ใจคนนั้นซับซ้อน..แม้แต่เจ้าของใจ…ก็ยังไม่ใคร่รู้จักมันเท่าไรเลย

โดย สาวตา เมื่อ 28 มกราคม 2010 เวลา 1:04 ในหมวดหมู่ ประสบการณ์ชีวิต, สังคม, เล่าสู่กันฟัง #
อ่าน: 1624

เช้าวันต่อมาอีกวัน ตื่นขึ้นมาด้วยความสดชื่น ฟ้ายังสลัวอยู่เลย อากาศเย็นๆเหมือนนอนอยู่สวนป่าอย่างไรอย่างนั้น ปรากฏว่าครูที่มาสมทบตอนดึกเมื่อคืนตื่นกันแล้ว น้องอ้อมยังนอนอุตุอยู่บนที่นอน ลงมาเดินเล่นชมทิวทัศน์ยามเช้าที่สงบ สัมผัสบรรยากาศแล้วนึกถึงเพื่อนพ้องน้องพี่ชาวเฮฮาศาสตร์ไม่เบา ก็ได้แต่คิดถึงงงงงงงงงงงงงงงงอยู่ในใจ และทำได้แค่ส่งแรงใจไปถึงทุกๆคน

จัดการตัวเองเรียบร้อยแล้ว น้องอ้อมก็ตื่นขอตัวกลับไปบ้าน บอกว่าอาบน้ำแต่งตัวเสร็จจะแวะกลับมารับไปร.พ.  จัดการเก็บข้าวของแล้วก็ลงมาสมทบกับครูที่ลานกินข้าว คนดูแลสถานที่มาจัดการอาหารเช้าวางไว้ให้แล้ว ที่นี่เขาเสิร์ฟน้ำร้อนต้มใส่ใบเตยผสมชะเอมไว้ให้ดื่มชื่นใจดี อาหารเช้าวันนี้เป็นขนมจีนน้ำยาปักษ์ใต้ แกงไตปลาและไข่ ตามเคยสังเกตเห็นครูสามคนที่มานั่งกินด้วยคว้าไข่กินมากกว่ากินผักทุกคนเลย เฮ้อ แล้วอย่างนี้จะให้เป็นแบบของเด็กเรื่องการกินผักเป็นนิสัยได้มั่งมั๊ยเล่านี่  อ้าว อดบ่นไม่ได้อีกแล้ว ไม่ได้จี๊ดแต่เป็นห่วงอนาคตของคนไทยที่เป็นลูกหลานของพวกเขาต่างหากเล่า

เดินทางออกมาถึงร.พ.อ่าวลึกเกือบเก้าโมงแล้ว เหตุจากน้องอ้อมมีผู้โดยสารกลับมาพร้อมด้วยสองคนคือน้องปูและแม่ของน้องอ้อม ทั้งคู่ติดรถมาจากบ้านเพื่อจะไปวัดกัน ทีแรกตั้งใจว่าไปส่งแล้วจะลงไปช่วยงานบุญกันสักครู่ก่อนเข้าร.พ. ปรากฏว่าติดขบวนแห่ฉลองซะนาน พาลกินเวลาที่มีจนหมดลง จึงตัดสินใจแค่ส่งสองคนให้ลงรถ แล้วฉันกับน้องอ้อมก็พากันไปร.พ.

ปรากฏว่าไปถึงห้องประชุม เห็นกันก็แต่ทีมวิทยากรทั้งนั้นเลย ผู้เข้าร่วมมาให้เห็นหน้าไม่กี่คน ครูตุ๋ยรู้สึกยังไงไม่รู้ แต่คนอื่นนั้นดูเหมือนพยายามทำใจ สำหรับฉันนั้นตั้งใจแต่แรกแล้วว่าจะถือเอาจำนวนคนที่มาเข้าร่วมต่อเป็นเครื่องวัดความสำเร็จของกิจกรรมครั้งนี้ จำนวนคนที่มาร่วมในวันนี้ถ้าน้อยอย่างที่เห็น ก็ตัดสินใจได้เลยเรื่องการวางมือสานต่อเพื่อให้เกิดกิจกรรมที่ขยายผลไปเรื่อยๆ

ระหว่างรอคนมาร่วมให้มากหน่อย ฉันก็ใช้เวลาเชื่อมโยงสะหน้าให้ได้คุยทำความรู้จักกับครูจิต ครูกศน.สังกัดอำเภอเมือง เพื่อให้มีโอกาสได้แลกเปลี่ยนวิธีคิดของการทำงานและประสานสัมพันธ์จับมือกันร่วมเดินทางไปในเส้นทางสร้างคนในพื้นที่ของสะหน้า  การเชื่อมโยงได้ผลอย่างที่คาด ครูจิตรับปากจะไปเชื่อมสัมพันธ์ของสะหน้ากับครูในพื้นที่ตำบลให้ สะหน้ายินดีที่จะร่วมเดินไปบนเส้นทางสร้างคนในพื้นที่ และในบางโอกาสของการบริหารงบประมาณแผ่นดิน ทั้งสองส่วนงานอาจได้มีโอกาสแลกกันเป็นเจ้าภาพของการจัดกิจกรรม โดยหลักการแล้วกศน.จะเป็นกำลังให้ และให้สะหน้าช่วยเชื่อมโยงอบต.ให้เป็นนายทุนดูแลสังคม

รอจนมีคนมาร่วมพอสมควร ฉันก็ชวนให้ครูตุ๋ยเริ่มกิจกรรมเช้านี้ คนยังโหรงเหรงจึงชวนกันร้องเพลงรอกันไปก่อน จนกระทั่งคนมาเพิ่มขึ้น นับจำนวนแล้วถือว่างานนี้ทำงานสำเร็จค่ะ จำนวนคนที่มาเมื่อวานสี่สิบห้าคน วันนี้หายไปไม่ถึงสิบคน และคนที่หายไปนั้นเป็นบรรดาครูที่ส่งลูกศิษย์เข้ามา หาใช่ประชาชนที่มาเข้าร่วมไม่ วันนี้คุณแม่ลูกสามไม่ได้มาร่วมด้วย เด็ก 2 คนที่อายุน้อยที่สุดก็ไม่มา  การที่นักเรียนหายตัวไปได้ทั้งๆที่มีครูนำส่งมานี้ บอกให้รู้ว่าครูอ่อนประสบการณ์ในการจัดการกับกิจกรรมในลักษณะนี้เป็นแน่

แล้วก็เป็นความจริงเมื่อได้คุยกับครูจากอำเภออื่นที่มาช่วยว่างานนี้เป็นงานแรกที่กลุ่มครูเข้ามาทำงานร่วมกันเป็นทีมอย่างนี้โดยไม่มีการคุยกันก่อน รู้ก็แต่จะมีกิจกรรมขอให้คัดเด็กมาส่งให้แค่นั้นเอง  อย่างนี้ควรมีหลักสูตรสอนครูระดับปฏิบัติให้วางแผนงานเป็นด้้วยน่าจะดี ทำเป็นแต่แผนการสอนนะทักษะยังไม่สมบูรณ์หรอกนะ

กิจกรรมแรกที่เริ่มหลังการร้องเพลงคือชวนคุยสะท้อนเรื่องราวเรียนรู้จากวันวาน ป้อนคำถามไปแค่ว่า “เมื่อวานกลับไปกันแล้ว เป็นอย่างไรบ้าง ทำอะไรกันบ้าง”  ช่วงแรกๆก็ไม่ใคร่มีคนคุยอะไรให้ฟังเท่าไร สัมผัสว่ายังไม่แน่ใจในความปลอดภัยยังมีอยู่ ฉันจึงให้ครูเล่าเรื่องที่ครูได้เรียนรู้ ได้ใช้ชีวิตหลังเลิกกิจกรรมให้ฟัง วนจากครูได้ไม่กี่คน ผอก.กศน.อ่าวลึกก็พาตัวเข้ามาในห้องประชุม มาถึงก็ไปนั่งโซฟา ฉันจึงหันไปชวนให้ลงมานั่งในวงด้วยกัน ทีแรกก็ไม่ยอมลงมานั่งด้วย แต่เมื่อเข้าใจก็ลงมานั่งด้วย ครูบางคนแสดงท่าทีจะโยนไมค์กลับมาให้ผอก. แต่ฉันแกล้งยื้อไว้ให้พูดกันตามคิวไปทีละคน ด้วยขณะนั้นกำลังรื่นไหล เรื่องราวได้ถูกเล่าไหลออกมาอย่างที่ฟังแล้วรู้ว่า หลายๆคนกำลังเปิดใจของเขาออกมาทีละนิดๆแล้ว ประตูใจเิ่ริ่มแง้มบานแล้ว

จนกระทั่งมาถึงคิวครูพรเล่าจบแล้ว ฉันจึงยอมให้ไมค์กับผอก. ทักษะการปรับตัวของผอก.เก่งทีเดียว ตาเหลือบมองกระดาษเขียนบันทึกสั้นๆที่กระบวนกรปิดผนังไว้แล้วอ่านคำหนึ่งขึ้นมา “อยู่อย่างมีความหมาย” แล้วอธิบายความตามความคิดของตัวในเชิงชวนคุยและทักทาย คุยๆไปฉันสัมผัสได้ว่าในส่วนลึกของผอก.ยังมีความไม่เข้าใจหลายๆประเด็นแฝงอยู่และพยายามหาคำตอบจากสิ่งที่เห็นตรงหน้า จากสิ่งที่ได้ฟังมา เพื่อเก็บเกี่ยวและสรุปไว้ในหัวของเขา  สิ่งหนึ่งที่ยอมรับออกจากปากเขาเองและสัมผัสได้คือ เขาแปลกใจว่าทำไมผู้คนที่เข้าร่วมจึงสะท้อนความนัยเกี่ยวกับเรื่องของครอบครัวออกมากันได้  ความแปลกใจคงเป็นเรื่องไม่เคยเชื่อว่ากระบวนการที่ได้ฟังมานั้นสามารถส่งผลอย่างที่สัมผัสด้วยตัวเองอยู่ในตอนนั้น(มั๊ง)

ฉันจึงฉวยโอกาสมอบหนังสือเล่มหนึ่งของคุณเรือรบให้ไปอ่าน บอกว่าเป็นที่ระลึกเพื่อให้ใช้อ่านและเตรียมตัวเข้ารับการพัฒนาในหลักสูตรที่ผอก.จังหวัดตัดสินใจไปแล้ว บอกไปว่าหนังสือเป็นแค่มุมมองหนึ่งให้สนใจว่าอะไรคือต้นเหตุที่ทำให้คนเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ แล้วไปเรียนแค่นั้นเอง  เมื่อทุกๆคนได้เล่าแลกเปลี่ยนกันแล้ว ครูตุ๋ยก็ให้พักก่อน ดูท่าผอก.อยากจะอยู่ร่วมกิจกรรมต่อ แต่บังเอิญมีผู้มาศึกษาดูงานกศน.อ่าวลึก จึงต้องปลีกตัวไป เอ่ยปากบอกว่าจะมาใหม่ในช่วงบ่ายถ้าปลีกตัวมาได้

หลังจากกินของว่างกันแล้ว ฉันก็ขอบรรดาครูทั้งหลายให้มานั่งจัดแจกันดอกไม้กันที่หน้าห้อง ให้ผู้เข้าร่วมนั่งดูระยะหนึ่ง แล้วป้อนโจทย์ให้ผู้เข้าร่วมทายปัญหา โจทย์คือเมื่อเห็นพฤติกรรมแล้ว นึกถึงเหยี่ยว หมี หนู กระทิง ครูคนไหนเหมือนสัตว์ชนิดไหน ปรากฏว่ามีคนทายตรงทั้งหมดเลยแฮะ น่าเคารพต่อปัญญาของบรรพชนเผ่าอินเดียแดงจริงๆที่เข้าใจธรรมชาติของสัตว์อย่างลึกซึ้งจนถอดบทออกมาสั่งสอนคนในชนเผ่าเรื่องลักษณะผู้นำได้อย่างมีเสน่ห์จริงๆ

หลังทายปัญหาแล้ว ฉัันก็สะท้อนสิ่งที่เห็นในพฤติกรรมของครูแต่ละคนที่กำลังจัดดอกไม้ให้ฟังใหม่ แล้วให้จัดกลุ่มสี่กลุ่มตามลักษณะผู้นำ  ครูๆทั้งหลายที่รู้ตัวว่าเป็นผู้นำกลุ่มไหน ก็พาตัวไปนั่งคุยในกลุ่มนั้น จัดให้มีผู้คนในกลุ่มเพียงแค่ 4-6 คน บอกให้พวกเขาเล่าสู่กันฟังถึงพฤติกรรมประจำวันที่ตัดสินตัวเองแล้วจัดตัวเองไปอยู่ในกลุ่มนั้นๆ  ต่อจากนั้นก็ให้รวมกลุ่มใหม่ให้มีครบ 4 ประเภทของผู้นำ แล้วเล่าสู่กันฟังอีกครั้ง

กิจกรรมในช่วงนี้แหละที่คนเปิดใจปล่อยเรื่องราวภายในเล่าอย่างลื่นไหลออกมาให้กันและกันฟัง บรรยากาศแห่งความเป็นมิตรและวางใจเกิดขึ้นในกลุ่มย่อยๆ มีเรื่องราวแห่งความทุกข์ของชีวิตถูกปลดปล่อยทิ้งออกมา  เมื่อการเล่าเรื่องครบถ้วนทุกคนแล้ว ครูตุ๋ยก็รับไมคไปชวนให้ทุกคนพักกินข้าวเที่ยง

หลังกินข้าวเที่ยงกันอิ่มแล้ว ทุกคนก็เข้ามานอนรอฟังนิทานจากครูวิ ครูวิเล่านิทานไปได้สักระยะ ฉันสังเกตเห็นว่าคนส่วนใหญ่เริ่มสงบแล้ว และเริ่มมีเสียงคุยจากคนกลุ่มหนึ่งดังแข่งกับครูวิ  รู้สึกตัวเองว่าในขณะที่หันไปเห็นกลุ่มคนที่คุยกัน ความรู้สึกเป็นลบอยู่นะ ความรู้สึกนั้นแหละที่ทำให้อยากเอาชนะจนตัดสินใจส่งสัญญาณถามครูคนอื่นว่าควรยุติการอ่านนิทานไหม เมื่อมีคนเห็นด้วยจึงให้ครูย๊ะกระซิบให้ครูวิหยุดอ่านนิทานลง

เริ่มกิจกรรมต่อด้วยการขอให้ผู้เข้าร่วมนำกระดาษที่ฉีกไว้เมื่อวานขึ้นมาดูผลงานของตัว แล้วให้บอกตัวเองเรื่องการเป็นผู้นำซะใหม่ มีคนแค่สองสามคนที่ยืนยันว่าเป็นผู้นำประเภทเดิม ส่วนใหญ่ไม่เหมือนเดิม มีคนเดียวที่ยืนยันตัวเองอย่างแน่วแน่ว่าก้ำกึ่งมีมากกว่าหนึ่งลักษณะของผู้นำ  ไม่ได้ชวนให้สะท้อนความคิดของทุกคนออกมาค่ะ แต่ชี้บอกเขาไปว่า ควรสงสัยว่าทำไมคำตอบจึงไม่เหมือนเดิม แค่นั้นเอง

แล้วฉันก็หยิบแจกันดอกไม้ที่มีอยู่ในห้องวางลงไปกลางวง ให้พวกเขาหลับตานิ่งไว้แล้วลืมตาพร้อมบอกว่ามองมันแล้วเห็นอะไร ให้บอกมาไม่ให้ซ้ำกัน ปรากฏว่ายังมีการบอกซ้ำให้ได้ยินอยู่ คราวนี้ฉันจึงย้อนไปชวนให้รำลึกเรื่องการเรียนรู้ผ่านอายตนะทั้ง 6 ของเด็กเมื่อวาน แล้วบอกว่าทุกคนเกิดมามีครบ 32 เท่ากันทุกคน ฉะนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเวลาผ่านไปจึงมีความสามารถเพิ่มขึ้น เฉลยให้เขารู้ว่าการดูุแลเด็กและดูแลครอบครัวเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ในขณะที่ให้หลับตานิ่งนั้นฉันกำลังให้พวกเขาทบทวนความสามารถในการใช้ตาดู หูฟัง จมูกดมกลิ่น เรียนรู้การสัมผัส และเรียนรู้ความสัมพันธ์ระหว่างอารมณ์ ร่างกายและจิตใจ ซึ่งเชื่อว่าในแต่ละคนรับรู้ไม่เหมือนกัน คราวนี้จะให้พวกเขาฝึกกันใหม่เพื่อทำความรู้จักความสามารถของตัวเองในเรื่องเหล่านี้ ฉันเชื่อว่าเมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง พวกเขาจะมีคำตอบที่ไม่ซ้ำกันแน่นอน

ตัวกวนตัวนี้โยนลงไปได้ผล พวกเขาเริ่มนิ่งและใส่ใจกับการดูแลตัวเองมากขึ้น เมื่อให้หลับตาแล้วลืมตาบอกสิ่งที่เห็น คุณภาพของเรื่องราวที่บอกมีรายละเอียดมากขึ้น และไม่ซ้ำกัน  มีแค่สองคนที่ยังคงมีคำตอบซ้ำกับเพื่อน  ฉันไม่ได้ให้พวกเขาแลกเปลี่ยนอะไรกัน แค่โยนตัวกวนซ้ำลงไปเรื่องอยู่คนละจุด ต่างมุมมอง จะให้มองเห็นเรื่องเดียวกัน เป็นไปไม่ได้ โดยเฉพาะมุมเผชิญหน้าที่ทำให้เกิดเรื่องราวระหว่างกัน เมื่อไรก็เมื่อนั้น หากคนๆหนึ่งไม่มายืนอยู่ใกล้อีกคนหนึ่ง การเผชิญหน้านั้นย่อมไม่มีจุดลงเอยที่ตรงกัน เพราะว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าของแต่ละคนมันเป็นเรื่องจริงที่ได้รับรู้โดยแต่ละคน

หลังจากนั้นก็ให้สาวแจกกระดาษคนละใบพร้อมปากกา คราวนี้ให้แต่ละคนวาดรูปด้วยมือข้างที่ไม่ถนัดลงบนกระดาษซีกขวา ก่อนให้วาดรูป ก็บอกให้เขาอยู่กับตัวเองและรำลึกถึงใครคนหนึ่งที่อยู่ในห้วงคิดตลอดเวลา แล้วจึงวาดภาพลงไปถึงเรื่องราวที่ตัวเองกับคนผู้นั้นมีกิจกรรมด้วยกัน  ในระหว่างการทำกิจกรรมนี้ มีเสียงสะอื้นไห้ดังขึ้นมาเบาๆจากหลายๆมุม  ฉันจึงปล่อยให้พวกเขาอยู่ในภวังค์ของเรื่องราวจนถึงระยะหนึ่งที่สัมผัสว่าทุกๆคนเปิดใจกับเรื่องราวของตัวเองแล้วและมองเห็นปมของตัวเองแล้ว จึงได้ชวนพวกเขาให้ใช้มือข้างที่ถนัดวาดภาพใหม่ซึ่งเป็นภาพที่ตั้งใจว่าจะเติมเต็มสายใยรักให้มากขึ้นๆเมื่อวันนี้กลับบ้าน  คราวนี้ทุกคนลงมืออย่างขมีขมันวาดภาพอย่างมีความสุขทีเดียวเชียว

เสร็จกิจกรรมนี้แล้ว ฉันไม่ได้ชวนใครสะท้อนเรื่องราวให้ฟังหรอกนะ ตั้งใจว่าจะชวนให้เขาได้ใคร่ครวญหน่วงตัวเองให้ช้าลงๆอีก เพื่อให้คนที่ยังหน่วงตัวเองช้าไม่พอ หรือเพิ่งเริ่มใคร่ครวญได้มีเวลากับตัวเอง ส่งไมค์ให้ครูวิเพื่อช่วยกัน ปรากฏว่าครูวิกล่าวขอบคุณที่ได้มาร่วมงานวันนี้ไปซะฉิบ ระหว่างครูวิคุยมีบางคนเข้าใจว่ากิจกรรมจบแล้วก็เก็บข้าวของลุกจะกลับบ้าน ฉันจึงแสร้งบอกครูวิว่า กิจกรรมยังไม่จบเลย ขอบคุณกันเองซะแล้ว จะปิดงานแล้วหรือ  ครูย๊ะแย่งไมค์ไปว่าต่อ พยายามที่จะทำให้คนที่เหลืออยู่กันต่อ เพื่อจะได้มีโอกาสสะท้อนบทเรียนแลกเปลี่ยนกันเพิ่ม เผื่อจะมีใครยังค้างคาใจกับการตื่นรู้ที่ได้สัมผัสตัวตนของตัวแล้วยังกลัวจะได้ใคร่ครวญและช้าลงจนเกิดความเข้าใจ

ปรากฏว่าครูย๊ะทำไม่สำเร็จ จึงเลยตามเลย ส่งไมค์ให้ครูตุ๋ยคุยกับนักเรียนของตนและการวัดผลแบบห้องเรียนต่อ แล้วจึงปิดกิจกรรมเมื่อเวลาสี่โมงเย็นพอดีๆ ก่อนปิดกิจกรรมไม่ได้ตั้งวงคุยกันด้วยเหตุผลที่เล่าไปแล้ว แต่ได้ให้ผู้เข้าร่วมสะท้อนตอบโจทย์ “ถ้าจัดกิจกรรมนี้อีกจะมาร่วมไหม”  คำตอบเป็นเสียงเดียวกันอย่างพร้อมเพรียงทั้งคนที่อยู่และคนที่กำลังจะกลับ “มาค่ะ”  ได้ยินแค่นี้ก็ชื่นใจแล้วค่ะ

ปิดกิจกรรมแล้วก็ชวนกันเก็บของออกจากห้องประชุม ฉันวานให้น้องอ้อมช่วยครูตุ๋ยนำส่งของทั้งหลายที่ไปยืมมาใช้ ซึ่งมีเสื่อหลายผืน หมอนหลายใบ และลูุกสาวอีกคน  ช่วยกันขนของมาใส่ในรถของน้องอ้อม โชคดีที่ร.พ.นี้มีรถเข็นของแบบในห้างวางไว้ให้เหลือบเห็นเลยหยิบยืมมาใช้ขนของได้ในรอบเดียวสบายๆ  ครูวิแยกตัวกลับไปตั้งแต่ตอนเอ่ยคำขอบคุณ ครูหลิวกลับไปก่อนหน้าแล้ว เหลือครูพร ครูจิต ครูย๊ะ ครูตุ๋ย สะหน้า สาว น้องอ้อมและตัวฉัน ก่อนลาจากกันสะหน้าควักสมุดออกมาขอที่อยู่ อีเมล์และโทรศัพท์สำหรับติดต่อครูๆทั้งหลายเป็นรายคน

ครูจิต ครูพรจะแวะกลับเข้าเมืองพร้อมกับฉัน ก่อนกลับสะหน้าชวนไปสำรวจพื้นที่ซึ่งกำลังทำงานชุมชนในลักษณะธุรกิจชุมชนแบบเรียกหุ้น ได้ไปคุยกับผู้นำของสถานที่แห่งนั้น ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นคร่าวๆ ไม่ประทับใจกับวิธีคิดสักเท่าไร รู้สึกมีอะไรสะกิดใจอยู่น้อยๆกับประเด็นทำเพื่อชุมชนนั้นของจริงหรือเปล่า จะใช่หรือไม่ใช่อย่างที่สะกิดใจ ก็คงไว้ตามดูกันต่อไป ไม่นานก็รู้ของจริงหรือเปล่า

กลับจากการสำรวจสถานที่เข้ามาสู่อำเภอเมือง ถึงบ้านเวลาหกโมงเย็น ตั้งใจว่าจะไม่กวนคนขับรถให้เหนื่อยมากไป ด้วยคืนนี้เขาเข้าเวรนำส่งคนไข้ระหว่างจังหวัดด้วย จึงให้เขาส่งฉันกับสาวที่ร.พ. เจ้ากรรมรถมอร์เตอร์ไซด์ของสาวยางแบน วันนี้จึงเดินกลับบ้านอีกวันหนึ่ง เดินแบกเป้เดินจากร.พ.กลับบ้านด้วยอารมณ์สุนทรีย์

กลับถึงบ้านคุณสามียังมาไม่ถึง เสียงตอบกลับเมื่อโทรไปหาบอกว่ายังอยู่ที่สุราษฎร์ธานีอยู่เลย  สงสัยพรรคพวกอบจ.และชาวบ้านที่ไปชัยนาทมาด้วยกันคงมีอะไรหน่วงกันให้ช้าอยู่มั๊ง

ก็ถือว่าในครั้งนี้ ฉันได้ทำภาระกิจที่ตั้งใจใน to do tag เสร็จลงอีกก้าวแล้ว

บันทึกอื่น

1. เมื่อครูเริ่มตีระฆัง

2. เง้ง…เง้ง…เง้ง…ระฆังยกหนึ่งดังขึ้นแล้ว

« « Prev : เง้ง..เง้ง…เง้ง…ระฆังยกหนึ่งดังขึ้นแล้ว

Next : พี่เป็นพวกเยซูหรือเปล่า » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

ความคิดเห็นสำหรับ "ใจคนนั้นซับซ้อน..แม้แต่เจ้าของใจ…ก็ยังไม่ใคร่รู้จักมันเท่าไรเลย"

ไม่มีความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่
You must be logged in to post a comment.

Main: 0.64412593841553 sec
Sidebar: 0.61090612411499 sec