ไปดูหนัง
อ่าน: 1200เมื่อวานนี้เป็นอีกวันที่ลูกชายไปรับตัวกลับมาบ้านหลังเลิกงาน กลับถึงบ้านก็ทำโน่นทำนี่ไปเรื่อยๆ ก่อนกินข้าวเย็นก็เปิดอ่านลานปัญญา แล้วว่าต่อดูงานด่วนที่ส่งถึงมือก่อนกลับบ้านในรูปของหนังสือนำส่งและซีดี ทีแรกที่รับมาใส่มือแวบๆว่า หนังสือนำส่งแจ้งให้ส่งงานภายในวันที่ 30 พ.ย. รู้สึกว่าในใจบ่นเล็กน้อย ก่อนตัดสินใจหยิบมันติดมือกลับบ้าน
เสียงแรกที่ได้ยินจากใจก็คือว่า บะแหล่ว อย่างนี้จะมีใครเขาทำได้ทัน แล้วจึงรู้ว่าที่แท้ใจคอยห่วงคนอื่น
คนที่นึกไปถึงในใจตอนนั้นคือ คนๆหนึ่งที่ดูเหมือนจะมีทั้งสุขและทุกข์กับการทำงานนี้ แล้วงานที่ส่งมาตามโจทย์นั้น อาศัยคนหลายคนช่วยคิดกันอยู่
ที่ว่าสุขก็เพราะเห็นว่ายังขยันทำไม่เลิก ที่ว่าทุกข์ก็เพราะว่าได้ยินแต่เสียงก่นบ่นว่าทำอยู่คนเดียว ตะแหง่วๆขอคนไปช่วยตลอดมา
ได้ยินเสียงบอกตัวเองด้วยว่า ไม่ชอบเลยที่ต้องเร่งงานในวันหยุดนี้ เพื่อส่งกลับให้ทันเวลาในส่วนของงานที่เกี่ยวข้อง
นั่งอ่านงานคร่าวๆไปได้ 3-4 แฟ้ม ก็วางมือลงแล้วจัดแจงกินข้าวเย็น
ระหว่างกำลังนั่งกินข้าวเย็น เจ้าลูกชายเดินเข้ามาพร้อมเหงื่อท่วมตัว อ้อ วันนี้เขาวิ่งออกกำลังกายอยู่หลังบ้าน แปลกใจอยู่หน่อยที่ไม่ออกไปคุยกับเพื่อนๆอย่างเช่นทุกวัน
ฉันเอ่ยปากชวนไปว่า พาแม่ไปโลตัสหน่อย อยากได้แฟ้มใส่ซองพลาสติกมาใช้เพิ่ม
สนทนากันเป็นครู่ จึงรู้ว่าคุณสามีก็ชวนว่าอยากดูหนัง ตัวลูกชายก็อยากดูหนัง เป็นหนังเรื่องเดียวกันที่อยากดู เรื่องคุยจบลงที่ดูหนังกันก่อนแล้วซื้อของ
ตกลงแล้ว ต่างคนต่างก็เตรียมตัว คุณสามียังไม่กลับจากไปเล่นกีฬา
ระหว่างรอคุณสามีก็นั่งดูเรื่องงานต่อ อ่านงานคร่าวๆอีกรอบเพื่อเตรียมทำงานให้เสร็จลงภายในเวลาี 2 วันหยุดที่มี
อ่านแล้วก็็พบกับคำตอบใหม่ ที่แท้งานด่วนที่จะต้องส่งในวันที่กำหนด ต้องการรู้การตัดสินใจเท่านั้นเอง ยังไม่ต้องการเรื่องราวมากมายที่เกี่ยวข้องอย่างที่รู้สึกในตอนรับเรื่องใส่มือ
คำตอบใหม่ทำให้ความห่วงใยต่อคนที่เล่าว่านึกถึงทุกข์ของเขามันเบาลง โล่งใจ ก็งานแค่นี้ใช้เวลาตัดสินใจไม่ถึงวินาทีก็เสร็จแล้ว ต่อให้ไปทำในเช้าวันที่ 30 พ.ย. ก็ยังทัน
คำตอบใหม่ทำให้โล่งใจว่า ไม่ต้องเร่งรัดงานก็สามารถทำงานให้ได้ผลงานที่พอใจได้ตามแผนงานเดิม
วันนี้ไ้ด้เรียนจากเรื่องนี้อีกแล้วว่าร่องอารมณ์ลบของคนมันเกิดง่ายแสนง่ายจริงเชียว
ได้คติมาเตือนใจตนว่า เมื่อใจพะวงอยู่กับเรื่องอะไรอยู่ และถึงแม้จะ่รู้ตัวล่วงหน้าว่าอย่างไรก็ตามเวลาที่ต้องเผชิญหน้าก็ต้องมาถึง เมื่อเรื่องราวนั้นเข้ามาจริงๆอย่างกระทันหัน ก็ยังมีผลทำให้การรับรู้จากการสื่อสารผิดเพี้ยน ความผิดเพี้ยนเกิดจากตัวเราเองไม่ใช่ใครซะด้วย ความผิดเพี้ยนทำให้เผลอพลัดตกลงไปในร่องอารมณ์ลบด้วยนะนี่
การรับรู้ที่ไม่ได้ใช้สติตามรู้จะนำสู่่วังวนของการตกร่องอารมณ์ลบได้ง่ายดาย วิธีที่จะช่วยให้พ้นจากบ่วงอารมณ์ลบได้ก็คือ รับรู้อารมณ์ลบนั้นซะ แล้วเริ่มใหม่ใช้สติตามรู้ ตามเรียนรู้ใหม่กับเรื่องเดิม
เคล็ดลับของการตามเรียนรู้ใหม่กับเรื่องเดิม คือ ให้เวลากับตัวเองเพื่อเรียนรู้ วางเวลาที่ให้ไปกับการตัดสินใจไว้ซะก่อน วางการตัดสินใจเดิมไว้ก่อนชั่วคราว
วังวนของการตามเรียนรู้ใหม่ จะพาตัวอย่างอัตโนมัติเข้าไปสู่การใคร่ครวญ แล้วคำตอบของข้อตัดสินใจจะเกิดขึ้นมาให้ ได้คำตอบเพิ่มมาให้เลือกมากขึ้นสำหรับการตัดสินใจด้วยนะ
เป็นคำตอบที่ช่วยพาตัวให้พ้นบ่วงของการตกร่องอารมณ์ลบได้เป็นอย่างดีด้วยซิ
คำตอบใหม่ที่ก่อเกิดมาพร้อมกับคำตัดสินใจ คือ “ไม่เป็นไร” จะเกิดขึ้นอย่างสบายๆ
เป็นความไม่เป็นไรที่พร้อมจะเผชิญหน้ากับเรื่องราวที่ไม่พร้อม ที่บวกความพร้อมที่จะช่วยดูแลคนอื่นเมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นต่อหน้าเมื่อเวลานั้นมาถึงด้วยความรู้สึกชิวๆและเต็มใจเผชิญด้วยกัน
ถึงเวลา คุณสามีก็ยังกลับมาไม่ถึงบ้าน สองคนแม่ลูกก็พากันไปดูหนัง หนังที่ไปดูคือเรื่อง 2012 วันสิ้นโลก
หนังได้ให้บทเรียนที่ตอกย้ำ เป็นบทเรียนเดียวกับก่อนไปดูซะด้วยซิ แปลกใจจริง
ตื่นเช้าของวันนี้ ทำให้อยากบันทึกไว้ บันทึกนี้เขียนยังไม่เสร็จก็มีเสียงโทรมาหา
“ตาๆ วันอังคารพี่ไม่อยู่ วันอาทิตย์ไปกินข้าวแล้วคุยกันเรื่องงานคุณภาพ ที่เมอริไทม์ ไปได้ไหม คนอื่นเขารู้แล้ว….” เสียงเจ้านายนะเองไม่ใช่ใคร
บอกตัวเองหลังวางสายว่า โชคดีที่วันนี้ไม่ตัดสินใจเข้ากรุงตามไปสวนป่าอย่างที่ตั้งใจไว้ ไม่งั้นวีซ่าอีกหลายรอบ คงชวดกันไปเลยเชียว
28 พ.ย.2552
4 ความคิดเห็น
มาเรียนว่า ชอบบันทึกนี้อีกแล้วค่ะ
ร่องอารมณ์ลบ
เรียนรู้ใหม่กับเรื่องเดิม
ให้เวลา
แม้เราจะไม่มีชีวิตประจำวันเหมือนกัน
แต่สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้กับทุกคน ทุกเวลา
ขอบพระคุณพี่หมอเจ๊ค่ะ
โห วันหยุด ยังงานเข้า ด้วย
..
สุขสนุกครับ
#1 มีหนังสือเล่มหนึ่งเคยเขียนเอาไว้ว่า “อารมณ์ของมนุษย์มีเพียงหนึ่งเดียว อารมณ์ของมนุษย์เป็นเรื่องของจักรวาลเดียวกัน”
พี่จำชื่อหนังสือไม่ได้แล้ว
ถ้าเรารู้วิธีรับรู้อารมณ์ของตัวเราได้ ถ้าเรารู้วิธีเรียนให้เข้าใจอารมณ์ตัวเรา
เราก็จะได้ประโยชน์ในการมองเห็นบทเรียนของอารมณ์และความคิดจากสิ่งรอบตัว จากเหตุการณ์ประจำวัน
แล้วเราก็ได้ประโยชน์ในการพัฒนาตน
แล้วเราก็ได้ประโยชน์ในการเข้าใจคนอื่น
เมื่อตัวตนของเราพัฒนาขึ้นแล้ว การงานของเราก็เปลี่ยนแปลงไปด้วย
เป็นไปอย่างที่ พี่ตึ๋ง (หมอจอมป่วน) นำมาเขียนบันทึกไว้ พัฒนาตน พัฒนางาน พัฒนาองค์กร เป็นเรื่องเดียวกัน
มันเชื่อมโยงกันอย่างแกะกันไม่ออกเลยเชียวนะคะ แล้วนี้ก็คือกำไรที่สังคม ประเทศชาติ และจักรวาลได้รับค่ะ
#2 ตาหยูเอ๋ยตาหยู รับรู้ไว้เหอะ ว่าพี่นะมีนายที่ยอดขยันทีเดียวเชียวหละ
มีสุขอยู่มากมายกับการทำงานที่ทุกวันทำอยู่ ด้วยเหตุที่ได้เรียนตลอดเวลา
สนุกกับการตอบโจทย์ที่ตัวเองตั้งขึ้น แล้วพบว่าคำตอบที่หาเจอกลับกลายเป็นมุมใหม่ๆ เรื่องใหม่เสมอๆ ทำให้มีความสุขค่ะ