เมื่อไม่ง่าย…ก็แค่ทำเรื่องใหญ่ให้เป็นเรื่องเล็ก…ก็จะ้สบายๆ
อ่าน: 1441มานั่งทบทวนชีวิตของตัวเองที่ผ่านมาแล้วก็สะดุดคิด เอะใจกับตัวเองกับกี่ครั้งต่อกี่ครั้งที่ตั้งความหวังแล้วลงมือทำ เห็นสิ่งที่ทำลงไป เห็นผลของบางอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อลงมือทำไปแล้ว แปลกใจมากมาย แปลกใจกับสิ่งที่ได้พบ ก็แต่ละเรื่องที่ตัดสินใจด้วยตัวเองที่จะทำนั้นเป็นเรื่องยากๆทั้งนั้นเลยในความคิดของคนอื่นที่รับรู้ งงกับตัวเองนะนี่
เคยคุยเล่นๆกับเจ้านายว่า เวลาคนในร.พ.ทำงานกันแล้วมีเรื่องที่โต้แย้งกันแล้วจับมานั่งแก้ปัญหาร่วมกัน นั่งฟังแล้วนึกขำๆ ที่ส่วนใหญ่เวทีเหล่านั้นมักทำเรื่องเล็กๆที่ไม่ยากให้เป็นเรื่องใหญ่เรื่องยาก ส่วนน้อยมากๆที่ทำให้เรื่องธรรมดายังเป็นเรื่องธรรมดา และก็ไม่เคยเห็นเวทีที่ทำเรื่องใหญ่ๆให้กลายเป็นเรื่องเล็กๆง่ายๆเอาซะเลย
การนึกถึงเรื่องราวที่ผ่านมาชวนให้ย้อนรอยไปดูเรื่องของ to do tag ที่ใจมันอยากลองดูสักตั้งกับการเชื่อมเครือข่ายครูต่างระบบเข้ามาทำงานเชิงสังคมแบบร่วมด้วยช่วยกัน เป็นครูต่างสังกัดต่างกรม ต่างกระทรวงที่อยู่ในภาคการศึกษา แล้วโยงให้มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างครูไทยพุทธและครูมุสลิม
ถามตัวเองอยู่เหมือนกันว่าเรื่องที่คิดนี่เป็นการกำลังทำเรื่องใหญ่ตามความคิดเห็นของคนอื่นให้เป็นเรื่องเล็กอยู่หรือเปล่า
บอกตัวเองตั้งแต่ตั้งใจแล้วว่าเรื่องนี้ “ไม่ง่าย” จึงปล่อยให้กลไกของ “องค์กรจัดการตัวเอง” เป็นเครื่องมือในการก่อสานความสัมพันธ์ โดยสานต่อจากการใช้วงโรตีเป็นฐาน
ได้เล่าไว้ว่าการนัดวงโรตีครั้งที่ 4 เป็นนัดที่ตั้งใจจะร่วมกันเรียนรู้สุนทรียสนทนาดูสักหน่อย เย็นวันนั้นสะกิดใจกับฝนห่าใหญ่ที่็ตกลงมาว่าจะเป็นเหตุให้วงโรตีในค่ำคืนนั้นล้มไปได้หรือไม่อยู่เหมือนกัน กลับถึงบ้านจัดการเรื่องราวส่วนตัวจนเสร็จสิ้นแล้วจึงขับรถจากบ้านไปจนใกล้จะถึงสถานที่นัดหมายกันแล้วเสียงกริ๊งกร๊างก็ดังขึ้น จึงชะลอรถหยุดคุยก่อนไปถึงเป้าหมาย สาวน้อย “หนับ” นะเองที่ส่งเสียงมา
ได้ความว่า ของดวงโรตีในคืนนี้ด้วยผู้คนที่ตกปากรับคำว่าจะมาพบกันนั่งคุยกันนั้นติดภาระกิจมาร่วมไม่ได้ อือ ไม่คาดคิดว่าที่สะกิดใจนั้นจะกลายเป็นเรื่องจริงขึ้นมาได้
เสียงติดต่อเงียบหายไปราวๆหนึ่งสัปดาห์เห็นจะได้ แล้วจู่ๆเมื่อเย็นวันพุธที่แล้วก็มีเสียงกริ๊งมาถาม “คืนนี้หมอว่างหรือเปล่า” คำตอบก็ง่าย “ว่าง ไม่ได้ไปไหน” ตอบไปง่ายจนทำให้ผู้โทรศัพท์มาหาเธองงมั๊ง และสุดท้ายการสนทนาก็ลงเอยด้วยวงโรตีนัดหมายให้ไปร่วมทำกิจกรรมเรียนรู้สุนทรียสนทนาด้วยกัน ก่อนวางหู ฉันแค่บอกเธอไปว่า “เป็นที่ไหน เวลาใดก็ให้บอกเพิ่มเติมมาเมื่อนัดหมายผู้คนได้แล้วก็แล้วกัน”
ถึงเวลาฉันก็พาตัวไปสถานที่นัดหมาย มีผู้คนรออยู่แล้ว สาวคนหนึ่งที่เคยเล่าว่าทำงานในศูนย์เด็กเล็กเป็นคนหนึ่งที่รออยู่ สะหน้าคือชื่อของเธอ เธอรออยู่พร้อมกับเด็กๆวัยประถมและมัธยม 4 คน เมื่อนั่งลงเพื่อจัดสถานที่คุยกันเธอก็ถามเด็กคนหนึ่งขึ้นมาถึงผู้ใหญ่ที่จะมาร่วม แล้วไม่นานก็มีหญิงสูงอายุ 2 คนเข้ามาสมทบ ท่าทีของการมาเข้าร่วมของผู้เฒ่าสะกิดใจฉันน่าดู
ยังไม่ได้บอกเนอะว่าผู้คนทั้งหมดที่มาพบปะในคืนนี้เป็นมุสลิมทั้งหมด สถานที่พบปะในค่ำคืนนี้เป็นห้องประชุมของมัสยิดแห่งหนึ่งในเขตของอบต.
ฉันเริ่มต้นกิจกรรมด้วยการชวนสนทนาแลกเปลี่ยนทำความรู้จักกัน ถามไถ่ทั้งเด็กๆและผู้ใหญ่ว่าที่มาในคืนนี้คิดว่าจะมาทำอะไร จะเจออะไร เด็กๆตอบว่า “สะหน้าเป็นคนชวนมา ไม่รู้หรอกว่าคืนนี้จะมาทำอะไร” ผู้ใหญ่สูงวัยไม่ได้ตอบสีหน้าดูเคร่งขรึมเชียว
ฉันหันไปมองหน้าสาวน้อยผู้ชวนผู้คนมาในค่ำคืนนี้ ก็พบรอยยิ้มอย่างกระอักกระอ่วนเป็นความกระอักกระอ่วนคล้ายๆไม่รู้จะตอบอย่างไร สีหน้าของผู้ใหญ่ที่เห็น ทำให้ฉันหันไปชวนเด็กๆคุยต่อ “ถ้างั้นเอาใหม่ บอกหน่อยว่า สะหน้าชวนว่ายังไง จึงมากันโดยดี” เด็กๆตอบมาว่า “สะหน้าบอกว่ามาเถอะมาพบกับเรื่องดีๆ”
แลกเปลี่ยนกันพอหอมปากหอมคอจนความคุ้นเกิดขึ้น เมื่อบอกว่าการเรียนรู้ในวันนี้จะเป็นแค่การคุยกันเป็นส่วนใหญ่ ภาษากายของผู้สูุงวัยที่สังเกตเห็นก่อนจะเริ่มนำพาให้ทำกิจกรรมเรียนรู้ดูผ่อนคลายขึ้น หนึ่งในสองคนเริ่มนั่งสบายๆไม่เกร็ง ส่วนอีกคนยังทำหน้าตาครุ่นคิดอยู่ในใจแบบคนยังไม่วางใจ
ฉันไม่ได้ทำกิจกรรมอะไรมากหรอกนะคะ แค่ชวนพวกเขาให้จับคู่เล่าเรื่องราวตอนเด็กๆ คู่คุยก็ให้เด็กที่อ่อนวัยที่สุดจับคู่กับผู้สูงวัยก่อน คู่ที่เหลือจับคู่ให้ต่างวัยกันไป แน่นอนที่ข้อกำหนดกิจกรรมนี้จะบอกให้มีการกำหนดเบอร์ 1 เบอร์ 2 กติกาที่บอกก็ให้เบอร์ 1 เล่าก่อน เบอร์ 2 เป็นผู้ฟัง ฟังแบบไม่ซักถาม ไม่ชวนคุย
บรรยากาศของการคุยเป็นไปอย่างเงียบๆ ดูคู่เด็กจะคุยกันสนุก ผ่อนคลายพอไหวๆ ส่วนคู่เด็กกับผู้ใหญ่สูงวัย ผู้ใหญ่ตั้งหลักอยู่นานเชียวกว่าจะเล่าเรื่องราวของตัวได้ ฉันหน่วงเวลาให้ผู้ใหญ่ได้สะกิดกับประสบการณ์บางอย่างของตัวเองไม่เร่งรัด
แน่นอนที่กิจกรรมอย่างนี้จะพบว่ามีบางคู่คุยเล่าสู่กันฟังจบไปแล้วโดยไม่รอให้ได้บอกกติกาเรื่องของการสลับกันเล่า คู่ไหนที่ทำไปแล้วอย่างนี้ ฉันก็ให้เขาคุยทำความรู้จักกัน ระหว่างที่รอรอบของเบอร์ 2 เล่าเรื่องให้เบอร์ 1 ฟัง
อือ แค่ไม่ไปติดกรอบต้องทำตามกิจกรรมที่เคยรู้ๆแบบเป๊ะๆ รอบนี้้ฉันได้ความรู้ใหม่เกี่ยวกับพฤติกรรมคนมาเพิ่มแฮะ
ระหว่างจะให้เริ่มกิจกรรมต่อมาด้วยการนั่งเป็นวงคุย ชายหนุ่มซึ่งเป็นครูในระบบการศึกษาที่เคยได้พบเจอก็ปรากฏกายขึ้น เป็นอะไรที่ต้องปรับความคิดกับกิจกรรมที่ตั้งใจไว้ ตัดสินใจให้จับกลุ่ม 4 คุยแทนการตั้งวง ตามน้ำต่อให้ครูเข้าไปรวมกลุ่มกับสะหน้าและคู่ของเธอ คนอื่นๆนั่งรวมกลุ่มกันให้ครบ 4 คน แล้วบอกให้คนฟังเล่าเรื่องที่ได้ฟังจากคู่คุยให้คนในวง 4 คนฟัง
พอได้ยินว่าให้เล่าเรื่องของคนอื่นผู้สูงวัยคนหนึ่งร้องอ้าวลืมหมดแล้วเรื่องที่เล่าและหลุดหัวเราะ เสียงหัวเราะทำให้เธอผ่อนคลายลง สีหน้าที่เคร่งขรึมผ่อนคลายลง ดูเหมือนเมื่อเธอหันกลับเข้าร่วมวงและฟังคนในวงคุยเล่าสู่กันฟัง เธอเริ่มให้ความสนใจกับสิ่งที่ได้ยิน
รอจนทุกคนได้เล่าสิ่งที่ได้ฟังกันแล้ว ฉันจึงขอตั้งวงสนทนาแบบรอบวง ไม่ได้ใช้วงสนทนานี้แลกเปลี่ยนให้เล่าเรื่องหรอกนะคะ จะใช้สำหรับโยนตัวกวนลงไปให้ผู้ใหญ่และเด็กได้คิดและหวนมาย้อนดูตัวเอง
ตัวกวนที่โยนลงไปก็คือ รู้สึกอย่างไรกับการที่ได้ฟังเรื่องเล่าตอนเด็กๆของคู่สนทนา คำตอบของเด็กจะบอกว่าสนุกและไม่มีคำอธิบายใดๆ คำตอบของผู้ใหญ่จะแตกต่างไปตรงที่ล้วนเป็นคำอธิบายทั้งสิ้น ฉันร่วมคุยโดยสะท้อนสิ่งที่ฉันสังเกตเห็นในระหว่างพวกเขาคุยกันให้ผู้ใหญ่ได้เห็นเงาของตัวเองไปด้วย เริ่มสัมผัสว่ามีการรับรู้อะไรบางอย่างของผู้ใหญ่เกิดขึ้น ส่วนเอ๊ะอะไร ไม่ได้ชวนให้พวกเขาสะท้อนออกมาให้ได้ฟังกัน
กิจกรรมดำเนินมาถึงตรงนี้ ท่าทีของผู้สูงวัย 2 คนที่ดูไม่เต็มใจกับการมาเข้าร่วมเปลี่ยนไป ผ่อนคลาย ภาษากายบอกให้รู้ว่า เต็มใจจะอยู่ร่วมในกิจกรรมแล้ว แล้วชายหนุ่มคนหนึ่งก็ปรากฏกายขึ้น เขาคือคนที่ดูแลมูลนิธินั่นเอง ซึ่งต่อไปจะขอเรียกชื่อเขาว่า “บังหลา” ค่ะ
เมื่อบังหลามาเข้าร่วมหลังกิจกรรมทำไปบ้างแล้ว ฉันจำต้องปรับกิจกรรมที่จะชวนให้ทำต่อไปอีกหนแล้ว ในคราวนี้จึงชวนเขาเล่นละครด้วยกัน โดยแบ่งกลุ่มพวกเขาให้เป็น 2 กลุ่ม แบ่งหน้าที่ให้แต่ละคนในกลุ่มลงมือทำไม่เหมือนกัน โจทย์ที่ให้ก็มีเจตนาให้รับรู้ความรู้สึกของตนเท่านั้นเอง เป็นโจทย์ที่ผู้คนที่รับบทได้รับรู้ความเป็นหมีของตนได้ชะงัดดี
ทำจบแล้วก็ให้พวกเขาทั้งหมดสะท้อนความรู้สึกระหว่างทำกิจกรรม เชื่อไหมว่าทั้งหมดมีคำตอบออกมาให้ฉันได้รู้ว่าส่วนใหญ่พวกเขาเป็นหมี
ต่อจากนี้ก็สะท้อนให้กันฟังว่าเรียนรู้อะไรที่เป็นข้อคิดติดตัวไปใช้บ้างไหม เมื่อเขาเล่าเรื่องราวเรียนรู้สู่กันฟังแล้ว ฉันก็บอกว่าฉันได้ข้อเตือนสติว่าความขัดแย้งเกิดเรื่องขึ้นจากช่องว่างของการสื่อสารนี่เอง เป็นการสื่อสารที่เกิดขึ้นระหว่างคน 2 คนที่มีความคิดมุมลบต่อกันเท่านั้นจึงจะเกิด จะไม่เกิดถ้าคน 2 คนที่สื่อสารกันมีความคิดบวกต่อกัน การสื่อสารมีหลุดจากการส่งต่อคำพูดไม่หมดด้วยนะ ยิ่งการสื่อผ่านปากหลายปากแล้วยิ่งมีคำพูดหลุดหาย จึงควรที่จะใช้คำโบราณมาเตือนใจไว้ทุกเมื่อ เมื่อได้ฟังเรื่องใดทันทีที่ได้ยินได้ฟัง “ฟังหูไว้หู” อย่าเพิ่งเชื่อ
เมื่อพูดจบ คนสูงวัยคนหนึ่งก็หลุดปากขึ้นมาว่า ใช่เลย อย่างเช่นเรื่องของสามจังหวัดภาคใต้ไงเล่า เข้าไปในพื้นที่ไม่เห็นมีเรื่องอะไรเลย
ทีเผลอหลุดปากอย่างนี้ออกมาก็ทำให้รู้ว่าเรื่องนี้กินใจของผู้คนชาวมุสลิมในกระบี่อยู่ไม่น้อยทีเดียว
เพื่อไม่ให้หลุดออกไปจากเรื่องที่ตั้งใจมาชวนกันฝึกฝนในคืนนี้ ฉันจึงชวนให้กลับมาทำกิจกรรมต่อ คราวนี้ให้ทำ 4 ทิศ โดยไม่บอกที่มาที่ไป บอกแต่เพียงมีแบบฝึกหัดให้ประเมินตัวเองกันดูหน่อย ให้อ่านดูแล้วบอกตัวเองให้ได้ว่าเป็นสัตว์ตัวไหนแค่นั้นเอง
คนส่วนใหญ่ตอบว่าตัวเองเป็นหมีบ้าง หนูบ้าง มีเพียงผู้สูงวัยที่เล่าว่าหน้าตาเคร่งขรึมที่ตอบว่าตัวเองเป็นเหยี่ยวที่บินไปมาบินมาหากินอยู่ทุกๆวัน เสียงที่บอกสะกิดใจอะไรฉันบางอย่างอยู่จนเดี๋ยวนี้เชียว
ความสะกิดใจทำให้ฉันชวนพวกเขาให้ยกเหตุการณ์ที่สรุปว่าเป็นสัตว์นั้นๆเล่าสู่กันฟัง ได้การเชียวผู้สูงวัยที่เป็นเหยี่ยวพูดจาวกวนเล่าเรื่องราวของตนออกมาไม่ได้
หลังจากนั้นฉันชวนให้เขาชั่งดูตัวเองว่ามีสัดส่วนของสัตว์ 4 ทิศอยู่แค่ไหนด้วยภาพ ภาพที่สื่อออกมาน่าสนใจไม่เบาทีเดียว
จังหวะที่กิจกรรมนี้จบลงสักครู่ ครูก็ขอตัวกลับด้วยมีนัดหมาย เมื่อครูกลับ ก่อนบังหลาจะ็ขอตัวกลับเพื่อไปเตรียมงานของมูลนิธิรำลึกวันสึนามิ ฉันให้เวลาคุยกันต่ออีกครู่ คราวนี้ให้นั่งล้อมวงคุยกันเป็นรอบวง โจทย์คราวนี้ฉันชวนให้สะท้อนให้กันฟังว่ามีอะไรติดขัดในชีวิตบ้างกับการเป็นสัตว์ที่ตัวเองเป็นอยู่
คราวนี้ฉันเริ่มเล่าเรื่องราวของฉันให้เขาฟังก่อนเป็นตัวอย่างบ้าง เรื่องที่เล่าก็เป็นเรื่องที่ใช้ความเป็นเหยี่ยวแล้วเจอตอในการทำงานเข้าให้ สังเกตว่าบังหลาไม่อยากอยู่คุยเมื่อถึงช่วงนี้ เขาขอตัวกลับและบอกว่ามีธุระนัดหมายไว้เช่นเดียวกับครู ผู้สูงวัยที่บอกว่าตัวเองเป็นเหยี่ยวก็เริ่มกระสับกระส่าย
ฉันจึงบอกคนในวงว่าใครที่ไม่มีเวลาจะอยู่ต่อก็สามารถกลับได้ตามสะดวกใจ ใครอยู่ต่อก็คุยกันต่อ ผู้สูงวัย 2 คนขอตัวกลับในตอนนี้เอง คนหนึ่งได้เล่าเรื่องของตัวเองให้ฟังแล้ว ส่วนคนที่เป็นเหยี่ยวขอตัวลุกกลับบ้านก่อนจะถึงคิวเล่าของตน เหลืออยู่แค่สะหน้าและเด็กๆ
คุยต่อไม่นานเราก็เลิกวงโรตีของค่ำคืนนั้น รอๆกันอยู่จนหมดเวลาที่กะกันไว้ก็ปรากฏว่าสาวน้อยผู้ริเริ่มวงโรตี “หนับ” ก็ยังไม่ปรากฏกาย เอ๊ะ คืนนี้เธอหายไปไหน
บันทึกอื่น
1. ปล่อยอารมณ์
« « Prev : หลักการครองเรือนที่ย่าบอกมา
Next : เชื่อมโยงความตั้งใจ » »
ความคิดเห็นสำหรับ "เมื่อไม่ง่าย…ก็แค่ทำเรื่องใหญ่ให้เป็นเรื่องเล็ก…ก็จะ้สบายๆ"