เจ้ามีที่มาอย่างไร(2)
อ่าน: 1117ฉันได้เล่าเรื่องของเด็กน้อยมาถึงตอนที่เธอเข้าเรียนอยู่ในชั้นประถมต้นของโรงเรียนราษฎร์แห่งหนึ่งในภูเก็ต เธอมีชีวิตในวัยเรียนที่นี่อย่างมีความสุขแม้ว่าจะถูกพ่อและแม่จัดการให้ใช้ชีวิตอยู่ในกรอบก็ตาม กรอบแรกที่ถูกจัดการเป็นเรื่องการไปโรงเรียน พ่อและแม่จะไม่ไปส่งเด็กน้อยที่โรงเรียนหากแต่หารถผูกให้รับ-ส่งระหว่างโรงเรียนและบ้านเป็นเวลา กรอบที่สองที่ถูกจัดการก็คือใช้คำชมเป็นตัวถ่วงให้ยังคงรักษาระดับการเรียนที่ดีเอาไว้ไม่ให้ตก กรอบที่สามที่ถูกจัดการคือ ห้ามไปมั่วสุมที่บ้านเพื่อนบ้าน ขืนไปละก็โดนเลยแหละ
ตอนนั้นเด็กน้อยไม่รู้หรอกว่าทำไมพ่อและแม่จะต้องออกกฎห้ามเธอเอาไว้ ความที่ซุกซนและฉลาดเธอจึงดื้อเงียบแอบทำในเรื่องที่ห้ามอยู่บ้าง(เรียกว่าถ้ามีโอกาสเป็นลอง) เธอเคยลองใช้ทีเผลอของทั้งพ่อและแม่แหกกฎที่ตราขึ้นไว้ แอบไปบ้านเพื่อนบ้านทางหลังบ้านเวลาเล่นซ่อนหากับเพื่อนข้างบ้าน จนเมื่อเติบใหญ่มาแล้ว เธอจึงเข้าใจว่าที่แท้พ่อและแม่นั้นเข้าใจถึงความเป็นเด็กที่ยังไม่รู้ชอบว่าจะเป็นสิงห์มือไวหยิบจับเอาของของเพื่อนบ้านออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจทำนะซี แล้วความไม่ได้ตั้งใจนั้นอาจจะทำให้ได้รู้จักกับความรู้สึกเสียใจเมื่อถูกผู้ใหญ่เพื่อนบ้านที่เกี่ยวข้องตัดสินผิดถูกเข้าให้ด้วยข้อหาผิดศีลลักทรัพย์ อีกทั้งผู้ใหญ่กับผู้ใหญ่ก็อาจจะขัดใจกันและกันจนมากหมอมากความไปได้
สีสันการใช้ชีวิตและการเล่นภายในโรงเรียนใหม่มีหลากรสชาติ จำได้ว่ามีการแบ่งก๊กแบ่งเหล่าในกลุ่มนักเรียนตัวเล็กๆอย่างเธอด้วย ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อนะว่าธรรมชาติจะสอนให้เด็กรู้จักเล่นพวกแต่เด็ก พวกใครพวกมันเกิดขึ้นแบบว่าถ้าคนหนึ่งโกรธอีกคนหนึ่งละก็ จะชี้ชวนคนอื่นให้มารักกันชอบกันเป็นพวกโดยไม่ต้องสอนกันแต่อย่างใด ดีกันโกรธกันไปเรื่อยวนเวียนกันอยู่อย่างนี้ในหมู่เพื่อนของเด็กน้อยอย่างเป็นเรื่องธรรมด๊าธรรมดา การเล่นพวกนั้นมีทั้งกลุ่มเด็กหญิงล้วนๆ กลุ่มเด็กชายล้วนๆ และกลุ่มที่คละกันค่ะ ซึ่งก็แตกคอกันไม่นานก็หันกลับมาเล่นด้วยกันใหม่ได้ ภาพลางๆที่ฉันนึกภาพเธอได้ เธอและเพื่อนมีวิธีเล่นนั้นหลากหลายน่าสนุกทีเดียวเชียวค่ะ มีทั้งปิดตาซ่อนหา ไล่จับวิ่งแข่งกันมา ทอยยาง ทอยเรือบิน ทอยหิน เป่ายาง กระโดดยาง รวมทั้งแบกนางพญามหากษัตริย์ลองกำลังแขนกัน
โรงเรียนใหม่แห่งนี้เป็นที่แห่งแรกที่ทำให้เด็กน้อยได้เจอหน้าและรู้จักญาติทางพ่อคนแรกในชีวิตที่เป็นเด็กๆด้วยกัน ลูกของลุงที่เคยเล่าว่ามีบ้านเล็กบ้านน้อยหลายหลังคือพี่ชายคนแรกที่ได้เห็นหน้าที่โรงเรียนแห่งนี้นะเอง วันไหนพี่เขาหยุดเรียน เด็กน้อยจะรู้เลยค่ะ เพราะว่าพี่ชายคนนี้เขามีโครงร่างตัวเล็ก ทุกเช้าที่อยากเจอหน้า มองหาได้ที่ท้ายแถวของห้องเขาค่ะ ที่มองเห็นหน้าเขาชัด ก็เพราะเธอก็ยืนอยู่ท้ายๆแถวเหมียนกัล ก็การเข้าแถวหน้าเสาธงที่นี่ เขาจะให้เด็กโตและเด็กเล็กยืนมองหน้ากันนี่ค่ะ เด็กเล็กยืนอยู่บนลานของเขื่อนที่สูงกว่าลานเสาธง เด็กโตยืนมั่นกันอยู่บนลานเสาธงพร้อมกัน เมื่อยืนเคารพธงชาติทุกๆห้องหันหน้าเข้าหาเสาธง
ระหว่างที่เด็กน้อยเรียนอยู่ที่นี่ เธอมีเรื่องให้ต้องย้ายตัวเองอีก การย้ายคราวนี้ไม่ใช่การย้ายที่เรียนแต่อย่างใดหากแต่เป็นการย้ายที่อยู่อาศัยสำหรับกินอยู่หลับนอน สิ่งแวดล้อมเธอจึงเปลี่ยนอีกครั้งจากการอยู่พร้อมหน้าพ่อแม่ลูกเป็นการอยู่ร่วมบ้านกับคนอื่น คนอื่นที่เล่าอยู่นี้มีศักดิ์เป็นป้าสะใภ้ของเด็กคนนี้นะเอง ฉันเดาเอาเองค่ะว่าการที่พ่อและแม่ทำอย่างนี้เขามีความคาดหวังบางอย่างอยู่ในใจ ฉันถามเด็กน้อยไปว่าเธอรู้บ้างไหมตอนนั้นว่าพ่อแม่คาดหวังอะไร เธอตอบมาว่าไม่รู้ รู้แต่ว่าแม้เธอจะไม่ชอบแต่ต้องยอมย้ายไปอยู่ดี
ภาพใหม่ของเธอที่เห็นเป็นช่วงหนึ่งแห่งการเรียนรู้ที่มีป้าสะใภ้เป็นครูพี่เลี้ยง มีลุงคนที่สามอยู่ด้วย แล้วมีเด็กๆมาร่วมเป็นครูซึ่งคือน้องสาวน้องชายสามคน ผู้ใหญ่คนอื่นที่เป็นครูก็มีคนที่มาทำงานที่นี่ ไปอยู่แล้วเธอจึงได้รู้ว่างานการของพ่อนะมีรูปแบบเป็นบริษัทกะเขาด้วย ก็บ้านที่เธอย้ายไปอยู่มันเป็นบริษัทกงสีในครอบครัวของพ่อเธอนะเอง
บทเรียนรู้จากชีวิตจริง
เด็กนะเขาก็มีความทุกข์นะ
ทุกข์ของเด็กเกิดจากการตัดสินใจของพ่อแม่ และการกระทำของผู้ใหญ่
การสร้างกรอบของผู้ใหญ่ต่อเด็กที่มีจิตใจหวั่นไหวทำให้เด็กฉลาดเลือกที่จะถักทอเสื้อที่มองไม่เห็นไว้ป้องกันความกลัวในใจออกมาในรูปความเก่ง ความว่าง่าย
เด็กที่ดื้อ คือ เด็กที่กำลังเรียนรู้และออกแบบเสื้อที่มองไม่เห็นว่าจะถักทอออกมาคลุมกายอย่างไรจึงรู้สึกดีและสวยงามในสายตาของผู้ชมดู
เด็กเรียนรู้ผ่านการเล่น มีเพื่อนและวิธีเล่นเป็นครู
เวลามองเห็นอะไร ในสมองเด็กมีความคิดและการเรียนรู้อยู่นะ
Keywords :
การเปลี่ยนสถานที่อยู่ การอยู่ร่วมกับคนแปลกหน้า การเล่น เป็นวิธีฝึกแบบธรรมชาติให้มีภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง(change agent)
การแบ่งก๊กแบ่งเหล่าเป็นเรื่องของธรรมชาตินะ
« « Prev : เจ้ามีที่มาอย่างไร(1)
Next : เจ้ามีที่มาอย่างไร(3) » »
6 ความคิดเห็น
แม่ผมเคยห้ามไม่ให้เอานิ้วแหย่ปลั๊กไฟ ผมก็ว่าง่าย เอาไม้กอล์ฟเหล็กอันเล็กๆ ขนาดเท่าไม้จิ้มฟันแหย่แทนด้วยเหตุผลว่านิ้วเข้าไม่ได้ พรึบ…จ๋อย เคยมีรถไฟไฟฟ้า ก็เอานมหยอดรางเหล็ก เป็นสนิมพังหมด พ่อแม่พี่เลี้ยงห้ามไปเถอะ
การเรียนรู้ไม่ได้เกิดจากการห้าม แต่เกิดจากประสบการณ์ครับ ห้าม ห้าม ห้าม ห้าม ห้ามไปหมดซะทุกอย่าง ไม่รู้ว่าห้ามไปทำไม เวิร์คอยู่ไม่กี่อย่างเองคือห้ามรังแกสัตว์ ห้ามขโมย-อยากได้ให้ขอ-ถ้าไม่ได้ก็ไปเล่นอย่างอื่นแทน ส่วนห้ามพูดปดบางทีก็เวิร์ค-บางทีก็ไม่เวิร์คแล้วแต่กรณีครับ
เอาอีกครับ เอาอีก
อิอิ…บอกแล้วไง เขียนออกมาเมื่ออยากเขียน…แกล้ง แกล้ง ปล่อยให้รอ…มัน”ต้อง” รู้สึกเนียนๆน่ะ มันจึงจะไหลออกมาเวลาเขียน….รอ…รอ…รอ…ชะเอิง…เอิง..เงย…รอ..หล่อ…ร่อ…ล้อ…หลอ…55555
ซนเอาเรื่องนะหนูตา
ตัวเล็กๆอย่างนี้น่ะ แต่ใจถึง (ดื้อ) เหมือนคนข้างกาย ดื้อชะมัดยาด.. อิอิ
เอ๋! วาดภาพไปเองอ๊ะป่าว พี่ชาย เดาเอาเองมั๊งว่าดื้อชะมัดยาดนะน่ะ…
เถียงๆค่ะว่า ไม่ดื้อ ไม่ดื้อ….แค่ดื้อเล็กๆแค่นั้นเอง
ตอนนี้มันเรื่องราวระหว่างบรรทัดเยอะเหมือนกัน ตอนนี้สั้นๆ นะค่ะแต่ต้องอ่านตั้งสองรอบค่ะ แต่อ่านแล้วก็ชวนให้ติดตามค่ะว่าคุณพ่อคุณแม่ของพี่หมอเจ๊คาดหวังอะไร…..
คงมีหลายเรื่องแหละหนิงเอ๋ย แต่การห้ามปรามอย่างนี้ ทำให้ทักษะทางสังคมหายไปเยอะเลย