นั่งเล่นที่สวนป่า
อ่าน: 1444เดือนแห่งความรักนี่ดีจริงๆ ชวนให้ใจแตกนำพาตัวเองมาถึงสวนป่าเป็นรอบที่สาม สวนป่าเปลี่ยนแปลงไปมากโข มีความเรียบง่ายอย่างเดิมคงอยู่ แต่มีฟอร์มมากขึ้น ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเป็นผลงานจากฝีมือของน้องปิ๋ว สาวใจเด็ดที่เคยพบเจอตั้งแต่ครั้งที่ได้มาเยือนครั้งที่แล้วมา
รอบๆบ้านมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างให้สามารถรองรับคนจำนวนมากๆได้ ครัวเปลี่ยนไปเป็นห้องหับมิดชิดขึ้น สะอาดตามากขึ้น มีไม้ดอกสวยงามประดับประดาบ้างคล้ายๆสวนหย่อมเล็กๆของบ้านเรือนเล็กๆที่ใช้วัสดุธรรมชาติมาปลูกแต่งให้ดูดึมีสีสัน ภายในบ้านที่เคยมีคอมพิวเตอร์วางไว้หลายเครื่องเปลี่ยนมุมเป็นเก้าอี้โยกทั้งหมด เหลือคอมพิวเตอร์ไม่กี่ตัววางไว้ ห้องนอนข้างล่างด้านหลังบ้าน ถูกจัดเก็บใหม่จนเป็นระเบียบเรียบร้อยกว่าเดิม ดูเหมือนความเป็นเอกลักษณ์ของบ้านป่าเริ่มที่จะเปลี่ยนไป เป็นความเปลี่ยนไปที่ฉันคิดว่าเจ้าของบ้านจำยอมเพื่อแลกเปลี่ยนกับสิ่งที่มีคุณค่ามากกว่าที่อยู่ในใจที่ต้องการแลกคืนมา
เอกลักษณ์หนึ่งที่ไม่หายไป คือ การได้ต้อนรับผู้มาเยือนที่มาอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวและรู้ตัวล่วงหน้าพร้อมๆกันทีเดียวหลายๆคณะของสถานที่แห่งนี้ ครั้งนี้ฉันได้พบผู้มาเยือนกลุ่มเล็กๆไม่กี่สิบคนในวันแรก นั่นคือ คณะของอาจารย์แป๋ว มีกลุ่มคณะของ SCG มาด้วยหลายคน ในกลุ่มนี้ได้เจอกับน้องดา สาวปูนที่เคยเจอกันในงานนัดพบที่บ้านป้าจุ๋มก่อนวันงานนัดพบชาวโกว์ที่จัดขึ้นที่กรุงเทพฯด้วย น้องดาเข้ามาทักทายให้รำลึกได้ว่า เคยเจอกันที่ไหน มีสองสาวอยู่ใกล้ๆเธอ ซึ่งมารู้จักทีหลังว่า ที่แท้สาวสองคนนี้เป็นหมอเหมือนกัน เธอทั้งสองตามน้องดามาที่สวนป่าเพื่อทาบทามพ่อครู ขอนำลูกศิษย์แพทย์จากชลบุรีมาเข้าค่ายที่นี่ก่อนที่จะส่งบรรดาว่าที่คุณหมอทั้งหลายขึ้นวอร์ดเพื่อทำงานกับคนไข้
แม้ว่าฉันและเธอทั้งสองจะมีอาชีพเหมือนกัน แต่วันแรกเราก็คุยกันน้อยมาก นี่ก็เป็นรูปแบบหนึ่งของการใช้โหมดปกป้องในการดำรงวิถีแห่งตนของคนในอาชีพเดียวกันที่ฉันได้มองเห็น ทำให้รำลึกไปถึงเรื่องราวที่คุยกับพี่ตึ๋งก่อนจากกันมาในเรื่องของการสนทนา ข้อหนึ่งที่เข้าใจคือ การทำให้คนมีโอกาสคุยกัน ไม่ต้องถึงกับเป็นการสนทนาที่ทำให้เกิดการฟังแบบลึกซึ้งหรอก เอาแค่คุยกันก่อนนี่แหละ น่าจะพอ ส่วนการหล่อเลี้ยงให้การสนทนาเป็นไปในระดับที่นำสู่การฟังระดับลึกซึ้งนั้น ก็ให้มันค่อยเป็นค่อยไป หล่อเลี้ยงผ่านอย่างไรได้บ้างก็คิดหาทางกันไป
ในเมื่อคนที่เด็กกว่าเขาไม่คุย เราคนแก่กว่าก็ชวนคุยซิ วิธีชวนคุยฉันไม่ได้ทำอะไรเลยในตอนเริ่มต้น แค่ทำตัวง่ายๆให้เขาได้เห็น เขาได้รู้จักตัวฉันผ่านการได้ยินเรื่องราวที่พ่อครูบาบอกเล่าในกิจกรรมที่ร่วมวงสนทนากับเด็กของอาจารย์แป๋ว การทำตัวประหลาดๆง่ายๆให้เขาเห็น ด้วยการนอนที่ลานไผ่ฟังรอกอดบรรยายให้เด็กฟัง ออกความเห็นบ้างแลกเปลี่ยนกับเด็กๆ ทำแค่นี้เองจริงๆ เวลาต่อมาจึงได้คุยกันเป็นอย่างดี แลกเปลี่ยนความเห็นกันไปเรื่อยๆกับเรื่องในวงการอาชีพ จนเขาเอ่ยปากชวนว่า เมื่อเขานำพาลูกศิษย์เขามาที่สวนป่าในเดือนเมษายนนะ พี่มาด้วยซิ
ถ้าถามว่าอะไรที่ทำให้การสนทนากับคนที่ไม่รู้จักกันให้กลายเป็นคนที่ใกล้กันได้ ฉันขอตอบว่า การมีความรู้สึกเชิงบวกต่อกันคือเครื่องมือหล่อเลี้ยงที่สำคัญ และที่สำคัญกว่าคือ การยอมรับในกันและกันอย่างเท่าเทียม ไม่ตัดสินเขาไปก่อนนะเอง หรือถ้าใช้ภาษาชาวบ้านง่ายๆว่า ไม่ถือสาว่าเขาจะเป็นอย่างไรนะแหละ การไม่ถือสาอย่างนี้ทำให้รับได้กับอะไรๆที่ไม่คาดฝันได้ง่ายดีนะฉันว่า
สรุปว่าหมอทั้งสองตกลงกับพ่อครูบาได้สำเร็จ เอาวันที่ 24-26 เมษายน เป็นวันยกขบวนนศพ.ชลบุรีมาที่สวนป่ากัน ใช้เวลา 3 คืน 3 วัน พ่อครูบาส่งสัญญาณว่า ให้ชวนพี่ตึ๋ง อุ้ยจันตา และน้องเบิร์ดมาด้วย รับรู้แล้วเตรียมตัวเด้อ มาช่วยกันเคาะกระโหลกแงะเอาความเรียบง่ายในสมองเด็กๆให้ออกมาเปล่งประกายกันหน่อยน่า
อาจารย์แป๋วพาลูกศิษย์มาให้อาจารย์รอกอดกล่อม ฝีมือร้ายจริงๆรอกอดนะ สอนการนำเสนอเขาแค่ 10 นาทีจบ ส่วนเวลาที่เหลือให้เด็กๆนั่งฟังเรื่องราวประวัติและแรงบันดาลใจของตัวเองทั้งในอดีตที่ผันผ่านมาและที่กำลังทำอยู่ในปัจจุบัน เด็กๆนั่งฟังกันตาแป๋วแหววไม่หลับสักคน รอกอดนั่งคุยให้ฟังนานหลายชั่วโมง ตั้งแต่สองโมงจนถึงห้าโมงกว่าก็แล้วกัน ใครไม่ได้มาก็อดฟังไป ไม่เล่าให้ฟังหรอกค่ะ พ่อครูบานั่งฟังไปด้วยหลับไปด้วยดีจริงๆ อันที่จริงก็ใช่ว่ารอกอดจะคุยอยู่ข้างเดียว ก่อนเลิกกิจกรรม ก็มีช่วงที่อาจารย์แป๋วให้เด็กๆเขาถามคำถามคนละคำถาม เด็กๆไม่ใคร่ถาม เลยเปลี่ยนเป็นให้เขาแนะนำตัวเองพร้อมส่งคำถาม ไล่เรียงกันไปแต่ละคน ตามแต่อาจารย์แป๋ว จะเรียกชื่อออกมา จนเหลือประมาณครึ่งหนึ่งที่เด็กๆรู้ตัวว่าต้องพูดทุกคน เขาจึงไล่เรียงตัวกันไปเองจนครบทุกคน
ช่วงกลางคืน มะเดี่ยวกับอาจารย์ขจิตก็มีกระบวนการกลุ่มให้เขาเรียนรู้วิธีแก้ปัญหาและถอดบทเรียน พร้อมทั้งสอนเรื่องของการจัดการตัวเองให้พร้อมก่อนนำเสนองาน ทั้งเรื่องการแต่งตัว ท่าทาง การจับไมค์ ครูคิมช่วยสอนเรื่องของการไหว้ให้สวยงาม มะเดี่ยวให้เด็กๆลองฝึกการวางแผนชีวิต โดยให้ใช้กระดาษแบ่งสามส่วน ส่วนแรกเขียนความอยากมีในปีนี้ ส่วนที่สองเขียนความอยากมีในสามปีข้างหน้า และส่วนสุดท้ายเขียนสิ่งที่ฝันเอาไว้ว่าอยากเป็นลงไป แล้วก็แลกเปลี่ยนให้เด็กๆวิเคราะห์ว่าสิ่งที่อยากมีและอยากเป็นนั้นชัดเพียงพอที่จะทำให้ตัวเองค้นหาวิธีที่จะทำให้สำเร็จได้รึไม่ เสร็จกิจกรรมนี้แล้วก็แยกย้ายกันเข้านอน ระหว่างนั่งดูกระบวนการที่ดำเนินอยู่ ฉันก็ได้ครูปูสาวตัวเล็กที่มีฝีมือด้านการนวด ช่วยนวดตัวให้สบายๆตั้งแต่ศีรษะจดสะโพก สบายจริงๆขอบอก ก่อนเข้านอนก็มีเรื่องโกลาหลเล็กๆเรื่องที่นอน น้าอึ่งนะหลับสบายไปแล้ว ความโกลาหลน่ะอยู่ที่สาวๆทุกคนต่างพากันจองพื้นที่นอนกันที่ห้องแรกข้างบันไดกันทั้งหมดแล้วทำให้เจ้าของบ้านไม่สบายใจที่ที่นอนไม่ลงตัวนะแหละ ซึ่งฉันว่าไม่น่าจะเป็นไร ถ้าไม่ใช้คำพิพากษาต่อกันเนอะ ที่ไหนนอนได้ก็นอนตรงนั้น ไม่เห็นจะแปลกเลย ขอแค่มีหมอนผ้าห่มก็นอนได้แล้ว ขึ้นไปบนห้องนอน สองหมอนะสมัครใจนอนกันอยู่ที่พื้น มีคนนอนบนตั่งกันบ้างแล้ว มีที่ว่างให้นอนได้อีกสองสามที่ เหลือที่นอนด้วยซ้ำไป
เช้าขึ้นมาน้องดาตื่นออกจากห้องมาก่อนใคร เพิ่งมารู้ตอนหลังว่า มีพรรคพวกส่วนหนึ่งของกลุ่มปูนเขากลับกันก่อนด้วย หลายคนทยอยตื่น เสียงอาจารย์ขจิตโหวกเหวกเรียกรอกอดให้เดินไปชมสวนกับพ่อครู แล้วทั้งกลุ่มก็พากันเดินตามพ่อครูไปเรียนรู้ด้วยกัน เด็กๆลูกศิษย์อาจารย์แป๋วดูเหมือนจะไม่ใคร่มีความรู้เรื่องต้นไม้สักเท่าไร เสียดายที่อาจารย์แป๋วไม่ได้ให้เด็กๆทำ AAR สะท้อนว่าเขาได้เรียนรู้อะไรจากสวนป่าบ้าง ก็เลยไม่ได้รับรู้ความคิดของเขา
สายหน่อยก็มีคณะใหม่มาร่วมกิจกรรม เป็นกลุ่มที่มาจากม.สารคาม นักศึกษาปริญญาเอกราว 10 คน ได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้วิธีการทำวิจัยกันเล็กน้อย พ่อครูให้ข้อคิดว่า การทำวิจัยนะควรจะเริ่มจากเรื่องที่คันในหัวใจกับเรื่องที่อยากรู้ ทำแล้วจึงจะสนุก ทำแล้วจะทำให้มัน อยากค้นคว้าไปเรื่อยๆ และมองออกว่าจะนำไปใช้ประโยชน์ต่อได้อย่างไร ผู้รู้ที่มาหลายๆคน ได้ร่วมแลกเปลี่ยนเรื่องการตั้งโจทย์งานวิจัย ทั้งครูคิม ครูปู รอกอด ต่อจากนั้นเด็กๆของอาจารย์แป๋วก็เริ่มงานเสวนาวิชาการของพวกเขาในรูปของการนำเสนอเรื่องราวโจทย์วิจัยที่ทำกันอยู่ เรื่องราวทั้งหลายที่นำเสนอเป็นเรื่องของวัวเป็นส่วนใหญ่ และหนักไปในด้านการส่งเสริมให้ได้ผลผลิตทางการเกษตรที่มีปริมาณเพิ่มขึ้น เป็นเรื่องของผลผลิตด้านการตลาดซะมากกว่า และส่วนใหญ่ก็เสนอวิธีการที่ซับซ้อนด้านวิชาการซะจนชาวบ้านตาดำๆนำไปใช้กับวิถีตนไม่ง่ายเลย หรือถ้าจะง่ายก็มีต้นทุนของวัสดุที่ต้องลงทุนอยู่มากโขด้วยใช้วัสดุวิทยาศาสตร์เข้ามาเติมเข้าไปในวิธีการทั้งสิ้น ไม่ใคร่มีเรื่องของวิธีการที่ใช้วิธีธรรมชาติมาเยียวยาปัญหาสักเท่าไร ฟังไปได้สักครึ่งหนึ่ง ฉันก็เลิกฟังหันมาใช้เวลานั่งเรียบเรียงเหตุการณ์เขียนบันทึกเล่าเรื่องราวดีกว่า
อันที่จริงตั้งใจว่าไว้กลับบ้านที่ใต้แล้วค่อยเขียนน่าจะดีกว่า จะได้โหลดรูปบางรูปที่อยากแทรกไว้ใส่ไว้ด้วย ครั้งนี้มาสวนป่านอกจากเพลี่ยงพล้ำเรื่องเจ็บตัวไปแล้ว ยังลืมเอาสายกล้องและสายชาร์ตแบตกล้องมาด้วย เลยเอ๋อไม่ใคร่ได้ถ่ายรูปเอาไว้สักเท่าไร จำใจต้องฝากจำเนียรเอาไว้ก่อนทั้งที่เสียดาย รูปหลายๆรูปจึงไปอยู่ที่กล้องของอาจารย์ขจิต ครูปู รอกอด ป้าจุ๋มซะงั้นเอง ใครอยากเห็นภาพขอดูได้ที่ท่านๆทั้งหลายที่เอ่ยนามนะค่ะ ที่เปลี่ยนใจมาเขียนบันทึกให้รู้แล้วไปนั้น ก็ด้วยได้ยินรอกอดเล่าให้ฟังว่า พี่ตึ๋งโดนรุมซะไม่มีเหลือนะซิไม่ใช่เหตุอื่นใดเลย….5555
กว่าเด็กๆจะนำเสนองานของเขาครบทุกคนก็ปาเข้าไปห้าโมงเย็น กิจกรรมหลังจากนั้นก็ให้เขาทำอาหารกินกันกลุ่มละเมนูเป็นที่สนุกสนาน เด็กกลุ่มนี้มีลักษณะเฉพาะที่น่าสังเกตตรงที่ เด็กผู้ชายเขาถนัดเรื่องการทำอาหารมากกว่าเด็กผู้หญิง นี่ก็เป็นอีกภาพหนึ่งที่มองเห็นในครั้งนี้ในเรื่องความเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่เกิดขึ้น
ระหว่างที่เด็กๆปรุงอาหารกัน ก็มีผู้ใหญ่หลายๆคนไปรอลุ้น ไอ้ที่ไปรอลุ้นนะในใจผู้ใหญ่คงมีอะไรบางอย่างอยู่นะ สำหรับฉันนะไปยืนดูด้วยความสนใจว่าเขาจะปรุงอาหารด้วยลำดับขั้นตอนอย่างไรบ้างแค่นั้นเอง เด็กได้เรียนรู้อะไรฉันไม่รู้หรอกนะ เพราะว่าไม่ได้มีเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน แต่ฉันเรียนรู้จากเด็กๆว่า เขามีวิธีการของเขาเองในการทำอาหาร และเขาก็คิดว่ามันอร่อยสำหรับเขานะ ส่วนคนอื่นๆที่กินจะอร่อยรึไม่ อันนี้ต่างจิตต่างใจซึ่งเขาก็ไม่ได้ให้ความสำคัญจนทำให้ไม่อยากทำมัน และที่เหมือนๆกับที่เคยพบมาก็คือ ล้วนถนัดใช้ผงชูรสหรือผงปรุงรส และบางคนก็คุ้นชินกับการใช้แรงในการจัดการปัญหาด้วยซิ มันบอกให้รู้ว่า เขาไม่เคยผ่านการฝึกฝนมาก่อนให้รู้จักวิเคราะห์ด้วยธรรมชาติของเขาเอง แล้วครอบครัวก็เลี้ยงดูมาแบบสบายๆไม่ต้องลงมือทำอะไรเองสักเท่าไรด้วยซิ ถามไถ่พื้นฐานที่มาส่วนใหญ่เป็นเด็กมาจากเขตเมืองกันค่ะ
หลังอาหารมื้อเย็น มะเดี่ยวก็ชวนเด็กๆมานั่งฟังการพัฒนาบุคลิกภาพต่อ แล้วก็ปล่อยให้ไปปล่อยอารมณ์กันเองตามสบายๆ เด็กๆไปเล่นกีร์ต้ากันวงหนึ่ง ผู้ใหญ่ก็ไปตั้งวงนอนชมแสงจันทร์กันวงหนึ่งพร้อมกับมีเสียงพิณอีสานเล่นคลอไปด้วย บรรยากาศโรแมนติกซะไม่มี รอกอดก็คอยหามุมถ่ายภาพเด็ดๆตามประสาคนซนๆ แสงไฟที่วาบๆออกมาทำให้ครูปูรู้สึกฉงนใจ ไฟอะไรหว่า น้าอึ่งอ๊อบเลยแกล้งแซวว่า ครูปูนึกถึงกระสือหรือไร ครูปูไม่ตอบแต่น่าจะตรงใจนะ จนมีเฉลยว่ารอกอดคอยหามุมถ่ายภาพและครูปูเห็นตัวรอกอดจึงหายใจออก สาวๆนอนชมจันทร์กันไปก็อารยะนินทาใครคนหนึ่งกันไป ฉันเพิ่งเข้าใจเรื่องจุดธูปที่รอกอดพูดตอนกลางวัน ที่แท้มันเป็นเช่นนี้เอง…5555
ระหว่างนั่งบันทึกเรื่องราวอยู่นี้ ก็คุยกับน้องดาที่นั่งอยู่ใกล้ๆไปด้วย เพิ่งรู้ว่าน้องดานะเขาเข้าไปแลกเปลี่ยนในวงน้ำชาอยู่ด้วย น้องดาเล่าถึงประสบการณ์ของตัวเองที่ผ่านมาเกี่ยวกับจินตนาการที่นำพาไปให้รู้จักเรื่องราวของตนเอง และประสบการณ์ของเพื่อนที่เข้าสู่กระบวนการแล้วค้างใจจากการที่กระบวนกรไม่ได้ให้เวลาพอกับการนำพา ซึ่งก็เป็นเรื่องราวเดียวกับที่อาจารย์ประสาทเคยพูดให้ฟังที่สองแควก่อนมาสวนป่า คำเล่าของน้องดาทำให้อ๋อว่าเหตุใดอาจารย์จึงเตือนใจในเรื่องเหล่านี้ไว้ เราคุยกันถึงคุณสมพลเล็กน้อย ทำให้ฉันนึกได้เรื่องที่คุณสมพลให้ข้อมูลไว้ว่าเขาจะจัดหลักสูตร voice dialogue ขึ้นในเดือนมีนาคมนี้ที่กรุงเทพฯ จึงได้เล่าให้น้องดาฟัง น้องดาก็เล่าเรื่องของวงโอเอซีสให้ฟังด้วยว่าเธอเป็นผู้หนึ่งที่ไปเข้าร่วมกิจกรรม
ก่อนจบบันทึกนี้ก็ขอฝากใจมายังทุกๆคนที่เข้ามาอ่านนะค่ะ ใจยังสู้ๆค่ะไม่ต้องห่วง กายที่เจ็บนะดีขึ้นแล้ว พรุ่งนี้ไอ้ที่เขียวๆนะน่าจะจางลงอีกค่ะ
Next : หัวฟู » »
14 ความคิดเห็น
น้องหมอตา นอนดึก อ้อเราก็นอนดึก อิอิ
น้องหมอตาเก็บรายละเอียดดีจริงๆ
มาเรียนรู้เหมือนมาอยู่ที่สวนป่าน่ะครับ
ขนาดเจ็บนะนี่ยังเขียนได้ละเอียดละออขนาดนี้ แต่มีอะไรมากมายทำให้เห็นสภาพสังคม การเลี้ยงดูลูกของคนในยุคนี้ เรื่องที่สำคัญที่สุดคือการรู้จักธรรมชาติชีวิตของตัวเอง สะท้อนออกมาในการปล่อยให้เขาแสดงออกมาให้เต็มที่ ตามที่เขาได้รับการเลี้ยงดูมา เราเป็นผู้ใหญ่เห็นแล้วต้องร่วมมือร่วมใจค่อยๆชี้แนะ ชี้ทางสว่างให้เขาเห็น ส่วนเขาจะรับได้หรือไม่ ขึ้นอยู่ว่าเขามีบุญทางสติทางปัญญามากน้อยแค่ไหน เอาเป็นง่ายๆว่าใครทำใครได้ ไม่ใช่แค่ได้ฟัง ได้เห็น หากขาดการปฏิบัติ ก็ขาดผลค่ะ ขอบคุณมากจริงๆน้องสาวตาหวาน ขอให้เดินทางกลับโดยสวัสดิภาพทุกๆ คนค่ะ
เรื่องบางเรื่องเป็นเรื่องที่ต้องปฏิบัติและฝึกฝนจึงจะเกิดความเข้าใจ เกิดปัญญา
คนที่ไม่ฝึกฝน ไม่มีประสบการณ์ ก็อาจจะเข้าใจช้ากว่าคนอื่น หรืออาจจะไม่เข้าใจเลยก็ได้
พระที่สอนธรรมะ แนะนำการทำสมาธิ วิปัสสนาก็ทำหน้าที่เฉกเช่นกระบวนกรที่ได้แค่แนะนำวิธีการ ส่วนการฝึกปฏิบัติ โดยเฉพาะเรื่องที่เป็นนามธรรม แต่ละคนต้องฝึกฝนและปฏิบัติเอง
…….รู้จักเรื่องราวของตนเอง และประสบการณ์ของเพื่อนที่เข้าสู่กระบวนการแล้วค้างใจจากการที่กระบวนกรไม่ได้ให้เวลาพอกับการนำพา ซึ่งก็เป็นเรื่องราวเดียวกับที่อาจารย์ประสาทเคยพูดให้ฟังที่สองแควก่อนมาสวนป่า คำเล่าของน้องดาทำให้อ๋อว่าเหตุใดอาจารย์จึงเตือนใจในเรื่องเหล่านี้ไว้……..
พระท่านไม่สามารถทำให้ทุกคนเข้าใจในธรรมะ และดับทุกข์ได้ฉันใด กระบวนกรก็คงไม่สามารถทำให้ทุกคนเรียนรู้ได้เหมือนกันหมด นอกจากจะปฏิบัติและมีประสบการณ์เองฉันนั้น
มัวนั่งเรียบเรียงอยู่นาน เลยถูก อ. หลินฮุ่ยแซงครับ
……….เราเป็นผู้ใหญ่เห็นแล้วต้องร่วมมือร่วมใจค่อยๆชี้แนะ ชี้ทางสว่างให้เขาเห็น ส่วนเขาจะรับได้หรือไม่ ขึ้นอยู่ว่าเขามีบุญทางสติทางปัญญามากน้อยแค่ไหน เอาเป็นง่ายๆว่าใครทำใครได้ ไม่ใช่แค่ได้ฟัง ได้เห็น หากขาดการปฏิบัติ ก็ขาดผลค่ะ………
ชัดเจน โดนใจเลยครับ ถึงต้องมีเครือข่าย มีกัลยาณมิตร ต้องฝึกฝน ปฏิบัติ แลกเปลี่ยนเรียนรู้กันไปตลอดไงครับ บางคนช้า บางคนเร็ว
เป็นห่วงครับ ขอให้หายไวๆนะครับพี่หมอ
ใครไม่ได้อ่าน ช่วยไม่ได้จริงๆ
ถึงไม่ได้ไปร่วมวง ได้ร่วมอ่านก็บรรเจิดแล้ว
อิอิ
เป็นไรเขียวๆครับพี่ตา แว่วๆว่าเกี่ยวกับระฆังเหรอครับ
พี่บู๊ธค่ะ ยังมีเรื่องที่อยากบันทึกไว้ค่ะ ขอเวลาหวีผมไม่ให้หัวฟูก่อนค่ะ แล้วจะรีบมาเขียนเล่า
แม่ยกค่ะ กล้วยน้ำไทและน้ำเก๊กฮวยเป็นระฆังช่วยมื้อเย็นดีจริงๆค่ะ ทำเอาไม่หิวอาหารเย็นไปเลย กินเข้าไปลูกเดียวแท้ๆ ขอบคุณเจ้าดอกเก๊กฮวยและกิ่งสายน้ำผึ้งที่ให้มาค่ะพี่ วันนี้รีบร้อนไปทำงาน เพิ่งกลับบ้านมาจัดการแช่น้ำให้กิ่งสายน้ำผึ้งค่ะ พรุ่งนี้แหละค่ะจึงจะได้ปักมันลงดิน น่าจะรอดนะค่ะพี่ขา
พี่ตึ๋งเจ้าขา จริงของพี่ค่ะ ตัวเองเท่านั้นคือผู้ดับทุกข์ กระบวนกรคือผู้ช่วยนำพา
น้องเชื่อว่ากระบวนกรที่สามารถ สามารถนำพาผู้เข้าร่วมให้เดินทางลัดและค้นพบหนทางของตนเองได้ค่ะพี่
กระบวนกรจึงต้องสร้างพลังและประคองพลังของตนเอาไว้ให้มีมากพอค่ะ คนที่ไฮเปอร์นะแหละเป็นกระบวนกรดีนักค่ะพี่
อ่านที่แม่ยกให้ข้อคิดเห็น พี่ตึ๋งว่ามั๊ยว่า แม่ยกนะให้ของขลังมานะพี่ ของขลังที่ว่าคือ เวทีที่หล่อเลี้ยงนะ มีความสำคัญนะค่ะพี่
ภาวนาให้วงส้มตำดำเนินต่อไปค่ะ ว่าแต่ว่า ส้มตำนะมันเซ็งนะพี่ ถ้าตำแล้วต้องรอคนกิน ฝากพิจารณาการเดินสายบ่อยๆของพี่ด้วยค่ะว่ามันจะทำให้ส้มตำมันเซ็งมั๊ย
บอกครูคิมเรื่องวงส้มตำแล้วด้วยค่ะพี่ อย่าลืมชวนด้วยค่ะ
น้องอารามจ๋า วันนี้สะเก็ดแผลทั้งหลายหลุดหมดแล้วค่ะ กำลังสงสัยฝีมือยาดีจากน้องราณีค่ะ ขอทบทวนอีกหน่อยจะเล่าให้ฟังค่ะ
น้อมรับความห่วงใยมาเยียวยาแผลด้วยความขอบคุณค่ะ
พ่อครูค่ะ รับโจทย์มาทำงานต่อค่ะ สุดสัปดาห์นี้ว่าจะลงไปดูที่ลันตาหน่อยค่ะ แล้วค่อยส่งข่าวไปที่น้องราณี
อ้ายเปลี่ยนจ๋า วันนี้พี่เป็นลูกครึ่งระหว่างพี่เหลียงกับแม่ยกค่ะ ครือออออออออออว่า ตาข้างซ้ายเป็นตาแพนด้า ตาข้างขวาเป็นแบบตาพี่หลินฮุ่ยค่ะ เข้าไปที่ทำงานลูกน้องเห็นหน้าต๊กกะใจโหมะเลย สายๆเริ่มดีค่ะ สะเก็ดแผลค่อยๆล่อนออกๆไปเรื่อยๆ กำลังสงสัยว่าเป็นฝีมือยาดีของน้องราณี ถ้าใช่ละก็อ้ายเอ๋ย อ้ายได้เป็นลูกค้าน้องราณีแน่ๆเลยเวลามีแผล….อิอิ