พักผ่อนที่ซีเอสปัตตานี
เดิมทีการเดินทางออกจากหาดใหญ่ของชาวคณะ สสสส.๒ มีรถทหารมาคอยอารักขา ลุงเอกเห็นไม่เข้าท่าจึงได้ปรามขอพวกเขาให้อยู่ห่างๆพวกเรา ซึ่งทำสำเร็จแค่บางส่วน
ระยะทางที่เดินทางจากปัตตานีไกลแค่ไหน ไม่ได้สังเกตกันเท่าไร หลายคนที่นั่งด้วยกันมาได้คุยแลกเปลี่ยนกันในหลายแง่มุม ใครมีขนมอร่อยๆก็นำออกมาแบ่งปันกันชิม
สองข้างทางที่รถวิ่งผ่านมีบรรยากาศร่มรื่น บางช่วงของถนนสงบเงียบ โล่งผิดกับถนนในเมืองใหญ่ บางช่วงของถนนก็ปลูกไม้ประดับไว้ทำให้มีสีสัน ความโล่งและความเงียบที่สัมผัส ไม่ได้กดดันให้รู้สึกไม่ปลอดภัยเลยค่ะ รู้สึกธรรมดาๆเหมือนอยู่บนถนนนอกเมืองในเมืองชนบทอะไรอย่างนั้นแหละค่ะ
บรรยากาศบนเส้นทางของการเดินทางจากหาดใหญ่ไปปัตตานีในยามบ่ายวันหนึ่ง
กว่าจะถึงปัตตานี รถวิ่งผ่านจุดตรวจของทหารไปหลายด่านเหมือนกัน เดินทางคราวนี้ไม่เห็นเงาทหารในแต่ละด่านค่ะ หรือว่ายังไม่ถึงเวลาตั้งด่านมั๊ง
การเดินทางสิ้นสุดลงที่โรงแรมซีเอสปัตตานี เห็นโรงแรมแล้วแปลกใจกับความงดงามที่เห็น บรรยากาศภายนอกรอบๆ สงบเงียบเหมือนโรงแรมในพื้นที่ตากอากาศทั่วๆไปยังไงยังงั้น
ถึงที่หมายกันแล้ว ทุกคนก็พาตัวลงจากรถ ลำเลียงสัมภาระส่วนตัวไปเช็คอินห้องพัก เดินผ่านเข้าไปในล็อบบี้จึงเห็นความต่างกับโรงแรมอื่นตรงที่ทางผ่านเข้าล็อบบี้มีประตูตรวจจับอาวุธเหมือนสนามบิน
ชุลมุนกันเล็กน้อยตอนเช็คอินที่มีการเปลี่ยนแปลงเพื่อนร่วมห้องโดยไม่รู้ล่วงหน้ากัน ระหว่างเช็คอินได้ยินนัดหมายจากน้องปอว่า ๖ โมงเย็นให้ไปพบกันที่ห้องประชุมเพื่อดูงานต่อ
บรรยากาศการดูงานในช่วงเย็นในห้องประชุมโรงแรมซีเอสปัตตานี
กิจกรรมช่วงเย็นของวันนี้ เป็นการเรียนรู้จากกลุ่มตัวแทนภาคประชาสังคมในพื้นที่ปัตตานีที่มีทั้งหญิง ชาย และเยาวชน ระหว่างนั่งเรียนรู้จากพวกเขา เพื่อนรุ่นพี่ของฉันที่มีภูมิลำเนาอยู่ในปัตตานีก็พาตัวมาให้ได้พบ เราใช้เวลานั่งสนทนากันที่บริเวณลานนั่งชิมโรตีและชาชักของโรงแรมจนกิจกรรมในห้องเรียนจบลงจึงแยกจากกัน
กลุ่มประชาสังคมมุสลิม-พุทธที่มาแบ่งปันมุมมองของตนให้ฟัง (ทนายความ แม่บ้าน+นักข่าว นักศึกษา และสว.)
บรรยากาศของกิจกรรมในห้องช่วงเย็นนี้มีสีสันจากเรื่องเล่าของผู้รู้ในพื้นที่ที่นำเรื่องราวในมุมของตนมาแลกเปลี่ยน มีทั้งทนายความ แม่บ้าน นักศึกษา และสว. มาแลกเปลี่ยนในหัวข้อ “สถานการณ์และแนวทางการแก้ไขปัญหาความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วยสันติวิธี” ค่ะ
เรื่องราวที่ผู้อยู่บนเวทีนำมาแบ่งปันชี้มุมให้ฉันเห็นว่า สตรีมุสลิมเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ของสังคมมุสลิมถ้ามีโอกาสทำงานแบบผู้หญิงแถวหน้าขับเคลื่อนสังคมอย่างได้รับการยอมรับ ชายมุสลิมที่ออกมาอยู่แถวหน้าเป็นผู้มีการศึกษาเสียเป็นส่วนใหญ่
ส่วนการที่ไทยพุทธได้รับการยอมรับจากสังคมมุสลิมอย่างเป็นเอกฉันท์นั้นเกิดจากการให้อย่างจริงใจและทำงานด้านสังคมแบบกัดไม่ปล่อยของผู้นั้นค่ะ
สิ่งที่ฉันได้ยินจากปากตัวแทนนักศึกษาบนเวทีเรื่องการปกครองและประวัติศาสตร์ ฉันว่ามีความละเอียดอ่อนของการแปลความอยู่นะคะ ฉันฟังแล้วได้มุมบวกว่าสิ่งที่คนรุ่นปัจจุบันยังติดข้องไม่ได้อยู่ที่การอยากแยกตัวเป็นอิสระ หากแต่เป็นความอยากให้ยอมรับว่า ความเจริญรุ่งเรืองของแผ่นดินนี้มีจริงในยุคประวัติศาสตร์ต่างหาก
สิ่งที่ติดข้องในใจของเขาก็มาจากฐานรากที่ถูกปฏิเสธนี้เองก่อผลทางความคิดให้อยากกอบกู้สถานะทางสังคมของคนพื้นถิ่นคืนมา และสิ่งที่ติดข้องนี้แหละที่หนุนนำให้อัตลักษณ์มีความสำคัญในมุมมองของคนมุสลิม เติบโตขึ้นมาแล้วแสดงออกด้วยรูปแบบของการเรียกร้องให้สนใจ
สำหรับความติดข้องต่อการปกครอง ฉันฟังว่าเขาติดข้องผู้ปกครองในประวัติศาสตร์ซะมากกว่า ไม่รู้สึกว่าเขาปฏิเสธผู้ปกครองในปัจจุบัน ไม่รู้สึกว่าเขาปฏิเสธราชวงศ์ และรู้สึกว่าเขาปฏิเสธทหารอยู่บ้างจากเรื่องราวที่เขาเล่าเกี่ยวกับความคิดของบิ๊กจิ๋ว
ชาวมุสลิมให้เกียรติสตรี งานนี้สตรีจึงได้สิทธิพูดก่อน มุสลิมพูดครบคนแล้วจึงเป็นพุทธพูดค่ะ ส่วนคนฟังฟังไปด้วยกินไปด้วยค่ะ
ฉันสัมผัสว่าสตรีที่เป็นตัวแทนรู้สึกว่าเขาเป็นเหยื่อของระบบการเมืองมานาน เรื่องนี้ฉันแปลจากมุมมองด้านวิธีการงบประมาณและงวดการให้ที่เขาแบ่งปันความรู้สึกออกมาให้รู้
ที่จริงวิธีการงบประมาณและงวดการให้อย่างที่เขาบอกเล่านี้ในพื้นที่ของฉันก็เกิดขึ้นไม่ต่างกับเขาหรอก แลกเปลี่ยนเอาไว้ซะเลยว่าที่มีปัญหามิได้มาจากผู้บริหารระดับสูงเลย หากแต่มาจากฝีมือทีมงานที่รองรับในแต่ละระดับไล่เรียงลงมาซะมากกว่าที่ทำงานไม่เข้าขากันแล้วทำให้เกิดความล่าช้า
แทบไม่น่าเชื่อว่าเรื่องธรรมดาๆที่ในพื้นที่ฉันไม่ได้ถือเป็นสาระอย่างนี้จะสามารถก่อผลให้เกิดความรู้สึกว่าภาครัฐไม่จริงใจต่อการแก้ปัญหาอย่างที่ได้ยินจากผู้คนบนเวทีเลยค่ะ
มุสลิมทุกท่านที่ขึ้นเวทีพูดสอดคล้องกันเป็นเอกภาพในมุมมองต่อสันติ สภาพการณ์ที่เขาเล่านั้นเหมือนเรื่องปอบที่พีบู๊ดเคยเขียนในลานปัญญาเลยอ่ะ สัมผัสเจตนาได้ว่าพวกเขาเองนั้นยอมรับสันติวิธีและอยากให้มีการเจรจา ฟังแล้วดูเหมือนเขาเล่าให้เห็นเงาของผู้นำที่แฝงตัวอยู่เบื้องหลังเป็นเงาๆว่าพร้อมที่จะคุยแลกเปลี่ยนความคิดนะคะ
หลายเรื่องที่ได้ฟังจากเขาก็มีมุมมองต่างกันอยู่ เป็นมุมมองที่ต่างออกไปด้วยฐานการตัดสินที่เกิดจากความคิดและความเชื่อที่ต่างมุมกัน ความไม่เป็นเอกภาพนี้เป็นอุปสรรคต่อการลงมือแก้ปัญหาร่วมกันโดยทุกฝ่ายในแง่ของเวลาที่ต้องการสำหรับการแก้ปัญหาร่วมกัน ดูเหมือนฉันสัมผัสได้ว่าในกลุ่มของเขายังระแวงบุคคลฝ่ายรัฐอยู่ดี จึงเกิดปรากฏการณ์นี้ขึ้น
ชาชักและโรตีแสนอร่อยนี้ถูกนำมาเสิร์ฟให้คนฟังได้ฟังไปกินไปค่ะ
มีสิ่งที่หลุดจากปากผู้อยู่บนเวทีฉายภาพย้ำฉันในเรื่องที่เรียนรู้จาก DSW สิ่งที่ควรเปลี่ยนและจริงใจกับแก้ไขเป็นประเด็น “การใส่หัวใจของความเป็นมนุษย์ลงไปในตัวตนของคนภาครัฐ และเติมเต็มส่วนที่อ่อนแอให้ประชาชน” อยู่ดี
เรื่องราวที่เก็บประเด็นได้ว่าเป็นความอยากให้ลงมือทำต่อก็เป็นเรื่องง่ายๆ ขอเพียงมีใจของ “service mind” อยู่ในใจของคนภาครัฐ เพิ่มความยืดหยุ่นหน้างาน เรื่องราวเหล่านี้ทำได้ไม่ยากเลย :
ขอให้อบรมให้คิดเป็น
นโยบายให้ไว้แล้วอย่าให้ขัดแย้ง รับผิดชอบต่อการปฏิบัติหน้างานให้หน่อย
ใช้ความต้องการของชุมชนเป็นตัวตั้งของการพัฒนา
อาชีพที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตแล้วขอให้ผลักดันเป็นนโยบาย
ดูแลความเท่าเทียมด้านสิทธิพื้นฐานด้านความยุติธรรมระหว่างประชาชนด้วยกัน และระหว่างประชาชนกับเจ้าหน้าที่รัฐให้ด้วย
เคารพในความแตกต่าง นับถือและให้เกีียรติอย่างเป็นมนุษย์ที่เท่าเทียมกัน
ปรับสัมพันธ์การส่งต่อข้อมูลเกี่ยวกับการกระทำความผิดที่พิสูจน์แล้วว่าผู้อยู่ในรายชื่อเป็นแพะระหว่างหน่วยงานให้เร็ว เพื่อให้ฐานข้อมูลถูกต้องตรงกัน ทันปัจจุบัน
ขอให้ปรับวัฒนธรรมการทำงานให้มีวิถีที่สอดคล้องกับวัฒนธรรมในพื้นที่
ขอให้มูลนิธิทนายมุสลิมเป็นหลักในการให้ความช่วยเหลือด้านคดีความมั่นคงที่มีชาวมุสลิมเข้าไปเกี่ยวข้อง
บรรยากาศในห้องอาหารที่อวลอุ่นไปด้วยมิตร ไมตรีจากเจ้าของพื้นที่
มีเรื่องน่าแปลกตรงที่ไม่ได้ยินเรื่องยาเสพติด การค้าชายแดน และ การสาธารณสุขในพื้นที่ที่ผู้คนบนเวทีบ่นหรือบอกเล่าออกมาเลยค่ะ
เมื่อกิจกรรมจบลง ทุกคนก็แยกย้ายกันไปเติมท้องให้อิ่มที่ห้องอาหารใกล้ๆกัน ยามค่ำคืนนี้มีโรงเรียนในพื้นที่นำการแสดงมาต้อนรับทีมของเราด้วย ๒ ชุด ชุดหนึ่งเป็นโขน ชุดหนึ่งเป็นการรำฟ้อนลีลาภารตะภายใต้เพลงเพราะๆที่ไม่รู้จักชื่อค่ะ
อิ่มกันแล้ว ฉันกับน้องอุ้ม (เกษรา รื่นภิรมย์) เพื่อนร่วมห้องก็ขึ้นไปห้องพัก แล้วสานเสวนาระหว่างเรา ๒ คนก็เกิดขึ้นอย่างสนุกสนาน
เราช่วยกันถอดบทเรียนสิ่งที่ได้เรียนรู้แล้วรวบรวมไว้ทำการบ้านของกลุ่มแล้วพบว่ามีคำตอบโจทย์ของ ๔ส.รุ่น ๑ ในบางส่วนที่เราเริ่มมองเห็นด้วยกัน กว่าจะหยุดการสนทนาและวางงานเข้านอนกัน เวลาค่ำคืนก็ล่วงเลยยามสองไปแล้วมากโข
น้องอุ้มทำให้ฉันทึ่งกับการนำหลักวิชาสันติวิธีที่เรียนในห้องเรียนมาใช้ได้อย่างคล่องแคล่ว ขอบคุณน้องอุ้มที่ช่วยสอนโดยไม่สอนวิธีประยุกต์ใช้หลักวิชาสันติวิธีให้ฉันปิ๊งกับการใช้มันได้ดีขึ้นนะคะ
เข้านอนแล้วก็หลับสนิท วางใจกับความปลอดภัยที่ได้รับการดูแลจากเจ้าของสถานที่เต็มร้อยเลยค่ะ
ขอบคุณอ.แป๋ว(รื่นวดี สุวรรณมงคล) น้องสาวคนสวยของเจ้าของสถานที่ และสว. อนุศาสน์ สุวรรณมงคล เจ้าของสถานที่ที่เือื้อเฟื้อ อำนวยความสะดวกและดูแลให้รู้สึกปลอดภัยตลอดเวลาที่อยู่ซีเอสปัตตานีค่ะ
ขอบคุณน้องอดุลย์ (อดุลย์เดช แจ๊แน) เพื่อนร่วมรุ่นที่ให้เกียรติชวนไปพักที่บ้านนะคะ มาคราวนี้ไม่ได้ไปขอต๊ะไว้ก่อน คราวหน้าถ้าได้มาอีกรบกวนให้ดูแลด้วยค่ะ
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๓
« « Prev : เยี่ยม Deep South Watch
ความคิดเห็นสำหรับ "พักผ่อนที่ซีเอสปัตตานี"