เข้าโรงเรียน
อ่าน: 1232วันนี้เป็นวันหยุด แต่บรรดาสมาชิกในบอร์ดของร.พ. มีงานเข้า ทุกคนพาตัวมารับงานร่วมกันที่ห้องอาหารของโรงแรมแห่งหนึ่ง เวลาเที่ยงตรงเป๊ะของวันนี้(วันอาทิตย์)คือเวลานัดหมาย ได้รับคำสั่งทั่วกัน
บางคนได้รู้ตั้งแต่เย็นวันศุกร์ บางคนได้รู้ในเช้าวันเสาร์ ฉันเองรับรู้เกือบเที่ยงวันเสาร์ ทำให้ต้องเปลี่ยนแผนชีวิตกระทันหัน กลายเป็นคุณแห้วอีกคนกับการมาสวนป่า
นี่คือการเรียนรู้ของชีวิต ทุกวินาที ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน อย่าลืมเชียว
เมื่อเย็นวันศุกร์มีเรื่อง 2 เรื่องส่งมาให้ตัดสินใจ เรื่องหนึ่งเล่าไปแล้วในบันทึกก่อน อีกเรื่องเป็นเรื่องของการก้าวสู่วังวนของการมีอำนาจ
อำนาจที่ว่านั้นผูกมาด้วยการต้องนำพาตัวเข้าไปสู่การคัดเลือกเพื่อเลื่อนระดับบริหาร
เชื่อหรือไม่ว่าเรื่องสำคัญอย่างนี้ หนังสือที่ส่งมาปะด้วยตัวหนังสือสีแดงที่เคยคุยกับอุ๊ยว่าเรียกว่า “หัวแดง” ตัวอักษรนั้นเขียนว่า “ด่วนมากที่สุด” จากจังหวัดทุกๆปี
ปีนี้่ปะหน้าด้วยหัวแดง โดยมีเส้นตายของเวลาส่งใบสมัครเข้าคัดเลือกในวันที่ส่งหนังสือมาถึงมือ คือ วันศุกร์นั่นแหละนะ
หนังสือมาถึงมือเวลาสี่โมงเย็นพอดี ให้ส่งใบสมัครผ่านเจ้านายภายในวันศุกร์(27 พ.ย.2552) แล้วส่งต่อใบสมัครดังกล่าวถึงมือผู้ตรวจราชการที่สำนักตรวจราชการซึ่งอยู่ในเมืองกรุงในวันจันทร์ ( 30 พ.ย.2552) เพื่อเข้าสู่การคัดเลือกร่วมกับผู้สมัครจากร.พ.อื่นๆทั่วประเทศโดยผู้ตรวจราชการกระทรวงทุกเขตในวันจันทร์ ( 30 พ.ย.2552)
อ๊ะ อ๊ะ ผู้ใดที่อ่านมาถึงตรงนี้ อย่าเพิ่งมีจี๊ดหรือบ่นในใจอะไรเลยนะ แค่นำเรื่องมาบอกกล่าวว่าในระบบของการคัดเลือกผู้บริหารร.พ.ที่ดำเนินการกันอยู่มีอะไรที่แปลกๆเท่านั้นเอง
ที่แปลกคงไม่ใช่เกิดจากระดับบนที่กระทรวงฯหรอกนะ เพราะกระทรวงฯเขาใช้วิธีประกาศให้รู้ผ่านเว็บไซด์กระทรวง ใครสนใจก็จะได้รู้ก่่อนเวลาเส้นตายและเตรียมตัวทันการ
ที่แปลกก็คือความหลุดของระบบในระดับจังหวัดนี่แหละ และนี่คือเหตุผลหนึ่งที่ซ่อนเร้นอยู่ในเรื่องของการบริหารกำลังคนของกระทรวงสาธารณสุข
ต่อให้กระทรวงฯขยับตัวเพื่อแก้ยังไง หากว่าในระดับบริหารที่อยู่ต่ำกว่าลงมารับลูกไม่ตรงทิศ อย่าหมายเลยที่การแก้ไขระบบใหญ่ของประเทศจะสำเร็จลงได้
และก็เช่นเดียวกันถึงแม้ว่าระดับบริหารที่ต่ำกว่าจะรู้และเตรียมลูกส่งให้ ถ้าหากในระดับสูงกว่าไม่กะการว่าจะเอื้อมมือมารับแล้วละก็ ส่งต่ออย่างไร ลูกก็ไม่ถึงมือ
ส่งลูกถึงมือแล้ว ระดับสูงกว่าจะเลือกแต่คนที่คุ้นกันก็ไม่ได้แปลก เป็นเรื่องที่ฉันว่าธรรมดาๆซะเหลือเกิน
จะแปลกก็ตรงที่ว่า ถ้าจะใช้วิธีอย่างนี้ทำไมไม่ชี้ตัวซะเลยจะได้จบเรื่องเท่านั้น จะทำให้มีขั้นตอนให้เสียเวลาทำงานกับเรื่องยุ่งๆอย่างนี้ไปทำไมมี
ตอนที่รับหนังสือใส่มือและยังไม่เห็นเวลาเส้นตาย มีคำถามให้ตัวเองเหมือนกันว่า ปีนี้เอาไง จะลงมือทำหน้าที่ลูกน้องที่ดีทำตามความปรารถนาดีของเจ้านายอีกหรือเปล่า เจ้านายในที่นี้หมายถึงผู้บังคับบัญชาของหน่วยงานที่ทำงานอยู่ เคยทำตามความปรารถนาดีมาสองครั้งแล้ว เมื่อราว 3-4 ปีที่แล้ว ทำให้ได้เรียนรู้วิธีคิดของผู้บริหารระดับเหนือกว่าซึ่งขณะนี้เกษียนอายุไปแล้ว
และนั่นทำให้ได้รู้จักการเมืองในองค์กรระดับต่างๆในอีกมุมหนึ่ง ได้เรียนรู้วิธีคิดและตัดสินใจของผู้บริหารบางคน ได้เรียนรู้วิธีและขั้นตอนของการเข้าสู่วังวนอำนาจ เรียนรู้แค่นี้แล้วก็พอใจแล้วนะ ขอบอก
หลังจากได้เรียนรู้แล้วก็ไม่สนใจจะก้าวเข้าไปสู่กระบวนการอีก ปีนี้เจ้านายคงเห็นว่าควรที่จะเลื่อนฐานะได้แล้ว จึงได้กรุณาส่งเรื่องมาให้ได้รู้เรื่องราว ในส่วนตัวของพี่ท่านก็คงจะคิดว่า ฉันได้เตรียมตัวไว้พร้อมแล้ว ส่งเรื่องมาให้ถึงมือเมื่อไร เมื่อนั้นก็สามารถสมัครได้ทัน(มั๊ง)
กลับบ้านมาอ่านรายละเอียดต่อจึงได้รู้เรื่องเวลาเส้นตาย เรื่องราวที่ต้องทำต่อหากตัดสินใจก้าวเข้าสู่วังวนอำนาจนั้นยังพอมีเวลาอย่างที่เดาใจเจ้านายไว้ แต่ด้วยใจไม่สนเลยกับการก้าวสู่มรรคาอย่างนี้ การตัดสินใจจึงเป็น ไม่สมัครดีกว่า
หลังจากตัดสินใจแล้ว ความลังเลมันก็ก้าวเข้ามาอยู่กับความคิดเหมือนกัน เรียนรู้ว่ามันเป็นผลมาจากการก้าวเข้าไปเกี่ยวข้องกับ “ความวิตก” ซึ่งอาจารย์ไร้กรอบให้ีความหมายว่า “การขึ้นขบวนรถไฟความคิดแห่งอนาคต”
ใคร่ครวญว่าทำไมจึงได้ลังเล อืม มันลังเลด้วยเหตุของความรู้สึกผสมกันระหว่างความอยากลองกับไม่อยากลอง และรับรู้เหตุของการตัดสินใจไม่สมัครว่า เกิดจากน้ำหนักของความไม่อยากลองนั้นมากกว่า
เหตุผลที่น้ำหนักส่วนนี้เอาชนะความอยากลองปรากฏเป็นความคิดออกมาว่า “อยู่นอกกรอบอย่างที่ทำอยู่แล้ว ก็ทำอะไรๆได้มากมายที่อยากทำ จะนำพาตัวเข้าไปอยู่ในกรอบซะทำไม” อืม เป็นอินทรีซะจริงๆเลยตัวตนของเรา ยังมีอีกเหตุผลที่ผุดขึ้นมาให้ได้รับรู้ความคิดนั่นคือ ความคิดของการให้ค่าตัวเองว่าไม่ใช่สเป็ค (ตำแหน่งว่างปีนี้มีแค่ 6 ที่นั่งทั้งประเทศ) จะส่งส่งตัวเองเข้าไปก็งั้นๆเอง ไม่มีทางหรอกที่จะได้เลื่อนตำแหน่ง ตอนที่ให้ค่าตัวเองอย่างนี้ ไม่ได้รู้สึกแย่กับตัวเองหรอกนะ ใจมันสบายๆกับข้อตัดสิน
เมื่อ 2 เรื่องของความคิดผสมกันเข้า ก็หลุดมาเป็นข้อตัดสินใจว่าไม่เปลืองพลังไปกับการดำเนินเรื่องราวของการส่งใบสมัครให้ทันเวลาเส้นตายดีกว่า
ตัดสินใจจากประสบการณ์ที่เคยทำหน้าที่เด็กดีของเจ้านายเมื่อ 3 ปีก่อน ที่ต้องสมัครในเวลาเส้นยาแดงผ่าแปดแบบปีนี้เลย แล้วทำให้มีคนตั้งหลายคนเครียดไปด้วยกับการช่วยให้ส่งใบสมัครทันเวลาเส้นตาย ทุกคนโกลาหลอลหม่านกันไปหมดกับการช่วยส่งให้เข้าไปสู่วังวนแห่งอำนาจ เกรงใจเขาจริงๆ
ปีนั้นจำได้ว่าตอนที่รู้เรื่องราวกำลังประชุมอยู่กรุงเทพฯ ไม่มีเอกสารอะไรติดตัวไปสักแผ่นเดียว ใบสมัครและเอกสารประกอบการสมัครจึงมีคนที่หวังดีลงมือทำให้ ได้ทราบว่าทำกันโกลาหลไปทีเดียวเชียว ยังรู้สึกขอบคุณกับความหวังดีของพวกเขามาจนถึงวันนี้
ตอนเที่ยงของวันนี้ พาตัวไปรับงานตามคำสั่งเจ้านาย เวลาก่อนที่ทุกคนจะมากันครบ ระหว่างกำลังเติมความอิ่มให้กระเพาะรอกันไป เรื่องบางเรื่องของการจัดการตำแหน่งอำนาจของกระทรวงฯหนึ่ง รวมไปถึงความรับผิดชอบในแง่ของกฎหมายที่อาจจะเข้ามาเกี่ยวข้องจากการที่เบื้องบนไม่เดินตามกฏหมาย ได้ถูกนำมาเล่าสู่กันฟัง
สิ่งที่ได้ฟังยิ่งทำให้มั่นใจว่าที่เลือกตัดสินใจไม่สนใจกับการเป็นเด็กดีของเจ้านายในปีนี้นั้นเป็นเรื่องสมควรแล้ว
การไม่นำพาตัวเข้าไปสู่เกมส์และวังวนแห่งอำนาจนั้นเป็นการตัดสินใจที่ตรงจริตของตัวแล้วและจะสร้างความสุขให้กับชีวิต
เรื่องเล่านี้เพียงมาบอกเล่าสู่กันฟัง ว่าการได้เป็นนาย มีเหตุหลายประการของการได้มาซึ่งคนเป็นนายขององค์กรอย่างร.พ.
ส่วนคนที่ได้เป็นนายแล้ว จะเป็นนายได้อย่างแท้จริงนั้น เป็นเรื่องของการฝึกงานของคนๆนั้นอีกมากมายเลยเชียว
ร.พ.ที่เปลี่ยนคนเป็นนายบ่อยๆจึงเกิดปัญหาไงเล่า
ความมั่นคงขององค์กรไม่เกิดก็มีอีกหลายเหตุผล ที่แน่ๆเหตุผลหนึ่งก็คือ ความสามารถที่มีของคนเป็นนาย
วันนี้ได้เรียนรู้มุมหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นห่วงสัมพันธ์ของการเป็นนายด้วย แต่ขอยกเรื่องไปไว้ในบันทึกใหม่เพื่อไม่ให้บันทึกนี้ยาวเกินไป
« « Prev : ไปดูหนัง
Next : เรียนการใช้…ปัจจุบันขณะ…ลดความขัดแย้ง…และเรียนการเป็นครู » »
2 ความคิดเห็น
พี่ตาครับ
บางครั้งถึงจังหวะชีวิตก็อาจจำเป็นต้องก้าวไปสู่ตำแหน่ง แต่เมื่อเราอยู่ในตำแหน่งเรารู้จักระมัดระวังตนเอง ประคับประคองจิตของเราให้ตั้งมั่นหรือเปล่า เพราะสิ่งแวดล้อมมันเปลี่ยนทันที
อย่างน้อยก็มีแต่คนเอาใจจนทำให้เหลิง หลังจากพ้นตำแหน่งอัยการจังหวัด ผมเลือกเป็นอัยการศาลสูงได้ ๑ ปี ท่านอธิบดีชวนให้มาช่วยงานคดีแพ่ง ซึ่งเป็นงานที่ไม่มีอำนาจ ผมตกลงรับปากทันทีเพราะได้อยู่บ้านไม่ต้องเดินทาง แม้แต่ผู้ใหญ่ในสำนักงานอัยการสูงสุดก็ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าผมเลือกที่จะทำงานตำแหน่งนี้ ทั้งๆที่อาวุโสเราสามารถเลือกที่ดีกว่านี้
ทุกวันนี้ชีวิตผมมีความสุข ไม่เครียดกับอำนาจ ไม่ต้องสู้กันเพื่อเอาจำเลยเข้าคุก ได้แต่เฝ้าระวังทรัพย์สินของรัฐอย่าให้มันหายไปตกในมือของผู้คิดแย่งชิงเอาเป็นประโยชน์แก่ตัวเอง มีความสุขกว่ากันเยอะ…
#1 น้องฑูรที่รัก…ในสายงานต่างๆนั้นมีเรื่องให้วัดความก้าวหน้าที่ต่างกันหรือเปล่าก็ไม่รู้….แต่ว่าที่เหมือนแน่ๆ สำหรับประโยชน์ส่วนตัว ก็คือการก้าวขึ้นสู่ระดับเหนือกว่าหมายถึงรายได้หรือเงินเดือนที่จะได้เพิ่มมากขึ้น และเกียรติที่สังคมรอบข้างมอบให้….ส่วนเรื่องของประโยชน์ส่วนรวมก็เห็นจะเป็นการได้คนที่มีความสามารถขึ้นไปทำงานเชิงระบบให้กับประชาชน (มั๊ง)
ในฐานะข้าราชการหมอนั้น มีทางออกสำหรับประโยชน์ส่วนตัวไว้ให้เลือกค่ะ………ทางหนึ่งนั้นก็คือ การก้าวขึ้นไปทำหน้าที่ด้านบริหารเต็มตัว……..อีกทางก็เป็นการก้าวสู่ตำแหน่งทางวิชาการ
ถ้าใช้ระบบซีเดิม โดยเฉลี่ยการก้าวไปสู่ตำแหน่งสูงสุดของผู้ที่อยู่ในภูมิภาคนั้นก็คือ ซี9……….อยู่ในฐานะหมอธรรมดาๆไม่มีหมวกอะไรมาคลุมบนหัว…..ก็สามารถก้าวขึ้นไปได้ถึงเหมือนผอก. หรือ นพ.สสจ……เป็นทางที่บรรดาคนกระทรวงฯปูไว้ให้คนเป็นหมอๆที่มีจริตต่างกัน….ได้เลือกเดิน…..
คนไหนไม่ชอบเดินในสายวิชาการ (รักษาอย่างเดียว)….ก็เดินไปในสายงานบริหาร(บริหารอย่างเดียว)…..ซึ่งก้าวตามลำดับไปถึงซี 9 โดยไม่ต้องทำเอกสารวิชาการใดๆ…..
ใครที่ชอบเรื่องของวิชาการ ก็ให้นำความชำนาญและเรื่องใหม่ๆที่ตัวเองคิดค้นขึ้น ปูทางก้าวไปตามลำดับถึงซี 9 ได้เลยโดยไม่จำเป็นต้องเข้ามารับงานบริหารเต็มตัว…..เพราะว่ากว่าผลงานวิชาการเหล่านี้จะออกมาเป็นผลสำเร็จได้ ต้องใช้ทักษะเชิงบริหารเพื่อให้ทีมงานร่วมมือทำงานให้กับคนไข้จนทำให้เกิดความสำเร็จอยู่แล้ว….คนเป็นหมอจึงทำงานบริหารโดยตัวเองก็ไม่รู้ตัว…..ได้ดี…ไม่ได้ดีอย่างไรก็อยู่ที่ทักษะเดิมที่ติดตัวมา…
นี่คือความหมายพี่ที่พูดถึงเรื่องมีหมวก….เหตุนี้แหละไม่มีหมวกจึงสามารถก้าวไปคว้าประโยชน์ให้กับตัวเองได้…..เดี๋ยวนี้มีเพื่อนบางคนของพี่ที่อยู่ในจังหวัดอื่น…เป็นหมอเด็กธรรมดาๆนี่แหละ…ที่ก้าวขึ้นไปถึง ซี10 ได้….โดยที่ไม่ต้องสวมหมวกของการบริหารเต็มๆ….เธอทำหน้าที่บริหารอยู่แค่…บริหารนายให้บริหารให้เธอทำงานได้จนสำเร็จ…แค่นี้เองค่ะ
ผลประโยชน์ส่วนตัวอีกด้านในเรื่องของเกียรติ ถ้ามองไปให้ลึกๆพี่กลับเห็นว่า “การทำประโยชน์ให้เพื่อนมนุษย์ในฐานะหมอ” มีเกียรติมากกว่าเกียรติที่เกิดจากการมีหมวกมาครอบในฐานะนาย
พี่มีความคิดว่าการมีหมวกครอบเป็นแค่เกียรติที่สังคมให้ค่ากับตัวเรา จึงควรเตือนตัวเองให้มากไว้ว่าการขวนขวายให้ได้หมวกมาครอบนั้นกำลังหลอกตัวเองหรือเปล่า ที่พี่ตัดสินใจไม่ก้าวเข้าสู่ครรลองนี้ ก็ด้วยอยากรู้ว่าค่าของตัวพี่อยู่ที่เปลือกหรือตัวพี่เองค่ะที่คนอื่นให้ค่า เป็นความคิดที่ไม่เหมือนใครอยู่สักหน่อยเนอะ แต่พี่มีความสุขนะกับการตัดสินใจของตัวเอง
ส่วนเรื่องของการทำประโยชน์ให้ส่วนรวมในเรื่องของการทำงานเชิงระบบ….พี่กลับคิดตรงข้ามกับคนอื่น…..พี่คิดว่าคนที่อยู่ในที่สูง….ไม่สามารถสร้างฐานที่แข็งแรงและมั่นคงให้กับระบบได้…โดยเฉพาะการสร้างคนซึ่งเป็นทายาทของระบบในระดับฐานล่าง…..วังวนแห่งอำนาจเมื่อได้บินสูงขึ้นไปแล้ว….มองไม่เห็นจุดอ่อนเล็กๆ…ที่เซาะทำลายฐานราก…ในเรื่องการสร้างคนในระดับนี้หรอกค่ะ…..
ดังนั้น ณ วันนี้ พี่จึงยังไม่เห็นประโยชน์ของการก้าวเข้าไปสู่การเปลี่ยนฐานะด้านการงาน….ด้วยความคิดว่าขึ้นไปเพื่อทำประโยชน์ให้ส่วนรวม…..
ทั้งหมดนี้ไม่ได้หมายความว่า พี่จะไม่ก้าวขึ้นไปหรอกนะคะ เพียงแต่ว่า สำหรับปีนี้ คำตอบคือ “ไม่” ค่ะ
กาลข้างหน้าถ้ามองเห็นว่าการก้าวขึ้นไปสามารถสร้างประโยชน์ให้ส่วนรวมได้มากกว่านี้….พี่ก็คงตัดสินใจอีกครั้งค่ะ
เห็นด้วยว่าวังวนอำนาจ หากไม่มีสติประคับประคองจิตให้มั่น จะตกอยู่ในความเหลิงจากการที่ “ได้ทุกอย่างที่สั่ง” เคยมีประสบการณ์อยู่ยุคหนึ่ง ที่ก้าวตกลงในบ่วงของการเหลิงอำนาจ โชคดีที่สติมาเตือนก่อนที่จะเหลิง พอรู้ตัวตื่นขึ้นสะดุ้งกับการเปลี่ยนแปลงที่เห็นจากตัวเองค่ะ…ดูเหมือนช่วงนั้นเป็นช่วงที่ช่วยกันบริหารงานกับหมอที่รักษาการผอก.(ร.พ.เคยมีช่วงขาดผอก.อยู่ราวๆเดือนเศษๆ)
บทเรียนนี้ทำให้พี่ให้อภัยคนที่มีอายุน้อยกว่าที่มีฐานะด้านการบริหารสูงกว่าพี่เสมอ..เวลาเห็นเขาใช้อำนาจ….เข้าใจเลยว่าอำนาจพาเขาไปให้หลง…ไม่ใช่ตัวตนที่แท้ของเขาหรอก