ติดกรอบ กับ ลองของ ฉุกใจกับคำนี้

อ่าน: 2358

หากมีเวลาว่าง ฉันชอบที่จะกลับไปอ่านบันทึกที่ตัวเองเขียนขึ้นค่ะ เวลาที่ไปอ่านรู้สึกดีตรงที่เหมือนได้ดูหนังที่ตัวเองเป็นทั้งผู้กำกับและมองเห็นตัวเองในฐานะตัวละครที่โลดแล่นไปบนแผ่นฟิล์มยังไงยังงั้น เวลาอ่านในบางครั้งมีเอ๋อนะค่ะ กับความเป็นตัวเอง ณ เวลานั้น  บางเรื่องราวของตนเองในช่วงเวลาที่ผ่านพ้นที่มามองใหม่ เป็นเหมือนการดูซ้ำจนได้เห็นการเปลี่ยนแปลง คงอยู่ และ ดับไป ของอะไรบางอย่างในตัวเอง

วันนี้นั่งทำการบ้านส่งด้วยเหตุผลว่า อยากทบทวน เพื่อใคร่ครวญความรู้ที่เกิดขึ้นมาในระหว่างที่ได้ดำเนินวิถีไปในระหว่างที่อยู่ภาคเหนือค่ะ

เรื่องราวบนแผนฟิล์มในวันนี้ เกิดจากการไปมองวิถีในวันหนึ่ง ขณะอยู่ที่คณะเภสัชศาสตร์ เชียงใหม่ เป็นเรื่องราวในบันทึกเรื่อง คืนแรก ณ เมืองเจียงฮาย ที่ขอถอดบทเรียนเรื่องของ “ผ่อนคลาย” ที่แวบขึ้นมาตอนอ่าน

วิถี ณ วันนั้น ฉันนอนตื่นสาย ขณะที่ไปนอนค้างบ้านคนอื่น ซึ่งเป็นคนที่ฉันเพิ่งได้คบหากับเธอ แถมใจกล้าไปนอนบ้านเธออีกครั้งเป็นครั้งที่สอง  ข้อตัดสินที่เกิดขึ้นก่อนมีการตัดสินใจไปนอนค้างกับเธอทั้งครั้งแรกและครั้งที่สองก็คือความคิดว่า “กลัวเธอจะอึดอัดกับความเป็นหมอของตัวฉัน ไม่น่าจะไป” และข้อแก้ต่างที่ทำให้สรุปสะท้อนแก้ความคิด “กลัว” ก็คือคำว่า “ไม่เป็นไรหรอก”  ครั้งแรกตอบตัวเองว่า “ไม่เป็นไร ลองไปดูก่อน เป็นอย่างไรค่อยว่ากันอีกที ถ้าเธออึดอัดก็ขอไปนอนโรงแรมได้นี่”  ครั้งที่สองตอบว่า “ดูเหมือนเธอกลัวๆ ไม่เป็นไร ไปเป็นเพื่อนเธอละกัน จะได้ลดความกลัวกับการไปที่ห้องนั่งเล่นคนเดียว ถ้าเธอยังกลัวก็ให้ทำตัวให้ง่ายๆเข้าไว้”

เมื่อมาถึงและนอนค้างที่บ้านของเธอ พฤติกรรมของฉันทั้งสองครั้งมีความต่างเกิดขึ้น ครั้งแรกนั้นนอนแล้วตื่นตามเวลาเฉกเช่นกับตอนอยู่ที่บ้านเด๊ะเลย แถมบางวันตื่นก่อนเจ้าบ้านซะอีก แต่ครั้งที่สองกลับตื่นสายซะตะวันโด่งอย่างที่ไม่เคยทำอย่างนี้มาก่อนเวลาไปนอนบ้านใคร ย้อนถามตัวเองว่าทำไมจึงเป็นไปได้  คำตอบก็คือ “ไม่มีเวลาเข้ามาเอี่ยวในวิถี”

การเปิดเทปมาดูใหม่ครั้งนี้ ได้ความรู้เรื่องบทบาทของตัวตนว่า ที่แท้ตัวตนของฉันนั้นเป็นหนูนะนี่ ก็เสียงแรกที่ได้ยินนะมันคือ “กลัวเธอจะอึดอัดกับความเป็นหมอของตัวฉัน ไม่น่าจะไป” ส่วนการลงมือที่ทำไปมันเกิดจากหนูแปลงร่างไปแล้ว ความกลัวมันหายไปด้วยคำว่า “ไม่เป็นไรหรอก ลองไปดูก่อน เป็นอย่างไรค่อยว่ากันอีกที ถ้าเธออึดอัดก็ขอไปนอนโรงแรมได้นี่”  นี่มันบอกความเป็นหนูที่ใช้ความเป็นอินทรีย์ หมี และกระทิงเข้ามาเป็นตัวช่วยครบทุกตัวเลย อืม! แค่ตอบตัวเองว่า “ลอง” นี่น่ะ กลไกของเสียงแรกที่ได้ยินจากทิศหนูมันก็หมดอิทธิพลไปเลย ไม่น่าเชื่อว่า คำว่า “ลอง” มันจะขลังขนาดนี้เลย ดึงฉันออกจากไข่แดงของความกลัวได้

เหตุการณ์ครั้งที่สองก็ยืนยันความเป็นฉันว่าคือ “หนูแปลงร่างไปแล้ว” เสียงแรกที่ได้ยินที่บอกว่าเป็นหนูผสมกระทิงไปแล้ว ก็คือ “ดูเหมือนเธอกลัวๆ” คำต่อมาที่บอกว่ายังแปลงร่างอยู่คือ “ไม่เป็นไร ไปเป็นเพื่อนเธอละกัน จะได้ลดความกลัวกับการไปที่ห้องนั่งเล่นคนเดียว ถ้าเธอยังกลัวก็ให้ทำตัวให้ง่ายๆเข้าไว้”  มองเห็นมั๊ยว่าจากครั้งแรกที่แปลงร่างเป็นหนูในคราบกระทิง ได้ซ่อนคราบอินทรีย์และหมีเอาไว้ภายใต้อย่างแนบเนียนด้วย และครั้งที่สองก็ยันว่า มนตราของการ “ลอง” ครั้งแรกมีผลทำให้การแปลงร่างของครั้งแรกยังอยู่  หากถามว่าทำไมการแปลงร่างจึงยังคงมีผลอยู่  ฉันขอตอบว่า ฉันใช้ความเป็นอินทรีย์และหมีเข้ามาช่วยให้หนูที่อยากเป็นกระทิงกล้าลงมือค่ะ ฉันใช้ผู้นำอีก 2 ทิศมาช่วยสร้างสมดุลปรับความกลัวหรือความไม่ปลอดภัยของตัวเองให้กลายเป็นความรู้สึกปลอดภัยค่ะ

บทเรียนนี้ฉันเรียนรู้ว่า ความรู้สึกว่า ไม่ปลอดภัย หรือ กลัว เกิดขึ้นจากการมีคำตัดสินของเสียงแรกที่ได้ยิน เมื่อรับรู้เสียงแรกที่ได้ยินแล้ว เกิดข้อตัดสินที่ทำให้ลงมือ เกิดขึ้นจากการคุยกับเสียงแรกที่ได้ยินของผู้นำทั้งสี่ทิศนี่เอง

การดำรงชีวิตอยู่ในวิถีของสิ่งมีชีวิตมีสองส่วนมาสัมพันธ์กันอยู่ หนึ่งคือ ตัวตน หนึ่ง คือ สิ่งที่อยู่นอกตัวตน  ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อมเรียกว่า “นิเวศน์”  เมื่อฉันมาถึงและพบเธอ ฉันได้พบว่าฉันไม่ได้ใส่ใจ สนใจกับเรื่อง ”เวลา” เลย อืม! ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ แค่ข้อปฏิบัติในนิเวศไม่ติดเรื่องเวลา เวลาก็ไม่มีฤทธิ์เดชอะไรกับตัวเราแฮะ  นอกจากไม่ติดเรื่องเวลา ฉันยังบอกหนูไม่ให้ออกมาสู้กับกระทิงให้ตัวเองอึดอัดด้วยการใช้คำพูดกับมันว่า “ทำตัวให้ง่ายไว้” หนูมันก็รับซิค่ะ ก็มันถูกจริตนี่นา ผลตอบรับนี่เองที่ทำให้เกิดความผ่อนคลาย ปลดล็อกเรื่องเวลาไปจากความคุ้นชินได้

บทเรียนนี้ฉันเรียนรู้ว่า การไม่มีเงื่อนไข การไม่มีกรอบเรื่องเวลา ทำให้เกิดความผ่อนคลายของตัวตน

ถอดบทเรียนบทแรกต่อ ก็พบว่าวิถีที่ใจรับรู้ก็มีสองส่วนมาสัมพันธ์กัน หนึ่ง คือ ใจ หนึ่ง คือ สิ่งที่อยู่นอกตัวตน มีอะไรบางอย่างอยู่ในตัวที่เป็นตัวเชื่อมไปให้ใจเกิดการรับรู้ แล้วแปลงผลออกมาเป็นเสียงแรกที่ได้ยิน  อืม! ใช่เลย ใช่เลย ใจนี่เองที่เริ่มทำงานขึ้นก่อน ในการรับรู้สิ่งที่อยู่นอกตัวตน เสียงที่ได้ยินนี่เองที่เป็นสะพานเชื่อมโยงใจที่อยู่ในตัวตนกับสิ่งที่อยู่นอกตัวตน  อืม! ใจมีเสียงด้วยน่ะ

การทบทวนทำให้ฉันเห็นถึงการดำเนินวิถีว่ากลไกที่เริ่มขึ้นจากคำสั่งของเสียงแรกที่ได้ยินนี่เอง  หลังได้ยินเสียงแรกแล้วก็มีการแปลงผลอีกหลายขั้นตอนนัก โดยผู้นำทั้งสี่ทิศทำงานร่วมกันเป็นทอดๆ  และในแต่ละทอดนั้น ล้วนเป็นไปตามเสียงแรกที่ได้ยินของผู้นำแต่ละทิศที่เข้ามาช่วย โดยเสียงแรกที่ได้ยินของผู้นำทิศต่อๆมาก็ยังแคร์กับผู้นำคนแรกที่ให้เสียงขึ้นค่ะ อืม!  เสียงแรกที่ได้ยิน ณ จุดที่เริ่มมีการตัดสินนี้สำคัญนัก

Keywords : ใจมีเสียงด้วยนะ

เสียงแรกที่ได้ยิน อึดอัด-กลัว

ผู้นำสี่ทิศ  :

หนู-กลัว,ไม่น่าจะไป,ทำตัวให้ง่ายไว้

กระทิง-ลอง,ไม่เป็นไร,ดูเหมือนเธอกลัว,ไปเป็นเพื่อนเธอแล้วกัน

หมี - ถ้าเธออึดอัดก็ไปนอนโรงแรม,  จะได้ลดความกลัวกับการไปที่ห้องนั่งเล่นคนเดียว ,

อินทรีย์ - เป็นอย่างไรค่อยว่ากันอีกที , ถ้าเธอยังกลัวก็ให้ทำตัวให้ง่ายๆเข้าไว้ , ไม่ใส่ใจเรื่องเวลา

ไม่มีเงื่อนไขเวลา - ผ่อนคลาย

« « Prev : จากกันเพื่อพบกันใหม่อีกครั้ง ด้วยชีวิตใหม่

Next : รู้สึกอย่างไร เรียนรู้อะไรกับบทเรียนในวิถี “คืนแรก ณ เมืองเจียงฮาย”-1 » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

4 ความคิดเห็น

  • #1 สิทธิรักษ์ ให้ความคิดเห็นเมื่อ 5 พฤศจิกายน 2008 เวลา 23:13

    อิอิ……ท่านพี่ตาเจ๊ ผมอ่านซะ ตาลาย บรรยายจนยาว อิอิ

  • #2 Logos ให้ความคิดเห็นเมื่อ 5 พฤศจิกายน 2008 เวลา 23:49

    ชอบข้อสังเกตเกี่ยวกับ มอง-ดู-เห็น ครับ น่าจะเป็นเช่นเดียวกับ แว่ว-ได้ยิน-ฟัง

    สมัยสงครามโลกเลิกใหม่ๆ พ่อผมไปเรียนอังกฤษ ไปอยู่กับครอบครัวพระ รู้จักแต่ในนามของ “ท่าน vicar” พ่อเล่าว่าท่าน vicar จบ Oxford มีครุยเก่าๆ ซึ่งเกือบเน่าแล้ว แต่ชาว Oxford ถือว่ายิ่งเก่ายิ่งขลัง

    ท่าน vicar สอน English literature ให้เวลาที่อยู่บ้าน (vicarage) ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ผมก็ถามพ่อว่า English literature นี่ เรียนแล้วได้อะไร เหมือนอ่านนิยายหรือไม่ พ่อตอบว่าได้ “น้ำหนักคำ” คำแต่ละคำ มีน้ำหนักไม่เท่ากัน ภาษาจะสละสลวยหรือไม่ ความคิดจะลึกซึ้งหรือไม่ ส่วนหนึ่งดูกันตรงนั้น

    เท่านั้นล่ะครับ ปิ๊งเลย ถ้าความคิดยังติดแหงกอยู่แค่ ผิด/ถูก หรือ ใช่/ไม่ใช่ โลกจะมีแค่สองสี เป็นไบนารี ไม่มีสุนทรีย ไม่มีน้ำหนัก ไม่มีความลึกซึ้ง เหมือนประชาธิปไตยคือเสียงข้างมาก

    จิตใจที่ละเอียดอ่อน และไวต่อความรู้สึก มีน้ำหนักเหมือนกัน!

    ขอบคุณสำหรับบันทึกครับ

  • #3 หมอเจ๊ ให้ความคิดเห็นเมื่อ 5 พฤศจิกายน 2008 เวลา 23:51

    ฮ่า ฮ่า ฮ่า เขียนแล้วลืมตัวค่า เลยยาวทุกทีไป
    พี่เหลียงเจ้าขา เรียก “ตา” เหอะพี่ ฝืนตัวตนเล็กๆเพื่อเดินออกจากไข่แดงอีกก้าวค่ะ
    ปรับแก้ให้สั้นลง และแทรกภาพให้อ่านง่ายขึ้นให้แล้วค่ะ

  • #4 หมอเจ๊ ให้ความคิดเห็นเมื่อ 5 พฤศจิกายน 2008 เวลา 23:55

    ยกเรื่องข้อสรุปที่น้องรอกอดมาแลกเปลี่ยนไปไว้อีกบันทึกแล้วค่ะ ขอคัดลอกไปไว้ด้วยกันให้อ่านสะดวกแล้วนะค่ะ


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่
You must be logged in to post a comment.

Main: 0.61473798751831 sec
Sidebar: 0.59000301361084 sec