เจ้ามีที่มาอย่างไร(1)
อ่าน: 1367สืบเนื่องจากการบ้านของครูบา ทำให้ฉันนึกถึงเรื่องราวของเด็กน้อยคนหนึ่งที่ถือกำเนิดมาเมื่อห้าสิบกว่าปีก่อนด้วยความงุนงงอยู่พอสมควร สิ่งที่งุนงงนั้นมิใช่เรื่องอะไร หากแต่เป็นเรื่องที่ฉงนใจกับความทรงจำของตัวเอง สิ่งที่ฉงนก็คือ ทำไมฉันจึงรำลึกภาพของเด็กน้อยคนนั้นได้เพียงลางเลือนหนอ ฉันขอบอกเพียงว่าเรื่องที่ได้เขียนเล่าออกมานี้เป็นเพียงบางส่วนที่รำลึกถึงเด็กคนนั้นได้ ณ วันนี้ค่ะ
มีครอบครัวอยู่ครอบครัวหนึ่ง มีสมาชิกในบ้านอยู่สี่คน พ่อ แม่ ลูกชายและหญิง พ่อเป็นชายที่มีอารมณ์ดีมากๆๆๆๆ ตลอดชีวิตของเด็กน้อยคนนี้ ไม่เคยเห็นพ่อมีอารมณ์โกรธเกรี้ยว ทุกข์ใจ ใบหน้าของพ่อนั้นมีแต่รอยยิ้มและเสียงหัวเราะ พ่อเป็นลูกชายคนที่ห้าในบรรดาพี่น้องทั้งหมดสิบเอ็ดคน แม่เป็นหญิงที่สวยงามมากคนหนึ่งในบรรดาหญิงสาวที่อยู่ในยุคสมัยเดียวกัน แม่เป็นลูกสาวคนที่สองของครอบครัว เป็นลูกคนกลางของครอบครัว สาวๆของครอบครัวนี้ล้วนเป็นสาวสวยค่ะ หลักฐานที่ยืนยันได้ก็คือ ลูกสาวคนสุดท้องของครอบครัวนี้ ได้มงกุฎนางงามมาครองจากเวทีแห่งหนึ่งของสาวงามในสมัยนั้น ส่วนพ่อนั้นหล่อเหลาหรือไม่ ก็ให้ท่านทายเอาเอง หล่อไม่หล่อก็ไม่รู้นะ รู้แต่ว่าลุงของเด็กน้อยคนหนึ่งมีสาวๆติดกันเกรียวขนาดมีบ้านเล็กบ้านน้อยหลายหลังพร้อมกัน และเวลาที่พ่อไปไหนๆก็มักจะมีคนมาตู่ว่าเป็นลุงก็แล้วกัน นอกจากพ่อก็มีอาอีกคนที่ถูกตู่ว่าเป็นลุงเช่นกัน สามคนพี่น้องนี้นะเวลาไปไหนพร้อมๆกันจะมีคนทักผิดทักถูกอยู่เรื่อยเลยค่ะ
พ่อและแม่เจอกันอย่างไรไม่เคยมีใครเล่าให้เด็กน้อยฟัง เด็กน้อยเคยได้ยินแต่เรื่องเล่าว่า พ่อเคยเป็นครูอยู่ที่โรงเรียนแห่งหนึ่งซึ่งเป็นที่ซึ่งเหล่ากุมารากุมารีทั้งหลายไปเข้าเรียนภาษาจีนกัน โรงเรียนแห่งนี้ปัจจุบันปรับปรุงกลายเป็นพิพิธภัณฑ์เลื่องชื่อแห่งหนึ่งของจังหวัดภูเก็ตค่ะ แม่เคยเป็นครูอยู่ที่โรงเรียนใกล้บ้านที่เด็กน้อยถือกำเนิดมา เด็กน้อยจำได้ว่าเวลาไปไหนมาไหน เมื่อผู้ใหญ่ถามไถ่ว่า เป็นลูกใคร เมื่อเอ่ยชื่อพ่อและแม่ออกไป ใครๆก็จะร้อง อ๋อ! คำอุทานนี้มันบอกให้เด็กน้อยรู้ว่า พ่อแม่ของตนนั้นมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของใครอยู่ไม่เบาทีเดียว ความที่แม่เป็นคนสวย พ่อซึ่งมีประวัติที่แสนซนและเฮี๊ยวจนเกือบจมน้ำที่ท่วมถนนใกล้บ้านตายจึงตามจีบไม่เลิก เวลาไปจีบก็ถีบจักรยานไปหาที่โรงเรียน ตามไปถึงบ้าน ตามไปหาตามที่เพื่อนส่งซิกอะไรอย่างนี้ จนในที่สุดแม่ใจอ่อนยอมตกร่องปล่องชิ้นด้วย
เมื่อเด็กน้อยเติบโตขึ้นมา เธอเคยถามแม่ว่า ทำไมไม่มีน้องให้หนูเหมือนคนอื่นบ้าง แม่เล่าให้ฟังว่า กว่าแม่จะให้กำเนิดเด็กน้อยได้ แม่ต้องใช้ความพยายามอย่างมาก โดยแม่ก็ไม่ได้บอกว่าความพยายามที่ว่านั้นคืออย่างไร เด็กน้อยจึงรับรู้แต่ว่า เธอหมดหวังที่จะมีน้องไว้เป็นเพื่อน มีเรื่องที่ก่อความสงสัยให้กับเด็กน้อยเหมือนกันในเรื่องของครอบครัว ด้วยว่าเมื่อมีเสียงพูดคุยทักทายถามไถ่ระหว่างแม่กับเพื่อนของแม่ เธอมักจะได้ยินป้าๆเหล่านั้นพูดว่า เธอเป็นลูกคนเดียวของพ่อแม่ แต่ไหงเมื่อเธอเติบโตขึ้นมานั้น เธอกลับพบว่าเธอมีผู้ที่เธอเรียกว่า “พี่” อยู่ร่วมบ้านอีกคนหนึ่ง ซึ่งพี่คนนี้เขามีชื่อพ่อและแม่ปรากฎหราในทะเบียนบ้านเป็นชื่อเดียวกับพ่อแม่ของเธอเองซ๊าด้วย
เมื่อถือกำเนิดมาจนจำความได้ พ่อและแม่ของเด็กน้อยมิได้ประกอบอาชีพครูแล้ว เด็กน้อยไม่รู้ว่าเธอถือกำเนิดที่บ้านหลังไหน ได้แต่เดาเอาว่าคงจะเป็นบ้านหลังที่เธอเติบโตมานั่นเอง บ้านหลังนี้มีบ้านเลขที่ประกอบด้วยตัวเลขสองตัว คือ เลขหกและเลขสองค่ะ ที่เด็กน้อยใช้คำว่าเดาก็ด้วยว่า น้าสาวเล่าให้ฟังว่าเธอเคยช่วยแม่เลี้ยงเด็กน้อยให้เติบโตขึ้นมา แล้วตัวน้าสาวนะไม่เคยอยู่ที่บ้านเลขที่หกสิบสองเลย เธออาศัยอยู่ในเหมืองแร่แห่งหนึ่งที่อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงาตะหาก แล้วน้าสาวก็เป็นผู้ที่แม่ของเด็กน้อยได้อุ้มชูเลี้ยงดูแทนตายายตลอดมา สำหรับ “พี่ชาย” นั้น เด็กน้อยมารู้ภายหลังว่า แท้ที่จริงแล้ว เป็นลูกของป้าซึ่งคลอดเขาออกมาแล้วจำเป็นต้องมีชื่อพ่อแม่ไปลงทะเบียนเกิดให้ลูกแต่ตอนที่เขาเกิดลุงหนีหายจากไปตามตัวกันไม่ได้ ลุงจะหนีหายไปด้วยเหตุใดไม่มีใครพูดถึงให้ได้ยินเลย ฉันเพิ่งมารู้เมื่อทำงานแล้วว่า ที่แท้ในตอนนั้นพ่อของเด็กน้อยมิได้เต็มใจที่จะรับ “พี่ชาย” ไว้เป็นลูกชายสักเท่าไร แต่ด้วยความรักที่มีต่อแม่ พ่อของเด็กน้อยจึงได้ยินยอม
ภาพชีวิตที่ฉันรำลึกได้เมื่อเด็กน้อยเป็นเด็กเล็กวัยอนุบาล เป็นภาพของเด็กคนหนึ่งที่ซุกซนและเป็นที่รักของคนที่รับเธอไปอยู่ด้วย ถูกแล้วค่ะเด็กเล็กๆคนนี้ถูกพ่อและแม่ส่งไปอยู่กับคนอื่น เธอถูกรับไปเข้าเรียนที่โรงเรียนประจำแห่งหนึ่งที่อำเภอท้ายเหมือง จังหวัดพังงา ด้วยตอนนั้นพ่อของเธอเข้าไปอยู่ในเหมืองแร่เพื่อช่วยดูแลกิจการให้กับครอบครัวของพ่อ และแม่ก็ได้ตามไปดูแลพ่อที่นั่น การที่พ่อและแม่ส่งเด็กน้อยไปอยู่ที่นี่เพราะว่าครูในโรงเรียนแห่งนี้ทุกคนเป็นเพื่อนของเขาทั้งคู่ ซึ่งก็ไม่ผิดหวังค่ะ เด็กน้อยได้รับการดูแลเป็นอย่างดี เมื่อถึงวันหยุด ครูจะเป็นผู้เตรียมตัวของเธอให้พร้อมไว้สำหรับให้พ่อและแม่มารับได้โดยไม่เสียเวลา
ดูเหมือนว่าการอยู่กับคนแปลกหน้าตั้งแต่ยังเล็กไม่ได้ทำให้เธอมีปัญหาอะไร จนเมื่อฉันมานั่งย้อนรำลึกเธออีกครั้ง ฉันก็พบว่าที่แท้เธอมีปัญหาหนึ่งซ่อนอยู่ นั่นคือ ความกลัวที่มีต่อผู้ใหญ่ และไม่ชอบเข้าใกล้ครูค่ะ ฉันไม่แน่ใจหรอกนะค่ะว่า เหตุนี้หรือเปล่าที่ทำให้เธอเป็นเด็กเรียน หัวแข็งและดื้อค่ะ การย้อนรำลึกถึงเธอในวันนี้ทำให้ฉันรับรู้ขึ้นมาว่า เด็กน้อยรู้สึกอายที่มีใครหัวเราะเธอ เมื่อเธอทำพลาดค่ะ
ในตอนนั้นครูผู้ดูแลมักจะนำเอาเรื่องที่เธอทำพลาดตามประสาเด็กๆมาพูดคุยเล่าสู่กันฟังในบรรดาคนกันเองของพ่อและแม่เป็นที่สนุกสนานด้วยความรู้สึกเอ็นดูในความเป็นเด็กที่ไร้เดียงสาของเธอ แต่ครูคงจะไม่รู้ค่ะว่าเธออาย และไม่ชอบการถูกล้อเลียน เรื่องหนึ่งที่จำได้ว่าเธออายมากๆ ทั้งๆที่เป็นเรื่องธรรมดาๆของเด็กอนุบาล คือ วันหนึ่งเธอเตรียมตัวเพื่อรอให้พ่อและแม่มารับในช่วงสุดสัปดาห์แล้ว ข.ต.ใส่ผ้า เป็นการ ข.ต.ที่เกิดพอดีกับที่รถที่พ่อและแม่มารับถึงบันไดบ้านพักครู ผู้ใหญ่หัวเราะกันกราวใหญ่ จำได้ว่าครูเขาไปที่ไหนๆที่รู้จักกับเพื่อนของพ่อและแม่ เขาจะเล่าทุกเวทีไป จำได้ว่าเด็กน้อยอายแสนอายค่ะ แต่เธอทำอะไรลงไปบ้างนั้น ฉันจำไม่ได้ด้วยความจำมันรางเลือนเต็มที
ต่อจากชั้นอนุบาล พ่อซึ่งเป็นคนที่เดินทางไปทั่วภาคกลางและภาคใต้เห็นการณ์ไกลว่า การศึกษามีความสำคัญ และเห็นความสำคัญของภาษาอังกฤษ พ่อจึงเลือกให้เด็กน้อยเข้าเรียนชั้นประถมที่โรงเรียนราษฎร์แทนโรงเรียนรัฐบาล เด็กน้อยจึงได้ย้ายกลับมาอยู่ที่จังหวัดภูเก็ต โรงเรียนราษฎร์แห่งแรกที่เข้าเรียนนั้น มีพี่ชายลูกของลุงที่เล่าถึงไว้ข้างต้นเรียนอยู่ก่อนแล้ว โรงเรียนแห่งนี้เป็นโรงเรียนสหศึกษาในชั้นประถม และเป็นโรงเรียนชายล้วนสำหรับชั้นมัธยมศึกษา พ่อและแม่ไม่เคยผิดหวังกับผลการเรียนของเด็กน้อยแม้แต่น้อย ตลอดสี่ปีที่เธอเรียนประถมต้นที่โรงเรียนแห่งนี้ ผลการสอบเธอเป็นที่หนึ่งของห้องมาตลอด
ภายใต้อิสระที่โรงเรียนราษฎร์มีให้เด็กนักเรียน โรงเรียนแห่งนี้เป็นที่แรกที่ทำให้เธอรู้จักกับศาสนา เป็นการรู้จักในรูปแบบที่น่าสนใจสำหรับเด็กวัยขนาดนั้น นั่นคือ รูปแบบการเล่าเรื่องราวของอาดัมกับอีฟให้ฟังแบบนิทาน และการสอนให้รู้จักเพลงต่างๆที่ร้องกันในช่วงเทศกาลสำคัญ แน่นอนว่าการที่เด็กน้อยรับรู้เรื่องราวเหล่านี้ เธอไม่เข้าไปใกล้ชิดบาทหลวงที่เป็นครูสักเท่าไร นอกจากคอยตามอ่านจากหนังสือเล่มเล็กๆ ฟังเอาจากเรื่องเล่าที่มีโอกาสได้ยิน ที่นี่เป็นที่แรกที่เธอรู้จักไม้กางเขนและดอกลั่นทม ฉันรำลึกได้ว่าเธอชอบดอกลั่นทมมาก ที่เธอชอบมันก็ด้วยว่ากลิ่นหอมของมันนั้นหอมดี และอีกเหตุผลก็คือ มันเป็นดอกไม้ที่ทำให้เธอรู้จักกับจินตนาการซึ่งเธอก็ไม่รู้ตัวหรอกว่ามันเกิดขึ้นมาอย่างไร เป็นไปได้ว่าจินตนาการที่เกิดขึ้นเริ่มขึ้นจากการที่พ่อพาเธอไปชมภาพยนตร์เรื่องบลูฮาวายที่มีนักร้องเอลวิส เพรสลีย์ หนุ่มรูปหล่อคนดังเป็นพระเอกค่ะ
การได้ย้ายจากโรงเรียนประจำมาอยู่บ้าน ทำให้เด็กน้อยมีความสุขมาก พ่อและแม่ย้ายกลับมาอยู่บ้านกับเธอด้วย เพียงแต่ว่า พ่อนั้นจะไม่ได้อยู่ด้วยหลายๆวัน พ่อจะกลับมาบ้านเดือนสองเดือนครั้งแล้วก็เดินทางต่อไป ตอนนั้นพ่อยังทำงานเหมืองแร่อยู่ หน้าที่ที่ทำก็คือ สำรวจหาที่ดินสำหรับขอสัมปทานเปิดทำเหมืองแร่ซึ่งมีลุงซึ่งเป็นพี่ชายคนที่สองเป็นนายทุนค่ะ ชีวิตของพ่อจะอยู่ป่ามากพอๆกับอยู่ในเมืองค่ะ เวลาที่พ่อกลับบ้าน เด็กน้อยจะมีความสุขมาก เพราะพ่อจะพาเธอและแม่ไปเที่ยวชายทะเลบ้าง ขับรถไปในที่ต่างๆบ้าง และพ่อคือคนสำคัญที่พาเธอไปดูภาพยนตร์ค่ะ ภาพยนตร์ที่พ่อพาเธอไปดูจะเป็นประเภทแฟนทาสติกส์ ตำนานปรัมปรา เรื่องของอาณาจักร ทั้งหนังฝรั่งและหนังจีน จิปาถะค่ะ และบางครั้งพ่อยังหนับหนุนให้เธอไปดูลิเกได้อีกด้วย
เวลาปิดเทอม พ่อจะไม่กลับบ้าน แม่จะเป็นผู้ขนนำเด็กน้อยและพี่ชายไปหาพ่อ ชีวิตช่วงปิดเทอมของเด็กน้อยจึงไปโลดแล่นอยู่ในพื้นที่ชนบทที่รอบตัวคือหมู่บ้านชาวบ้านที่มีป่าล้อมรอบ มีลำธารให้เป็นที่อาบน้ำ มีต้นไม้ไว้ให้ปีนป่าย มีแมลงไว้ให้เรียนรู้อย่างตื่นตาตื่นใจ การไปใช้ชีวิตอยู่ในเหมืองทำให้เธอได้รู้จักกับปลิงและทาก และสนุกกับการลองเบื่อให้ปลิงและทากมันอ่อนแรงด้วยก้นบุหรี่ที่เก็บมาจากพื้นใส่ลงไปในน้ำแล้วจับดึงปลิงและทากที่ติดมากับตัวตอนไปเที่ยวเล่นริมหนองน้ำใส่ลงไป มันเป็นสิ่งที่น่าสนใจสำหรับเด็กน้อยค่ะ มีอย่างที่ไหนใส่ปลิงที่ยึกยือๆอยู่ลงไปในน้ำไม่นาน มันก็ตัวแข็งทื่อหยุดเคลื่อนไหวไปเลย ฉันรับรู้ว่าในตอนนั้นเธอไม่เข้าใจคำว่าบาป และไม่รู้จักเลยว่าการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตนั้นเป็นสิ่งที่พึงงดการกระทำที่ศีล 5 ได้พร่ำสอนไว้
การเข้าไปอยู่ที่เหมืองตอนปิดเทอมนี้ ไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกว่าที่นี่เป็นที่อยู่ที่ลำบากเลย เธอไม่เบื่อบรรยากาศแห่งการใช้ชีวิตที่นี่เลย ทั้งๆที่รอบๆตัวมีแต่ต้นไม้ ใบหญ้า และเรือนนอนที่คนเหมืองเขาเรียกว่ากงสี ฉันคิดว่าที่เธอไม่รู้สึกอะไรนั้นเป็นเพราะว่า ตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่ เธออิ่มเอมไปด้วยความสุขกับการเรียนรู้ ที่นี่เป็นที่ที่เธอมีเพื่อนเล่นที่ทำให้เธอได้เรียนรู้อะไรที่แปลกออกไป เธอแอบซนไปปีนต้นไม้กับเพื่อน ปีนขึ้นไปจนถึงยอดไม้ซึ่งสูงจากพื้นเท่ากับตึกสองชั้นและตกลงมา โชคดีที่ตกลงมาค้างตรงกิ่งล่างให้ใจสั่น ขาสั่นเล่น ถ้าตกลงมาถึงพื้นดินคงเจียนตาย ชีวิตคงไม่รอดผ่านมาจนถึงอายุปูนนี้หรอกค่ะ การมาอยู่ที่นี่ทำให้เธอได้รู้จักการใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายอย่างชาวบ้าน กินอยู่ง่ายๆได้สบายๆ นั่งกินข้าวบนพื้นดินพื้นทรายได้ เล่นดินเล่นทรายเป็น นอนและเล่นอยู่ในบ้านที่ฝาทำด้วยไม้ได้โดยไม่รู้สึกว่าแปลกแยกกับมัน นอนหลับสบายบนเตียงผ้าใบโดยไม่มีฟูกได้
บทเรียนรู้จากชีวิตจริง
ในขณะที่ผู้ใหญ่รู้สึกว่า การทำเปิ่นของเด็กเล็กเป็นเรื่องน่าเอ็นดู เด็กกลับคิดว่านั่นคือการตำหนิโดยเฉพาะการนำเรื่องของเขาไปเล่าให้ใครฟังซ้ำๆอย่างขำขัน โดยเฉพาะการเล่าให้พ่อและแม่ของตนฟัง โดยไม่บอกเหตุผลของการหัวเราะ
เด็กที่ถูกทิ้งไว้ลำพังหรือฝากให้อยู่กับคนอื่นที่ไม่ใช่พ่อแม่ จะมีความรู้สึกไม่มั่นคงในใจ รากฐานที่เพาะเชื้อความกลัวในใจได้เกิดขึ้นในตัวเขาทันที
ภาพพ่อและแม่ที่อยู่ในจินตนาการนั้น เลิศเสมอสำหรับเด็ก ความเป็นเด็กทำให้ไม่เคยกังขากับมันเลย
พ่อคือคนสำคัญที่ทำให้เกิดความรู้สึกมั่นคง และเติมเต็มจินตนาการของเด็ก
การได้รำลึกถึงความเป็นเด็กน้อยๆ เป็นความสุขที่ผู้ใหญ่คนหนึ่งมีอยู่ ถ้าเข้าใจมัน
การได้รำลึกภาพของเด็กน้อยทำให้เข้าใจความเป็นมาและตัวตนเดิมของผู้ใหญ่คนหนึ่งได้ชัดเจนขึ้น
เด็กชอบเล่นดิน เล่นทราย ปีนต้นไม้ ได้เห็นสิ่งมีชีวิตรอบตัวที่แปลกตา แค่ได้ทำสิ่งเหล่านี้อย่างเป็นอิสระก็เป็นสุขยิ่งแล้ว
« « Prev : คุยแล้ว….หลุด….ของขึ้น
Next : เจ้ามีที่มาอย่างไร(2) » »
13 ความคิดเห็น
มาติดตามตอนต่อไป… ด้วยใจระทึกครับ
ได้อ่านเหมือนได้รู้สไตล์การเขียนเฉพาะตัว
ดึงความสนใจไปเรื่อยๆ เดินบ้าง กระโดดบ้าง ปีนต้นไม้บ้าง เป็นรอยหยักเหมือนคมใบเลื่อย
พอหมุนเร็วจี๋ ก็ตัดอะไรได้ แต่ก็เหมือนยังมีอะไรที่จะต้องมาตัดอีก เพราะยังไม่จุไจ มันยังอยากรู้อะไรอีกก็บอกไม่ถูก คาดว่าน่าจะเรื่องยาว ใช่ไหมหนอ รอ และรอ ต่อไป
พี่ตาเก่งจังค่ะ จับคำว่า “กลับสู่เจ้าตัวเล็ก ” ของใหญ่ถูกเป๊ะเลย เด็กน้อยคนที่ยื่นกุญแจไขห้องแห่งความลับให้กับเราคือตัวเราเองในอดีตนั่นเอง
จะรออ่านด้วยความแช่มชื่นนะคะ
Classic ๆๆๆๆๆๆๆ มากๆ ขอบอก
เริ่มตั้งแต่พ่อแม่นางเอกเลย อิอิ
แต่ให้ข้อคิดหลายอย่างมาก ขอบอกอีกที อิอิ
โรแมนติกจัง
#1 ตอบถ้อยน้องไปแล้วนะว่า จะเรียบเรียงเรื่องราวแล้วเขียน ออกมาตามที่อยากเขียนเน้อ อิอิ…มีการแอบไปเสาะหาประวัติพี่ด้วยเน้อ….อย่าเชื่อมากนะน้องน่ะ มันอาจจะจริงบ้างไม่จริงบ้างก็ได้เน้อ
#2 พ่อครูบาเจ้าขา พอลงมือทำการบ้านให้แล้ว มันชักติดลมบนซิค่ะ กลัวใจของตัวเองที่ขี้เบื่อ จบดื้อเอาซะงั้นค่ะพ่อ ก็เลยตั้งใจไว้ว่า จะลงมือเขียนต่อๆเมื่อใจมันมีเรื่องที่อยากเขียนนะพ่อน่ะ
#3 อีหนูคนสวยเอ๋ย ก็แค่ใคร่ครวญว่า จำอะไรเรื่องของตัวเองได้บ้างนะน่ะ พอสนุกกับมันก็เอามาบันทึกซะเลย ดีแล้ว ดีแล้ว ที่อ่านแล้วรู้สึกว่ามันแช่มชื่นนะ
#4 พี่ตึ๋งนะ เอาเปรียบกัน เขียนสั้นกระติ๊ดเดียวเองอ่ะค่ะ
#5 น้องสร้อยแสนซนเจ้าเอ๋ย ให้มันรู้ไปใครซนกว่าใครไงเล่า ตอนที่เริ่มใคร่ครวญว่าจะเขียน รู้สึกว่าไม่ใคร่มีอะไรเล่ามากหรอกนะ อาศัยความรู้สึกที่เนียน มันเลยไหลออกมาเวลาลงมือเขียนเองเจ้าค่ะ
เป็นการเล่าที่มีความละเมียดละมัย ใส่ใจในรายละเอียด แต่ไม่ตกหล่นในสาระดีดี
เล่าได้เห็นภาพของคนเป็นพ่ออย่างแจ่มแจ๋ว ขอแบ่งปันประสบการณ์ตรงนี้บ้างนะคะ อิอิ
น้องหนิงที่รักเจ้าขา ยินดีต้อนรับสู่เรื่องราวของเด็กๆค่ะ
[...] “เจ้าเป็นมาอย่างไร(1)“ [...]