ไม่ใช่เรื่องสมมติ
ที่จริงสัปดาห์แรกของเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๓ นั้น มีเรียนอยู่ ๒ วันเช่นเคย แต่ฉันได้แวะเข้ามาร่วมเรียนแค่วันที่ ๗ พฤษภาคมวันเดียวเท่านั้น อีกวันพาตัวหายไปทำงานกับกลุ่มเฮฮาศาสตร์ที่สวนป่าค่ะ ไปมาแล้วถือว่าเป็นโชคดีของชีิวิตอีกมุมที่ได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนความคิดและความรู้กับคนอีกกลุ่มที่ทำงานเพื่อเยียวยาสังคมอยู่อย่างเงียบๆตลอดมา
คนกลุ่มนี้นำทีมโดยครูที่เป็น “ครู” ทั้งเนื้อทั้งตัวโดยธรรมชาติเชียวแหละ ท่านผู้นี้เป็นผู้รู้คนหนึ่งในเรื่องของสันติวิธีนะคะ ขอชวนตามเรียนรู้จากท่านกันค่ะ
เมื่อเข้าห้องเรียนในเช้าวันที่ ๗ พฤษภาคมนั้น ฉันก็พบว่าที่นั่งเรียนถูกสับเปลี่ยนใหม่แล้ว ที่นั่งของฉันถูกโยกมาอยู่ทางเดินริมสุดคนละซีกห้องกับทิศเดิม โชคดีหน่อยที่ไม่ถูกโยกไปอยู่ด้านหน้าเกินไป ไม่งั้นคงเมื่อยคอหน้าดู ก็ฉันไม่คุ้นกับการนั่งแถวริมๆเลยอ่ะค่ะ นั่งทีไรรู้สึกมีปัญหากับคอตัวเองทุกทีไป
เป็นการโยกที่นั่งที่แปลกเพราะใช้การโยกทั้งแถวย่อยมานั่งที่ใหม่ ผู้คนที่นั่งใกล้กันจึงไม่เปลี่ยนแปลง ไม่รู้ที่โยกที่นั่ง คนโยกให้นั้นหวังให้เกิดอะไรขึ้น บันทึกไว้เฉยๆ ไม่ได้อยากรู้คำตอบหรอกนะ
บรรยากาศในห้องเรียน เช้าวันนี้โค๊ชหรั่งทำหน้าที่แนะนำวิทยากรค่ะ
เกริ่นแนะนำไปแล้วว่าวันนี้ได้ยินได้ฟังเรื่องที่ตื่นตาตื่นใจด้านประวัติศาสตร์ วันนี้เป็นครั้งที่ ๒ ที่ได้ยินคำว่า “ภูมิรัฐศาสตร์” หลังจากได้ฟังครั้งแรกจากปากลุงเอก ผู้ที่มาเล่าใช้ความเชี่ยวชาญของตนด้าน “ภูมิรัฐศาสตร์” นี่แหละค่ะรวบรวมเรื่องราวมาได้ เป็นวิทยากร ๑ ใน ๒ ท่านของวันนี้ มาจากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์วิทยาเขตปัตตานีค่ะ
เรื่องที่ได้ฟังบอกว่าคำเรียกขาน “รัฐปัตตานี” ไม่ใช่เรื่องสมมติที่ตั้งขึ้นเพื่อเรียกร้องอดีต เป็นเรื่องจริงที่หากนำมาเล่าด้วยสไตล์เล่านิยายให้ฟังจะทึ่ง อึ้ง และภูมิใจกับเมืองไทยขึ้นอีกมากมายนัก อีกทั้งยังมีหลายแง่มุมที่คนในยุคสมัยเข้าใจผิดเพี้ยน คลาดเคลื่อน
คลาดเคลื่อนอย่างไร เข้าใจผิดอย่างไร เล่าต่อๆกันมาเพี้ยนอย่างไร ฉันจะพยายามแกะรอยภาษาประวัติศาสตร์มาเล่าทีละน้อยๆแล้วท่านสรุปของท่านกันเองก็แล้วกันค่ะ ว่าแล้วก็เริ่มแกะรอยมาเล่าซะเลยดีกว่าเนอะ
ยุคสมัยที่แกะรอยมาเล่านี้ขอย้อนไปเริ่มที่พ.ศ. ๒๔๗๖ ก่อนค่ะ ในตอนนั้น ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ยะลา ปัตตานี นราธิวาส ยังไม่เป็นจังหวัด ซึ่งแม้จะยังไม่เป็นจังหวัด ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่เจริญนะคะ
เชื่อว่าถ้าเอ่ยชื่อต่อไปนี้หลายคนคงรู้หรือคุ้นหูอยู่แล้วและร้องอ๋อ จะเชื่อกันมั๊ยว่าสิ่งนี้คือหลักฐานของการมีอยู่ของรัฐโบราณอ่ะ ชื่อที่ว่า็คือ “ซาไก” “เซมัง” ไงค่ะ นี่คือเรื่องจริงที่นักภูมิรัฐศาสตร์ใช้เป็นหลักฐานยืนยันว่ารัฐโบราณมีจริงค่ะ
หลักฐานที่พบและเสริมให้เชื่อได้ว่าเมื่อย้อนไปถึงยุคสมัยก่อนหน้าอีกช่วงหนึ่งนั้น คนกลุ่มนี้เคยอยู่ร่วมกับคนโบราณของพื้นถิ่นใต้และคนโบราณเหล่านี้ก็เป็นบรรพบุรุษของผู้คนในถิ่นใต้ที่มีวิถีและวัฒนธรรมอันเจริญมาตั้งแต่เก่าก่อนก็คือ ภาพเขียนสีโบราณ ขวานหินที่พบในจังหวัดยะลา
ยุคสมัยที่ว่านี้คำนวณอายุแล้วโบราณกว่า ๓ พันปีที่ผ่านมาเชียวนะคะ ไม่น่าเชื่อเลยใช่มั๊ยว่า ความแก่ของประวัติศาสตร์ในพื้นถิ่นนี้จะยาวนานขนาดนี้
ใครบ้างหนอที่ไม่ภูมิใจกับพื้นถิ่นที่มี สิ่งที่สังคมให้ค่าฝังอยู่ ถ้าเห็นด้วยว่าความภูิมิใจนี้ควรได้หล่อเลี้ยงความรู้สึกด้านดีๆไว้ตราบนาน เท่านานโดยไม่เบียดเบียนกันและกันเลย…ดีกว่าอื่นใดอยู่แล้ว…ก็ชวนให้ ช่วยกันลงมือทำซะ…เริ่มที่ตัวเองก่อนใครอื่นนั่นแหละดีนักเชียว
การย้อนยุคไปพบหลักฐานนี้แหละค่ะที่ทำให้ได้รู้ที่มาของคำว่า “สุวรรณภูมิ” แล้วได้รู้ว่าชาวอาหรับ อินเดียเข้ามาในผืนดินไทยตั้งแต่ยุคโบราณแล้ว เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในพื้นที่นี้ก็คล้ายๆที่เคยเล่าเรื่องไว้เมื่อไปเรียนรู้นอกพื้นที่ที่จังหวัดอยุธยายังไงยังงั้น คือ การค้าขายทำให้คนพื้นถิ่นได้เรียนรู้วัฒนธรรมที่ต่าง รับรู้ศาสนาที่ต่าง การยอมรับได้กับศาสนาฮินดูเกิดขึ้นในยุคนี้
การได้รู้จักกันและทำการค้าต่อกันทำให้ค่อยๆก่อเกิดการตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนที่ปากแม่น้ำและบริเวณที่ทำการค้าต่อกันได้สะดวก ชายฝั่งในพื้นถิ่นกลายเป็นจุดนัดพบของนักเดินเรือที่ทำการค้า สุดท้ายบ้านเรือนก็ขยายตัวกลายเป็นเมือง
หากให้ระบุเวลาที่ชัดเจนเพื่อให้เห็นความต่อเนื่องของเวลาของเหตุการณ์ที่เล่ามานี้ ก็ให้ตั้งหลักที่ พ.ศ. ๗๐๐ แล้วย้อนกลับไปอดีตอีกราว ๒ พันปีค่ะ เก่ามากๆเลย ใช่มั๊ยค่ะ
ชื่อเรียกแผ่นดินว่า “สุวรรณภูมิ” ก็เกิดขึ้นในยุคนี้แหละค่ะ แปลจากชื่อก็หมายถึง “แผ่นดินทอง” เนอะค่ะ หลักฐานที่พบว่าพื้นถิ่นนี้มีทองอยู่ซึ่งอธิบายที่มาของคำนี้อยู่ในภาพข้างบนนั่นแหละค่ะ
นี่คือเรื่องราวย่อยๆที่ได้ฟังมาในชั่วโมงเรียนค่ะ ถ่ายทอดและแบ่งปันโดยรองศาสตราจารย์ ดร.ครองชัย หัตถา จากคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี และอาจารย์อิสมาอิล เบญจสมิทธิ์ นักประวัติศาสตร์ท้องถิ่น นักวิชาการอิสระ
ทั้ง ๒ ท่านมีสิ่งที่กำลังทำด้วยหลักคิดว่า “ความภูมิใจของพื้นถิ่นเป็นความภูมิใจร่วมของคนทั่วไป พื้นถิ่นปักษ์ใต้ที่มีอารยธรรมที่ต่อเนื่องยาวนานที่คนไทยสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ภูมิใจจึงควรเป็นความภาคภูมิใจร่วมของคนไทยทั่วไปด้วย”
หนังสือหลายๆเล่มที่ฉันถ่ายภาพมาใส่ไว้ในบันทึก การให้เกียรติมาเป็นวิทยากรในหลักสูตร สสสส.๒ ก็เป็นส่วนหนึ่งของการลงมือทำของท่าน
สัมผัสที่ฉันรับรู้และรับฟังนี่แหละค่ะที่ทำให้ฉันทึ่งและอึ้ง ท่านกำลังเผยแพร่ความภูิมิใจของคนไทยกันอยู่นะคะ ยิ่งรู้สึกดีกับถิ่นแดน ๓ จังหวัดชายแดนใต้ยิ่งขึ้นไปอีกมากมายเลยค่ะเมื่อได้รับรู้เรื่องราว
สัมผัสนี้ทำให้เข้าใจหลักคิดของวิทยากรทั้ง ๒ ท่านชัดเจนแจ่มแจ้งเลยค่ะ
ความภูมิใจทำให้เกิดการรับรู้และเรียนรู้ เกิดความเข้าใจและเกิดความเป็นเจ้าของประวัติศาสตร์ร่วมกัน และความมีส่วนร่วมเป็นเจ้าของนี้จะช่วยเพิ่มสันติและเพิ่มไมตรีที่มีต่อกันของผู้คนจากความเข้าใจนั้น…..จริงๆนะคะ
ไม่ต้องหาว่าจะเริ่มทดลองที่ใครเลยค่ะ เริ่มที่ตัวเองก่อนนี่แหละ เมื่อความเข้าใจเกิดขึ้นอย่างจริงแท้แล้ว กรอบความคิดบางอย่างจะถูกปอกทิ้งไป กลายเป็นความคิดและความรู้สึกใหม่ค่ะ
นี่คือสิ่งที่ ๒ ท่านกำลังช่วยกันทำให้เกิดเพื่อประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์ด้วยกันค่ะ
การที่ท่านลงมือช่วยกันทำ เพราะท่านค้นพบปัญหาค่ะ มีรายละเอียดอย่างไรอยู่บ้างของเรื่องนี้ ฉันจะพยายามย่อยมาเล่าพอสังเขปต่อไป
ที่ออกตัวว่าขอย่อยมาเล่าพอสังเขปก็เพราะประวัติศาสตร์ของถิ่นแดนนี้เป็นเรื่องยาวกว่า ๕-๖ ตอนเชียวนะคะกว่าจะเข้าใจความเป็น “รัฐปัตตานี”
ใครใจร้อนอยากรู้เรื่องราวก่อน หาหนังสืออ่านเองได้นะคะ อาจารย์แจ้งว่ามีขายที่ศูนย์หนังสือจุฬาค่ะ
« « Prev : แหม!
1 ความคิดเห็น
สุวรรณภูมิ นอกจากจะเป็นเมืองโบราณที่คณะสมณฑูตนำโดยพระโสณะและพระอุตตระเดินทางมาเมื่องสองพันกว่าปีก่อนแล้ว ก็ยังเป็นชื่ออำเภอหนึ่งของไทย และหลังสุดเป็นชื่อสนามบินอีกด้วย…
เคยอ่านข้อวินิจฉัยว่า สุวรรณภูมิตามคัมภีร์นั้งคือสถานที่ใดกันแน่ อ่านแล้วก็สนุกดีเหมือนกัน มีการคาดหมายไว้หลายที่ เท่าที่จำได้ก็คือ พม่า ไทย และอินโดนีเซีย……
ตามความเห็นส่วนตัว เมืองสุวรรณภูมิตามคัมภีร์นั้น มีอยู่จริง แต่เรื่องราวตามคัมภีร์ที่บรรยายขัดแย้งกัน จึงอาจต้องคาดหมายไปอีกว่า……………..
และนี้คือตัวอย่างตามคัมภีร์ที่มีชื่อเมืองสุวรรณภูมิปรากฎดู ค้นหามาฝากโยมคุณหมอ…
เจริญพร