อดได้..อด(แล้ว)ดี

โดย สาวตา เมื่อ 25 พฤศจิกายน 2009 เวลา 21:06 ในหมวดหมู่ ประสบการณ์ชีวิต, สังคม, เล่าสู่กันฟัง #
อ่าน: 1186

วันนี้กลับมาบ้าน ระหว่างรอกินข้าวเย็น ก็ใช้เวลาเข้ามาตามอ่านบันทึกในลานปัญญาซะหน่อย อ่านๆไปจนถึงบันทึกของพ่อครู ก็สะดุดกึกทีเดียวเชียว

อยากรู้ว่า หนังสือเล่มไหนหนอ เขียนอะไรได้่ตรงใจดีจริงๆ

วันนี้เพิ่งพบกับประสบการณ์นี้มาสดๆร้อนๆ ดีนะที่มีสติอยู่กับตัว

เข้าใจแล้วว่าการรักษาะระยะห่างหรืออีกความหมายหนึ่งของคำที่วงน้ำชาชอบใช้นั่่นคือคำว่า “กินพื้นที่” มีความสำคัญต่อความสัมพันธ์ของผู้คน

มีคนพูดว่า อดีตเป็นสิ่งที่ผ่านไปแล้ว  นี่ก็จริง มีคนที่พูดสอนคนอื่นว่า อดีตเป็นบทเรียน  นี่ก็จริง และ อดีตก็คืออดีต นี่ก็ใช่เรื่องจริง

สิ่งที่ผ่านไปแล้วก็คืออดีตธรรมดาๆนี่เอง เดี๋ยวนี้จึงมักจะนำอดีตมาย้อนรอยเพื่อใช้เป็นหนังสือเรียนชีวิตเพื่อสร้างชีวาให้ตัวเอง

เรื่องราวของวันนี้ จึงเสมือนเป็นบทเรียนที่อยากบันทึกไว้เรียนต่อไป

“ถ้าเราก้าวก่ายชีวิตของคนอื่น เราจะเป็นผู้ที่น่ารังเกียจ  น่าเบื่อหน่าย น่ารำคาญที่สุด ผู้เป็นพุทธแท้..จะ ไม่ยัดเยียดสิ่งเลวและสิ่งดีให้ผู้อื่น ไม่ล่วงละเมิดในกิเลส ข้อบกพร่อง ข้อไม่ดีของผู้อื่น เพราะเขาก็รักเขาก็ห่วงเขาก็หวงไว้เพื่อเรียนรู้ ทุกข์ของเขา เขายังเรียนรู้ไม่จบไม่ชัด ความไม่ดีความทุกข์ทรมานตัวนั้นเป็นสมบัติล้ำค่าของเขา..แม้ เราจะเห็นว่าดีจริง บางอย่างก็เกินความพร้อมเกินกำลังที่เขาจะรับได้ จะทำให้เขาขุ่นเคืองใจ เราก็จะทุกข์เขาก็จะทุกข์ ถ้าคนอื่นไม่อนุญาตให้เราแสดงความคิดเห็น การยัดเยียดความดีให้ผู้อื่นเป็นโทษ เป็นผลเสียต่อมิตรภาพและสุขภาพ บางคนเรายิ่งพูดยิ่งอธิบาย เขายิ่งไม่จบไม่ยอม เราพึงชิงหยุด..”

นี่คือคำพูดที่พ่อครูยกมาบอกกันในลานของพ่อครู

วันนี้ไปประสานงานเรื่องหนึ่งกับพยาบาลคนหนึ่งที่เคยดีๆกัน แต่ในตอนหลังๆเธอมีปฏิกริยาที่บอกให้รู้ว่า “ข้าไม่เอากะเอ็งโว้ย” ให้ได้รับรู้ โดยฉันก็ไม่รู้สาเหตุ

คำพูดที่ได้ิยินจากปากของเธอชัดๆในวันนี้ยืนยันว่า ไม่ได้เข้าใจผิดกับความเข้าใจ “ข้าไม่เอากะเอ็ง” หรอกนะ

เธอคนนี้เป็นคนสำคัญที่ดูแลระบบใหญ่ให้ร.พ.ในเรื่องของเบาหวานร่วมกับรองแพทย์อีกคน

ลองถอดบทเรียนดูทีรึ วันนี้ได้เรียนรู้อะไรบ้างเกี่ยวกับความรู้สึกของคน ทั้งความรู้สึกต่อตนเอง ความรู้สึกของผู้อื่น และความรู้สึกของตนเองต่อผู้อื่น

“…….เราเป็นผู้ที่น่ารังเกียจ  น่าเบื่อหน่าย น่ารำคาญที่สุด….”

อืม…คำพูดที่บอกออกมาจากปากวันนี้ยืนยันเนอะ ว่าเธอผู้นี้รู้สึกกับฉันอย่างนี้

รู้สึกอย่างไร ไม่โกรธและเอะใจนะ แล้วเกิดคำถามทำไมเขารังเกียจเรา

มาสะดุดที่คำว่า “ก้าวก่ายชีวิตของคนอื่น”  หรือว่านี่คือคำตอบ ไม่รู้ซิ

“ผู้เป็นพุทธแท้..จะไม่ยัดเยียดสิ่งเลวและสิ่งดีให้ผู้อื่น ไม่ล่วงละเมิดในกิเลส ข้อบกพร่อง ข้อไม่ดีของผู้อื่น”

อืม….อ่านแล้วมีคำถามกับตัวเอง “วันนี้เราทำอะไรอย่างนี้ลงไปหรือเปล่า”

“น่าจะทำลงไปแล้วมั๊ง”  นี่คือคำตอบ

วันนี้เรื่องที่นำไปคุยเชื่อมเป็นเรื่องจุดอ่อนที่อยากจะให้คนที่มาร่วมประชุมเขาช่วยเติมคุณภาพลงไปให้หน่อย สิ่งที่นำไปบอกก็เป็นวิธีที่ฉันลงมือคิดและทำกับพยาบาลคนอื่นแล้วพบจุดอ่อนดังกล่าวจึงนำไปบอกเล่า พยาบาลคนที่ได้ทำงานด้วยเขาเห็นด้วยว่าดี เราก็เลยอยากให้พวกเขาซึ่งอยู่ในหอที่ยังไม่ได้เริ่มทำหรือทำแบบไม่เต็มใจ ใคร่ครวญกันหน่อยแล้วลงมือทำด้วย ไ่ม่ได้จะไปบังคับ แต่ไปสะท้อนให้รู้ว่าเจออะไรที่เป็นจุดอ่อน ยอมรับกับตัวเองว่ามีความคาดหวังต่อพวกเขาอยู่นะ

บะแหล่ววันนี้ ไม่เป็นพุทธแท้ซะแล้วซิ

แล้วก็ไ้ด้เห็นจริงกับคำสอนนี้เนอะ

“….เพราะเขาก็รักเขาก็ห่วงเขาก็หวงไว้เพื่อเรียนรู้ ทุกข์ของเขา เขายังเรียนรู้ไม่จบไม่ชัด ความไม่ดีความทุกข์ทรมานตัวนั้นเป็นสมบัติล้ำค่าของเขา..แม้ เราจะเห็นว่าดีจริง บางอย่างก็เกินความพร้อมเกินกำลังที่เขาจะรับได้ จะทำให้เขาขุ่นเคืองใจ เราก็จะทุกข์เขาก็จะทุกข์ ถ้าคนอื่นไม่อนุญาตให้เราแสดงความคิดเห็น การยัดเยียดความดีให้ผู้อื่นเป็นโทษ เป็นผลเสียต่อมิตรภาพและสุขภาพ บางคนเรายิ่งพูดยิ่งอธิบาย เขายิ่งไม่จบไม่ยอม เราพึงชิงหยุด..”

ก็คำพูดที่บอกออกจากปากเธอให้ได้ยินเป็นอย่างนี้

“3 โมงแล้ว วันนี้ไม่คุยแล้ว น้องๆกลับกันไปก่อน” นี่คือ คำบอกที่เธอบอกกับคนที่เธอชวนเขามาคุยกันในวันนี้ หลังจากเธอหายตัวไประหว่างรอให้พวกเขามาครบแล้วหวนกลับมานั่งร่วมกับพวกเขา

“หมอมาทำให้หนูไม่ได้คุยกับคนที่ชวนมาเพื่อคุยกันเรื่องงานที่ตั้งใจจะทำเกี่ยวกับการดูแลคนไข้…หนูให้เวลาหมอแค่ 5 นาทีแล้วหนูจะไปแล้ว”….นี่คือ คำที่เธอเอ่ยบอกฉัน หลังจากฉันใช้เวลาที่คุยกับคนอื่นระหว่างพวกเขานั่งรอเธอจบลงไปหมาดๆ และคนอื่นพากันลุกออกไปแล้ว เมื่อเธอเอ่ยประโยคข้างบนออกมา

คำพูดนี้ทำให้เกิดจี๊ดขึ้นเล็กน้อย และก็เกิดข้อตัดสินใจ บอกเธอไปว่า ฉันจะหยุดความสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้องกับเธอในเรื่องของงานเบาหวานก็แล้วกัน ส่วนเรื่องราวของการพัฒนาระบบขององค์กร เธอคงต้องแบกรับต่อไป

อืม….การทำดีไม่ง่ายเลยจริงๆเมื่ออยู่ในสังคม….สะดุดใจว่า “กิเลสอะไร พาใจเธอไหลไปได้อย่างนี้”

ระหว่างเดินกลับบ้าน ฉันทวนสอบอารมณ์ตัวเองให้สะเด็ดน้ำ ถามใจอยู่หลายหน ว่าที่ตัดสินใจว่า “ฉันจะชิงหยุด ความเกี่ยวข้องกับเธอซะ…นี่คือทางเลือกที่ดีที่สุด…นั้นแน่ใจแล้วหรือ”

ก็ได้คำตอบว่า แน่ใจแล้ว ทั้งนี้ เพื่อผลดีต่อมิตรภาพและสุขภาพที่จะเป็นผลต่อมาของเราทั้งคู่  ถามใจต่อว่า ที่ตัดสินใจอย่างนี้ เพราะจี๊ดหรือเปล่า คำตอบคือ ไม่ใช่นะ

อ่านบันทึกพ่อครูแล้วสะดุดใจก็เพราะว่า ตัดสินใจไปแล้ว ไหงตรงกันได้นะซิ

อือ นี่คือธรรมนะ ทำความเข้าใจให้มากไว้

จึงคัดลอกข้อความจากบันทึกพ่อครูมาไว้ที่นี่ เพื่อไว้เตือนใจ ยามตกร่องตกหลุมอารมณ์ซะหน่อย

เพื่อใช้สอนตัวเองและประคองสติเมื่อมีความสัมพันธ์กับผู้คนในกาลต่อไป เผื่อว่าจะมีประวัติศาสตร์ซ้ำรอยขึ้นมาอีก

ก็แค่บันทึกไว้เตือนตนเท่านั้นแหละ

วันนี้ถามตัวเองว่าได้เรียนรู้อะไรบ้างเกี่ยวกับ “คำ”ที่วงน้ำชามักจะนำมาใช้เผยแพร่บทเรียนของตน

คำเหล่านี้มีอิทธิพลมากมายต่อความสัมพันธ์ระหว่างผู้คน มากมายจริงๆนะคะ

ขอแปลไว้ตามความเข้าใจส่วนตัวเอาไว้หน่อย

“กินพื้นที่”   - ระยะห่างที่ไม่ลงตัวกับอีกฝ่าย

คำเตือนตน : เป็นตัวแปรให้เกิดผลลบ  รู้เท่าทันหน่อยนะ  นี่คือวิธีระวังไม่ให้ไฟนอกเข้าตัว และทำให้รู้จักไฟในตัวนะ เป็นวิธีเรียกสติด้วยนะ

“คำตัดสิน”  - มีอยู่ตลอดเวลาในระหว่างการมีสัมพันธ์ ไม่เขาก็เรา หรือไม่ก็ทั้งคู่

คำเตือนตน : นี่คือการฝึกเพื่ออยู่กับปัจจุบันขณะขั้นเริ่มต้น การรู้เท่าทันทำให้ทันต่อปัจจุบันขณะได้นะ

“แขวนคำตัดสิน” - รู้เท่าทันคำตัดสินของตัวเองหน่อยนะ ปล่อยวางข้อสรุปไว้ก่อน ฟังทั้งตัวเองและคนอื่นให้ได้ยินจนจบซะก่อน

คำเตือนตน : อย่าลืมแขวนซะละ  รู้ให้ทันหน่อยนะ  นี่คือวิธีฝึกให้รู้เท่าทันและอยู่กับปัจจุบันขณะเช่นเดียวกัน การทำได้แปลว่า ฝึกตนก้าวหน้าขึ้นแล้วนะ

“ฟังให้ลึก” - นอกจากฟังตัวเองให้ได้ยินไปถึงความรู้สึกและความคิดทั้งของตัวเองอย่างเท่าทันแล้ว ฟังให้ได้ยินไปถึงความรู้สึกและความคิดของคู่สนทนาให้เท่าทันด้วยละ ได้ยินแล้วอย่าลืมแขวนคำตัดสินไว้ก่อนละ

“ใคร่ครวญ” - ทบทวนซ้ำไปซ้ำมาซะหน่อยว่าสิ่งที่ตัดสินอยู่นั้น รู้เท่าทันความรู้สึกและความคิดของตัวเองแค่ไหน อย่างไร ฟังได้ยินทั้งตัวเองและคนอื่นได้จบหรือเปล่า ทั้งหมดหรือเปล่า

ทำให้ได้อย่างสม่ำเสมอ แล้วปัญญาในการแก้ปัญหาที่เป็นความลงตัวของตัวเองก็จะเกิดตามมา

ความสุข และความสงบใจก็จะเกิดตามมาภายหลังการตัดสินใจที่ความคิดได้หล่อหลอมขึ้นมา

ก็แค่มาบอกว่าดีใจที่วันนี้รู้ทันอารมณ์ตัวเองอีกวันค่ะ

« « Prev : รัก…ไม่รัก…รัก…ไม่รัก…ก็บอกมาซิ

Next : ไปดูหนัง » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

3 ความคิดเห็น

  • #1 อุ๊ยสร้อย ให้ความคิดเห็นเมื่อ 25 พฤศจิกายน 2009 เวลา 21:37

    ได้โจทย์นะคะพี่สาวตา

  • #2 sutthinun ให้ความคิดเห็นเมื่อ 26 พฤศจิกายน 2009 เวลา 6:22

    ได้อ่านเรื่อง แบบตุ๊บตับดีเหลือเกิน

  • #3 สาวตา ให้ความคิดเห็นเมื่อ 26 พฤศจิกายน 2009 เวลา 19:44

    #1 #2  ตอนยังเป็นโจร เวลาเจอโจทย์อย่างนี้แล้ว มีหวังต่างคนต่างแยกย้ายกันไปด้วยร่องอารมณ์ลบๆ

    เดี๋ยวนี้ผ่านโจทย์แบบนี้ได้แบบชิวๆแล้ว

    เมื่อวานนี้ ไม่ได้คาดว่าจะพบปฏิกริยาและคำพูดอย่างที่เขียนเล่าไว้ ในเริ่มต้นที่ได้รับรู้ก็มีบ้างที่ใจมันเต้นแรง

    มันเต้นแรงด้วยความผิดหวังและพยายามหาทางแย้งให้เกิดความเข้าใจที่ดีต่อกันแต่เมื่อตามรู้อารมณ์อีกฝ่ายทัน ก็รู้ทันตัวเราด้วย

    พอรู้ทันก็บอกตัวเองได้ว่า เอาแล้ว หลงวิ่งตามอารมณ์เขาไปซะแล้ว พอรู้มันก็หยุดวิ่งตามทันทีเช่นกัน นะอุ๊ยสร้อย

    เห็นมันแล้ว นึกถึงเด็กเวลาเล่นเลยนะพ่อครู   ทีเผลอนี่มันมาเป็นโจทย์ให้บ่อยๆ นี่มันก็ดีเหมือนกัน มันทำให้ได้ฝึกความไวของความเท่าทันการตามรู้

    ตั้งหลักได้ ไม่ได้มั่งก็ยังชิวๆ

    วิธีนี้เป็นวิีธีที่ดีกว่าการไปขอพบหมอจิตเวช หรือขอยากล่อมประสาทกินมากมาย

    เป็นการทำให้หัวใจได้พักผ่อนมากมายด้วย  ไม่เชื่อลองคลำชีพจรดูซิว่ามันช้าลงกว่าเดิมมากมายเมื่อทำได้ดีขึ้นๆ


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่
You must be logged in to post a comment.

Main: 0.11705112457275 sec
Sidebar: 0.17117285728455 sec