ก่อนถึงวันตีแตกอีสาน

โดย สาวตา เมื่อ 8 มีนาคม 2009 เวลา 22:13 ในหมวดหมู่ ประสบการณ์ชีวิต, สังคม, เล่าสู่กันฟัง #
อ่าน: 2012

ก่อนวันเดินทาง ฉันติดต่อไปที่รอกอดเพื่อบอกกล่าวว่า ฉันกับเขียวตัดสินใจจะเดินทางไปเองด้วยรถทัวร์ รอกอดแจ้งเรื่องน้องฑูรและน้องแอ๊ดเข้ามาพบหมอ ความที่คุ้นกับร.พ. ทำให้ฉันรู้ว่า เวลานัดหมายที่รอกอดกับน้องฑูรนัดกันไว้ไม่มีทางเป็นไปได้ ฉันสัมผัสได้ว่ารอกอดเป็นห่วงที่ฉันตัดสินใจจะเดินทางกันเอง  จึงตัดสินใจที่จะขอให้น้องฑูรรอรับฉันไปด้วย รอกอดจะได้หายห่วงไปเปลาะหนึ่ง อีกทั้งยังช่วยให้รอกอดนำพาพี่ๆอย่างป้าจุ๋มและพี่แฮนดี้เดินทางถึงสวนป่าในเวลากลางวันได้ ซึ่งน่าจะปลอดภัยกว่าสำหรับทั้งสามคน 

 

ฉันเพิ่งเห็นเวลาบินก่อนออกเดินทางหนึ่งวัน  พอเห็นเวลาก็เดาได้ว่า เวลาที่จะออกจากกรุงเทพฯนะเย็นมากๆ น้องฑูรและน้องแอ๊ดน่าจะเดินทางก่อน ส่วนฉันกับเขียวยังมีน้องปูกับน้องขจิตที่สามารถเดินทางไปพร้อมได้ ฉันจึงโทรเล่าความในใจไปยังน้องฑูร น้องฑูรก็ช่างใจดีซะเหลือเกิน ทั้งๆที่ไม่คุ้นทางทั้งในกรุงเทพฯและอีสาน ก็อุตส่าห์จะรอฉันและเขียว  บอกว่าไม่เป็นไร ไปด้วยกันเรื่อยๆ เหนื่อยก็นอนพักกลางทางก็เท่านั้นเอง

 

ในวันที่ออกเดินทางไปกับเขียว นัดกับเขียวว่าให้มาเจอกันที่บ้านฉันเวลาราวๆเที่ยง กะว่าจะออกจากบ้านราวบ่ายโมง ทั้งๆที่เครื่องออกบินเกือบบ่ายสามโมงเย็น ก่อนออกจากกระบี่มีเรื่องขลุกขลักนิดหน่อย วันนี้ตั๋วเครื่องบินเต็มหมดด้วยว่าตั้งแต่สองวันก่อนหน้า คุณหมอหลายท่านในสายงานผ่าตัดทั้งหลายพากันเดินทางลงมาประชุมที่กระบี่ภายใต้การจัดการร่วมระหว่างร.พ.กระบี่และคณะแพทย์มอ. ซึ่งมีการประสานงานกันมาตลอด

 

จากการที่มีแพทย์หลายคนไม่รู้จักภาคใต้แล้ว กลัว ไปตามข่าวที่ได้รับรู้ผ่านสื่อ ทำให้ในครั้งนี้การจัดงานกลายเป็นการร่วมกันแก้ปัญหาการขาดแคลนแพทย์สายผ่าตัดของภาคใต้ภายใต้หลักการคือ ชักนำให้แพทย์ที่กำลังเรียนอยู่ในสาขานี้ทั่วประเทศมาสัมผัสบรรยากาศภาคใต้และเรียนรู้ด้วยตัวเองว่า สิ่งที่กลัวอยู่นั้น ใช่ความน่ากลัวจริงหรือเป็นแค่ความกลัวที่อยู่จินตนาการของตน

 

รอกอดโทรมาถามก่อนเวลาบินเล็กน้อย พร้อมส่งข่าวว่าถึงสวนป่าแล้วและอากาศร้อนมาก เพลีย และยังไม่ได้นอน ก็เลยแนะให้ไปนอน ทั้งๆที่เชื่อว่าพ่อเจ้าประคุณคงไม่ยอมนอนหรอก ซึ่งก็จริงอย่างที่คาดคิด

 

เมื่อเดินทางมาถึงสุวรรณภูมิ ตั้งใจจะนั่งรถตู้ไปที่ดอนเมือง แต่ดูเหมือนมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างให้เห็นในสนามบินที่ทำให้เอะใจ จึงเปลี่ยนใจมาหาแท็กซี่นั่ง กว่าจะได้แท็กซี่ก็ต้องเข้าคิวยาวมาก ซึ่งผิดปกติจริงๆ แต่ก็ไม่รู้ว่าอะไรคือสาเหตุ 

 

ระหว่างทางส่งข่าวถึงน้องฑูรให้รู้ว่าถึงกรุงเทพฯแล้ว นัดหมายเจอกันที่ดอนเมือง ซึ่งในใจนั้นนึกไปถึงสนามบินดอนเมือง พอนึกขึ้นได้ว่าน้องฑูรไม่คุ้นทางในกรุงเทพฯ แล้วถ้าเข้าไปสนามบินดอนเมืองก็ต้องย้อนรอยออกมาอีกซึ่งเวลาในช่วงนั้นน่าจะยิ่งทำให้เสียเวลาเข้าไปอีก ยังไม่รู้หรอกว่าน้องฑูรนะพึ่งพา GPS  

 

ก็นึกถึงสถานที่นัดพบที่อยู่ฝั่งขาออกกรุงเทพฯอยู่หลายที่ เอ่ยถามไปด้วยว่าอยู่ตรงไหน เจ้ากรรมที่น้องฑูรไม่คุ้นสถานที่ จึงเอ่ยนามบอกกันไม่ได้ ฉันขอความเห็นจากแท็กซี่ที่นั่งมาว่านัดพบที่ไหนดีที่จอดรถง่ายและหากันง่าย แท๊กซี่ก็แนะนำสถานีรถไฟดอนเมือง

 

 

รอกันอยู่ที่สถานีรถไฟได้ไม่นาน น้องฑูรก็โทรมาบอกว่า ขับรถผิดเลนซะแล้ว เข้าถนนเส้นใน ซึ่งฉันเดาว่าเป็นถนนผ่านหน้าวัดดอนเมือง ก็เลยบอกว่าให้ขับมาเรื่อยๆแล้วฉันก็ชวนเขียวเดินข้ามทางรถไฟเข้าไปถนนสายใน บอกน้องฑูรว่าจะรอที่โรงแรมอมารีแอร์พอร์ต ด้วยคิดว่าจะรู้จัก เพราะกระทรวงฉันจัดประชุมที่นี่บ่อย จึงคิดไปว่าน้องฑูรน่าจะรู้จัก ที่ไหนได้บ่ฮู้จักซักกะติ๊ด ขับรถเลยไปซะอีก โชคดีที่เลยไปไม่ไกลนักและแวะเข้าจอดรอที่ปั๊มใกล้ๆกัน จึงทำให้เดินไปหากันได้

 

ตอนที่เดินกันไปกับเขียว ก็เร่งเวลากัน ด้วยเป็นเวลาใกล้หกโมงเย็นแล้ว รู้สึกผิดในใจที่ทำให้น้องฑูรต้องรอจนค่ำค่ะ ทำให้เร่งสปีดตัวเอง ถามทางคนไปเรื่อยๆเมื่อเดินไปๆแล้วรู้สึกว่าไกล เหมือนจะหาคำตอบปลอบตัวเองเลยแหละว่าใกล้เข้าไปแล้วๆ  ทั้งๆที่รู้ว่าแท้จริงก็ไม่ไกลตั้งแต่ถามทางจากคนแรกแล้ว  เออ! ทำลงไปทำไมเพิ่งเข้าใจตัวเองนี่แหละ

 

เจอกันก็กอดกันตามธรรมเนียม เหงื่อออกซึมทั้งคู่ ไม่ใช่เพราะรีบเดิน แต่เพราะรีบเดินบวกอากาศร้อนจริงๆน่ะ  ขึ้นรถแล้วก็ช่วยกันดูเส้นทาง เจ้ากรรมอีกน่ะแหละ เวลาเป็นคนนั่ง ฉันมักจะบอกทางให้ไม่ใคร่ถูกสำหรับถนนที่ไม่คุ้นชิน น้องฑูรก็ขับรถไปตาม GPS บอก ไอ้ความจำที่ยังมีอยู่อยากให้เบี่ยงรถออกจึงทำงานไม่ทันมัน รถมันเลยออกไปนอกพิกัดที่จะปรับทิศรถได้ทันตามคำบอกไปแล้ว  GPS พาวนไปวนมาอยู่ตรงลำลูกกาซะชั่วโมงกว่า เป็นอันว่ามืดแล้วจึงได้ออกจากกรุงเทพฯ

 

ตลอดเส้นทางที่เดินทางมาด้วยกัน ก็ใช้ความจำบวกคำบอกของ GPS นำพากันมา ถึงสระบุรีแวะกินข้าวเย็นที่ปั๊มสวยแห่งหนึ่ง นั่งคุยผ่อนคลายให้น้องฑูรหายเหนื่อยแล้วก็เดินทางกันต่อ ระหว่างทางที่เข้าสีคิ้ว GPS บอกให้วิ่งเข้าไปทางลัดในหมู่บ้านหนึ่ง มองเห็นทำเลที่รถผ่านแล้วเอะใจ ไหงทางมันเล็กนิดเดียวท่าจะไปต่อไม่ดีมั๊ง  ก็เลยย้อนรถกลับออกมาเส้นเดิม  GPS มันส่งเสียงหลงว่า กลับรถเดี๋ยวนี้ กลับรถเดี๋ยวนี้ โปรดกลับรถเดี๋ยวนี้ พอดื้อขับต่อมาเรื่อยๆ คราวนี้มันหยุดส่งเสียงไปนาน สงสัยคงเอ๋อว่าจะพูดอะไรต่อดี

 

   

ฉันใช้ประสบการณ์ที่พ่อเคยสอนเรื่องถามทาง บอกให้น้องฑูรแวะเข้าร.พ.สีคิ้วเพื่อถามทาง เจอหน่วยกู้ภัยของร.พ.พอดี เขาช่วยแนะเส้นทางให้ พร้อมยืนยันว่าที่ GPS นำทางไปนะใช่เส้นทางที่ไปได้จริง แต่ไม่แนะนำเพราะเป็นคนต่างถิ่นและเป็นกลางคืน เข้าไปจะหลงเอา ไปเส้นถนนใหญ่ดีกว่า

 

กะเวลาว่าออกจากกรุงเทพฯทุ่มเศษก็น่าจะทำเวลาถึงสตึกได้เหมือนตอนที่ใช้รถตู้มาสตึกกับน้องฑูรครั้งแรก คือ ถึงสวนป่าอย่างช้าก็ตีหนึ่ง จึงพากันมาเรื่อยๆจนถึงบุรีรัมย์ ระหว่างทางรอกอดโทรถามไถ่ก็บอกตำแหน่งที่อยู่ จนเข้าเขตบุรีรัมย์พ่อครูก็โทรหาน้องฑูรบอกให้แวะนอนที่ม.ราชภัฏ ฉันโทรกลับไปหารอกอดแซวว่า มาจนใกล้แล้วนี่ ใจคอจะไม่ให้เข้าไปสวนป่าตั้งแต่คืนนี้เลยรึ รอกอดตอบมาว่าครูบาจองห้องและจ่ายเงินแล้ว แป่วเลย

 

อันที่จริงที่พ่อครูมาจองห้องรอไว้ที่ม.ราชภัฏนะ เพราะรู้ธรรมชาติร่างกายของน้องฑูรว่า เรื่องหนาวเย็นนะไม่เคยหวั่น ไม่สั่นและสู้ได้เสมอ แต่เรื่องร้อนนะไม่รอด ขอหนีดีกว่า แล้วที่สวนป่านะคงมีสัญญาณบ่งว่าร้อน ใช่แต่กลางวันจะร้อน กลางคืนก็ร้อนด้วย ไม่น่าเชื่อจริงๆ เพิ่งจากไปไม่ถึงสิบวัน จากอากาศแสนสบายเหมือนติดแอร์ทั้งป่ากลับเป็นอุณหภูมิเตาอบไปได้

 

ถึงบุรีรัมย์และหน้าม.ราชภัฏแล้ว ยังหลงวนเวียนหาประตูเข้าอยู่สองรอบ รอบแรก ช่วยกันบอกให้น้องฑูรยูเทิร์นรถเพื่อขับเข้าประตูที่เห็น แป่วไม่ใช่เลยเห็นประตูที่ปิดเป็นประตูที่เปิดอยู่ สงสัยตาลายเพราะดึกแล้ว หรือเป็นเพราะร.1 ต้องการให้ไปคารวะท่าน

 

เขียวและน้องแอ๊ดทำหน้าที่ผู้โดยสารที่ดีมากๆ เงียบมาตลอดทางและตื่นมาช่วยดูทางเมื่อหลงทาง ฮ่าๆๆๆ  ระหว่างการเดินทางฉันกับน้องฑูรก็เม้าท์กันหลายเรื่อง ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องการใช้ GPS ในกรุงเทพฯและประสบการณ์ดีๆกับมันของน้องฑูร…อิอิ

 

เข้าถึงที่พักม.ราชภัฏ ปรากฏว่าเด็กพนักงานหลับกันไปแล้ว ถามเรื่องห้องที่พ่อครูบอกว่าจองไว้โดยบอกเบอร์ห้อง ได้กุญแจมาแหละ แต่ดูที่ชื่อจอง ปรากฏว่าไม่มีชื่อน้องฑูรมีแต่ไพฑูร ทองตัน งานนี้ไม่รู้พ่อครูเพี้ยนหรือโรงแรมเพี้ยน ได้ห้องนอนมาสองห้องไม่รู้หรอกว่ามีอาหารเช้าให้ด้วยเพราะว่าพนักงานไม่ได้แจ้งอะไร ขนของเข้าที่พักกันแล้วก็ต่างคนต่างจัดการตัวเอง ลืมไปสนิทเลยเรื่องนัดหมายเวลาเดินทางเข้าสวนป่า

 

เข้าห้องไปกับเขียวแล้วยังเปิ่นกันอีก เปิดไฟไม่ได้แป่ว ก็วิธีเสียบกุญแจของโรงแรมนี้น่ะซิ จะอะไรซะอีก เขาใช้วิธีแนบแผ่นป้ายเข้ากับข้างฝา แต่เขียวกับฉันนะเคยใช้แต่ชนิดเสียบบ็อก เอาละซิงมกันอยู่ในความมืดตั้งนานด้วยคิดว่าจะใช้ปัญญาแก้ไขเอง จนไม่ได้แน่แล้ว ฉันจึงบอกเขียวว่า หมอลงไปถามดีกว่า เขียวรอที่ห้องนี่แหละ ว่าแล้วก็ลงลิฟท์ไปถามพนักงาน น้องเขาบอกว่า เอาแถบแนบให้ตรงรู เดี๋ยวไฟมาเอง เขาบอกมาแล้วก็ยังงง รูอะไร แต่ก็ทำตามเขาบอกนะ จนรูกับรหัสในแผ่นมันหากันเจอนะแหละ ไฟจึงสว่างวาบขึ้นมาในห้อง

 

วันนี้จึงเป็นอีกวันของการได้เห็นตัวอย่างของคนที่ทำตัวง่ายๆเข้าไว้ในกลุ่มชาวเฮกลุ่มเล็กๆจากภาคใต้ และการดูแลกันและกันในกลุ่มเฮ ทั้งจากน้องฑูร น้องแอ๊ด เขียว พ่อครู และ รอกอด  การดูแลกันและกันนี่แหละที่ทำให้เกิดความง่ายๆระหว่างเราที่เดินทางมาด้วยกัน  ด้วยใจที่ให้กันทำให้ไร้ซึ่งข้อถกเถียงตำหนิกันเมื่อเดินทางร่วมทางกันมา และความสุขเกิดขึ้นตลอดการเดินทางยามค่ำคืนนี้ แม้แต่คนที่รออยู่ที่สวนป่าก็มีความสุขในการรอเรา ฉันรู้ว่าคนที่สวนป่ากำลังอรยนท.เราด้วยความมันปากอย่างยิ่งยวด นี่คือความสุขเล็กๆที่เรามีต่อกัน

 

เฮ้อ แต่ว่ายังไง๊ยังไง ถึงวันนี้ฉันก็ยังรู้สึกผิดกับตัวเองเล็กๆอยู่ดีที่เป็นผู้หน่วงให้น้องฑูรเดินทางไปถึงบุรีรัมย์ล่าจนติดดึก แม้ว่าการติดดึกนั้นจะทำให้น้องฑูรได้ที่นอนที่เย็นสบายๆก็ตาม 

 

ประสบการณ์วันนี้สอนว่า เครื่องมืออย่างไรก็คือเครื่องมือ เครื่องมือจะมีประโยชน์มากที่สุดแค่ไหนขึ้นกับความสามารถและความชำนาญในการใช้งาน และเครื่องมือที่แน่ที่สุดของคน ยังไงก็ไม่พ้นต้องการความสามารถจากการทำงานของ สมอง ปาก หู ตา สติและใจร่วมกัน

 

สมองมีไว้จำก็จริง ความจำจะมีประโยชน์เมื่อนำมาใช้ร่วมกับปัญญา ปากมีไว้เป็นสื่อให้ปัญญาเกิดผล มีไว้สำหรับค้นหาข้อมูลมาใช้ร่วมกับความจำและปัญญา  หูมีไว้รับรู้เรื่องที่สมองวิจารณ์ออกมา ฟังเสียงที่ได้ยิน ตามีไว้รับรู้เรื่องที่ถูกวิจารณ์ ทั้งหมดเมื่อคลุกเคล้ากันแล้ว ใช้สติใคร่ครวญแล้วใจมาให้ข้อสรุปนั่นแหละเลิศที่สุด

 

สมองคนจะแน่กว่าเครื่องจักรได้ ก็ต่อเมื่อได้สั่งสมประสบการณ์ชีวิตในวิถีเอาไว้ก่อนแล้ว ไม่สร้างไม่เสริมประสบการณ์สมองคนเป็นทาสเครื่องจักรพาจนแต้มได้

 

ใจนั่นแหละเป็นใหญ่ที่สุด ใจมาปัญญาเกิด ใจเตลิดเปิดเปิงและผ่อนคลายไปได้ แม่นแล้วเมื่อใช้ใจเหนี่ยวใจ น้ำใจจะหล่อเลี้ยงให้เกิดสมานฉันท์ที่เป็นธรรมชาติที่สุดแล้ว    

« « Prev : เตรียมตัวไปตีแตกอีสาน

Next : ผู้เรียนรู้คือคนสำคัญ » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

3 ความคิดเห็น

  • #1 Logos ให้ความคิดเห็นเมื่อ 8 มีนาคม 2009 เวลา 22:36

    เครื่องมือก็คือเครื่องมือครับ หน้าที่เราคือเข้าใจและเป็นนายมันให้ได้

    คนใช้ GPS จะเข้าใจอาการทะเลาะกับ GPS เป็นอย่างดี อิอิ

  • #2 dd_l ให้ความคิดเห็นเมื่อ 9 มีนาคม 2009 เวลา 22:44

    GPS..อิอิ

  • #3 อัยการชาวเกาะ ให้ความคิดเห็นเมื่อ 22 มีนาคม 2009 เวลา 14:41

    ไม่ได้เข้ามาหลายวันเพราะติดภาระกิจที่ยุ่งเหยิงคือการแก้ปัญหาชายแดนใต้ ประชุมกันอย่างหนัก กลับถึงภูเก็ตวันที่ ๑๖ ตอนทุ่มเศษ นอนบ้านคืนวันที่ ๑๗ อีก ๑ คืน แล้วขึ้นเครื่องไปกทม. ตรงไปอุทัยธานี วันที่ ๑๙ บวชลูกเพื่อนเสร็จกลับมา กทม.เช้า ๒๐ เดินทางไปราชบุรี ๒๑ นำเสนอร่างภาคใต้ต่อหน้าเลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า ได้รับคำชมมากมาย อิอิ แถมเรื่องราวที่เขียนเรื่องสันติสุข เป็นที่พึงพอใจอย่างมาก ท่านเลขาธิการฯขอบคุณผมด้วยตัวเอง แว่วว่าจะเชิญไปร่วมในการประชุมร่างหลักสูตรสำหรับนักศึกษารุ่น ๒ ด้วย
    ตอนไปบุรีรัมย์ ผมเป็นห่วงพี่ และรู้สึกเหมือนพี่สาวตัวเองจริงๆครับ อยากให้เดินทางไปด้วยกันจะได้สบายหน่อย แต่ประสาทกินกับการขับรถในกทม.อิอิ แต่ต่อไปนี้คงไม่ถึงกับประสาทเสียมากมายแล้ว เพราะเริ่มจะรู้ว่าคำสั่งของมันจริงจังขนาดไหน อิอิ


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่
You must be logged in to post a comment.

Main: 0.050965070724487 sec
Sidebar: 0.11043500900269 sec