ไม่ใช่นักฟันธง
จวนถึงเวลาพักเบรคเช้า อาจารย์หมอก็ให้น้องปอไปตามดูว่า อาจารย์ที่จะมาสอนแทนนั้นมาหรือยัง เมื่อรับรู้ว่าสามารถส่งไม้การสอนต่อให้อาจารย์ท่านใหม่ได้ อาจารย์ก็ให้พักแล้วก็จากไป พวกเราที่นั่งกันอยู่ก็พากันไปคลายเนื้อคลายตัวกันตามอัธยาศัย จนได้เวลาก็พาตัวเข้ามาพบกับอาจารย์ท่านใหม่ อาจารย์ที่มาสอนแทนอาจารย์หมอคือ อาจารย์ศุภณัฐ เป็นอาจารย์สอนอยู่ที่สถาบันพระปกเกล้าแห่งนี้ด้วยค่ะ
ซ้ายคืออาจารย์หมอวันชัย วัฒนศัพท์ ขวาคืออาจารย์ศุภณัฐ
อาจารย์เริ่มต้นด้วยสไลด์ดอกกุหลาบสุดสวย ที่ชวนให้ทุกคนมองดูแล้วบอกเล่าสู่กันว่าเห็นดอกกุหลาบสีอะไร ส่วนใหญ่ก็ตอบว่าสีชมพู แต่ก็มีบางคนมองไปที่จอทีวีแล้วบอกเป็นคนละสี จากนั้นอาจารย์ก็เปลี่ยนรูปที่ขึ้นจอเป็นรูปใหม่ พร้อมทั้งชวนให้หาว่ามีรูปหน้าคนอยู่เท่าไรในภาพ ดูกันไปแล้วก็ไม่มีคำเฉลยหรอกนะคะ
เมื่ออาจารย์ศุภณัฐ ทดสอบนักเรียนโข่งแล้วพบว่า มีหลายเรื่องพื้นฐานที่ยังไม่ได้มีการปูความรู้ให้ อาจารย์ก็เลยทวนกลับไปเพื่อเติมความรู้ให้ค่ะ ขอบคุณอาจารย์นะคะ
เรื่องแรกที่อาจารย์แบ่งปันก็เป็นการชวนให้เห็นมุมมองของบริบทค่ะ อาจารย์พูดถึง “คนละเป้า คนละบริบท คนไม่เหมือนกัน อารมณ์ไม่เหมือนกัน” เหล่านี้แหละค่ะ
สิ่งที่อาจารย์ย้ำก่อนที่จะเติมต่อความรู้ให้ก็เป็นเรื่องเตือนว่า “สิ่งแรกที่จะเป็นคนแก้ความขัดแย้ง ต้องเป็นนักกระบวนการ ไม่ใช่นักฟันธง จัดกระบวนการให้มีส่วนร่วม ทำให้รู้สึกเป็นเจ้าของ แล้วตัดสินใจ”
อาจารย์ได้ช่วยขยายความให้เกิดความเข้าใจที่ลึกขึ้นกับเรื่องหมวดหมู่ของความขัดแย้ง ๕ หมวดที่เคยเล่าให้ฟังค่ะ สิ่งที่อาจารย์ช่วยเติมเป็นมุมของความยากและง่ายในการจัดการกับมัน รวมทั้งยกตัวอย่างโดยสังเขปซึ่งช่วยเพิ่มความเข้าใจค่ะ
แกะรอยตามไปรู้จักมันทั้ง ๕ หมวดแล้วก็มาดูความยากง่ายในการจัดการกัน อาจารย์แบ่งปันว่า ความขัดแย้งด้านข้อมูลข่าวสาร ด้านผลประโยชน์ และด้านความสัมพันธ์ จัดการง่ายกว่า ความขัดแย้งด้านค่านิยมและโครงสร้าง
ที่จะเล่าต่อไปนี้เป็นตัวอย่างของความขัดแย้งและวิธีแก้ที่อาจารย์นำมาแบ่งปันให้รู้ค่ะ
ความขัดแย้งด้านข้อมูล มีหลายรูปแบบ เช่น ขาดข้อมูล ผิดพลาด แปลไม่ตรงกัน ความแตกต่างในการเก็บและการศึกษา เช่น ความยาวห้อง ปะการังเสื่อม ท้อง ความขัดแย้งอย่างนี้แก้ง่ายด้วยการตั้งเกณฑ์ และลงมือพิสูจน์
ความขัดแย้งด้านผลประโยชน์ เนื้อหาส่วนใหญ่จะเป็นเรื่อง เิงินทอง ทรัพยากรที่เป็นรูปธรรม เวลา การแย่งชิงผลประโยชน์ การตัดเค๊ก ความขัดแย้งอย่างนี้แก้ง่ายด้วยการทำให้เกิดความเชื่อ ทำให้เกิดความยุติธรรม
ความขัดแย้งด้านความสัมพันธ์ มีหลายแบบเหมือนกัน เช่น อารมณ์ที่รุนแรง การรับรู้ที่คลาดเคลื่อน การสื่อสารที่ไม่มีทัศนคติตายตัว ความประพฤติเชิงลบซ้ำซาก การสื่อสารผิดพลาด การสื่อสารไม่ดี วิธีแก้ คือ ต้องสื่อสาร ปรับมุมมองให้ตรงกัน แก้แบบอ่อนกับคน แข็งกับปัญหา
ความขัดแย้งด้านค่านิยม ที่บอกว่าแก้ยากกว่า ๓ ด้านข้างบน ก็มีรูปแบบต่างๆไป เช่น ปรัชญาความเชื่อไม่ตรงกัน ค่านิยมต่างกัน ประสบการณ์พื้นฐาน การศึกษา วัฒนธรรม ประเพณีต่างถิ่น อาจารย์ไม่ได้แบ่งปันวิธีแก้ให้ได้รู้ค่ะ แค่ยกตัวอย่างกรณีสว.คนดังที่มีข่าวกับการขึ้นพระธาตุในภาคเหนือให้ฟังเท่านั้นเองค่ะ
ความขัดแย้งด้านโครงสร้าง ที่เป็นอีกด้านที่แก้ยาก ก็มีหลากรูปแบบ เช่น การแย่งชิงอำนาจ ความไม่เท่าเทียมกัน ความไม่ยุติธรรมของกฏหมาย การปกครอง เช่น การกระจายอำนาจด้านการศึกษา การปรับโครงสร้างระบบราชการไทย อาจารย์แนะนำวิธีแก้ว่า เวลาจัดการให้ดูพร้อมๆกัน เพราะว่าเรื่องราวของมันผสมอยู่ในเรื่องอื่นๆเสมอ
คำหนึ่งที่อาจารย์ใช้คือคำว่า “ดูแบบบูรณาการ” ซึ่งฉันเห็นว่าเป็นคำที่เป็นนามธรรม ทำให้จับต้องยากอยู่เหมือนกันในเรื่องของความหมายอย่างเจาะจงเพื่อให้เข้าใจ อย่างไรก็ตามในเมื่อมันไม่ชัดพอ ก็คงต้องลองทวนความกับตัวเองดูค่ะว่าเข้าใจความหมายของมันว่าอย่างไร
สำหรับความเข้าใจของฉัน ฉันเข้าใจว่ามันคือการดูให้เห็นความขัดแย้งทุกอย่างที่คลุกผสมกันอยู่ในเรื่องเดียวกันค่ะ ที่เข้าใจอย่างนี้เพราะฉันไม่เคยพบความขัดแย้งใดที่มีอยู่เพียงด้านเดียวเดี่ยวๆเลยค่ะ
อาจารย์ได้ยกตัวอย่างเรื่อง “จุดยืน” และ “จุดสนใจ” รวมทั้งเปรียบเทียบแง่มุมความสัมพันธ์เพิ่มให้ด้วยเพื่อให้เข้าใจลึกซึ้งขึ้นค่ะ
ถ้าใช้คำพูดง่ายๆแปลความหมาย จุดยืนก็คืออะไรที่พูดออกมาว่าเป็นสิ่งที่ต้องการ จุดสนใจคือสิ่งที่ต้องการจริงๆ โดยที่มีสิ่งที่อยู่ลึกที่สุดภายในความคิดความปรารถนาแฝงอยู่ นั่นก็คือสิ่งจำเป็นที่ขาดไม่ได้
อาจารย์ทวนเรื่องของการใช้สามเหลี่ยมแห่งการจัดการความขัดแย้งโดยยกตัวอย่างง่ายๆใกล้ตัวมาทำความเข้าใจด้วยค่ะ สังเกตดูการไม่สนความต่าง และการหาความเหมือนมาใช้ประโยชน์ในตัวอย่างที่ยกมาให้เรียนกันเองนะคะ
แล้วอาจารย์ก็เล่าต่อว่า ในวันประวัติศาสตร์ที่มีการเจรจาระหว่างรัฐบาลกับแกนนำเสื้อแดงที่ห้องประชุมสถาบันพระปกเกล้านั้น อาจารย์เก็บเกี่ยวเรื่องระหว่างการเจรจาลงใส่ในสามเหลี่ยมแห่งการจัดการความขัดแย้งได้ประเด็นอะไรบ้าง อย่างไร
เห็นสิ่งที่อาจารย์นำมาแลกเปลี่ยนแล้วฉันร้องโอ้โหในใจเลยค่ะ ก็ความสนกันในความต่างมันมากซะจนบดบังความเหมือนที่เป็นจุดสนใจร่วมไปซะงั้น มิน่าจึงพูดกันไม่รู้เรื่องเอาซะเลย…เฮ้อ
เห็นอนิจจังของอารมณ์ที่เกาะติดตัวคนที่เป็นจุดยืนของคนกันแล้วหรือยัง…เหอ…เหอ…เหอ…เห็นหรือยัง…ผลของการไม่แยกจุดยืนออกจากความเป็นคน…ปล่อยให้ตัวตนครอบงำตัวเอง…แล้วเป็นไง (ตรงนี้ไม่ได้กำลังว่าใคร เพียงแต่อยากเตือนใจตัวฉันเองเอาไว้ เตือน เตือน เตือน และเตือน…อิอิ )
เห็นตัวอย่างที่อาจารย์ทำไว้ให้ดู ก็ขอยกมือซูฮกกับความไวในการจับประเด็นเลยค่ะ
« « Prev : เสียงแท้จริงคือ………….
Next : เนินเขา พายุ และสันติภาพ » »
ความคิดเห็นสำหรับ "ไม่ใช่นักฟันธง"