เง้ง..เง้ง…เง้ง…ระฆังยกหนึ่งดังขึ้นแล้ว
อ่าน: 1575หลังจากวันที่ประชุมกับเหล่าครูผู้บริหารของกศน.แล้ว เรื่องราวที่ประสานงานกันก็เดินหน้าต่อ ผอก.ของครูตุ๋ยได้ออกหนังสือเชิญไปที่สำนักงานอบต.ซึ่งสะหน้าทำงานอยู่ เจ้ากรรมครูตุ๋ยจำชื่อเธอผิด ทางอบต.แจ้งกลับมาว่าไม่มีคนทำงานชื่ออย่างนี้ ครูตุ๋ยได้โทรศัพท์มาถามย้ำชื่อกับฉันใหม่ จนได้ชื่อตรงกับชื่อจริงของสะหน้าเป็นที่เรียบร้อย
ตัวฉันแค่สั่งลูกน้องว่าให้สาวตามฉันไปทำงานด้วย พร้อมเตรียมป้ายชื่อไปให้ครูตุ๋ยใช้ด้วยจะดีไม่น้อย อีกคนที่ฉันส่งข่าวถามว่าจะไปร่วมด้วยหรือไม่ คือน้องอ้อม อสม.ที่พาตัวเข้ามาผูกพันกับฉันอย่างลูกสาวคนหนึ่ง คำตอบที่รับนั้นเดากันได้ว่างานนี้น้องอ้อมไม่พลาดในการไปร่วมด้วยช่วยกัน
เมื่อทุกอย่างเตรียมพร้อมกันไว้เสร็จสรรพ หนึ่งสัปดาห์ก่อนวันลงมือทำงานจะมาถึง หนับโทรมาบอกว่าในครั้งนี้เธอไม่สามารถไปเข้าร่วมกิจกรรมด้วยได้ด้วยมีเรื่องของครอบครัวเข้ามาให้จัดการกระทันหัน
แล้ววันงานก็เดินทางมาถึงในที่สุด ทุกคนที่นัดมาร่วมกันอย่างพร้อมเพรียงตามนัดหมาย นักเรียนที่ถูกส่งเข้ามาล้วนเป็นวัยผู้ใหญ่มีครอบครัวแล้วเป็นบางส่วน อีกบางส่วนเป็นวัยทำงานเลี้ยงชีพตัวเองแล้วทั้งสิ้น มีวัยรุ่นอายุไม่ถึงยี่สิบปีอยู่ด้วยแค่ 2-3 คน แต่ละคนต่างถูกส่งมาโดยครูกศน.ประจำตำบลของอำเภออ่าวลึกทั้งสิ้น ครูมากระซิบว่าคนที่มาเป็นคนที่ครูเองเอาไม่อยู่แล้วนะจะบอกไห่ คนกว่าครึ่งเป็นไทยมุสลิมด้วยนะจ๊ะขอบอก และทั้งหมดมีผู้ชายด้วยแค่ 2-3 คน เป็นผู้เข้าร่วมที่แนะนำตัวเองว่าตามมาส่งเพื่อนหนึ่งคน อีกสองคนเป็นครูกศน.ที่ตามมาส่งเด็กเข้าเรียนและรอสังเกตการณ์
ได้เริ่มทำงานเมื่อเวลาล่วงเลยไปสิบโมงกว่าแล้ว คนมาก่อนหน้าร่วมกันร้องเพลงกันไปพลางๆก่อน การร้องเพลงเป็นไปแบบฝืดๆเพราะมีคนร้องเพลงได้น้อย พากันไปได้ ไม่ล่มแต่ไม่ผ่อนคลายเท่าที่ควร
เริ่มเช็คอินว่าใครเป็นใคร มาทำอะไรกันในวันนี้ ทุกคนแนะนำตัวเองสั้นๆเพียงแค่ชื่อ-สกุลและบอกว่าครูนัดมาเท่านั้นเอง เป็นอะไรที่ท้าทายกระบวนกรให้ทำงานต่อไปอย่างยิ่ง ฉันลองชวนต่อให้พวกเขาพูดคุยเรื่องราวกันให้มากขึ้นว่าอยากได้อะไรจึงมาร่วมกิจกรรมในวันนี้ ก็ไม่สามารถชวนให้พวกเขาเปิดปากคุยตอบได้ คำตอบที่ได้บอกว่า “มาร่วมโครงการเติมสายใยรักให้แก่ครอบครัว” ตามป้ายที่เขียนโชว์ไว้ คำตอบที่ได้ไม่รู้สึกว่าโดนพวกเขาลองของแต่อย่างใดเลยนะคะ แต่รู้สึกว่าพวกเขาต่างมีกำแพงปกป้องตนที่หนามากมายทีเดียวเชียว สัญญาณนี้บอกสังหรณ์ว่าพวกเขามีชีวิตที่เผชิญกับผู้ชอบใช้อำนาจกำหนดชีวิตของเขาให้อยู่ในกรอบกันซะเป็นส่วนใหญ่
ตอนวางแผนตกลงกันว่าครูตุ๋ยจะชวนนำพาทำกิจกรรมต่อหลังจากเช็คอิน เมื่อพบว่าสถานการณ์ความมีส่วนร่วมยังไม่ผ่อนคลายอย่างที่เห็นตรงหน้า ฉันจึงยังไม่โยนไมค์ให้ครูตุ๋ยทำงานต่อ แต่ชวนพวกเขาทั้งห้องให้ลุกขึ้นยืนและหลับตาเดินกันไปทั่วห้องตามแต่ใจชอบ แล้วให้หยุด จับคู่กันกับคนที่อยู่ใกล้ๆแล้วยืนหันหน้าเข้าหากัน แล้วให้เดินอีกครั้ง คราวนี้ให้ทั้งคู่เดินเข้าเดินออกตามคำบอกอย่างช้้าๆ สังเกตเห็นหลายคู่จะทำอะไรที่เร็วๆรี่ๆแค่ก้าวสองก้าวก็เดินเข้าหาคู่กันได้แล้วทั้งที่อยู่ห่างกันเป็นเมตร จึงยังให้พวกเขาทำซ้ำอีกรอบก่อนที่จะให้นั่งลง โยนไมค์ต่อให้ครูตุ๋ยลงมือนำพา แล้วพาตัวเข้าไปนั่งคู่กับผู้เข้าร่วมที่เหลืออยู่เพียงเดี่ยวๆ
ครูตุ๋ยนำพาด้วยการให้โจทย์ของการเล่าเรื่องทีละคนเหมือนที่ทำกิจกรรมเล่าเรื่องเจ้าตัวเล็ก แต่การบอกโจทย์ของเธอนั้นยาวเป็นอย่างยิ่งเชียวนะ เธอให้โจทย์ให้เล่าเหตุการณ์ทีละช่วงของวัยต่อกันมาจนถึงการมีชีวิตในช่วงปัจจุบัน รวมกันแล้วเหมือนการให้โจทย์แบบให้การบ้านทีเดียว 5 ข้ออย่างนั้นเลยเชียว ปรากฏว่าเสียงคุยดังอึงคะนึงกันไปหมดจนแทบจะไม่ได้ยินเสียงคุยกันของคู่ตัว รอบแรกนี้เบอร์หนึ่งเล่าเรื่อง เบอร์สองฟังค่ะ
ให้เวลาคู่เล่าพอประมาณแล้ว ครูตุ๋ยก็บอกให้เบอร์สองเล่าเรื่องของเบอร์หนึ่งให้เบอร์หนึ่งฟัง ฟังจบแล้วให้เบอร์หนึ่งบอกเบอร์สองว่ามีเรื่องตกหล่นหรือถูกเพิ่มเติมอะไรบ้างไหม เสียงคุยจ๊อกแจ๊กจอแจดังขึ้นมาอีกรอบ จากนั้นครูตุ๋ยก็ให้สลับกิจกรรมเบอร์สองเล่าเรื่อง เบอร์หนึ่งสะท้อนเรื่องที่ฟัง และเบอร์สองสะท้อนความคลาดเคลื่อนของเรื่องให้เพื่อนฟัง
จบกิจกรรมครูตุ๋ยก็ให้เวลาพักกินน้ำ กินขนม งานคราวนี้ฉันขอครูตุ๋ยให้เสิร์ฟน้ำเปล่าไม่อั้น ให้งดเครื่องดื่มทุกชนิด โดยยังคงมีขนมหวานมาให้ ผสมผสานความรู้เรื่องการดูแลสุขภาพของฉันรวมเข้ากับเรื่องที่อุ๊ยสอนว่าให้กินน้ำเยอะๆไว้เมื่อมีกิจกรรมทำนองนี้แล้วถ่ายทอดสู่ครูให้รู้เหตุผลของการขอให้ทำค่ะ
หลังจากพักฉันก็ชวนให้ทุกคนตั้งวงคุยกัน แล้วตัวกวนก็โยนลงไปให้ผู้เข้าร่วมใคร่ครวญตัวเองว่าเรียนรู้อะไรจากกิจกรรม ก่อนนำสู่การเกริ่นให้รู้เกี่ยวกับการเรียนรู้ผ่านอายตนะทั้ง 6 ของเด็ก โชคดีมีเด็กอายุขวบหนึ่งที่แม่อุ้มมาเลี้ยงในระหว่างเข้าเรียนด้วย (นักเรียนรายนี้เป็นแม่ลูกสามแล้ว) จึงฉวยโอกาสให้ผู้เข้าร่วมใช้เด็กเป็นครูซะหลายรอบทีเดียวเชียว หลังจากนั้นฉันก็โยนไมค์ต่อไปให้ครูย๊ะทำงานต่อ
ครูย๊ะเธอรับลูกแล้วอ้ำอึ้งต่อไม่ไปในตอนแรก แต่แล้วด้วยไหวพริบเธอก็ผ่านไปได้ด้วยดี เมื่อเธอจนแต้ม เธอก็โยนไมค์คืนกลับมาให้ฉันค่ะ มารู้ทีหลังเมื่อตอนเลิกว่าที่เธออ้ำอึ้งนั้นเกิดจากตอนที่วางแผนกัน บทบาทเธอจะเป็นผู้นำพาในช่วงต้นไม่ใช่ช่วงนี้ เธอจึงเตรียมตัวมาสำหรับการนำพาของช่วงที่รับมอบ เมื่อมาึถึงในวันนี้ ตารางที่จ่ายงานเปลี่ยนแปลงไป การที่ไม่รู้ตัวมาก่อน ทำให้เธอไม่มั่นใจว่าตัวเองจะทำได้ดี ด้วยช่วงงานที่เปลี่ยนให้เป็นเรื่องราวที่เธอยังงงๆ
เรื่องราวที่ผ่องถ่ายไปสู่ผู้เข้าร่วมนั้นมิได้ใช้กิจกรรมตามที่กระบวนกรใช้ทั้งหมดสักเท่าไร ส่วนใหญ่จะพูดเล่าให้ฟัง แล้วชวนให้ย้อนไปดูตัวซะมากกว่า การย้อนไปดูตัวก็ใช้วิธีชวนให้ใคร่ครวญเปรียบเทียบกับเด็กที่เห็น และยกตัวอย่างชีวิตของตัวฉันเองในบางเรื่องที่เกิดขึ้นในระหว่างชีวิตประจำวันที่มีที่มาจากประสบการณ์ด้านลบในวัยเด็กให้พวกเขาฟัง ครูพรได้ร่วมเล่าเรื่องครอบครัวของเธอให้ฟังด้วย ครูแต่ละคนผลัดกันเล่าเรื่องของตนหมุนเวียนไปแล้วแต่จะถึงคิวของใครเมื่อไมค์โยนไปถึงตัว
กระบวนการที่นำมาใช้ในวันแรกมีไม่กี่กิจกรรมค่ะ ที่จำได้มีเรื่องการเดินแล้วยืนเผชิญหน้าอย่างที่เล่าไว้แล้ว การนั่งคุยคู่ 2 คนแล้วให้สลับกันคุย คุยรอบวงใหญ่ ให้ฉีกกระดาษตามแต่ใจ เล่านิทานก่อนนอน นอนพักหลังกินข้าว กระบวนกรคุยให้ฟัง
ก่อนกินข้าวเที่ยงก็เปิดวงคุยใหญ่ แล้วชวนให้ผู้เข้าร่วมสะท้อนการเรียนรู้ โดยฉันโยนโจทย์ไปว่าตั้งแต่เช้านั้นทุกกิจกรรมคือบทเรียน เวลาทุกคนมีค่าทั้งสิ้น ใช้เวลาครึ่งวันไปแล้วได้ความรู้ที่มีค่าสำหรับไปเติมเต็มสายใยรักให้ครอบครัวกันอย่างไรบ้าง สังเกตว่ามีคนหลายคนเริ่มตื่นรู้ เริ่มเปิดใจ บางคนสะอื้นไห้ในระหว่างจะสะท้อนเรื่องราวออกมาให้ได้ฟังกัน
มีอสม.คนหนึ่งสะท้อนออกมาว่า กิจกรรมที่ชวนให้ทำตั้งแต่ตอนเช้านั้นเป็นการทดลองของครูกศน.กับฉัน คำตอบนี้บอกถึงอะไรบางอย่างให้ฉุกคิด อสม.ส่วนใหญ่จะทำตนเป็นผู้รู้อยู่ร่ำไป แล้วคนนี้เธอตื่นและรู้ และรับอะไรเข้าไปได้บ้างหรือยัง เธอเปิดใจหรือยัง เป็นคำถามที่เกิดขึ้นในทันทีที่ได้ฟังคำเธอ
หลังจากกินข้าวเที่ยงกันแล้ว ก็ชวนกันเข้ามานอนฟังครูวิเล่านิทาน นิทานยาวเหยียดทีเดียวเชียว ฟังจนหลับแล้วตื่นมาฟังแล้วหลับไปจนตื่นอีกรอบนิทานก็ยังไม่จบลง ระหว่างการนอนฟังการเล่านิทาน บางคนหลับได้ บางคนก็ฟังนิทานไปใคร่ครวญเรื่องราวของตัวเองไปเรื่อยๆ เสียงสะท้อนในภายหลังบอกให้รู้ว่าการฟังนิทานนำให้บางคนได้เข้าสู่ความช้าลงของความคิดเกิดเอ๊ะ เอ๊ะ และเอ๊ะแล้วปิ๊งแวบว่าตรงนี้คือปมปัญหาของตัวได้ด้วย ใช่แต่จะทำให้หลับตาลงแล้วผ่อนคลายเท่านั้นนะ
จบกิจกรรมในวันแรกเวลาสี่โมงครึ่ง คุยกันกับทีมครูเพื่อประเมินผลและทำความตกลงยืนยันกิจกรรมที่จะทำต่อในวันรุ่งขึ้น ครูตุ๋ยเจ้าของโครงการตอบว่าพอใจผลงาน ครูที่เหลือก็บอกว่าโอกับสิ่งที่เกิดขึ้น เท่านี้ก็ถือว่าเป็นความสุขสำหรับผู้จัดแล้ว สะหน้าสะท้อนว่าเธอได้ความรู้เกี่ยวกับการดูแลเด็กเพิ่มขึ้นมากมาย
ทบทวนยืนยันบทบาทของวันรุ่งขึ้นกันแล้ว สะหน้าขอตัวไปพักกับเพื่อนชาวต่างชาติที่โฮมเสตย์อีกแห่ง น้องอ้อมชวนฉันไปเยี่ยมอสม.ที่ทำสวนเกษตรตามแนวเศรษฐกิจพอเพียงในพื้นที่คนหนึ่ง พื้นที่โดยรอบของที่นี่ มีต้นกระถินณรงค์ปลูกอยู่โดยรอบและโตมากแล้ว ได้แลกเปลี่ยนและผ่องถ่ายความคิดเรื่องการปลูกกระถินณรงค์ไว้ใช้สอยไม้ การหยอดผงเชื้อเห็ดไว้ตามกองใบไม้รอให้ผลิบานในหน้าฝนตามที่เคยได้ยินพ่อครูถ่ายทอดเข้าหูบอกเธอไปด้วย ระหว่างยืนคุยหันไปพบเด็กๆกำลังเผาไม้ที่ตัดโค่นไว้ จึงแนะนำให้มองประโยชน์ของการปล่อยเป็นปุ๋ยปรับปรุงดินจะดีกว่ามากมาย อีกทั้งยังช่วยลดความร้อนในพื้นที่รอบตัวซึ่งเป็นหุบเขาได้ดีกว่าด้วย แถมยังอาจจะได้ปลวกมาช่วยบำรุงดินให้อีกด้วย ดูเหมือนเธอรับรู้และเริ่มเข้าใจว่าทรัพยากรที่เห็นอยู่ตรงหน้ามีค่าอีกมากมาย คำกล่าวขอบคุณออกจากปากมาให้ได้ยิน พร้อมสัญญาว่า หมอมาคราวหน้ามาดูได้นะกับสิ่งที่หมอบอกไว้
หลังจากนั้นแวะเวียนไปเยี่ยมเยียนภรรยากำนันคนหนึ่ง ซึ่งเคยสมัครเข้าเป็นผู้เข้าร่วมกิจกรรมโรงเรียนพ่อแม่ในเขตเทศบาลมาแล้ว ด้วยได้ความว่าเธออยากจะไปเข้าร่วมในกิจกรรมของกศน.ครั้งนี้ด้วย
ได้สัมผัสกับความดีความงามของหมู่บ้านที่เธออยู่ด้วยในวันนั้น ผู้หญิงหลายคนกำลังวุ่นทำน้ำแกงขนมจีนเพื่อนำไปร่วมทำบุญที่วัดเพื่อร่วมฉลองพัดยศของเจ้าอาวาสวัดประจำตำบลในวันรุ่งขึ้นกันอยู่ จำนวนน้ำแกงที่ทำนั้นใช้ได้กับขนมจีนจำนวนร้อยกิโลเชียวนะ ทั้งหมดนั้นเกิดจากศรัทธาที่พวกเธอร่วมแรงลงขันลงแรงด้วยกัน
เจอกันแล้วฉันก็บอกกล่าวเธอไปว่าถ้าอยากเข้าเวทีเรียนรู้อย่างที่จัดขึ้นในวันนี้ แล้วมีกลุ่มที่เธอสามารถรวบรวมมาเข้าร่วมกิจกรรมได้โดยสมัครใจ เธอสามารถจัดกิจกรรมขึ้นเองและเชื่อมไปยังครูตุ๋ยได้ กลับไปแล้วฉันจะไปเชื่อมประสานบอกกับครูตุ๋ยให้เพื่อให้น้องอ้อมเป็นผู้เชื่อมโยงประสานงานในพื้นที่ต่อไปให้ได้
หลังจากนั้น น้องอ้อมก็พาฉันกลับไปพักที่บ้านโฮมเสตย์ที่ครูตุ๋ยจัดไว้ให้ ค่ำคืนนั้น หลายเรื่องของชีวิตมีการคุยแลกเปลี่ยนกันต่อ เป็นเรื่องราวทั้งของครูตุ๋ย น้องอ้อม สาว(ลูกน้องฉัน) และตัวฉันเองที่ได้แลกเปลี่ยนกัน การคุยกันรอบแรกสิ้นสุดลงเมื่อน้องสาวขอตัวไปนอนพักกับเพื่อนของเธอ ส่วนน้องอ้อมเปลี่ยนใจขอกลับไปอาบน้ำที่บ้านก่อนแล้วจะกลับมานอนคุยกับฉันแทนที่จะนอนที่บ้านตัวเอง คุยรอบที่สอง ครูตุ๋ยถามไถ่เกี่ยวกับชีวิตครอบครัวของฉัน ก็ได้แลกปลี่ยนเรื่องราวที่ผ่านมาก่อนเป็นโจรกลับใจให้เธอฟัง เธอก็ได้เล่าให้ฟังเรื่องราวที่เธอได้จัดการชีวิตหลังกลับจากนครสวรรค์ให้ฟัง สัมผัสว่าในใจของเธอมีความหวั่นไหว ไม่แน่ใจอะไรบางอย่างกับการตัดสินใจที่ผ่านมาของเธอนะ แต่เธอไม่ได้พูดออกมา
น้องอ้อมกลับมาได้คุยกันต่อไม่นาน บรรดาครูที่ไปช่วยจัดงานฉลองพัดยศตามกันมานอนค้างด้วยอีก 2 คน จึงพากันแยกย้ายเข้านอน เวลาที่แยกย้ายกันไปนั้นเลยเวลาออกอากาศของท่านไร้กรอบไปนานโขมากแล้ว เข้านอนแล้วน้องอ้อมยังชวนฉันคุยต่อเกี่ยวกับเรื่องราวในครอบครัวของเธอ กว่าจะเข้านอนจริงๆก็เป็นเวลาตีสามไปแล้วเห็นจะได้
21 มกราคม 2553
บันทึกอื่น
« « Prev : เมื่อครูเริ่มตีระฆัง
Next : ใจคนนั้นซับซ้อน..แม้แต่เจ้าของใจ…ก็ยังไม่ใคร่รู้จักมันเท่าไรเลย » »
ความคิดเห็นสำหรับ "เง้ง..เง้ง…เง้ง…ระฆังยกหนึ่งดังขึ้นแล้ว"