

เมื่อพูดถึงพระ เราทุกคนก็จะนึกเห็นภาพคนหัวโล้นห่มผ้าเหลืองอุ้มบาตรถือตาลปัตร เป็นต้น (และก้อ อะแฮ่ม…สีกา) น้อยคนที่จะคิดไปได้ไกลถึงว่า วัฒนธรรมของพระไทยเรานั้น(ที่เราเรียกกันว่าพระนิกาย”เถรวาท”)เป็นวัฒนธรรมที่ได้ถือปฏิบัติกันอย่างต่อเนื่องไม่ขาดตอนที่เก่าแก่ที่สุดในโลก วัฒนธรรมของพระเถรวาทของไทยเรา จึงถือได้ว่าเป็นประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ถ้าจะดัดจริตฝรั่งจ๋ากันก็ต้องว่าเป็น Living history ยังไงยังงั้น องค์การสหประชาชาติน่าจะขึ้นทะเบียนเป็น มรดกโลก World’s Heritage ด้วยซ้ำไป :-) เพราะพระไทยนั้นเป็นทั้งวัตถุโบราณและวัฒนธรรมโบราณที่หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว จึงน่าจะนับได้ว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์อย่างหนึ่งของโลก

เป็นเรื่องน่าขันว่าขณะนี้เรากำลังบ้าอนุรักษ์(ตามคตินิยมของฝรั่ง) เช่น อนุรักษ์ธรรมชาติ อนุรักษ์สิ่งแวดล้อม อนุรักษ์วัฒนธรรม อนุรักษ์วัดและโบราณสถาน(เปลือกนอกของวัฒนธรรม) แต่ไม่เห็นมีใครพูดถึงการอนุรักษ์พระและวัฒนธรรมของพระกันบ้างเลย ทั้งที่สิ่งนี้จะว่าไปแล้วก็ต้องนับว่าเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นที่สุดและมีค่าสูงสุดของประเทศไทย (และของโลกก็ว่าได้)
ตรงกันข้าม..เราทั้งหลายกำลังช่วยกันทำลายพระอย่างเมามัน เริ่มตั้งแต่พ่อแม่ที่ไม่นิยมให้ลูกหลานบวชเรียนเพื่อสืบพระศาสนาอย่างในสมัยก่อน สมัยก่อนลูกคนรวย คนเป็นเจ้าพระยานาหมื่น แม้แต่เชื้อพระวงศ์ชั้นสูง จะออกบวชเรียนแบบไม่ยอมสึกเป็นจำนวนมาก ซึ่งการทำเช่นนี้เป็นการอนุรักษ์พระอย่างดีที่สุด

ปัจจุบันนี้คนฉลาดและคนรวยมักหันหลังให้วัด ด้วยเห็นว่าเป็นของคร่ำครึ ไม่ทันสมัย จึงหันไปเป็นหมอ เป็นวิศวกร นักวิทยาศาสตร์ และนักเก็งกำไรตลาดหุ้นกันหมด ปล่อยให้พวกคนโง่ๆ และหรือ คนจนๆ ทำหน้าที่อนุรักษ์พระ (เพื่อให้พวกคนรวยๆ ฉลาดๆ ไว้กราบไหว้ :-)) ส่วนคนจนนั้นเล่า ก็ใช่ว่าจะอยากเป็นพระกันสักเท่าใดดอก เพราะต่างก็ไม่อาจจะต้านทานกระแสโลภาภิวัฒน์ได้ยิ่งกว่าคนรวยเสียอีก การที่ออกบวชนั้นส่วนใหญ่เท่าที่ได้สัมผัสมากล้าพูดว่า ๙๙% บวชด้วยความโลภเป็นที่ตั้ง (อาจเป็นความโลภส่วนตน หรือ ความโลภของพ่อแม่ผู้ปกครองก็สุดแล้วแต่) เพราะการบวชนั้นเป็นบันไดไปสู่ลาภสักการะนานับประการ

คนที่เข้ามาบวชเป็นพระเพื่อ “สืบพระศาสนา” ในปัจจุบันนี้ ๙๙ เปอร์เซ็นจึงเป็นคนจนที่หมดหดทางไป จึงไม่เป็นการแปลกอันใดเลยที่”ศาสนา” ในวันนี้จะเสื่อมอย่างที่เราท่านก็เห็นๆกันอยู่ เรามักพูดกันว่าศาสนาเสื่อม แต่จริงๆแล้วศาสนา (ซึ่งน่าจะหมายถึงพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า) ไม่มีวันเสื่อม คุณภาพของบุคคลที่ทำหน้าที่สืบศาสนาต่างหากที่เสื่อม ก็จะไม่ให้เสื่อมได้อย่างไรถ้าบุคลากรปฏิบัติงานมีแต่คนจนที่ด้อยการศึกษาเสียตั้ง ๙๙ เปอร์เซ็นต์เช่นนี้

ไม่เชื่อก็ลองเอาคนพวกนี้ไปเป็นกรรมการบริหารบริษัทมหาชนใดก็ได้ดูสิ โดยให้มีสัดส่วนสัก ๙๙% บริษัทใดทำเช่นนี้ก็คงจะถึงแก่กาลกิริยาเจ๊งบ๊งอย่างแน่นอน ศาสนาเสียอีกที่ยังพอประคองตัวอยู่ได้แม้จะมีบุคลากรที่ด้อยคุณภาพอย่างมากเช่นนี้ ดังนั้น แทนที่จะรุมจิกด่าพระว่าไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ เราน่าจะชมพระที่ยังประคอง(บริษัท)พุทธศาสนา(มหาชน) อันเก่าแก่ที่สุดในโลกนี้ไว้ให้เราได้ภาคภูมิใจกันได้จนทุกวันนี้ ยังไงๆท่านก็ยังสามารถรักษาเหง้าเถาตอของศาสนาให้พอมีชีวิตอยู่ได้ ท่ามกลางคู่แข่งขันต่างๆ(ศาสนาต่างๆ)ที่มีทั้งกำลังคนและกำลังทรัพย์ สักวันหนึ่งหากได้แดดได้ฝนดีๆมีการบำรุงดินให้ปุ๋ยดีๆ ก็อาจจะผลิดอกออกผลเบ่งบานและให้ร่มเงาแก่สังคมได้อย่างทรงประสิทธิภาพอีกครั้งก็เป็นได้ หรืออาจเป็นที่พักพิงแก่สังคมโลกยามล่มสลายด้วยน้ำหนักแห่งความโลภสะสมที่ได้กระทำมาแต่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมก็เป็นได้

สิ่งสำคัญที่ทำให้ศาสนาทรงอยู่ได้จนวันนี้ก็คือพระนั่นเอง แต่เป็นพระส่วนน้อยมากจำนวน ๑% ที่เหลือ ถึงแม้ว่าพระเหล่านี้จะจับพลัดจับผลูบวชเข้ามาแบบไม่ได้ตั้งใจบวชเพื่อสืบศาสนาอย่างแท้จริง แต่บางท่านคงจะได้สั่งสมบุญบารมีไว้บ้างแต่ปางก่อน จึงทำให้ท่านได้ซาบซึ้งในรสพระธรรม ทำการศึกษาพระธรรมอย่างจริงจังจนแตกฉานทั้งทางด้านปริยัติ(ทฤษฎี)และทางด้านปฏิบัติ พระจำนวนน้อยเหล่านี้แหละที่ทรงศาสนาไว้ได้ นี่ขนาดพระดีจำนวนน้อยมากยังทำได้เช่นนี้ ถ้าหากว่าพระทั้งประเทศจำนวนกว่าสามแสนรูปเป็นพระดีทั้งหมด ศาสนาจะรุ่งเรืองมากขนาดไหนหนอ

การที่ผู้เขียนคิดอยากอุปสมบทก็มีมูลเหตุหลายประการด้วยกัน แต่ที่สำคัญที่สุดน่าจะเป็นความต้องการที่จะพักผ่อน ท่านผู้อ่านคงคิดว่าผู้เขียนมีจิตวิปลาสไปแล้วที่คิดว่าการบวชพระเป็นการพักผ่อน จึงต้องขอท้าวความกันเสียหน่อย

(โปรดอ่านต่อตอนต่อไป)

« « Prev : กลับตาลปัตร (๒)

Next : กลับตาลปัตร (๔) » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

1 ความคิดเห็น

  • #1 krupu ให้ความคิดเห็นเมื่อ 1 May 2011 เวลา 4:12 pm

    อิอิ ให้ความรู้สึกเหมือนกันเลยค่ะ เดี๋ยวนี้วัด โรงเรียน ค่ายทหาร ถูกมองเป็นสถานรับเลี้ยงเด็ก หรือไม่ก็สถานพินิจ หรือบางคนคาดหวังให้เป็นแหล่งดัน..ันดาน ไปนู่นเนาะคะ ซึ่งถ้าทำได้ก็ดี แต่ถ้าจะให้ทำได้แน่ ๆ นั้น ครอบครัวต้องทำการบ้านมาก่อนด้วยนะคะ ไม่ใช่ คิดอะไรไม่ออกก็โยน “โครม” แบบสมัยนี้ กลับตาลปัตร จริง ๆ ด้วยค่ะ


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่


*
To prove you're a person (not a spam script), type the security word shown in the picture. Click on the picture to hear an audio file of the word.
Click to hear an audio file of the anti-spam word


Main: 0.074074029922485 sec
Sidebar: 0.024744987487793 sec