น้ำท่วม(๑๒)
ก่อนเข้าไปเขาพนมก็แวะไปเคลียร์งานที่รพ.ก่อน แล้วรับตัวลูกน้องไปด้วยกัน ก่อนถึงสนามบินโทรถามบังวอญ่า ซึ่งแจ้งมาทางโกว์ว่าจะมาสมทบตรวจสอบว่าเดินทางถึงหรือยัง เผื่อจะได้ีัรับตัวเข้าไปด้วย เสียงตอบจากบังว่ากำลังเดินทางตอนนี้รถอยู่ที่เขาพับผ้า จะถึงกระบี่ ๑๑ โมง และจะมีคนไปรับเมื่อมาถึงแล้ว
เมื่อได้พบน้องตุ๊กตา ก็เจรจาต๊ะอวยทำความรู้จักกัน แล้วชวนกันไปในพื้นที่ ฉันแจ้งให้เธอรู้ว่าบังวอญ่าอยู่ระหว่างเดินทาง เธอก็ให้ข้อมูลว่าเมื่อรู้จักฉันมากขึ้นจากบังวอญ่า และบังรู้ว่าฉันจะไปพื้นที่ด้วย ทั้งเธอและบังต่างโล่งใจ
คนมารับเธอ บังวอญ่าแจ้งว่าเป็นผู้ประสานงานในพื้นที่เขาพนม ไม่รู้ว่าเป็นใครมาก่อน คุุยกันทั้งวัน เห็นสิ่งที่เขาทำ จึงได้รู้ว่า นี่แหละหัวหลักตัวจริงที่ให้ความช่วยเหลืออยู่ในพื้นที่ เรียกเขาสั้นๆกันว่า “มน” เป็นไทยพุทธ มีพื้นเพเดิมอยู่ที่นครศรีธรรมราช
เมื่อน้องตุ๊กตาทวนความประสงค์ของการมาให้เข้าใจ ก่อนเข้าพื้นที่ น้องมนก็พาเราไปที่ศูนย์ประสานงาน ทีแรกเราก็ไม่เข้าใจพาเรามาทำไม ไม่เห็นเกี่ยวกันเลย ไปถึงก็พบกลุ่มคนกำลังนั่งประชุมหารือกันอยู่ มีบัณฑิตอาสาเป็นคนนำพาให้ทำกิจกรรม
ในช่วงที่เราแวะไปเยือน บัณฑิตอาสาจากมอ.กำลังช่วยชาวบ้าน เตรียมความพร้อมของแต่ละคนก่อนไปพบฝ่ายปกครองที่จังหวัด
คนหนึ่งในกลุ่มนั้นให้ข้อมูลว่า คนที่มาคุยกันนั้นเป็นกลุ่มแกนนำของผู้ประสบภัย กำลังมาเตรียมความพร้อมก่อนที่จะพากันไปคุย กับผู้ใหญ่ฝ่ายปกครองที่ีจังหวัดในช่วงบ่าย มีเรื่องต้องการให้ผู้ใหญ่เคลียร์ความเข้าใจเรื่องงบช่วยเหลือ ตกลงว่าจะช่วยแล้วเหตุใดงบจึงยังไม่ถึงมือ
มีเรื่องอะไรบ้าง ทำไมชาวบ้านต้องไปเจอเพื่อทำความเข้าใจ ฟังแล้วก็ไม่เข้าใจที่มาที่ไป แต่เข้าใจขึ้นว่าน้องมนพาเรามาที่ศูนย์ทำไม เขาพาเรามาเช็คข่าวคนตกค้างที่ตกโผจากทางการ ที่อาจจะมาแสดงตัวเพื่อขอความช่วยเหลือไว้ที่เครือข่ายของเขาค่ะ
ได้คุยกับชาวบ้านแล้ว น้องมนก็พาเราเดินทางต่อ จุดหมายปลายทางอยู่ที่ ที่ทำการเก่าของกศน.ต.เขาดิน ที่นั่นมีครอบครัวหนึ่ง ๓ คนพ่อแม่ลูกที่ตกโผ และยังไม่สามารถขอรับความช่วยเหลือจากรัฐได้ ก่อนถึงที่เป้าหมาย หัวหน้าครอบครัวนี้ได้มาดักรอนำทางเราอยู่ก่อนแล้ว บอกถึงความร้อนใจและความหวังที่แอบแฝงอยู่ภายในตัวเขา
บ้านอพยพหลังนี้เดิมทีเป็นศาลาให้คนนั่งรอรถโดยสาร พื้นที่ใช้สอยอย่างที่เห็น ช่วยให้ตัดสินใจง่ายกับการให้ความช่วยเหลือ
สภาพความเป็นอยู่ของครอบครัวนี้เป็นอย่างในภาพ พื้นที่ที่อาศัยเป็นที่ดินซึ่งอยู่ในความดูแลของอบต. คุยกันจึงได้รู้ว่าที่เขาตกสำรวจก็เพราะเข้าไม่ถึงการข่าวของทางการ การเข้าไม่ถึงข่าวเป็นเพราะแต่ละวัน เขาใช้เวลาไปกับการทำงานที่โรงโม่หิน เขาเป็นลูกจ้างของที่นั่นค่ะ
ความเดือดร้อนที่ต้องการให้ช่วย เป็นเรื่องของการสร้างที่อยู่อาศัยใหม่ ในเรื่องทุนรอนสำหรับการจัดหาวัสดุ ด้วยสิ่งที่เขามีไม่เข้าเงื่อนไขที่ภาครัฐสามารถ จะช่วยด้วยวิธีใดๆได้ อื้อฮือ แค่ตกสำรวจเพราะมัวทำมาหากิน สิทธิที่จะได้ความช่วยเหลือหายไปตั้งเยอะ ไม่น่าเชื่อเลย
บ้านอยู่ลึกเข้าไปในสวนยาง ๒ ข้างทางมีนาข้าวไร่ บ้านต้นซอยไม่เป็นไร บ้านลึกเข้าไปเสียหาย หน้าต่างบ้านซ้ายเป็นฝีมือน้ำที่ไหลมา
ลุงเจ้าของบ้านบอกว่า ระดับน้ำสูงท่วมมิดคานหลังคาบ้านทางขวา นกและเขารอดมาได้เพราะลูกชายส่งข่าว
เงื่อนไขที่รัฐจะช่วยมีหลายเรื่อง ฟังจากปากชาวบ้าน มีเรื่องเหล่านี้เป็นต้น คนมีที่ดินสำหรับสร้างบ้านจะได้รับความช่วยเหลือก่อน ที่ดินเป็นของตัวเอง พ่อแม่หรือญาติพี่น้อง หรือที่ดินที่เจ้าของสามารถทำให้รัฐมั่นใจว่า ยินยอมให้ใช้ที่ดินให้ผู้เดือดร้อนได้สร้างบ้านอยู่อย่างถาวร ไม่มีปัญหาภายหลังอย่างหนึ่งอย่างใดได้ทั้งนั้น
ที่ดินที่ที่จะได้รับการช่วยก่อนต้องมีขนาดไม่ต่ำกว่า ๙ คูณ ๑๕ เมตร ถ้าต่ำกว่านี้ไม่สามารถช่วยเหลือได้ ต้องรอไปก่อน หรือไม่ก็ต้องช่วยเหลือตัวเองไปด้วยเงินช่วยเหลือที่ได้รับก้อนแรก
คนที่บ้านพังทั้งหลังจะได้รับการช่วยเหลือก่อน รองลงมาก็เป็นคนที่อยู่อาศัยในพื้นที่เสี่ยงภัย
ที่ดินถ้าเป็นภ.บ.ท.๕ ที่เจ้าของแบ่งให้ ก็ต้องมีหนังสือยินยอมให้ใช้ที่ดินตามหลักของกฎหมาย ที่ดินภ.บ.ท.๕ ที่ทำกินอยู่ หากจะใช้มาขอสร้างบ้าน ก็ต้องมีอายุการใช้นานเท่าที่กำหนดหรือนานกว่า (จำไม่ได้ว่ากำหนดกี่ปี) และต้องผ่านการตรวจสอบหลักฐานก่อน ฯลฯ
ที่ว่างที่ยืนกันอยู่ นั่นแหละบ้านของครอบครัวที่เราไปพบ ระดับดินอยู่ต่ำกว่าบ้านพ่อของเขาในภาพบนกว่าเมตร
สำหรับชายคนนี้ เขามีที่ดินขนาดเล็กกว่าที่รัฐกำหนด แม้จะเติมชื่อในทะเบียนสำรวจ ก็ยังเป็นไปไม่ได้ ที่จะได้รับความช่วยเหลือภายใต้เงื่อนไขที่รัฐกำหนด ณ เวลานี้
เมื่อเราได้ไปเห็นสถานที่พักชั่วคราวของครอบครัวเขากันแล้ว เราก็ขอให้เขาพาไปดูบ้านเขาที่พังเพราะน้ำ บ้านเขาอยู่ห่างคลองแค่เดินสิบก้าวก็ถึงฝั่งคลองแล้ว ลำน้ำที่เห็นในคลองไหลไม่เชี่ยว ในช่วงที่เราแวะไปดูบ้านของเขาด้วยกัน ที่ดินจะสร้างบ้านขึ้นใหม่นั้นเป็นที่ดินหน้าบ้านของพ่อเขา
ไปเห็นสภาพทั้งหมดก็ตัดสินใจได้ บ้านนี้ละนะที่จะส่งการบ้านที่น้องครูอึ่งและนักเรียนส่งมาให้ ผู้ให้การบ้านรับทราบด้วยค่ะ
คำพูดไม่กี่คำที่เขาได้บอกออกมาว่า “ผมจะสร้างบ้านบนที่ดินของแม่ ไม่ไปไหนหรอก” ผสมกับสิ่งที่ตาเห็นที่บอกถึงความเป็นคนดีของเขา คือ ความไม่งอมืองอเท้าที่เขาแสดงให้เห็นประจักษ์ตา รวมไปถึงความเป็นคนมีวินัย ที่เห็นได้จากการจัดการที่พักชั่วคราวของเขา เป็นเหตุผลที่นำมาใช้ตัดสินใจค่ะ
เมื่อไปถึงเขากำลังสร้างเพิงเพิ่มเพื่ออยู่อาศัยใกล้ศาลา แม่บ้านกำลังจัดการวัสดุที่ไปหามา มีไม้ไผ่และใบไม้อย่างในภาพนั่นแหละค่ะ
เดินไม่เกิน ๑๐ ก้าวก็ถึงคลองใกล้บ้านเขา
เห็นแล้วนึกได้เลยว่า มีเรื่องต้องช่วยเขาด้วยเรื่องของคลอง เพราะว่าฝนยังตกอยู่ เวลาที่ฝนตกน้ำไหลเชี่ยวแรงมากอย่างไม่น่าเชื่อ สิ่งที่ต้องช่วยเหลือเห็นทีจะเป็นเรื่องของการจัดการ ให้มีต้นไม้ผ่อนปรนแรงน้ำปลูกไว้ริมฝั่ง รวมไปถึงการทำให้เกิดการดูแลคลองไม่ให้ตื้นเขินอย่างที่เห็น
สภาพครัวที่เห็นนี้ บอกให้รู้ว่าผู้จัดมันเป็นคนมีฝีมือพอตัว ยืนหยัดได้แล้ว เขาก็จะไม่เป็นภาระของใคร
อ้อ เกือบลืม แม้ว่าชายคนนี้ เขาจะจนแต้มอย่างในภาพ แต่รอบตัวที่เราไปพบนั้น มีสัตว์หลายชนิดที่เข้ามาพึ่งพาเขานะ ทั้งหมาทั้งแมวอยู่เต็มไปหมดที่ได้ข้าวก้นหม้อจากเขากิน
ภาพบนที่นำมาโชว์ เพราะประทับใจกับคำพูดที่เขาบอกว่า “มีคนเอาข้าวสารมาให้บ่อยๆ แต่ผมไม่รับไว้ ผมขอเก็บข้าวเปลือกไว้ดีกว่า โน่นไงข้าวเปลือก ๓ กระสอบที่ผมเก็บไว้เป็นทุน”
๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๔
3 ความคิดเห็น
สุดยอดค่ะพี่ตา ชอบในสิ่งที่พี่ตาทำ มีอะไรที่พอให้ทางนี้ช่วยมั้ยคะ?
มีคนเอ่ยชื่อ “เบิ้ม” ให้พี่ได้ยินและบอกว่ามีประสบการณ์ทำงานด้านการอนุรักษ์เชิงป้องกัน ความรู้ที่อยู่ในตัวคนๆนี้ น่าจะช่วยให้ข้อมูลที่นำมาใช้กับพื้นที่ได้ แล้วคนๆนี้ก็อยู่เชียงราย เบิร์ดพอรู้จักเขาบ้างมั๊ยเอ่ย หาที่อยู่ติดต่อให้หน่อยดิ
พี่ตาขา ขอชื่อจริงกับองค์กรที่ทำงาน หรือประสบการณ์ทำงาน หรือคนที่เคยทำงานกับเค้าผ่านเครือข่ายก็ได้ค่ะ จะลองค้นหาตัวให้