ใครเป็นนายของผู้คน

โดย สาวตา เมื่อ 21 กุมภาพันธ 2009 เวลา 19:36 ในหมวดหมู่ ประสบการณ์ชีวิต #
อ่าน: 1307

 

ในระหว่างเดินทางกลับ ฉันมักใช้เวลาไปกับการงีบหลับสลับกับการอ่านหนังสือ หนังสือเล่มที่อ่านในครั้งหนึ่งทำให้ฉันสะดุดคิดกับคำสองคำ คำนั้นก็คือมอง และ เห็น”  เออหนอไม่เคยเกิดความแปลกกับความหมายที่แตกต่างของมันเลยนะ 

คำสองคำนี้ถูกใช้อยู่ทุกวันอย่างคุ้นหูนัก  

 

กิจกรรมในวันหนึ่งที่ได้รับฟังเรื่องคลื่นสมองสี่แบบ อันมี เบต้า แอลฟ่า เดลต้า และแกมมา รวมทั้งเรื่องของตัวตนสองชุด คือ ตัวตนที่มีอิทธิพลต่อการแสดงออก หรือ ตัวตนอำนาจ(primary selves) และตัวตนที่หลบซ่อนอยู่      (disown selves)

 

ตัวตนที่มีอยู่ 2 ชุดนี้เป็นผลมาจากการหล่อเลี้ยงความสัมพันธ์ระหว่างคนกับนิเวศน์เพื่อความอยู่รอดซึ่งจะเป็นการอยู่รอดในรูปแบบใด คนที่เป็นเจ้าของตัวตนเท่านั้นที่รู้  กายอยู่รอด กายปลอดภัย ใจอยู่รอด ใจปลอดภัย หรือเป็นทั้งหมด มันก็แล้วแต่ว่าความคิดจะแปลผลให้คุณความจำรับรู้อย่างไหน

 

ทุกๆวันผู้คนติดปากกับคำว่า ความคิด แสดงว่าการทำงานของตัวตนนั้นเป็นผลมาจากความคิดนะเองใช่รึไม่ เป็นความคิดที่คนเราไม่รู้ตัวว่ามีการคิดก่อนลงมือกระทำใช่รึไม่ ความคิดเป็นนายโดยคนไม่ได้รับรู้ได้รึไม่  ความคิดมันสะกดจิตคนให้เป็นไปอะไรโดยไม่รู้ตัวใช่รึไม่ เป็นคำถามที่พึงหาคำตอบใช่รึไม่

 

คลื่นทั้งสี่ชนิดที่รับฟังมาเป็นคลื่นความคิด  การกระทำของคนเกิดขึ้นจากความคิด ย่อมแปลว่าตัวตนเป็นทาสความคิดนะซินะ ฉะนั้นเมื่อเวลาที่มีสติ สติย่อมเกิดจากตัวตนที่เป็นทาสความคิดเช่นกันใช่รึไม่  รึว่าลองเรียนรู้คลื่นความคิดดูสักหน่อยเป็นไร ว่าจะทำความเข้าใจในเรื่องตัวตนสองชุดได้ง่ายขึ้นบ้างไหม

 

หากจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพที่ฉันกำลังมองและรำลึกเรื่องคลื่นความคิด  ฉันนึกไปถึงคลื่นในทะเลอยู่ค่ะ ทะเลคือน้ำของเกลือที่ให้ความเค็มซึ่งมีลูกคลื่นเกิดขึ้นตลอดเวลาลูกคลื่นเกิดจากการกระเพื่อมของน้ำจากการที่มีลมพัดมาแตะต้องอยู่ตลอดเวลาเช่นกัน 

 

คลื่นจะเป็นคลื่นเล็กบ้างใหญ่บ้างก็แล้วแต่ ขนาดที่แปรเปลี่ยนเกิดจากแรงลมที่พัดมาแตะผิวน้ำ  คลื่นในทะเลจึงเสมือนรูปธรรมของแรงลมที่ตาผู้คนมองเห็น อยากชวนมองคลื่นในน้ำทะเลเพื่อสังเกต หรือถ้าอยู่ไกลทะเลก็มองความไหวเอนของปลายไม้ เพื่อทำให้ความเข้าใจเรื่องความเร็วของคลื่นและการโบกสะบัดของปลายไม้ แล้วสังเกตและทำความเข้าใจคลื่นความคิดของตนไปด้วยกันค่ะ   

 

ในยามที่มีลมพายุพัดมาคลื่นทะเลจะแรงและเร็วจนมองไม่เห็นละลอกคลื่นชัดๆ ส่วนปลายไม้ก็โบกสะบัดซะจนดูไม่ทัน  คลื่นความคิดในช่วงเบต้านั้นเป็นคลื่นที่เร็วที่สุด ฉะนั้นคลื่นทะเลและความเร็วลมพายุที่เห็นน่าจะเปรียบได้ดังคลื่นเบต้านี้  

 

แล้วลมพัดในยามฝนโปรยที่ทำให้เกิดคลื่นในน้ำทะเลหรือการไหวเอนของปลายไม้เล่าเปรียบดังคลื่นเบต้ารึไม่ คำตอบที่ฉันพบบอกว่าน่าจะเปรียบเป็นคลื่นเบต้าได้หนา  หากแต่สองลักษณะนี้มีความต่างในเรื่องความเร็วลมที่พัดมา  

 

คลื่นที่เกิดจากพายุนั้นทำลายอะไรก็ได้เพราะแรงลมมันจัดมากจนส่งผลให้เกิดพลังในน้ำที่ส่งแรงกระแทกสูง คลื่นที่เกิดจากลมฝนโชยมาทำลายอะไรได้บ้างไหม ตอบไม่ได้แน่นอน รู้แต่ว่าผลของการทำลายและแรงลมมันต่างกัน ระลอกคลื่นละลอกแล้วละลอกเล่าที่ได้เห็นมีขนาดและความถี่ต่างกันแน่นอน  การไหวเอนของปลายไม้ตามแรงลมโบกพัดที่มองเห็นก็แตกต่าง  

 

ลมพายุที่ทำให้ปลายไม้ไหวเอนไปมา ทำให้หักโค่นลงได้ ลมฝนโชยกลับทำให้ปลายไม้ไหวเอนอย่างชวนชื่นชม ยิ่งแรงลมช้าลงไปเท่าไร ภาพปลายไม้ที่เห็นโอนเอนไปมายิ่งดูเบาๆนิ่มนวล คลื่นทะเลในยามที่พายุพัดทำให้รู้สึกน่ากลัว แต่คลื่นทะเลที่เกิดยามลมฝนโชยกลับดูพริ้วแผ่วชวนมอง 

 

ข้อสังเกตในเรื่องแรงลมนำไปใช้อะไรได้ไหม ใช้ทำความเข้าใจคลื่นเบต้าได้นะฉันว่า มันให้ความเข้าใจว่าภายใต้คลื่นความคิดเบต้านั้น เมื่อมันช้าลงๆ ความนิ่มนวลบางอย่างมันเกิดขึ้นในตัวคนได้นะ    

 

เคยได้ยินใช่ไหมว่าในยามที่มีพายุพัดผ่านมาจากที่สูงลงมาที่ต่ำ ลมที่พัดมาเริ่มแผ่วปลายจากการที่ได้พัดผ่านวัตถุต่างๆมาหลากหลาย  ตอนต้นทางที่พายุพัดผ่านด้วยลมแรงทำความเสียหายให้ผู้คนทุกข์ตรม แต่พอพายุลดแรงลมแผ่วลงมาเรื่อยๆจนแผ่วปลาย ผู้คนที่อยู่ปลายๆลมพายุกลับมีความสุขกับสายลมที่อุ่น เบา สบาย   

 

คลื่นความคิดก็คล้ายๆกับคลื่นลมที่กล่าวมานี้ ตรงที่เมื่อเริ่มต้นเป็นเบต้า เมื่อสามารถเปลี่ยนคลื่นช้าลงๆได้ คลื่นก็จะเปลี่ยนเป็น แอลฟ่า เดลต้าและแกมมาต่อๆมาตามลำดับ ใช่แล้วคลื่นความคิดนั้นแตกต่างกันที่ความเร็วคลื่น ทำความเข้าใจได้ง่ายๆว่าคลื่นที่ช้าทำให้เกิดอะไรขึ้นกับตัวตนบ้างได้จากข้อเปรียบเทียบลมพายุที่แผ่วปลายลงเรื่อยๆที่พูดถึงไว้ข้างต้นยังไงยังงั้นแหละน่ะ   

 

ลมพายุสอนให้รู้ว่า การแผ่วลงของลมเกิดขึ้นเพราะมีวัตถุเข้ามาชะลอความเร็วลมเอาไว้ มันเกิดขึ้นได้ทั้งๆที่ไม่มีสวิตช์ใดๆมาจัดการลม  คลื่นความคิดมีสวิตช์สำหรับจัดการรึไม่ เจ้าของความคิดเท่านั้นที่รู้และหามันเจอ  ผู้คนจะรับรู้ว่ามีสวิตช์ความคิดรึไม่ก็ต่อเมื่อได้ฝึกฝนตนจนกระทั่งคลื่นความคิดมันช้าลงจนรูปคลื่น แปรเปลี่ยนไป การฝึกตนเพื่อให้ค้นหาสวิตช์ความคิดเจอนี้ฉันว่ามันคือวิธีที่เรียกว่า ฝึกสติ นะ

 

การเปลี่ยนแปรคลื่นความคิดจากคลื่นเบต้าผ่านเข้าสู่คลื่นแอลฟ่า ช้าลงอีกจนกลายเป็นคลื่นเดลต้า และช้าลงอีกจนกลายเป็นคลื่นแกมม่า มันก็คล้ายคลื่นทะเลที่เกิดขึ้นจากแรงลมที่แปรเปลี่ยนความเร็วไป ช้าลงเมื่อไรผู้คนจึงจะมองเห็นว่าสวิตช์ความคิดติดตั้งอยู่ไหน   

 

เมื่อฝึกสติแล้วใช่ว่าจะค้นหาสวิตช์เจอนะ จนกว่าจะรู้จักกับคำว่าสติ และใช้มันเป็น สติจึงมิใช่คำกล่าวใดๆหรอกนะ หากแต่คือสิ่งที่กำลังปฏิบัติของตัวตน ความสัมพันธ์ระหว่างคลื่นความคิดกับผู้คนจับต้องเป็นรูปธรรมได้จากสิ่งที่ผู้คนลงมือ หรือพูดให้ง่ายก็คืออะไรที่ทำลงไปเมื่อนั้น สิ่งนั้นคือรูปธรรมของความคิดตอนนั้นเอง เมื่อใดที่คนเข้าใจว่าทำไมจึงลงมือทำ เมื่อนั้นคนจะรู้จักตัวตนสองชุด เมื่อใดที่คนรู้จักตัวตนครบทั้งสองชุด เมื่อนั้นคนจะรู้จักสติและรู้ทันความคิดนะฉันว่า 

 

กัลยาณมิตรผู้น่ารักคนหนึ่งเขียนบันทึกไว้ให้อ่านว่าเราเป็นในสิ่งที่เราคิด ทั้งหมดที่เราเป็นเกิดขึ้นจากความคิดของเรา เราได้สร้างโลกด้วยความคิดของเรา    

 

มันเป็นจริงรึไม่ ฝากเอาไว้ให้คิดค่ะ 

 

 

อ้าว ลืมไปเลยว่าเริ่มต้นไว้ด้วยเรื่องอะไร แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเรื่อง มอง และ เห็น กันละนี่

 

 

 

 

« « Prev : งัดล้อก่อนติดหล่ม

Next : ของฝากที่อยากให้รับไว้ดูแลใจ » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

1 ความคิดเห็น

  • #1 Logos ให้ความคิดเห็นเมื่อ 21 กุมภาพันธ 2009 เวลา 20:01

    วันนี้ไปร่วมงานสัมนาอันหนึ่ง วิทยากรเสนอโมเดลอย่างง่ายไว้ว่า

    ระบบความคิด -> อารมณ์ความรู้สึก -> การกระทำ -> ผลลัพท์

    René Descartes (1596-1650) กล่าวว่า Cogito, ergo sum (I think, therefore I am)

    เคยดูทีวีที่บอกว่า มรว.คึกฤทธิ์ ปราโมท (1911-1995) เมื่อครั้งไปเรียนที่อังกฤษ ไม่เห็นด้วยกับ Descartes จึงเปลี่ยนเป็น I think I am, therefore I am (ผมจำคำภาษาละตินไม่ได้) แต่เป็นที่ฮือฮามาก

    มันเป็นจริงหรือไม่ ฝากเอาไว้ให้คิดครับ อิอิ


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่
You must be logged in to post a comment.

Main: 0.69929599761963 sec
Sidebar: 0.47065997123718 sec