บุญตา บุญใจ
หลังจากจัดการกับการต้อนรับผู้มาเยือนโรงพยาบาลในฐานะผู้ประเมินผลในวันที่ ๒ พฤษภาคม เสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็พาตัวเผ่นขึ้นเครื่องเข้ากรุงเทพฯอีกครั้ง คราวนี้พาตัวไปสิงสถิตย์อยู่แถวสะพานควาย เพื่อให้การเดินทางในวันรุ่งขึ้นสะดวกและใช้เวลากับการเดินทางในเมืองกรุงไม่นาน
ถึงกรุงเทพฯยามค่ำคืนก็มีเรื่องให้ใตร่ตรอง จะเลือกเดินทางต่อยังไงให้ถึงที่พักดี ในที่สุดก็ตัดสินใจให้โชเฟอร์นำพาผ่านเส้นทางบนถนนธรรมดา รถพาลัดเลาะไปตามเส้นทางที่ไม่เคยคุ้นจนผ่านเข้าสู่ใจกลางเมือง และในที่สุดก็ถึงที่พักซึ่งเป็นเป้าหมาย
เมื่อเข้าไปขอเปิดห้องพักซึ่งไม่ได้จองล่วงหน้า เกือบไม่ได้ห้องแต่ก็ได้ห้อง ก่อนจะพาตัวเข้าพักผ่อนก็พาตัวไปเดินสำรวจพื้นที่ สำรวจทำเล ตกลงใจว่าพรุ่งนี้จะทำอะไรก่อนหลัง เตรียมเสื้อผ้าพร้อมแล้วก็เข้านอน
เช้าตื่นมาก็พาตัวไปร้านเสริมสวยให้ช่วยเก็บผม ได้ทรงผมที่เรียบร้อยรวบไว้ชนิดเส้นผมไม่กระดิกมาแทนผมทรงเดิม โต๋เต๋หาอาหารรองท้องก่อนออกเดินทาง แต่งตัวใหม่ด้วยชุดข้าราชการขาว ใช้เวลาจัดการตัวเองนานอยู่เหมือนกันเพราะไม่เคยคุ้น แต่งตัวแล้วก็มารอเดินทางที่ล็อบบี๊ของที่พัก
มีผู้คนมากหน้าหลายตาแต่งชุดข้าราชการขาวนั่งอยู่ก่อนแล้วในล๊อบบี้นั้น มีรุ่นน้องหมอจากโรงพยาบาลพัทลุงนั่งปนอยู่ด้วย ทีแรกที่ปะหน้ากัน ต่างคนต่างจำกันไม่ได้ เมื่อจำกันได้ก็ได้เพื่อนร่วมเดินทางไปด้วยกัน จุดหมายปลายทางคือ ศาลาดุสิตาลัย ในพระราชวังสวนจิตรลดาฯ
เราให้รถมาส่งที่ประตูวังด้านถนนราชวิถี ถึงประตูก็ลงเดินกันเข้าไป ก่อนจะเข้ามีทหารคอยตรวจบัตร บัตรนี้ได้รับจากกระทรวงฯเมื่อครั้งไปติดต่อเรื่องเข้าเฝ้า โชว์บัตรแล้วทหารก็โบกรถที่วิ่งเข้าประตูวังไม่ขาดสายให้แวะรับพาตัวไปด้วย รถวิ่งลึกเข้าไประยะหนึ่งก็แวะจอดให้ฝากโทรศัพท์มือถือและสิ่งของอื่นๆที่นำติดตัวมาที่เต๊นท์รับฝากของ
ฝากของแล้วก็เดินต่อด้วยเท้าเข้าไปที่จุดรายงานตัว มองไปข้างหน้าก็เห็นบริเวณทั่วไปเต็มไปด้วยบุคคลชาย-หญิงใส่ชุดข้าราชการขาวเดินกันว่อน มองเข้าไปที่จุดรายงานตัวก็ต้องร้องโอ้โฮ คิวแน่นเอี๊ยด ก่อนออกเดินจากจุดรับฝากของ มีการต้อนรับด้วยการเช็คบัตรคิวก่อนแล้วหนึ่งรอบ
เข้าไปถึงจุดรายงานตัว มองแทบไม่เห็นคิว เพราะว่าคนแน่นไปหมด แถวแต่ละแถวชิดติดกันมาก ต้องเข้าไปใกล้จึงรู้ว่ามีแถวตอนของคิวอยู่หลายแถว แต่ละแถวนั้นท้ายแถวแทบไม่มีที่ให้ยืน นี่ขนาดว่ากว่า ๑๑ น.แล้วนะนี่
ได้ยินเสียงเจ้าหน้าที่คุยกันว่า วันนี้มีข้าราชการทั้งหมดที่จะมารายงานตัวกว่า ๕ พันคน อย่างนี้ที่คาดว่ามาแล้วจะได้เจอน้องหมอรองแพทย์ฯที่เดินทางล่วงหน้ามาก่อน ก็คงจะยากที่จะได้เจอตัวกันแล้วมั๊ง
พาตัวเข้าไปรายงานตัวด้วยการติดบัตรคิวที่รับมาไว้ที่หน้าอกซ้าย ยื่นบัตรที่ได้รับคู่กันมาให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบหมายเลขลำดับ ได้สติ๊กเกอร์ติดบัตรมาแทน ๑ ดวง ออกมาถามเจ้าหน้าที่ด้านนอกว่าให้ทำอะไรต่อ ได้ยินเสียงตอบว่า เสร็จแล้วให้ไปกินข้าว ทำเอางง
เดินต่อไปในทิศที่เห็นคนเดินไปมาเพ่นพ่าน บ้างยืนจับกลุ่ม บ้างนั่งเป็นกลุ่มตามโต๊ะ ซึ่งมองไกลๆไม่รู้เขากำลังทำอะไร เข้าไปใกล้ๆจึงเห็นว่าที่ตรงนั้นเป็นเต๊นฑ์ที่จัดอาหารไว้เติมท้องให้อิ่ม อาหารที่จัดไว้ฟรีทุกรายการ มีให้เลือกแล้วแต่จะสะดวกทั้งก๋วยเตี๋ยว ข้าวราดแกง น้ำดื่ม ผลไม้ น้ำหวาน น้ำอัดลม ไอศกรีม เห็นแล้วขนลุกซู่ ไม่นึกไม่ฝันว่าจะมีโอกาสได้เห็นภาพนี้ในเขตพระราชฐาน แค่เห็นก็ตื้นตันจนอิ่มแล้ว
ถึงแม้จะเป็นเวลาใกล้เที่ยง แต่อากาศก็แปลกมากๆ แดดหลัว ฟ้าสีหม่นคล้ายฟ้าที่ฝนจะตก แต่ไม่มีเมฆ อากาศนอกเต๊นฑ์ไม่ร้อน ในเต๊นฑ์มีพัดลมใหญ่พ่นไอน้ำได้ติดตั้งอยู่เป็นระยะๆ มองไปทางไหนละลานตาไปหมด จนมองไม่ออกว่ามีใครบ้างที่รู้จักอยู่ในกลุ่มเหล่านั้น
เติมท้องอิ่มแล้วก็พาตัวเดินหาจุดรายงานตัวจุดต่อไป ซึ่งในบัตรเขียนว่า ระเบียงลานองุ่น ก่อนเดินออกจากเต๊นฑ์ก็ปะหน้าใครคนหนึ่งที่คุ้นๆ อ้าว หมออุ๊จากเมืองชลฯนี่เอง แวะเข้าไปสะกิดทักทาย ก็เลยได้รู้ว่า ปีนี้คณะแพทย์ฯจากเมืองชลไม่ได้ไปสวนป่ากัน ยังคงมีกิจกรรมให้นิสิตแพทย์เหมือน ๒ รุ่นก่อน แต่ปีนี้ทำกันเองที่เมืองชล
คุยกันพอประมาณ ก็แยกกัน ระหว่างเดินย้อนผ่านตึกที่รายงานตัวจุดแรก ได้ยินเสียงเรียก พี่หมอๆ ไม่ได้หันหน้าดู เข้าใจไปว่าหูฝาด เดินเลยมาหน่อยได้ยินเสียงเรียกอีกจนได้ยินคำว่า หมอเจ๊ จึงรู้ว่ามีคนกำลังเรียก หันไปเห็นหนุ่มคนหนึ่งกำลังเดินตรงมาหาพร้อมรอยยิ้ม เพื่อนร่วมรุ่น สสสส.๒ จากดีเอสไอนี่เอง เขาเพิ่งมาถึง ทักทายกันแล้วก็แยกกัน
พาตัวผ่านประตูอีกส่วนหนึ่งของอาคารที่รายงานตัว ตรงจุดผ่านมีการเช็คคิวที่บัตรและทำเครื่องหมายไว้อีกครั้ง แล้วเจ้าหน้าที่ก็ชี้ให้ไปพบอีกคนเพื่อรับรู้จุดที่จัดไว้ให้นั่ง ได้ที่นั่งที่มุมด้านหลังของตึกแห่งนี้ ที่นั่งถูกจัดไว้เป็นแถวยาว แถวละ ๓๐ คน เป็นบล็อกๆละ ๑๐ แถว ทำให้ที่ว่างตรงลานองุ่นนี้เต็มไปด้วยเก้าอี้
ข้าราชการสตรีทั้งหมดมานั่งรอที่นี่ ที่นั่งจัดลำดับตามตัวอักษรไทย คนที่นั่งแถวเดียวจึงพบว่ามีชื่อเดียวกันหลายคน ต่างนามสกุล มาจากหลายกระทรวง หลายกรมนั่งรวมกัน
บ้างรู้จักกันมาก่อน ส่วนใหญ่ที่รู้จักกันมาก่อนจะเป็นกลุ่มพยาบาล หรือกลุ่มโรงพยาบาลที่เคยไปมาหาสู่กันอยู่บ้างแล้ว
ตรงลานองุ่นนี้ หลังคาเป็นกระจก แต่แปลกที่อากาศภายในเย็นฉ่ำ ทั้งๆที่มีแดดส่องผ่านเข้ามาเต็มที่ผ่านหลังคาตึก เมื่อเงยหน้ามองจึงเห็นว่าอาคารทั้งหลังติดแอร์ไว้โดยรอบอาคาร แต่ดูไม่ออกว่าแหล่งพลังงานไฟฟ้ามาจากแหล่งผลิตใด
เข้าไปสำรวจตรงส่วนหน้าก็เห็นที่นั่งจัดไว้รายรอบบริเวณคล้ายๆกัน และที่ห้องโถงส่วนหน้านี้แหละที่จัดที่ประทับของสมเด็จเจ้าฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ฯไว้ มีคนกำลังซ้อมเอางานกันด้วย ก็เลยถือโอกาสเข้าไปซ้อมด้วย
เดินเข้าไปถึงหน้าที่ประทับรักษาระยะห่างตามเครื่องหมายที่กำหนดเหมือนตอนรับปริญญา เจ้าหน้าที่ร้องบอกว่า หมอตัวเล็ก เดินเข้าไปให้ใกล้ได้เลย เวลาจะเอางานจะได้ไม่ต้องเอื้อม ก็จำเอาไว้ แต่ลืมเผลอเดินหันหลังให้ที่ประทับตอนเดินออกหลังเอางาน ก็เลยเวียนไปขอซ้อมใหม่ แล้วจึงพาตัวกลับมาที่นั่ง
ระหว่างรอเสด็จ ก็มีคนเดินเข้าออกกันไม่หยุด มีผู้ชายบางคนพาตัวเข้ามานั่งข้างในอาคารตรงลานองุ่นด้วย เห็นแล้วงง นึกว่าเข้าใจผิดว่าที่นี่จัดไว้ให้เฉพาะสตรี มาอ้อทีหลังว่า ผู้ชายเขาหนีร้อนมาหาเย็น เข้าใจไม่ผิดหรอก ผู้ชายเขาจัดเต๊นฑ์ไว้ให้กว่า ๑๐ เต๊นฑ์ที่นอกอาคารโน่นแหละ
เมื่อฟ้าหญิงเสด็จมาเวลา ๑๕ น. พิธีการก็เริ่มขึ้น เจ้ากรมอาลักษณ์เป็นคนถวายรายงาน รายงานทำให้รู้ว่าวันนี้มีข้าราชการและเอกชนมาร่วมเข้าเฝ้าจำนวนมากกว่าปีก่อนๆ กว่าทุกๆคนจะได้เข้าเฝ้าครบ เวลาก็ล่วงเลยไปจนถึงเวลาเกือบ ๒ ทุ่ม
ระหว่างพิธีการมีการพักเบรคเพื่อให้เจ้าฟ้าหญิงได้ทรงพักพระวรกาย ช่วงพักเบรค หลายคนก็ออกไปหาขนมเติมท้อง มีการเบรคเป็นระยะๆ
ระหว่างเบรคที่ ๒ เมื่อพาตัวออกไปหาของว่างเติมใส่ท้อง ก็พบกับคุณหมอนนทลี จำเธอไม่ได้หรอก เธอเข้ามาทักก่อน ไม่ได้คุยด้วยมากเพราะกำลังอร่อย อิ่มท้องเข้ามาที่นั่งแล้วจึงได้คุยกันต่อ คุณหมอนนท์ได้ที่นั่งไม่ไกลจากจุดที่ฉันนั่ง เธอสดใสเหมือนเคย
พิธีการดำเนินไปจนหมดกลุ่มสุดท้ายกว่า ๒ พันคน จึงยุติ เพลงสรรเสริญบารมีดังขึ้นส่งเสด็จ รอส่งเสด็จจนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงพากันกลับ ขากลับต่างคนต่างแยกย้ายกันไป ระหว่างเดินพาตัวออกมาทางด้านหน้าเพื่อขอรับคืนมือถือ ก็ได้เจอเพื่อนร่วมรุ่นที่เดี๋ยวนี้เป็นใหญ่เป็นโตได้เป็นผอก.ร.พ.ระนอง และเพื่อนหมออีกคน คนหลังนี้เป็นเพื่อนเก่าสมัยมัธยม ไม่ได้เจอกันตั้งแต่จบมัธยมโน่นแนะ
เดินคุยกันมาจนถึงถนนใหญ่ก็แยกกันคนละทาง แยกจากเพื่อนแล้วก็เดินมาตามทางเท้ารอบสวนจิตรแบบงมๆ เพราะว่ามืดแล้ว จับทิศไม่ออก ใช้ความเคยชินเดินเลี้ยวขวาตรงเรื่อยมา ถามข้าราชการกลุ่มหนึ่งที่เดินมาล่วงหน้าว่าทิศนี้ไปออกที่ไหน เธอก็ตอบว่า ไม่รู้เหมือนกัน เดินตามเขามา
เดินมาไกลเข้าเรื่อยก็ไม่เห็นแท๊กซี่ผ่านมาสักคัน พอดีได้ยินเสียงรถไฟข้างหน้า ก็เดาได้ว่าตรงไปข้างหน้านี้จะเจอทางรถไฟ ซึ่งตอนนั้นเดาไม่ออกว่าเป็นทางรถไฟตรงช่วงไหน เดินไปเรื่อยๆจนเห็นทางแยกมุมสวนจิตร ก็ข้ามถนนไปฝั่งตรงข้าม กะว่าจะโบกรถตรงมุมถนนข้างหน้า ปรากฏว่ามีชายใส่ชุดข้าราชการขาวยืนดักรอรถกันอยู่เป็นระยะๆ
มีคนหนึ่งที่อัธยาศัยดีมากเลย เมื่อรู้ว่าจะไปสะพานควายก็ชวนว่า รถไม่ค่อยมีผ่าน วันนี้ใส่ชุดใหญ่นั่งรถเมล์ไม่น่าจะเหมาะ นั่งรถตุ๊กๆไปด้วยกันไหม เกือบหลุดปากตกลงไปแล้ว พอดีมีน้องหมอผอก.รพ.โกลกตามมาหยุดใกล้ๆ และเห็นรถเมล์ติดรถไฟจอดอยู่คันหนึ่งและรถมีที่ว่าง ย้อนไปถามน้องว่าจะไปไหน เขาตอบว่าจะไปอนุสาวรีย์ชัยฯ จึงชวนเขาว่า เราเดินไปขึ้นรถเมล์กันมั๊ย
หนุ่มๆเขาไม่คิดมากตอบตกลงทันที จึงพากันยกโขยงไปขึ้นรถเมล์ รวมทั้งคนที่ชวนนั่งตุ๊กๆด้วย นั่งรถมาแยกกันที่อนุสาวรีย์
ก่อนเปลี่ยนรถเพื่อเดินทางต่อไปสะพานควาย ความเรียบร้อยส่วนตัวเริ่มหดหาย เดินไปบนสะพานลอยก็ถอดผ้าไปทีละชิ้นใส่ถุงที่เตรียมติดตัวมาด้วย เปลื้องผ้าคลายร้อนพอควรแล้วก็หารถคันใหม่นั่ง เป็นรถเมล์อีกแหละ
ลงรถเมล์ตรงป้ายหน้าบิ๊กซี สะพานควาย เดินต่อเพื่อกลับที่พัก คราวนี้แปลงกายเป็นเด็กเซอร์ ดึงชายเสื้อออกนอกกระโปรง เดินกลับทั้งชายเสื้อยับๆนั้นเอง ถึงที่พักก็จัดการเก็บของเตรียมเดินทางกลับบ้าน
วันนี้ถือว่าเป็นศรีของชีวิตที่ได้มีโอกาสเข้าเฝ้า รู้สึกดีใจกับสิ่งที่ได้รับพระราชทานซึ่งไม่เคยฝันว่าจะได้รับ
ขอบพระทัยใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทที่พระราชทานสิ่งของที่เป็นมงคลนี้ให้ข้าพระพุทธเจ้า
ขอจงทรงพระเจริญ
บันทึกไว้เป็นเกียรติเป็นศรีแก่ครอบครัว ในโอกาสที่ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ชั้นประถมาภรณ์มงกุฏไทย
๓ พฤษภาคม ๒๕๕๔
« « Prev : วันของลูก
6 ความคิดเห็น
ยินดีด้วยอย่างหลาย ขอให้ได้รับพระราชทานฯ มาแต่งชุดขาวผมไม่กระดิกอีก อ่านแล้วเห็นภาพเลยว่าพิธีการนี้ไม่ธรรมดา เหนื่อยแบบอิ่มอกอิ่มใจ อิ
ดีใจด้วยค่ะพี่หมอเจ๊
วันนั้นได้ดูถ่ายทอดทางทีวีด้วยค่ะ…เห็นคนแต่งชุดปกติขาวลานตาจริงๆ
ขอแสดงความยินดียิ่งนักครับ
ยินดีด้วยค่ะพี่ตา ^ ^
ยินดีกับสายสะพายสายแรกครับพี่หมอ
#1 ทำผมทรงเส้นผมไม่กระดิกแล้ว คนเขาจำไม่ได้ ขำตัวเองเหมือนกันค่ะพ่อครู ตอนที่ลองชุดใหญ่ตามลำพัง ทำงานมาตั้งนาน เห็นคนใส่ก็ชินตา เอาจริงเข้าเกือบติดบั้งผิดทาง…อิอิ
#2 จ๊าน้องสร้อย ใส่ชุดใหญ่แล้วนึกถึงคนต้นคิดให้ใช้ไปนู่น พี่เพิ่งรู้ว่า สีของชุดข้าราชการ เป็นสีพระราชนิยม วัตถุประสงค์ของเครื่องแบบคือใช้แทนชุดสากล แยกแยะไว้ให้เลือกใช้ตามปกติและใช้ในพิธีการ เป็นข้าราชการมาตั้งนาน เชยจริงๆ
#3 ขอบคุณค่ะพี่
#4 เป็นอนาคตที่คนรุ่นพี่เดินผ่านไปก่อนนะน้อง ขอบคุณนะคะ
#5 เป็นอะไรที่เคยวาดภาพเล่นๆไว้เมื่อเริ่มทำงานใหม่ๆ ความรู้สึกในตอนนั้นฝันอยากเข้าเฝ้าต่อหน้าพระพักตร์ในหลวงอีกสักครั้งเท่านั้นเอง พอทำงานนานเข้าๆก็ไม่ได้แวบคิดอีก
มีวันหนึ่งหลายปีมาแล้ว เพื่อนร่วมรุ่นเขาเข้าไปรับกันมา ได้ยินเสียงฝากถามมาว่าหายไปไหน รู้ตัวตั้งแต่วันนั้นว่า ไม่ได้ตั้งฝันเรื่องการได้สายสะพายเลยจริงๆ รู้สึกไม่มั่นใจว่าได้รับมาแล้วจะปฏิบัติตัวเหมาะควรมั๊ยด้วย ก็เลยไม่เคยตั้งฝัน และไม่ขวนขวายที่จะได้คว้ามันมาครอง
ฝันเดียวที่ยังอยู่ คือ ได้เข้าเฝ้าในหลวง ซึ่งคงเป็นฝันที่ได้แต่ใช้ความหวังหล่อเลี้ยงแล้วละ
ครั้งนี้เมื่อรู้ว่าได้รับสายสะพาย ใจประหวัดไปถึงป๊ะป๋ากับมะเลยแหละ นี่ถ้าทั้ง ๒ ท่านยังอยู่คงดีใจมาก ด้วยความรู้สึกนี้แหละที่ทำให้ตัดสินใจเข้าเฝ้าเพื่อไปรับกับมือ ไปรับแล้วจึงรู้ว่าเขาเรียกกันเล่นๆว่า สายแรก
ขอบคุณนะคะ