ใจแตกรึปล่าว
อ่าน: 1872เมื่อเริ่มออกเดินทางจากกระบี่มาร่อนเร่นอกบ้านอีกรอบในครั้งนี้ เสียงลูกน้องแว่วมาให้ได้ยินว่า หมอหนีเที่ยวอีกแล้ว เมื่อมาพบพานพี่ๆน้องๆที่เมืองสองแคว เสียงอารยะนินทาก็แว่วมาเข้าหูว่า หมอตาใจแตก มันก็เอ๊ะในใจเหมือนกันเนอะว่า ใจแตกอย่างเขาว่ารึเปล่า แล้วคำตอบก็ออกมาว่า เออ ใช่แล้ว ฉันนะใจแตกจริงๆนะแหละ มันแตกมาตั้งแต่ไหนแต่ไรด้วยนะไม่ใช่เฉพาะในเวลานี้เท่านั้น
ใครจะแปลคำว่า ใจแตก เป็นความหมายอะไรก็แล้วแต่ แต่ที่แน่ๆนะ มันมีความหมายชัดเจน ถึง สาวที่ทำอะไรแหกกฎนะแน่นอนอยู่แล้ว ฉันก็ถือเอาความหมายนี้แหละที่ยอมรับกับตัวเองว่า เป็นสาวใจแตกอ่ะนะ
การแสดงออกถึงความใจแตกในครั้งนี้ เริ่มขึ้นตั้งแต่วันศุกร์ที่ 29 มกราคม 2552 ที่นำพาพี่สาวสามีมาเข้าร่วมหลักสูตรโรงเรียนพ่อแม่ลูกที่จัดโดยครูณาและทีมงาน ครูณาคือครูที่น้องรอกอดเคยดาวน์โหลดภาพวิดีทัศน์มาให้ได้ชมในลานปัญญา ใครสนใจอยากรู้ว่าครูณามีอะไรจูงใจให้มาจัดหลักสูตรโรงเรียนพ่อแม่ลูกนี้ให้ลองไปทบทวนดูวิดีทัศน์ที่รอกอดโพสต์ไว้ค่ะ
ถือว่าเป็นความโชคดีที่ฉันมาเข้าร่วมด้วยในหลักสูตรนี้ ได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้เทคนิคกระบวนกรเพิ่มขึ้น แถมด้วยการได้เรียนรู้ตัวเองเพิ่มขึ้น ครูณาและทีมทำให้ฉันได้ค้นพบสมบัติที่ใจตัวเองให้ค่าเพิ่มอีกชิ้นหนึ่ง การได้พบสมบัตินี้ทำให้ฉันเข้าใจตัวเองมากขึ้น ที่จริงสมบัติที่ได้พบนี้ไม่ใช่ของใหม่เลยแหละนะ มันคงอยู่ของมันอยู่อย่างนั้นแล้ว ความใหม่ของมันที่ค้นพบก็คือ เพิ่งรู้ว่าจิตไร้สำนึกให้ค่ากับมันสูงมาก ประสบการณ์ใหม่นี้เพิ่มความเข้าใจเรื่องของใจกับจิตใต้สำนึกและความคิดมากขึ้นตรงที่ว่า เมื่อเราใช้ความคิดในการตัดสินหรือให้ค่ากับอะไรๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ความคิดจะมีอิทธิพลและข่มให้คุณค่าของสิ่งที่จิตใต้สำนึกให้ค่าหล่นหายไปกลายเป็นเรื่องราวที่ไร้สำนึก
การเข้าร่วมกับวงสนทนาของครูณาทำให้ได้รู้จักทีมงานภายใต้เครือข่ายของใหญ่เพิ่มขึ้นหลายคน ทุกคนที่ได้คุยด้วยล้วนยืนยันปรากฏการณ์เป็นเสียงเดียวกันว่า ความเข้าใจตัวเองเหล่านี้นั้น มันถึงบางอ้อ ณ ปัจจุบันขณะนั้นๆ ความรู้สึกที่เกิดขึ้นนั้นเกิดขึ้น ณ ปัจจุบันขณะ ซึ่งภาษาของวงน้ำชาใช้คำว่า “ใหม่สด” ความรู้สึกนี้ไม่ได้คงอยู่อย่างยั่งยืน นับเป็นความรู้แลกเปลี่ยนที่เป็นเรื่องเดียวกับที่เคยได้แลกเปลี่ยนกับพี่ตึ๋งและอุ้ยจันตาในประเด็นเดียวกัน
ฉันว่านี่แหละคือรูปธรรมที่จับต้องได้ของการเรียนรู้การเกิด-ดับที่เป็นเรื่องธรรมชาติอย่างง่ายๆโดยไม่ต้องตายไปจริงๆอย่างที่คนเคยเข้าใจ ใครไม่เคยลองดูน่าจะลองดูบ้างนะ ความเข้าใจนี้มันทำให้เกิดความเข้าใจวิีธีการที่วงน้ำชาดำเนินการอยู่ในบางมุมอีกด้วยนะขอบอก มุมที่ว่านี้คือเรื่องของการหล่อเลี้ยงและผู้หล่อเลี้ยงที่เคยมีคำพูดหลุดออกมาที่ห้องนั่งเล่นเมื่อครั้งไปเฮฯหกที่เชียงรายและตอบคำถามว่าทำไมบรรดาศิษย์วงน้ำชาทั้งหลายจึงมักหาโอกาสกลับไปพูดคุยกับใหญ่หรือพบปะกันเองบ่อยครั้ง สำหรับผู้ต้องการเวทีหล่อเลี้ยงเพื่อนร่วมทีมของครูณา คือ คุณสมพล ได้ให้ข้อมูลว่าเขาและณัฐฬส วังวิญญู ได้มีวงสนทนาที่เรียกว่า “โอเอซีส” ที่กรุงเทพฯ ทุกเสาร์ที่สามของเดือนที่สมาคมกรุงเทพคริสเตียน สีลม โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ใครที่สนใจเข้าร่วมสนทนา สามารถเข้าร่วมได้เสมอค่ะ ทราบว่ามีบุคคลหลายกลุ่มที่กำลังสนใจแขนงของจิตปัญญาศึกษามาพบปะกันอยู่เสมอ ไม่ว่าเสมสิกขาลัย จิตวิวัฒน์ หรือ วงน้ำชา และวงอื่นๆอีก
ใจแตกอยู่ 2 วันก็ส่งพี่สาวสามีไปพบกับลูกชายเขา ส่วนตัวเองแยกตัวมาทำหน้าที่หลักที่ทำให้เข้ามากรุงเทพฯต่ออีกสองวันก่อนที่จะไปร่อนเร่ตามแต่ใจต่อ ในเวทีสองวันนี้ผู้ดำเนินรายการซึ่งได้ไปสัมผัสกิจกรรมกระบวนกรมาแล้วในมหกรรมกระบวนกร 7 วันได้นำเอาเทคนิคของกระบวนการที่ไปพบมามาผสมผสานในกระบวนการนำพาผู้คนที่มาร่วมประชุมให้ได้นั่งสนทนากัน จุดประสงค์ของกิจกรรมที่จัดขึ้นนั้นอยู่ที่จะส่งมอบหน้าที่่พี่เลี้ยงและผู้ประสานงานระดับจังหวัดและระดับภาคให้ผู้เข้าร่วมประชุมไปทำงานต่อเมื่อกลับคืนที่ตั้งของตัวเองในเรื่องของการแลกเปลี่ยนเรียนรู้การดูแลผู้ป่วยเบาหวาน
หลังเข้าร่วมกิจกรรมสองวันนี้แล้วฉันก็ใจแตกต่อ ร่อนขึ้นมาเมืองสองแควพร้อมน้องชายน้องสาวที่อยู่ร.พ.พุทธชินราชโดยรถตู้ของร.พ. เตรียมพร้อมที่จะยาวต่อมาสวนป่าของพ่อครูบาในปลายสัปดาห์ซะเลย การทำตัวง่ายๆ ให้เดินทางขาขึ้น-ขาลงรอบเดียวง่ายดี นี่แหละที่ทำให้เกิดกรณีใจแตกยาวขึ้นเหนือแล้วร่อนลงอีสานแล้ววก็ลงภาคกลางแล้วจึงกลับใต้ รวมแล้วหนึ่งสัปดาห์ผ่านครบ 4 ภาคด้วยขาขึ้น-ลงรอบเดียว…5555
ระหว่างอยู่ที่เมืองสองแควฉันรู้สึกอบอุ่นมากๆ วันเดินทางออกจากกรุงเทพฯออกกันซะสาย จึงถึงเมืองสองแควดึกหน่อย หนีไปนอนที่โรงแรมหน้าร.พ.พุทธฯ ระหว่างเดินทางพี่ตึ๋งก็โทรมาถามไถ่ดูแลกันอยุ่ เช้าแรกที่เมืองสองแควน้องสาวจากร.พ.พุทธฯมารับเข้าไปดูงานคลินิคดูแลเท้าเบาหวาน การได้สัมผัสคนไข้ที่นี่อยู่ครึ่งวันยังอดตัดสินไม่ได้ว่า แม้ทีมงานจะมีใจกับการทำงานเพื่อช่วยคนไข้ให้พ้นทุกข์ แต่สิ่งที่ปฏิบัติการอยู่มันก็ยังคงคล้ายๆเป็นกึ่งๆเครื่องจักร หรือกึ่งอัตโนมัติ มันเป็นรูปธรรมที่เตือนใจฉันว่า การฟังอย่างล้ำลึกนั้นเป็นทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งที่ควรฝึกฝนให้มีอยู่จนเป็นธรรมชาติในตัวตนของคนที่ทำงานในลักษณะอย่างฉัน
จวนเที่ยงพี่ตึ๋งก็ส่งเสียงมานัดหมายว่าจะมารับ เจอกันแล้วพี่ตึ๋งก็พาตัวไปย้ายของออกจากโรงแรมลอคตัวให้มาพักที่บ้านของพี่ตึ๋งแทน อบอุ่นค่ะกับความดูแลที่มอบให้เป็นอย่างดี รู้สึกเหมือนดั่งได้กลับบ้านไปพบพี่ชายพี่สาวทีเดียวเชียวค่ะ ใครอย่าตาร้อนนะค่ะ ฉันเชื่อว่าใครไปใครมาที่บ้านพี่ตึ๋งก็คงรู้สึกเหมือนกับฉันค่ะ วันนั้นน้องอ้ายยังกลับไม่ถึงบ้าน กินข้าวเที่ยงกันแล้ว เราก็แวะไปเยี่ยมน้องอิ่มซึ่งกำลังจัดกิจกรรมเรื่องการจัดการขยะที่โรงเรียนสาธิตมน. ทักทายกันแล้วนั่งดูกระบวนการอยู่ไม่นานนัก พี่ตึ๋งก็นำตัวฉันไปส่งบ้านน้องราณี
ครึ่งบ่ายวันนั้น ฉันนั่งคุยๆกันไปกับน้องราณี โทรหาครูสุเพื่อตามตัวครุสุมากินข้าวเย็นด้วยกัน ครูสุก็แปลกเนอะโทรไปชวนก็รับปากง่ายๆ ไม่ถามด้วยซ้ำว่าใครโทรชวนรับปากเฉยเลย แล้วน้องราณีก็ต่อสายไปหาครูคิม ส่งข่าวครูคิมว่ามีคนที่ครูคิมอยากเจอมาที่สองแคว ครูคิมเก่งทีเดียว เดาออกว่าเป็นตัวฉัน คืนนั้นพี่ตึ๋งติดนัด สาวๆสี่คนสี่สไตล์ก็เลยไปกินข้าวด้วยกัน แล้วไปต่อกันด้วยการกินแวะไอติมซ่าหริ่มที่พ่อครูบาหมายตาไว้แต่ก็ไม่ได้ลองสักทีอีกรายการหนึ่ง
กินข้าวเสร็จก็ล็อกตัวครูคิมไปบ้านพี่ตึ๋งด้วยกัน จัดการให้ครูคิมเปิดบล็อกในลานปัญญาจนสำเร็จ แต่เจ้ากรรมว่าเจ้า gravator ไม่เป็นใจ ครูคิมจึงยังเข้าลานเจ๊าะแจ๊ะไม่ได้ คุยไปคุยมา ครูคิมรู้ว่าฉันจะเดินทางมาสวนป่า เลยกลายเป็นสาวที่ทำตัวง่ายๆอีกคน บอกว่าไปด้วย คืนนั้นออกจากบ้านพี่ตึ๋งแล้ว ครูคิมก็แวะไปซื้อตั๋วรถทัวร์เิดินทางมาสวนป่าได้ดั่งใจ
ระหว่างรอๆกันในช่วงบ่าย คุยๆกันไป น้องราณีคงขัดใจที่ใบหน้าฉันไม่ถูกตาเธอ ก็เลยชวนให้เป็นหุ่นสอบนวดหน้าของเด็กในร้าน ฉันเลยได้นอนสบายให้ทีมของน้องราณีเสริมความสวยใบหน้าให้ซะสามชั่วโมง สบ๊าย สบาย น้องราณีเล่าว่า อาจารย์แป๋วหมายมั่นมาตั้งหลายหนแล้วที่จะมาลองดูเหมือนที่ฉันลองแต่ก็ไม่ได้ซักที คนไม่ได้ตั้งใจกลับได้ลอง อาจารย์แป๋วรู้แล้วอย่าตาร้อนนะค่ะ นวดแล้วสบายจริงๆนะค่ะขอบอก
เช้าวันต่อมา ฉันมีโปรแกรมดูงานที่นัดไว้กับน้องชายน้องสาวที่ร.พ.พุทธฯต่อ พี่ตึ๋งจึงพาไปส่ง น้องราณีนัดหมายไว้ว่าจะพาไปเที่ยววัดใหญ่ในช่วงบ่าย กว่าจะดูงานเสร็จก็เลยเวลาที่นัดกันไปนานหน่อย น้องราณีรออยู่ที่ร้านเห็นหน้ากันแล้วก็รู้สึกเลยว่าราณีนะรอๆๆๆ เพิ่งมานึกได้ว่าไม่ได้โทรหาเพื่อบอกกล่าวก่อนเพราะว่าไม่เคยขอเบอร์โทรของน้องราณีไว้ วันนี้ครูสุขอตัวไปดูแลเด็กที่ค่ายลูกเสือ ก็เลยไม่ได้มาเจอกัน ครูคิมขอตัวไปเคลียร์งานเพื่อให้ไปสวนป่าโดยไม่พะวงหลัง สองสาวซิ่งรถมอร์เตอร์ไซด์ไปด้วยกันเที่ยวงานวัดใหญ่ ไหว้พระและชมวัดกันสักครู่ พี่ตึ๋งก็โทรมาตามตัวว่าเที่ยวกันเสร็จยัง ที่พี่ตึ๋งโทรตามคัวนะไม่ใช่อะไรหรอก ช่วงค่ำนะพี่ตึ๋งได้โทรไปนัดหมายผู้คนที่สนใจเรื่องของสุนทรียสนทนามาคุยกันที่บ้านนัดหมายเปิดวงส้มตำครั้งแรกของทีมสองแควนะเอง
ยามค่ำคืนมีผู้คนมาเข้าร่วมจากองค์กรที่ทำงานเกี่ยวกับคนที่สำคัญๆครบเลยแหละ องค์กรท้องถิ่น สาธารณสุข สปสช. การศึกษา และ NGO เป็นวงสนทนาที่รื่นไหลพอสมควร บางคนเข้าถึงสิ่งที่อยู่ในใจตัวเอง กล้าบอกเล่าในสิ่งที่อยู่ในใจออกมาให้คนที่เพิ่งพบหน้าได้รับรู้ เซอไพร้ท์ที่พบในคืนนี้ก็คือ การได้พบกับอาจารย์ประสาทอีกครั้งหนึ่งโดยไม่คาดฝัน ดูเหมือนอาจารย์มีจุดประสงค์ในใจในการมาเข้าร่วมวงในค่ำคืนนี้ อาจารย์ได้ฝากข้อเตือนใจด้วยความเป็นห่วงในเรื่องของทฤษฎีตัวยูกับการนำพาของคนที่ลองเป็นกระบวนกรฝึกขับเคลื่อน และได้เล่าบอกเรื่องราวของทีมกระบวนกรในที่หนึ่งให้ฟังว่า การเหนี่ยวนำที่ไม่สามารถนำพาให้ผู้เข้าร่วมให้เดินทางไปจนึงก้นตัวยูได้ก่อผลให้กลุ่มกระบวรกรนั้นแตกคอกันและมีข้อขัดแย้งกัน เป็นกรณีศึึกษาที่น่าสนใจ และอาจารย์ได้ชักชวนให้ไปเข้าร่วมเพื่อเรียนรู้กับเขาด้วยที่นครสวรรค์ ส่วนจะเป็นเวลาช่วงไหนนั้น ฉันจำไม่ได้ค่ะ การสนทนายามค่ำคืนนี้สิ้นสุดลงราวสี่ทุ่มเศษค่ะ หลังคนอื่นกลับกันแล้ว เราสามคนพี่น้องก็นั่งคุยกันต่อตามประสาชาวเฮจนกระทั่งเลยเที่ยงคืนจึงแยกย้ายกันไปนอน
เช้าวันรุ่งขึ้น ฉันเข้าไปที่ร.พ.พุทธฯอีกวัน วันนี้ได้ไปดูงานที่สถานีอนามัยด้วย ได้สัมผัสกับใจที่มุ่งมั่นของคนทำงานแล้วมีความสุขจริงๆ รูปธรรมที่ได้เห็นบอกว่า เมื่อคนมีความมุ่งมั่น อะไรๆที่เป็นอุปสรรคมันก็ผ่านไปได้เสมอ ช่วงหลังกลบจากสถานีอนามัย ทีมร.พ.พุทธฯก็ชวนกันจัดเวทีสนทนา บรรยากาศของการสนทนาที่นี่เป็นรูปแบบเหมือนวงชาวเฮที่ใช้รูปแบบของการสนทนาที่สร้างความสุขให้กับคนที่เข้าวงสนทนามารวมพลคนคุยกัน ส่วนเรื่องที่จริงจังกับการเรียนรู้เรื่องราวภายในตนนั้น ที่นี่ยังไม่เริ่ม มันเหมือนการเตรียมความพร้อมของคนเพื่อที่จะถีบส่งเข้าไปเรียนรู้โลกภายในตนต่อไป ทีมนี้เขามีแผนงานที่จะเชิญทีมอาจารย์มนตรีมาทำกิจกรรมให้ค่ะ
เย็นนั้น ทีมพุทธชินราชนำตัวมาส่งให้กับน้องราณี รอๆกันที่บ้านน้องราณีแล้วก็ไปสมทบกันที่ร้านปลาสด กินไปคุยไปจนอิ่มก็พากันมาต่อที่ร้านทับทิมกรอบที่มีชื่อของเมืองสองแคว กินไปคุยไปได้สักครู่น้องอิ่มกับพี่สาวก็มาให้กอดลากัน ฉันได้แต่ให้กำลังใจในการได้กลับไปทำหน้าที่ลูกสาวที่ดีของคุณแม่ ดีใจที่ได้เจอน้องทั้งสองคนค่ะ น้องอิ่มฝากมะขามหวานและเสื้อไปให้พ่อครูบาด้วย
คืนนั้น พี่ตึ๋งประชุมกับพรรคพวกดึกมาก กลับมาบ้านก่อนเวลาเที่ยงคืนไม่นานนัก น้องอ้ายน่ารักมาก รอไปส่งทั้งๆที่ง่วง แม่นุเลยบอกให้ไปนอนก่อน จะออกจากบ้านกันแล้วค่อยปลุกอีกที ใกล้เที่ยงคืน พี่ชายพี่สาวหลานสาวพากันมาส่งอย่างอบอุ่นที่บขส. แล้วก็เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นอย่างไม่รู้ตัว แม่นุบอกว่า ตอนที่เห็นเหตุการณ์นะมันเหมือนภาพสโลว์โมชั่นอย่างที่เห็นในหนังเลยแหละ แต่ละช็อตเป็นอย่างไรบ้างถามแม่นุกันเอง ฉันเลยได้แบกหน้าที่มีขอบตาเขียวช้ำ ปากบวมเจ่อเล็กน้อยไปให้น้องอึ่งอ๊อบกอดให้อุ่นตลอดคืนนั้น
ขำๆน้าอึ่งอ๊อบ ที่เกือบได้วางมวยกับเด็กรถเรื่องที่นั่งและผ้าห่มผืนใหม่ เด็กมันหงุดหงิดอยู่นะฉันว่า น้าอึ่งของขึ้นเขารับรู้นะ ต่อมาเขาจึงมาจัดการเอาผ้าห่มใหม่มาให้โดยดี ตอนจะขึ้นรถกัน ครูคิมมารออยู่แล้ว ก่อนมืดฉันโทรบอกน้าอึ่งอ๊อบแล้วว่าคืนนี้มีเซอไพร๊ท์มีคนใจง่ายตามไปสวนป่าด้วยคนหนึ่ง น้าเขาเก่งที่เดาออกว่าเป็นครูคิม
สามสาวสามแบบเดินทางมาถึงบุรีรัมย์เจ็ดโมงเช้า ระหว่างรอแม่หวีมารับ ก็จัดการเรื่องตั๋วขากลับของครูคิมเรียบร้อย กินข้าวเช้ากันที่บขส.บุรีรัมย์นั่นแหละ ราวๆแปดโมงแม่หวีก็ซิ่งรถเข้ามารับ แลกกอดกันแล้วก็พากันขึ้นรถนั่งเข้าสวนป่ากันมา คราวนี้แม่หวีเขาไม่ซิ่งหรอกนะขอบอก ขับรถเรียบร้อยๆ ระหว่างทางพี่ตึ๋งก็โทรศัพท์มาถามไถ่ด้วยความห่วงใย เป็นไงบ้าง พี่ไปถึงเพชรบูรณ์แล้ว ไอ้ฉันก็ลืมไปว่า เมื่อคืนนะแม่นุเขากังวลจัดกับเรื่องหน้าตาฉันจนจะรั้งตัวไว้ให้ไปหาหมอซะก่อนสักวันแล้วค่อยเดินทางต่อ มานั่งเขียนบันทึกนี้อยู่ก็รู้สึกผิดนะที่ลืมบอกเล่าอาการกลับไปให้รู้
ถึงสวนป่าแล้วป้าจุ๋ม รอกอดก็ออกมารับ ป้าจุ๋มถามว่าไปทำอะไรมาหน้าตาถึงเป็นอย่างนั้น เลยได้โอกาสอารยะนินทากัน พอมีคนถามเรื่องไปโดนอะไรมา ก้เลยอารยะนินทากันว่า จะเอาเรื่องจริงหรือเรื่องหลอก ทำเอาคนถามงงๆๆๆๆ เรื่องจริงก็คือว่า หมอจอมป่วนนะเขาเคืองจัดที่แม่นุนะเวลาจะทำอะไรก็ช้าซะไม่มี ทำเอาต้องเดินล้วงกระเป๋าเดินไปเดินมารออยู่เป็นชั่วโมง ฉันเข้ามาได้จังหวะพอดี๊พอดี พี่แกเลยง้างหมัดสอยเอาซะตาเขียวไปเลย…5555…เล่นเอาคนถามเอ๋อไปเลย
อันที่จริงอีตอนที่เกิดเหตุนะ แม่นุคอยถามให้ชื่นใจจนหายเจ็บไปเลย เจ็บมั๊ยหมอ เจ็บมั๊ย เห็นหน้าแม่นุเหมือนได้หมอเลยนะขอบอก มันมีกำลังใจกับวามห่วงใยที่ได้รับนะนา เจ็บนะมันเจ็บอยู่หรอก แต่มันชาซะมากกว่า ไม่รู้ตัวว่ามีเลือดออกหรอกนะจนเมื่อใช้กระดาษชุบน้ำอุ่นซับดูจึงรู้ตัว ได้เห็นหนาในกระจกที่พี่ตึ๋งส่งมาให้จึงเข้าใจว่าเหตุใดแม่นุจึงต๊กกะใจนัก ก็มันเจ็บไปแล้วนี่นาไม่เห็นจะเป็นไรเลย เจ็บแล้วก็ดูแลตัวเองต่อก็แค่นั้นเอง ต้องถือว่าโชคดีแท้ที่พื้นลานทางเดินที่บขส.เมืองสองแควนะสะอาดสมเป็นเมืองแยกขยะ เลยทำให้ไม่เลอะเทอะเปรอะเปื้อนในยามที่ล้มตัวลงไปกอดลานนั้นนะขอบอก เสียหลักแล้วเจ็บตัวนะดีกว่าเสียหลักแล้วเจ็บใจหนา
เช้านั้นหน้าตาตรงที่มันบวมโนนะมันยุบลง ความเจ็บนะไม่มีแล้ว มีร่องรอยถลอกที่มองเห็นชัดขึ้น ดูหน้าตัวเองแล้วแปลกดี ได้เรียนรู้ความรู้สึกของผู้คนที่ให้ความสำคัญกับใบหน้าก็คราวนี้เองว่า เขาคงพะวงและทุกข์กับมันมากนะนี่ ก็มันเปลี่ยนจนดูแปลกอ่ะ ถ้าใจเขาพะวงแล้วความคิดของเขาคิดต่อวาดภาพไปอีก สนุกทีเดียวเชียวทุกข์นี้ ทั้งๆที่กายไม่เจ็บเท่าไรเลย เฉยกับมันได้มันไม่เห็นจะมีอะไรเลย สิ่งที่ลำบากอยู่หน่อยมีเรื่องเดียวเองก็เรื่องการล้างหน้าล้างตาค่ะ เวลาลูบน้ำผ่านนะมันต้องทำค่อยๆนะ แล้วไอ้ความที่ชินกับการทำอะไรเร็วๆนี่ เรียนรู้ใจที่ฝืนกับความคุ้นชินน่าดูเหมือนกันค่ะ
วันนี้มาเขียนบันทึกนี้ หน้าตาที่บวมนะยุบหมดแล้ว เหลือรอยเขียวๆอีกหน่อย น้าอึ่งอ๊อบเห็นหน้าแล้วก็บ่นให้ได้ยินว่า กลับบ้านคราวนี้สงสัยคนที่บ้านจะไม่อนุญาตให้ไปไหนอีกซะแล้วนะนา ก็มาเที่ยวนี้พาหน้าเขียวๆกลับบ้านไปฝากซะนี่
« « Prev : เจ้ามีที่มาอย่างไร(17)
9 ความคิดเห็น
สวัสดีคะพี่หมอเจ๊
เห็นหน้าในลานก็ตกใจเล็กน้อย
แต่ขำชื่อบันทึกค่ะใจแตกหรือเปล่า (อิอิ หน้าแตกไปก่อนเน๊าะ) แซวเล่นเด้อค่ะ
ขอให้หายไวๆ นะคะ คิดถึงมาก รักษาสุขภาพด้วยค่ะ
อ่านแล้วเห็นทั้งใจแตกและหน้าแตกเลยนะคะพี่สาวตา
สนใจเรื่องที่อาจารย์ประสาทพูดถึงตัวยูนะคะ
และสนใจเรื่องไปนวดหน้าด้วย…อิอิ…..
ตามน้องราณีมาจากรูปในลานเหมือนกัน เป็นห่วงอยู่ค่ะ
หายเร็วๆ นะคะ
แม่นุสั่งให้พิมพ์………
คิดถึงหมอเจ๊ เห็นรูปหมอเจ๊แล้วทราบว่าไม่เป็นอะไรมาก ก็หายเป็นห่วงแล้ว……..
……เห็นยังสวยเหมือนเดิม อิอิ อันนี้ว่าเอง ฮ่าๆๆๆๆ ฮิ้ว…….
ขำๆๆๆๆๆ หัวเราะก๊ากเลย ……หน้าแตกก่อนใจแตก………
สามสาวสามแบบมี
น้าอึ่งอ๊อบ สาวใจร้อนจะวางมวยกับเด็กรถ ? เดี๋ยวนี้เรียบร้อยแล้ว จอมป่วนรับรองความประพฤติ คงเป็นห่วงสาวตาเลยพาลหงุดหงิดเด็กรถอ่ะ
สาวตา สาวใจแตก(หน้าแตก)
ครูคิม สาวใจง่าย เขาชวนไปสวนป่า ไปซื้อตั๋วเลย
โอ้ยอก อี้แป้นจะแตก นอกจากใจแตกตั้งแต่…. นวดหน้าเสียอย่างดี กลับมาแตกฟกช้ำดำเขียวที่เมืองสองแคว ดูแลกันอย่างไร ทำให้น้องสาวแสนดีของเราไดรับบาดเจ็บ ฝากไว้ก่อนนะหมอจอมป่วน เอาไว้ลืมเมื่อไหร่แล้วค่อยว่ากันใหม่55555555555
น้องหมอตานี่เป็นคนที่มีแรงขับเยอะจริงๆ
มีแต่ความก้าวหน้า ก้าวหน้า ต้องมานั่งคุยกันบ้างหละ
เรื่องพกช้ำนั่น
โอมเพี้ยง..หายวันหายคืนนะครับ..
ขอบคุณทุกท่านที่ห่วงใยนะค่ะ หายวันหายคืนก็ด้วยกำลังใจที่ส่งมาให้นี่แหละค่ะ
สงสัยที่หน้าแตกง่ายนี่นะเพราะไปนวดหน้าเอาอะไรที่โปะๆไว้ออกซะจนบางนะนี่ มันเลยโผล่เนื้ออ่อนออกมาให้แตกง่ายซะงั้น ต้องชมฝีมือช่างนวดของราณีที่ช่วยให้ผิวมันเอ๊าะๆขึ้นนะค่ะ ไม่เหนียวตามอายุค่ะ
อุ๊ย ลืมไป ไม่ได้กระแซะใครนะค่ะนี่ แค่อยากชมฝีมือเด็กของราณีแค่นั้นเองแหละค่า
เห็นหน้าพี่หมอตาในบล็อกแล้วก็ตกใจ พี่สาวเราไปทำอะไรมานี่ แหมันที่พี่ตาไปสตึกก็ไม่ได้ไปหา ใจหนึ่งก็อยากให้เวลากับทาง รพ.พุทธ เกรงใจเขาค่ะ คิดว่าถ้าเป็นหนิง ก็คงอยากได้พื้นที่กับพี่สาวคนนี้เหมือนกัน วันนั้นเลยไม่ตามไปร้านปลาสด ค่ะ
อีกสองวันเจอเพื่อนๆ ในที่ทำงานที่สนิทกัน เล่าให้เพื่อนฟังว่า พี่หมอตา ค้นหาอะไร สักอย่างที่ทำให้ลูกน้องที่ทำงานด้วยมีความสุข ร่าเริงเบิกบาน กล้าพูด กล้าแสดงออก และก็ได้ดั้นด้นไปอบรมถึงเชียงรายและตามไปสุนทรียสนทนาในที่ต่างๆ และนำมาใช้ด้วยการเริ่มใช้กับพนักงานจ้างหรือลูกจ้างใน รพ. จนกระทั่งขณะนี้หลายๆ กล้าแสดงความคิดเห็น เริ่มมีเสียงหัวเราะในที่ทำงาน ลูกน้องกล้ามาบอกว่าจะทำอะไร เล่าๆ ให้เพื่อนฟัง เพื่อนนั่งกันเงียบ ตกใจหมดเลยค่ะ นึกว่าไปพูดอะไรให้เขาเครียดหรือไม่สบายใจกันหรือเปล่า อยู่ๆ มีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า ของเราไม่มีเนาะ หัวหน้าแบบนี้ ที่อยากเห็นลูกน้องทำงานอย่างมีความสุขจนต้องเสาะหาดั้นด้น ……
ขอบคุณพี่หมอตาแทนน้องในโรงพยาบาลนะค่ะ