พี่เป็นพวกเยซูหรือเปล่า

โดย สาวตา เมื่อ 29 มกราคม 2010 เวลา 23:36 ในหมวดหมู่ ประสบการณ์ชีวิต, สังคม, เล่าสู่กันฟัง #
อ่าน: 1152

เช้านี้ต้องเข้ากรุงไปประชุม เข้ามาโพสต์ส่งข่าวไว้ในช่วงตอนเช้าแล้วก็เผ่นไปโรงพยาบาลเพื่อจัดการเรื่องงานที่ยังค้างคาการมอบหมายอยู่บางเรื่อง เสร็จแล้วก็เผ่นต่อไปหาอะไรเติมให้อิ่มท้องที่ตลาดชาวบ้านใกล้ๆสนามบิิน  อิ่มท้องแล้วก็กลับมารอขึ้นเครื่อง ระหว่างรอเช็คอินตั๋วก็เจอรุ่นน้องหมอคนหนึ่งพร้อมภรรยา เป็นหมออยู่ในเขตเทศบาลด้วยกันที่หมอหลายๆคนเขาเห็นตัวเขาเดินอยู่แล้วจะพากันเดินห่างด้วยเหตุแห่งปากที่ตรงกับใจ วาจาหลายคำที่หล่นออกจากปากจึงไม่เสนาะหูผู้ฟังสักเท่าไร

เจอกันก็มีเรื่องคุยกันเรื่องครอบครัวบ้างการทำงานบ้าง เรื่องราวยิ่งทำให้ประจักษ์ว่าในขณะที่กายเปลี่ยนแปลงไปแล้วตามกาล ใจคนก็เปลี่ยนแปลงไปด้วย หลายเรื่องเมื่อวัยผันผ่านเทียบย้อนก็พบด้วยกันว่าสามารถปล่อยวางด้วยความเข้าใจตัวเองมากขึ้น การรู้ใจว่าสิ่งที่้ต้องการของตัวคืออะไรคือการรู้ค่าของชีวิตที่ดำเนินอยู่ การรู้ค่าของสิ่งที่กำลังค้นหาอย่างชัดแจ้งโดยไม่หลอกตัวเองทำให้สามารถวางใจและปล่อยวางได้เมื่อวัยผันผ่าน ทำให้นึกไปถึงการติดภาพลักษณ์ของคนที่ไม่สามารถมองเข้าไปถึงใจของคนที่มีต่อตัวเขา ซึ่งเมื่อได้มาคนที่เคยมองแบบติดภาพลักษณ์มามองเห็นภาพลักษณ์ของเขาอีกครั้งภาพลักษณ์เดิมนั้นก็ยังคงเหมือนเดิมอยู่ร่ำไปแน่นอน

ได้เห็นอิทธิพลของความจำและความคิดที่พาให้ติดกับ ที่การได้พูดคุยกับน้องเขาในวันนี้สะกิดใจให้รำลึกและเก็บไว้เตือนตนด้วย

รู้ตัวเองด้วยว่าในครั้งนี้ รูปลักษณ์ภายนอกที่ได้มองเห็นร่างกายของตัวน้องนั้นยังเป็นน้องคนเดิม แต่หลายเรื่องที่ได้คุยกันบอกว่าสไตล์บางอย่างภายในของเขาเปลี่ยนไป เป็นอะไรนั้นไม่ชัดหรอก รู้แต่ว่าในความเป็นตัวเขานั้นมีบทเรียนอะไรบางอย่างที่เขาได้พบแล้วทำให้ภายในของเขาเปลี่ยนไป การได้แลกเปลี่ยนกับภรรยาของเขาทำให้มุมมองที่ตัวเองเห็นว่าตัวเขาเปลี่ยนไปนั้นได้รับคำยืนยันชัดเจนขึ้น

เรื่องราวที่ได้ยินได้ฟังบอกว่าเมื่อคนเปลี่ยนวัย ธรรมชาติได้นำพาให้เข้าถึงธรรมชาติซึ่งเป็นธรรมสำหรับผู้ที่มีบุญเก่าอยู่

เรื่องที่ภรรยาของเขาเล่านั้น คนอื่นได้ฟังคงจะไม่เชื่อเท่าไร แต่ฉันเชื่อนะ น้องเขาเล่าว่าสามีของเธอนั่งสมาธิทุกๆวัน และบางวันก็ชวนลูกสาวทำกับข้าวและไปถวายเพลที่วัด วัดโน้นบ้างวัดนี้บ้าง บางเวลาก็พาตัวไปบำเพ็ญประโยชน์ออกตรวจคนไข้ฟรีๆ เป็นเรื่องดีๆที่น่าชมใช่ไหม  เรื่องดีๆแบบนี้เมื่อคนที่ติดภาพลักษณ์บางอย่างเก่าๆของน้องเขาซึ่งเคยกระทำอะไรบางอย่างที่คนรู้สึกลบฟังแล้วคงหัวเราะและไม่เชื่อว่าการลงมือทำลงไปของน้องนั้นเป็นการทำด้วยใจที่อยากทำอย่างแท้จริง

เรื่องราวนี้สะท้อนอะไรบางอย่างให้หันกลับมามองตัวเองเช่นกันในเรื่องของการตัดสินคนและการเป็นคนที่ถูกคนอื่นตัดสิน หันกลับมาแล้วก็รับรู้ว่าเดี๋ยวนี้ตัวเองมีมุมบวกมากขึ้นในการมองผู้คนและรั้งรอหน่วงตัวเองอยู่อย่างมากจนไม่ใคร่ตัดสินคนสักเท่าไร การตัดสินจะเป็นประเด็นเกี่ยวกับเรื่องราวโดยไม่แตะคนซะมากกว่ามากแล้ว การนำคนเข้าไปเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์มักจะเติมเพื่อให้เห็นความเกี่ยวพันของคนกับเรื่องราวเพื่อความเข้าใจเรื่องราวซะมากกว่า

แล้วในส่วนของการเป็นคนที่ถูกคนอื่นตัดสินนั้นก็เบาบางลงไปมากกับความรู้สึก “แคร์” ของตัวเอง จะบอกว่าใจไม่แคร์เลยก็เป็นการโกหกตัวเองซะเปล่า ผิดศีลห้ากับตัวเองนะบาปกว่าทุกข์มากกว่ามากมายเชียว  ความต่างเมื่อเทียบกับแต่ก่อนอยู่ที่ระดับความแคร์ซะมากกว่าที่ทำให้ความรู้สึกเบาบางลง

แต่ก่อนจะรู้สึกเสียใจอยู่มากมายและติดอยู่ในอารมณ์นี้อยู่นานเป็นวันๆแถมยังเบียดเบียนซ้ำเติมต่อว่าตัวเองเข้าไปอีกตลบเมื่อทำดีแล้วคนไม่เข้าใจแถมเจอกับเรื่องลบๆสะท้อนกลับ

เดี๋ยวนี้ไม่เหมือนเดิมตรงที่รับรู้ความเสียใจแบบแวบๆว่ายังแคร์แต่ไม่ติดข้องเบียดเบียนตน รู้แล้วก็อ๋อยังแคร์แล้วก็วางได้ อุเบกขารับรู้ว่าเออ มันยังเสียใจอยู่นะ อุเบกขาตั้งคำถามแล้วได้คำตอบกับตัวเองว่า แคร์แต่ไม่ติดข้องในอารมณ์ มันรับรู้แบบแวบมาแล้วแวบไป  เมื่อเริ่มเบียดเบียนตัวก็มีคำถามผุดมาถามทำไมแคร์ หาคำตอบได้แล้วก็ไม่แวบมาอีก เวลาของการได้ถามและตอบตัวเองสั้นกว่าแต่ก่อนมากมาย แต่ก่อนกว่าจะลงเอยด้วยคำตอบ รู้ว่าใจคร่ำครวญเบียดเบียนตน แต่เดี๋ยวนี้แค่รู้และใคร่ครวญ ไม่มีคร่ำครวญให้รับรู้แล้ว ใคร่ครวญทำให้ยินดีที่ได้เจอและเรียนรู้แบบผิดเป็นครูซะมากกว่ามาก  ดีใจกับตัวเองที่ก้าวผ่านความเปราะบางแบบนี้มาได้มากขึ้นๆ

ไปถึงเมืองกรุงทำงานตามภารกิจแล้วก็พักผ่อน ไม่ได้เข้าไปที่สถาบันพระปกเกล้าตามที่ตั้งใจไว้ด้วยเงื่อนเวลาไม่ลงตัว ใบสมัครสสสสรุ่น 2 ที่ตั้งใจจะไปส่งให้ถึงมือลุงเอกถูกซุกใส่กระเป๋านำกลับมาส่งทางปณ.ต้นทางที่บ้าน เย็นออกไปเดินเล่นและหาอาหารใส่ท้อง เดินเล่นไปเรื่อยๆจนเจอร้านอาหารร้านหนึ่งจัดร้านแบบบ้านๆง่ายๆก็พาตัวเข้าไปนั่ง ร้านนี้จัดไว้รับรองคอเหล้าหรือเปล่าไม่แน่ใจ มีคาราโอเกะให้ร้องฟรีและมีโต๊ะไม้จัดไว้ให้นั่งสบายๆที่หน้าร้าน สาวเสิร์ฟหน้าตาจิ้มลิ้ม ผมยาวๆปากแดงๆเสียงใสๆ  สั่งอาหารไป 2 เมนูนั่งรอและนั่งมองพื้นที่โดยรอบไปเรื่อยๆ  มื้อนี้ปลีกตัวไปหาอาหารใส่ท้องคนเดียวด้วยอยากนั่งเงียบๆคนเดียวเพื่อปลดเรื่องงานไว้ชั่วคราว เด็กเสิร์ฟคงนั่งสังเกตแล้วไปทำให้เขาเอ๊ะอะไรหรือเปล่าก็ไม่รู้เหมือนกัน เธอเดินเข้ามาเสิร์ฟน้ำแล้วมีบางช่วงเข้ามาชวนคุย

อาหารเสร็จมาอย่างแรกฉันก็ไม่รอช้าลงมือเปิบ ได้ยินเสียงถามว่าเอาข้าวไหมก็บอกไปว่าเอา แต่กินไปๆข้าวก็ยังไม่มาก็ไม่ได้นึกเฉลียวว่าเธอจะลืม จนกระทั่งเธอเดินมาอีกครั้งเห็นฉันนั่งเปิบกับอย่างเดียวหมดไปกว่าครึ่งแล้วจึงอุทานว่า หนูลืมเอาข้าวให้ พี่เอาข้าวมั๊ย ตอบไปว่าเอาซิเอาจานเดียวด้วยเสียงง่ายๆ เธอไปตักข้าวมาให้แล้วไม่นานอาหารอีกอย่างก็เสร็จตามมา กินข้าวไม่หมด กินกับข้าวเหลืออยู่ไม่มากมายนัก อาหารที่สั่งเป็นยำผักและปลาฉู่ฉี่ กินยำไปจนหมดผักเหลือแต่เนื้อ กินปลาเหลือเนื้อติดอยู่ไม่มากมายนัก ข้าวที่กินก็ไม่หมดจานแต่ยกมาคลุกใส่จานที่กินไปแล้ว  ตอนที่ท้องเริ่มจะตึง และตัดสินใจจะกินข้าวไม่หมด ในใจคิดไปว่านี่ถ้าหากชวนสาวเสิร์ฟมานั่งกินด้วยน่าจะดีไม่น้อย เสียดายที่ไม่ได้ชวน ตัดสินใจอิ่มเมื่อท้องตึงมากแล้ว

ระหว่างกินข้าวชวนสาวน้อยคุยและถามหาร้านสระผมว่ามีอยู่มั๊ยในละแวกนั้น เธอตอบว่ามีแต่ร้านเล็กนิดเดียวนะ ฉันก็บอกไปว่าไม่เป็นไร นั่งรอให้ท้องค่อยสบายๆขึ้นฉันก็บอกให้พนักงานสาวเก็บเงิน เธอเดินมาคิดเงินพร้อมเสียงอุทานว่า อุ๊ย เสียดายจัง พี่กินเหลือเยอะเลย หนูขอกินต่อนะพี่ คำพูดทำให้เอะใจไม่น้อย ได้ยินเสียงตัวเองบอกว่ารู้สึกผิดที่กินอิ่มแล้วยัังกินกับเล่นไปเรื่อย ไม่น่าเลย น่าจะเหลือไว้มากกว่านี้ บอกเธอไปว่าถ้าน้องไม่รังเกียจก็กินได้นะ ข้าวในจานนั้นเปื้อนนิดหน่อยแต่ไม่ได้คลุกรอยกินในจานของพี่ นึกชมในใจว่า เด็กอีสานคนนี้รักดี รับประหยัด ไม่ได้เอะใจอะไร เมื่อเงินทอนถูกนำมาคืนให้ ให้เงินทิปเธอไปบอกว่าส่วนนี้พี่ให้เธอไว้ใช้นะ นั่งดื่มน้ำจนหมดขวด สาวน้อยก็จัดแจงจะนั่งลงกินข้าวตรงโต๊ะข้างๆที่เธอเลื่อนข้าวและกับข้าวจากโต๊ะฉันไปตั้งไว้

ฉันพาตัวเดินออกจากร้านเดินไปตามทิศที่เธอบอกว่ามีร้านเสริมสวยนั่นแหละ  ตอนถามหาร้านเสริมสวยนั้นนึกขี้เกียจไม่อยากสระผมเอง นึกไปว่าถ้ามีร้านก็จะเข้าไปนอนให้ใครสักคนช่วยทำให้เกิดความสบายซะหน่อย ไม่มีก็ไม่เป็นไร เดินไปต่อได้ราวๆสักกิโลเห็นจะได้ เห็นว่าเวลาจวนมืดแล้วถ้าเดินกลับที่พักจะเข้าซอยเปลี่ยวไปหน่อย ก็เลยเดินกลับ ไม่เจอร้านเสริมสวยที่น้องเขาว่า ตลอดทางมีแต่รถเข็นและร้านอาหาร รถเข็นทะยอยเก็บของขึ้นรถกลับ ช่วงที่เดินผ่านมีบ้านผู้คนที่อยู่ริมถนนให้เห็นบ้าง

เดินกลับมาผ่านร้านอาหารเดิม สาวน้อยเดินแกมวิ่งลงมาจากร้านเข้ามาจับมือถามว่า “พี่ๆ พี่เป็นเยซูหรือเปล่า” คำถามทำให้งงไปเลย “เยซู หนูหมายถึงพวกไหนหรือ คิดว่าพี่มาจากไหน”

เธอไล่เรียงความคิดอยู่พักหนึ่ง แล้วก็บอกว่า “หนูเห็นพี่ใส่เสื้อผ้าแบบนี้เหมือนคนที่หนูเคยเห็นที่บ้านหนู”  ได้ยินก็ไล่เรียงความคิดตัวเองอยู่เหมือนกัน “หรือว่าเธอกำลังถามเรื่องนับถือศาสนา” ตอบเธอไปว่า “พี่เป็นพุทธ อยู่ทางใต้” ดูเหมือนคำตอบทำให้เธองงเข้าไปใหญ่ ถามเธอไปว่า “หนูมาจากอีสานหรือเปล่า” คำตอบทำเอาเกือบหงายหลังตึง “หนูมาจากเวียดนามค่ะ”  “โอ๊ย โอ๋ย สาวเวียดนามพูดไทยชัดเปรี๊ยะเลยนะนี่” เสียงในใจดังขึ้น “หนูมาอยู่เมืองไทยกี่ปีแล้ว แล้วพักที่ไหน”  เสียงตอบมาบอกว่า “มาอยู่ปีกว่าๆแล้ว พักอยู่ในร้านอาหารนี่แหละ”

แหม นึกถึงบรรยากาศแล้วแปลกใจ คุยกันเหมือนว่ารู้จักกันมาก่อนหน้า สัมผัสความวางใจของเธอ อีกทั้งความรู้สึกดีๆที่เธอส่งผ่านมาีให้ เธอถามว่า “พี่เดินไปหาร้านเสริมสวยไม่เจอเหรอ อยู่ตรงโน้นแหละพี่” ตอบเธอไปว่า “พี่แค่ถามเพื่อเดินเล่น เดินไปแล้วไม่เจอก็ไม่เป็นไร ไปแล้วนะ” กอดเธอก่อนจากและอวยพรให้โชคดี แล้วจากกันด้วยรอยยิ้ม

แปลกใจกับประสบการณ์ของตัวเองที่สาวต่างชาติมอบให้ในครั้งนี้แล้วหาคำตอบ “อืม ทำไมสาวแปลกหน้าวางใจขนาดวิ่งมากอดเราละนี่ แล้วเราก็สนิทใจให้เขากอดด้วยนะ”  จนวันนี้ยังหาคำตอบไม่เจอเลยค่ะ งงกับความเป็นตัวเองอยู่มากมาย

ที่ถามหาร้านเสริมสวยเพราะเดินผ่านมาตลอดทางแถวนี้เป็นละแวกที่มีบ้านคนอยู่สลับไปกับร้านอาหาร มีวัดอยู่ในซอยและมีคนสัญจรให้เห็นบ้าง ตลอดเส้นทางบอกว่ามีคนสัญจรไม่น้อย น่าจะเป็นละแวกชุมชนที่มีคนพอประมาณ ชุมชนที่มีคนสัญจรพอประมาณมักจะมีร้านเสริมสวยอยู่ด้วยเสมอ  แต่ในละแวกนี้ในรัศมีร้อยเมตรกลับไม่มีร้านเสริมสวยให้เห็นสักร้านเลย แสดงว่าในแถบนี้ที่เห็นเป็นร้านอาหาร ผู้คนในชุมชนไม่ใช่เจ้าของและไม่ได้พึ่งพาอาศัยเพื่อประกอบอาชีพสักเท่าไร หรือไม่ก็ในแถบนี้ชุมชนยังไม่วางใจในความปลอดภัยในถิ่นที่อาศัยของกันและกัน มีความเป็นอยู่แบบต่างคนต่างอยู่กัน แล้วเป็นชุมชนที่มีผู้คนที่ทำมาหากินแบบหาเช้ากินค่ำต้องใช้เวลาไปกับการทำมาหากินจนไม่ใส่ใจกับเรื่องความสวยงามภายนอกกันเป็นส่วนใหญ่(มั๊ง)

กลับถึงที่พัก รูมเมทเพิ่งมาถึง เธอมาจากจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ มาถึงเธอก็อาบน้ำและเข้านอน รอดูโทรทัศน์ด้วยกัน คุยกันสักครู่ เธอก็ปิดไฟนอน ฉันรอดูรายการเจาะใจทีแรกเข้าใจว่าหลงวันเวลาอีกแล้วเพราะกว่ารายการจะมาดึกมากแล้วและแล้วก็ได้ดูสมใจ   วาทะอ.วรภัทร์นั้นสะกิดสะเกาความคิดและมุมมองดีนักแล สังเกตว่าพิธีกรอึ้งกับข้อคิดไปหลายประโยคทีเดียว

หลังจากช่วงสัมภาษณ์ของอ.วรภัทร์จบลง แอบน้ำตาไหลกับการบำเพ็ญประโยชน์ที่น้องบ๊วยและเด็กกลุ่มแจกกอดฟรีนำมาให้ได้ดู รู้สึกดีกับผู้คนเหล่านั้นไปด้วย  คำบอกเล่าของพวกเขาบอกให้รู้ว่า สัมผัสที่มีต่อกันของผู้คนแบบจริงใจเมื่อแตะต้องเนื้อตัวกันส่งผ่านพลังใจให้ผู้คนมากมายทีเดียวเชียว ภาพที่เห็นบอกให้รู้ว่ามิได้มีแต่ผู้เด็กกว่าเท่านั้นที่โหยหาอ้อมกอดจากผู้สูงวัยกว่า ผู้เฒ่าผู้แก่นั้นก็โหยหาอ้อมกอดจากผู้เด็กกว่าอยู่ไม่น้อยเลย

ขอบคุณประสบการณ์วันนี้ตั้งแต่เช้าที่น้องหมอและภรรยาช่วยสะท้อนให้เห็นความจริงบางอย่างเกี่ยวกับตัวเองอีกครั้ง  ขอบคุณสาวน้อยที่ทำให้รู้สึกเอ๊ะๆกับตัวเองอย่างมากมาย  ขอบคุณอ.วรภัทรที่ทำให้หวนย้อนจำได้ถึงเรื่องราววิธีเรียนของตัวเองในอดีต บางเรื่องในแง่มุมชีวิตของอาจารย์ทำให้เข้าใจชีวิตตัวเองที่ผ่านมามากขึ้นเช่นกัน

และขอบคุณอย่างยิ่งสำหรับรายการของกลุ่มกอดฟรีที่ทำให้รู้สึกว่าโลกนี้ยังมีความอ่อนโยนในตัวผู้คนหลงเหลืออยู่ให้มั่นใจว่าโลกยังสวยงามและอบอุ่นอยู่เสมอในซอกหลืบแห่งใจของผู้คน ขอเพียงแต่ช่วยกันเปิดลิ้นชัก เปิดประตูใจให้พวกเขาปลดปล่อยความอ่อนโยนออกมาให้ได้ ความสวยงามและอบอุ่นของโลกนี้ก็จะผลิใบงดงาม

28 มกราคม 2553

« « Prev : ใจคนนั้นซับซ้อน..แม้แต่เจ้าของใจ…ก็ยังไม่ใคร่รู้จักมันเท่าไรเลย

Next : ไม่รู้อะไรก็ลองๆๆด้วยความรู้เท่าที่มี…หยุดรอตรงที่ความรู้คลุมเครือ..ก่อนเดินต่อ » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

3 ความคิดเห็น

  • #1 bangsai ให้ความคิดเห็นเมื่อ 29 มกราคม 2010 เวลา 23:58

    หมอเจ๊อยู่กรุงเทพฯ หรือครับ เห็นข่าวไฟไหม้ รพ.กระบี่…. ข่าวบอกว่าไม่มีใครเป็นอันตราย…โล่งอกโล่งใจไป
    ———-

    ผมดูรายการ กอด ฟรีด้วยครับ รู้สึกดีดี เช่นกันครับ

  • #2 อัยการชาวเกาะ ให้ความคิดเห็นเมื่อ 30 มกราคม 2010 เวลา 6:41

    ขอบคุณบันทึกนี้ที่กระตุกความคิดของผมบางอย่างได้เป็นอย่างดีครับ บางทีเราตัดสินใจบางคนด้วยความรู้สึกเดิมๆโดยหาได้สังเกตไหมว่าเขาเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่ หน่วยความจำบันทึกแต่ว่าคนนี้ไม่ดีแล้วเราก็มองผ่านเลยความดีของเขาไป เจอครั้งใดก็มีแต่ความรู้สึกเกลียดชัง ผมให้อภัยคนมากขึ้น ช่วยเขาด้วยความเต็มใจทั้งๆที่สิ่งที่เขากระทำมาทิ่มแทงเราอยู่ ให้อภัยเขาในสิ่งที่เขาทำกับเราในอดีต พูดคุยกับเขาด้วยดีในฐานะเขาเป็นเพื่อนคนหนึ่ง แต่สิ่งที่เราได้คือเราสุขใจหน้าตาเราผ่องใสเพราะเราไม่คิดร้าย แต่เขาสิยิ่งเราผ่องใสเท่าไหร่เขาก็หมองไปเท่านั้น..อิอิ.

  • #3 สาวตา ให้ความคิดเห็นเมื่อ 31 มกราคม 2010 เวลา 21:06

    #1 #2  พี่บู๊ดค่ะ น้องฑูรค่ะ เพลงกอดของอัยการชาวเกาะน่าจะเผยแพร่ไปให้น้องเขาได้ใช้ด้วยน่าจะดีไม่น้อยนะคะ เผยแพร่วัฒนธรรมส่งมอบความปรารถนาดีต่อกันด้วยวิธีกอดที่ให้เกียรติกันอย่างที่น้องทำนั้นดีออกนะพี่ เริ่มจากตัวผู้น้อยหรือเด็กกว่าปฏิบัติกับผู้สูงอายุหรือผู้สูงวัยกว่า พี่ว่าดีมั๊ยพี่ น้องว่าดีมั๊ยน้อง


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่
You must be logged in to post a comment.

Main: 0.60583806037903 sec
Sidebar: 0.73232412338257 sec